มิติสยอง..ชิมิ
8.5
2) ตอนที่ 2 ไขอดีตความหลอน (จบแล้วครับ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2 ไขอดีตความหลอน
“คุณแม่ขา คุณพ่อเริ่มจะมองเห็นหนูกับพี่ชายแล้วนะค่ะ แต่ยังจดจำหนูกับพี่ชายไม่ได้เลย... แต่หนูกับพี่จะพยายามออกไปพบคุณพ่อบ่อยๆ และทำให้คุณพ่อจดจำหนูกับพี่ชายให้ได้ไวไว”
“คุณแม่ครับ วันนี้มีผู้ชายกับผู้หญิงมาพักบ้านของเราด้วยล่ะครับ คุณพ่อเดินออกไปเปิดประตูตอนรับด้วยตัวเองเลยนะครับ ผมกับน้องก็ยื่นอยู่ข้างๆกับพวกเขาด้วยล่ะครับ เหมือนคุณพ่อจะคิดว่าผมกับน้องเป็นลูกชายกับลูกสาวของผู้หญิงกับผู้ชายสองคนนั่นด้วยล่ะครับ ทำไมคุณพ่อถึงยังจดจำพวกเราไม่ได้อีกล่ะครับ คุณแม่”
“คุณพ่อป่วยจ๊ะลูก อีกไม่นานคุณพ่อก็จะหายและจดจำพวกเราได้เอง ให้เวลาคุณพ่อหน่อยเถอะนะจ๊ะ ลูกๆ”
“จริงๆหรือครับคุณแม่”
“จริงๆจ๊ะลูกแม่”
“อย่างนั้นพวกเราขึ้นไปดูอาการป่วยของคุณพ่อกันเถอะนะครับ คุณพ่อจะได้จดจำพวกเราได้ไวไว”
“จริงด้วยค่ะ คุณแม่เราขึ้นไปดูอาการป่วยของคุณพ่อกันเถอะนะค่ะ”
“รอก่อนเถอะลูกคุณพ่อกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ให้คุณพ่อใกล้ตื่นนอนก่อนแล้วพวกเราค่อยขึ้นไปหาคุณพ่อก็นะจ๊ะ และตอนนี้พวกลูกๆก็อย่าได้ซุกซนกันนะจ๊ะ พวกเรามีแขกมาขอพักค้างแรมอยู่ด้วย อย่าส่งเสียงดังรบกวนพวกเขานะลูกรักของแม่ พวกเราเป็นเจ้าของบ้านอย่าได้ทำตัวรบกวนแขกที่มาขอพักแรมเมื่อยามตกทุกข์ได้ยากด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะลูกๆ”
“ค่ะคุณแม่ ครับคุณแม่”
“ฮ่าๆๆ ห่าๆๆๆ หึๆๆ ฮึๆๆ”
...................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆส่งเสียงดังมาจากห้องข้างๆมันเป็นเสียงของเด็กๆ มันเป็นเสียงของเด็กหญิงและเด็กชาย และแว่วๆว่าจะมีเสียงของผู้หญิงคิดว่าน่าจะเป็นมารดาของเด็กน้อยทั้งสองคน เสียงหญิงสาวกำลังพูดคุยอยู่กับเด็กชายและเด็กสาวสองคน... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ไหนชายหนุ่มเจ้าของบ้านบอกว่าเขาอยู่แค่ตัวคนเดียวส่วนลูกๆกับเมียก็ต่างพากันตายกันไปหมดสิ้นแล้ว แล้วเสียงการพูดคุยหยอกล้อเล่นกันที่ดังออกมาจากห้องข้างๆนั่นเป็นเสียงของใครกัน... ภรรยาผู้มาขออาศัยพักค้างแรมด้วยรู้สึกหวาดกลัวจึงลื่นตาตื่นขึ้นพร้อมจับฝามือสามีไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว แต่เธอก็ทนนิ่งเงียบอยู่ได้ไม่นาน จึงคิดจะทำอะไรสักอย่าง
“คุณค่ะ คุณได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเปล่าค่ะ ฉันว่าฉันได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอยู่ข้างห้องของเรานะคะคุณ”
“ไม่มีอะไรหรอกคุณ ผมไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลย คุณคงหูฝาดไปเองแล้วล่ะ นอนต่อเถอะ อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว”
“แต่ฉันได้ยินเสียงจริงๆ นะคุณ”
“เถอะน่า....ได้ยินเสียงอะไรก็เงียบๆไว้ ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
“แสดงว่าคุณเองก็ได้ยินเสียงนั่นด้วยใช่มั้ยคะ”
“ผมเปล่า”
“แต่ฉันว่าคุณเองก็ได้ยินเสียงนั่นด้วยเหมือนกัน”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“ฉันนอนต่อไปไม่ได้แน่นอนคะ ถ้าไม่ได้พิสูจน์ไอ้เสียงบ้าๆแปลกๆนั่นเสียก่อน คุณพาฉันออกไปดูหน่อยเถอะนะคะ”
“แต่มันมืดนะที่รัก เราไม่มีเทียนไข หรือไฟฉายเลยด้วย แล้วจะออกไปกันยังไง”
“ก็แค่ข้างๆ ห้องของเราเองนะคะ ไม่เห็นต้องใช้แสงไฟอะไรเลย เถอะนะคะคุณ พาฉันออกไปดูหน่อย ฉันว่าบ้านนี้มันมีอะไรแปลกๆตั้งแต่พวกเราเข้ามาพักแล้วล่ะค่ะคุณ ไหนจะเรื่องเล่าแปลกๆที่ผู้ชายคนนั้นเล่าให้เราฟังอีกล่ะ ฉันยังสยอง หลอนไม่หายเลย มันแปลกจริงๆนะคะคุณ ไปเถอะนะคะ”
“ก็ได้ จับมือผมไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวคุณจะเดินไปชนกับอะไรเข้า”
.............................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนก้าวเดินออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง แล้วทั้งสองคนก็มายื่นนิ่งอยู่หน้าประตูข้างห้องติดกันแล้วลงมือเคาะประตูเพื่อขออนุญาตก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในห้อง..
“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่ในห้องมั้ยครับ พวกเราขอเข้าไปหน่อยได้มั้ยครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากภายในห้องข้างๆ สองสามีภรรยาวัยกลางคนจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่รอเสียงตอบรับจากใครหรืออะไรภายในห้อง สภาพภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอาศัยอยู่เลยแม้แต่คนเดียว...
“คุณค่ะ ฉันบอกคุณแล้วว่ามันมีอะไรแปลกๆ คุณก็ไม่เชื่อฉัน เสียงที่พวกเราได้ยินต้องเป็นเสียงผีแน่ๆเลยคะคุณ ฉันกลัวจนขนลุกไปหมดแล้วนะค่ะคุณ เราออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะนะคะคุณ”
“พวกเขาอาจจะขึ้นไปนอนอยู่ข้างบนกับสามีแล้วก็ได้นะคุณ”
“ไม่จริงหรอกคะ ถ้าพวกเขาพากันเดินขึ้นไปข้างบนฉันก็ต้องได้ยินเสียงที่พวกเขาเดินผ่านหน้าประตูห้องของเราสิคะ นี่อะไรเสียงเปิดปิดประตูฉันยังไม่ได้ยินเสียงสักนิดเลย แม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไม่ได้ยิน บ้านนี้ต้องเป็นบ้านผีสิงแน่ๆเลยคะคุณ”
“คุณพูดอะไรบ้าๆ แล้วชายหนุ่มที่เราพบล่ะ คุณจะว่ายังไง”
“เรื่องนั่นฉันก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วล่ะคะคุณ เขาดูท่าทางแปลกๆตั้งแต่พวกเราเจอหน้าเขาแล้วล่ะคะคุณ และเขามักจะพูดอะไรแปลกๆ ด้วย ชายหนุ่มที่พวกเราพบก็อาจจะไม่ใช่คนจริงๆก็ได้นะคะ”
“เหลวไหล ถ้าเขาเป็นผีหรือวิญญาณจะมานั่งพูดคุย นั่งหัวเราะ อะไรๆ กับเราอยู่ได้ตังนานสองนานล่ะคุณ”
“คุณก็เห็นว่ามันมืดมากๆ แสงเทียนไขก็มืดมัวสลัวๆ พวกเรามองหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ แล้วกลิ่นเสื้อผ้าที่สกปรกๆ ในอีกล่ะ เหมือนไม่ได้อาบน้ำมาซักเดือนหนึ่งได้แล้วมั่งคะคุณ”
“ก็เขาบอกกับพวกเราว่าเขาเป็นนักเขียน มันก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่ได้ดูแลร่างกายตัวเองให้ดี อยู่เสมอ อีกอย่างเขาก็อยู่บ้านนี้ตัวคนเดียว จึงไม่จำเป็นต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอเหมือนอย่างเช่นคุณกับผม จริงมั้ยล่ะ”
“แต่ลักษณะของเขา และกลิ่นของเขาเหมือนซากศพเดินได้จริงๆเลยนะคะคุณ”
“คิดมากไปหรือเปล่า ศพอะไรจะเดินได้ พวกเราไม่ได้ กำลังนั่งดูหนังกันอยู่นะที่รัก”
“คุณคะ ตอนนี้ฉันคิดน้อยที่สุดแล้วนะคะคุณ อย่างนั่นเพื่อพิสูจน์พวกเราเดินขึ้นไปตามหาพวกเขาที่ห้องข้างบนกันเถอะนะค่ะคุณ บ้างที่พวกเราอาจจะได้พบลูกๆกับเมียของผู้ชายคนนั่นข้างบนด้วยก็ได้ จริงมั้ยค่ะคุณ... ไม่อย่างนั่นคืนนี้ฉันคงนอนต่อไปไม่หลับแน่ๆ เลยค่ะคุณ”
“อย่างนั่นก็ได้จับมือผมไว้ แล้วพวกเราเดินขึ้นไปที่ห้องข้างบน นั่นกัน”
............................................................
สองสามีภรรยายื่นอยู่หน้าห้องของชายหนุ่มผู้อมทุกข์ แต่เริ่มสองจิตสองใจว่าพวกเขาจะเคาะประตูปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาดีหรือไม่ สุดท้ายสองสามีภรรยาวัยกลางคนก็ตัดสินใจล้มเลิกที่จะปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ต่างพร้อมใจกันพากันเดินหันหลังกลับไปยังห้องพักเพื่อนอนหลับพักผ่อนกันต่อไป..
“อย่ารบกวนพวกเขาเลยที่รัก กลับห้องพักของพวกเรากันเถอะ อย่าคิดอะไรบ้าๆต่อไปเลย เราคงไม่โชคร้ายเจอผีหรือวิญญาณกันทั้งวันหรอก นะคุณ”
“แต่...ฉันอยากรู้จริงๆ”
“แต่ผมไม่อยากจะรู้แล้ว”
“ถ้าคุณไม่เคาะฉันเคาะเอง คุณถอยไป”
ระหว่างที่ภรรยาผู้ขี้สงสัยกำลังจะเคาะประตู ขออนุญาตเจ้าของห้องให้ช่วยเปิดประตูให้ พวกเขาก็ต่างได้ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อกันเบาๆ ภายในห้องดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วสองสามีภรรยาวัยกลางคนก็แอบฟังการสนทนากันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณแม่ครับ คุณพ่อป่วยเป็นอะไรหรือครับ ทำไมถึงนอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวแบบนี้มาเป็นเดือนๆแล้วล่ะครับ ดูร่างกายของคุณพ่อสิครับสกปรกมากๆเลย ผมไม่อยากให้คุณพ่อมีสภาพเป็นแบบนี้เลยครับ”
“คุณพ่อไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากหรอกลูก เพียงแต่คุณพ่อของลูกทำงานหนักไปหน่อยก็แค่นั่นเอง ร่างกายคุณพ่อจึงดูสูบผอมและสกปรกไปแบบนี้”
“คุณพ่อกำลังแต่งนิยายอยู่ใช่มั้ยคะคุณแม่”
“ใช่จ๊ะลูก เมื่อคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว คุณพ่อก็จะหายจากอาการป่วยแล้วคุณพ่อก็จะจดจำพวกเราได้ รออีกหน่อยนะจ๊ะลูก”
“จริงๆ หรือครับคุณแม่ เมื่อคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จแล้วจะจำผมกับน้องและคุณแม่ได้”
“จริงๆจ๊ะลูก ตอนนี้คุณพ่อมีห่วงติดค้างที่ยังทำไม่เสร็จ ตอนนี้จึงยังมองไม่เห็นพวกเราหรือจดจำพวกเราได้ ...รออีกไม่นานเมื่อคุณพ่อหายจากอาการป่วยก็จะจดจำพวกเราได้เอง นะจ๊ะลูก”
“อย่างนั่นพวกเรากลับลงไปข้างล่างกันเถอะนะคะคุณแม่ คุณพ่อจะได้ตื่นขึ้นมาทำงานต่อให้เสร็จ แล้วพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวพ่อ แม่ ลูก เหมือนเดิม”
“จ๊ะลูก...เรากลับห้องนอนกันเถอะ...ได้เวลาที่คุณพ่อจะตื่นขึ้นมาแต่งนิยายตอนสุดท้ายแล้ว”
............................................................
สองสามีภรรยายื่นรออยู่หน้าประตูห้องพวกเขากำลังรอให้หญิงสาวและลูกๆเปิดประตูก้าวเดินออกมาเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของมนุษย์ไม่เช่นเสียงของผีหรือวิญญาณ สุดท้ายประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ และเปิดกว้างออกจนสามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจนแต่ที่น่าแปลกก็คือภายในห้องมีแค่ร่างกายของชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสภาพสกปรก แล้วร่างกายก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ แล้ว แน่นอนว่าชายหนุ่มที่พวกเขาได้พบและพูดคุยสนทนาด้วยได้ตายจากไปนานแล้ว แล้วที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ก็คือร่างกายที่เน่าเปื่อย ไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งหรือพูดคุยกับพวกเขาได้อีก
...แต่พวกเขาต่างคิดผิดชายหนุ่มในสภาพสกปรกโสโครกกำลังลุกจากเตียงนอนแล้วค่อยๆก้าวเดินตรงไปที่ยังโต๊ะเขียนหนังสืออย่างคนกำลังละเมอไม่รับรู้สิ่งใดรอบข้าง เข้าจับปากกาแล้วลงมือเขียนอะไรสักอย่างลงไปบนกระดาษสีขาวโดยที่สองสามีภรรยาไม่สามารถจะเดินเข้าไปแอบจ้องมองใกล้ๆได้ในสภาพมืดมัวด้วยแสงสว่างลางๆจากแสงจันทร์ยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจและหลอนสุดๆ ก็คือไม่มีแม้เงาของภรรยาชายหนุ่มศพเดินได้ หรือลูกของเขาเลย สองสามีภรรยารับรู้ได้ในทันทีพวกเขากำลังถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว...
“คุณค่ะพวกเรารีบออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะค่ะ ฉันกลัว บ้านนี้มีแต่ผีและวิญญาณเต็มไปหมด”
โดยไม่รอช้าสองสามีจูงมือพากันจะเดินออกไปจากห้องอันมืดสลัวๆ แต่ไม่ทันการเสียแล้วประตูห้องถูกลมพัดปิดไว้ในทันที มันแน่นและเปิดไม่ออก...
“มันเปิดไม่ออกคุณ”
“ผีพวกนั่นมันต้องจงใจขังพวกเราไว้ในนี้แน่ๆเลยคุณ เราจะทำยังไงกันดีคะ ฉันกลัว”
“ช่วยด้วยๆ ช่วยพวกเราด้วย ใครก็ได้ช่วยพวกเราด้วย”
ภรรยาวัยกลางคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างหมดสิ้นปัญญา แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะเข้ามาช่วยเหลือเธอและสามีได้ นอกจากใครหรืออะไรบ้างตนในห้องจะยอมปลดปล่อยสองสามีภรรยยาออกไปจากห้องเอง และเสียงนั่นก็เริ่มดังขึ้น จากด้านหลังของสองสามีภรรยาวัยกลางคน...
“คุณแม่ครับ คุณพ่อแต่งนิยายบทสุดท้ายจบแล้วครับ สุดยอดไปเลยครับคุณแม่ คุณพ่อแต่งนิยายเสร็จสิ้นเสียทีผมดีใจมากเลยครับคุณแม่ ดูนี้สิครับมันเป็นนิยายที่หนามากเลยนะครับ”
“ไหนแม่ขอดูหน่อยสิลูกมันหนาจริงๆหรือเปล่า โอ้โฮ๊เนื้อเรื่องมันต้องสนุกมากแน่ๆเลย หากมันได้ตีพิมพ์มันก็ต้องขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ เช่นกันเลยล่ะลูก คุณพ่อของลูกนี่เก่งสุดยอดจริงๆเลยนะจ๊ะ”
“คุณแม่ค่ะ ไหนคุณแม่บอกว่าหากคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จสิ้นจนบทสุดท้ายแล้ว คุณพ่อก็จะจดจำพวกเราได้และมองเห็นพวกเรายังไงกันล่ะค่ะ แล้วนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหนหรือค่ะคุณแม่”
“คุณพ่อก็ยืนรอพวกเราอยู่หน้าประตูห้องเพื่อทำให้ลูกๆเซอร์ไพรส์ หรือแปลกใจอย่างไรล่ะจ๊ะลูกๆ”
“จริงหรือค่ะคุณแม่” "จริงหรือครับคุณแม่"
“จริงสิจ๊ะลูกๆ..คุณค่ะ สามีที่รักของฉัน เข้ามาหาลูกๆได้แล้วล่ะค่ะคุณ ลูกๆกับฉันรอให้คุณทำเซอร์ไพรส์อยู่นะคะคุณ”
......................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนจับจ้องมองไปที่ประตูที่ปิดไว้แน่น มันกำลังถูกเปิดออกจากด้านนอกชายหนุ่มในสภาพสะอาดสะอานไม่สกปรกเหมือนที่พบกันในครั้งแรก ก้าวเดินตรงเข้ามาภายในห้องอย่างช้าและแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีส่งรอยยิ้มให้แก่สองสามีภรรยาวัยกลางคน อีกครั้ง สองสามีมีสภาพกอดกันไว้แน่นและกำลังตัวแข็งพร้อมตาค้าง...
“ผะ...ผี..ผี้....ผี...พวกแกเป็นผี....เธอกับลูกๆ คือผีที่พวกเราขับรถชนใช่มั้ย.. ใช่มั้ย...”
“ใช่แล้วล่ะคะ ฉันกับลูกๆ เพียงแค่ต้องการจะให้พวกคุณมาค้างแรมด้วย ...โดยที่ต้องการอยากจะให้พวกคุณช่วยเอานิยายของสามีของฉันไปตีพิมพ์ให้หน่อย... ก็เท่านั่นเอง ไม่คิดจะทำให้คุณต้องกลัว หรือหลอนกันเลย แม้แต่เพียงนิดเดียว”
“เธอไม่ต้องการให้พวกเรากลัวเลยรึ... นี้มันสยองและหลอนมากๆๆเลยนะเธอ.. แล้วนี้สามีเธอเขาตายมานานเท่าไหร่แล้้ว...”
“ผมตายมานานเดือนหนึ่งได้แล้วล่ะครับ แต่ผมยังแต่งนิยายไม่เสร็จ...วิญญาณจึงยังไม่สามารถไหนได้ไปหาเมียและลูกๆก็ไม่ได้ และตอนนี้ร่างกายผมก็เริ่มจะเน่าเปื่อยแล้วด้วย บ้านผมก็อยู่ไกลจากผู้คนจึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมา ผมไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จึงไม่มีใครแวะเวียนมาหาให้ฝากผีฝากไข้ได้ ผมได้แต่นั่งมองร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยไปวันๆ สุดท้ายผมจึงคิดและตัดสินใจว่าจะแต่งนิยายให้เสร็จ เพื่อรอคอยคนใจดีมีเมตตาอย่างพวกคุณมาช่วยจัดงานศพให้กับผม...นิยายที่ผมแต่งก็ถือเป็นค่าตอบแทนในความมีเมตตาและความใจดีของพวกคุณ...และได้โปรดทำความฝันของผมให้เป็นความจริงด้วยเถอะนะครับ เอานิยายของผมไปตีพิมพ์ให้ด้วย ...รายได้ส่วนหนึ่งผมยกให้กับพวกคุณ อีกส่วนก็ช่วยทำบุญกวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผมกับครอบครัวด้วย”
“พวกคุณนี้เป็นผีที่พิลึกและหลอนจริงๆเลย แม้ตายแล้วก็ยังคิดที่จะแต่งนิยายต่อให้เสร็จอีก และยังมีความคิดที่จะใช้นิยายที่แต่งเป็นค่าจ้างตอบแทนให้กับคนที่จะมาช่วยจัดพิธีศพให้อีกด้วย...คุณไม่คิดว่ามันสยอง และหลอนเกินไปหน่อยหรือครับ...”
“คุณคิดว่ามันสยองและหลอนมากจริงๆหรือครับ แต่บางคนเขาไม่ได้คิดว่าเรื่องของผมกับครอบครัวของผม มันจะน่ากลัวและหลอน หรือตื่นเต้นน่ากลัวสักเท่าไรเลยนะครับ ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะขวัญอ่อนกันเป็นเองมากกว่า”
“บ้าสิ...สยอง และหลอนมากๆ เลยต่างหาก มีอย่างที่ไหนพวกคุณตายแล้วยังมีกะจิตกะใจมาแต่งนิยายกันต่อให้เสร็จได้อีก”
“ฮ่าๆๆๆ ห่าๆๆๆ ฮึๆๆๆ หึๆๆๆ....ขอบคุณที่พวกคุณเห็นว่าเรื่องของผมน่ากลัวและหลอนมากๆตอนนี้ผมหมดห่วงแล้ว ฝากพวกคุณทำความฝันของผมให้เป็นความจริงด้วย ผมกับครอบครัวขอลาพวกคุณไปก่อน ลาก่อนผู้ใจบุญและมีเมตตา แล้วอย่าลืมตรวจทานนิยายของผมด้วยนะครับ ผมพิมพ์ผิดและพิมพ์ตกค่อนข้างจะแยะอยู่สักหน่อย ฮ่าๆๆ”
................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนหายตกใจกันชั่วคราว แล้วก้าวเดินตรงไปยังนิยายที่ชายหนุ่มแต่งทิ้งไว้ให้ เพื่อใช้เป็นค่าจ้างในการจัดงานศพหรือพิธีศพให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งตายไปได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามีภรรายาวัยกลางคนเริ่มต้นอ่านชื่อเรื่องนิยายที่ชายหนุ่มได้เขียนทิ้งไว้ให้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆและดังขึ้นพร้อมกัน...เรื่อง มิติสยอง...ชิมิ....จบบริบูรณ์
...............................................
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องสั้นเรื่องที่สองของผมครับ...หึๆๆ
“คุณแม่ขา คุณพ่อเริ่มจะมองเห็นหนูกับพี่ชายแล้วนะค่ะ แต่ยังจดจำหนูกับพี่ชายไม่ได้เลย... แต่หนูกับพี่จะพยายามออกไปพบคุณพ่อบ่อยๆ และทำให้คุณพ่อจดจำหนูกับพี่ชายให้ได้ไวไว”
“คุณแม่ครับ วันนี้มีผู้ชายกับผู้หญิงมาพักบ้านของเราด้วยล่ะครับ คุณพ่อเดินออกไปเปิดประตูตอนรับด้วยตัวเองเลยนะครับ ผมกับน้องก็ยื่นอยู่ข้างๆกับพวกเขาด้วยล่ะครับ เหมือนคุณพ่อจะคิดว่าผมกับน้องเป็นลูกชายกับลูกสาวของผู้หญิงกับผู้ชายสองคนนั่นด้วยล่ะครับ ทำไมคุณพ่อถึงยังจดจำพวกเราไม่ได้อีกล่ะครับ คุณแม่”
“คุณพ่อป่วยจ๊ะลูก อีกไม่นานคุณพ่อก็จะหายและจดจำพวกเราได้เอง ให้เวลาคุณพ่อหน่อยเถอะนะจ๊ะ ลูกๆ”
“จริงๆหรือครับคุณแม่”
“จริงๆจ๊ะลูกแม่”
“อย่างนั้นพวกเราขึ้นไปดูอาการป่วยของคุณพ่อกันเถอะนะครับ คุณพ่อจะได้จดจำพวกเราได้ไวไว”
“จริงด้วยค่ะ คุณแม่เราขึ้นไปดูอาการป่วยของคุณพ่อกันเถอะนะค่ะ”
“รอก่อนเถอะลูกคุณพ่อกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ให้คุณพ่อใกล้ตื่นนอนก่อนแล้วพวกเราค่อยขึ้นไปหาคุณพ่อก็นะจ๊ะ และตอนนี้พวกลูกๆก็อย่าได้ซุกซนกันนะจ๊ะ พวกเรามีแขกมาขอพักค้างแรมอยู่ด้วย อย่าส่งเสียงดังรบกวนพวกเขานะลูกรักของแม่ พวกเราเป็นเจ้าของบ้านอย่าได้ทำตัวรบกวนแขกที่มาขอพักแรมเมื่อยามตกทุกข์ได้ยากด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะลูกๆ”
“ค่ะคุณแม่ ครับคุณแม่”
“ฮ่าๆๆ ห่าๆๆๆ หึๆๆ ฮึๆๆ”
...................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆส่งเสียงดังมาจากห้องข้างๆมันเป็นเสียงของเด็กๆ มันเป็นเสียงของเด็กหญิงและเด็กชาย และแว่วๆว่าจะมีเสียงของผู้หญิงคิดว่าน่าจะเป็นมารดาของเด็กน้อยทั้งสองคน เสียงหญิงสาวกำลังพูดคุยอยู่กับเด็กชายและเด็กสาวสองคน... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ไหนชายหนุ่มเจ้าของบ้านบอกว่าเขาอยู่แค่ตัวคนเดียวส่วนลูกๆกับเมียก็ต่างพากันตายกันไปหมดสิ้นแล้ว แล้วเสียงการพูดคุยหยอกล้อเล่นกันที่ดังออกมาจากห้องข้างๆนั่นเป็นเสียงของใครกัน... ภรรยาผู้มาขออาศัยพักค้างแรมด้วยรู้สึกหวาดกลัวจึงลื่นตาตื่นขึ้นพร้อมจับฝามือสามีไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว แต่เธอก็ทนนิ่งเงียบอยู่ได้ไม่นาน จึงคิดจะทำอะไรสักอย่าง
“คุณค่ะ คุณได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเปล่าค่ะ ฉันว่าฉันได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอยู่ข้างห้องของเรานะคะคุณ”
“ไม่มีอะไรหรอกคุณ ผมไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลย คุณคงหูฝาดไปเองแล้วล่ะ นอนต่อเถอะ อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว”
“แต่ฉันได้ยินเสียงจริงๆ นะคุณ”
“เถอะน่า....ได้ยินเสียงอะไรก็เงียบๆไว้ ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
“แสดงว่าคุณเองก็ได้ยินเสียงนั่นด้วยใช่มั้ยคะ”
“ผมเปล่า”
“แต่ฉันว่าคุณเองก็ได้ยินเสียงนั่นด้วยเหมือนกัน”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“ฉันนอนต่อไปไม่ได้แน่นอนคะ ถ้าไม่ได้พิสูจน์ไอ้เสียงบ้าๆแปลกๆนั่นเสียก่อน คุณพาฉันออกไปดูหน่อยเถอะนะคะ”
“แต่มันมืดนะที่รัก เราไม่มีเทียนไข หรือไฟฉายเลยด้วย แล้วจะออกไปกันยังไง”
“ก็แค่ข้างๆ ห้องของเราเองนะคะ ไม่เห็นต้องใช้แสงไฟอะไรเลย เถอะนะคะคุณ พาฉันออกไปดูหน่อย ฉันว่าบ้านนี้มันมีอะไรแปลกๆตั้งแต่พวกเราเข้ามาพักแล้วล่ะค่ะคุณ ไหนจะเรื่องเล่าแปลกๆที่ผู้ชายคนนั้นเล่าให้เราฟังอีกล่ะ ฉันยังสยอง หลอนไม่หายเลย มันแปลกจริงๆนะคะคุณ ไปเถอะนะคะ”
“ก็ได้ จับมือผมไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวคุณจะเดินไปชนกับอะไรเข้า”
.............................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนก้าวเดินออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง แล้วทั้งสองคนก็มายื่นนิ่งอยู่หน้าประตูข้างห้องติดกันแล้วลงมือเคาะประตูเพื่อขออนุญาตก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในห้อง..
“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่ในห้องมั้ยครับ พวกเราขอเข้าไปหน่อยได้มั้ยครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากภายในห้องข้างๆ สองสามีภรรยาวัยกลางคนจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่รอเสียงตอบรับจากใครหรืออะไรภายในห้อง สภาพภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอาศัยอยู่เลยแม้แต่คนเดียว...
“คุณค่ะ ฉันบอกคุณแล้วว่ามันมีอะไรแปลกๆ คุณก็ไม่เชื่อฉัน เสียงที่พวกเราได้ยินต้องเป็นเสียงผีแน่ๆเลยคะคุณ ฉันกลัวจนขนลุกไปหมดแล้วนะค่ะคุณ เราออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะนะคะคุณ”
“พวกเขาอาจจะขึ้นไปนอนอยู่ข้างบนกับสามีแล้วก็ได้นะคุณ”
“ไม่จริงหรอกคะ ถ้าพวกเขาพากันเดินขึ้นไปข้างบนฉันก็ต้องได้ยินเสียงที่พวกเขาเดินผ่านหน้าประตูห้องของเราสิคะ นี่อะไรเสียงเปิดปิดประตูฉันยังไม่ได้ยินเสียงสักนิดเลย แม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไม่ได้ยิน บ้านนี้ต้องเป็นบ้านผีสิงแน่ๆเลยคะคุณ”
“คุณพูดอะไรบ้าๆ แล้วชายหนุ่มที่เราพบล่ะ คุณจะว่ายังไง”
“เรื่องนั่นฉันก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วล่ะคะคุณ เขาดูท่าทางแปลกๆตั้งแต่พวกเราเจอหน้าเขาแล้วล่ะคะคุณ และเขามักจะพูดอะไรแปลกๆ ด้วย ชายหนุ่มที่พวกเราพบก็อาจจะไม่ใช่คนจริงๆก็ได้นะคะ”
“เหลวไหล ถ้าเขาเป็นผีหรือวิญญาณจะมานั่งพูดคุย นั่งหัวเราะ อะไรๆ กับเราอยู่ได้ตังนานสองนานล่ะคุณ”
“คุณก็เห็นว่ามันมืดมากๆ แสงเทียนไขก็มืดมัวสลัวๆ พวกเรามองหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ แล้วกลิ่นเสื้อผ้าที่สกปรกๆ ในอีกล่ะ เหมือนไม่ได้อาบน้ำมาซักเดือนหนึ่งได้แล้วมั่งคะคุณ”
“ก็เขาบอกกับพวกเราว่าเขาเป็นนักเขียน มันก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่ได้ดูแลร่างกายตัวเองให้ดี อยู่เสมอ อีกอย่างเขาก็อยู่บ้านนี้ตัวคนเดียว จึงไม่จำเป็นต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอเหมือนอย่างเช่นคุณกับผม จริงมั้ยล่ะ”
“แต่ลักษณะของเขา และกลิ่นของเขาเหมือนซากศพเดินได้จริงๆเลยนะคะคุณ”
“คิดมากไปหรือเปล่า ศพอะไรจะเดินได้ พวกเราไม่ได้ กำลังนั่งดูหนังกันอยู่นะที่รัก”
“คุณคะ ตอนนี้ฉันคิดน้อยที่สุดแล้วนะคะคุณ อย่างนั่นเพื่อพิสูจน์พวกเราเดินขึ้นไปตามหาพวกเขาที่ห้องข้างบนกันเถอะนะค่ะคุณ บ้างที่พวกเราอาจจะได้พบลูกๆกับเมียของผู้ชายคนนั่นข้างบนด้วยก็ได้ จริงมั้ยค่ะคุณ... ไม่อย่างนั่นคืนนี้ฉันคงนอนต่อไปไม่หลับแน่ๆ เลยค่ะคุณ”
“อย่างนั่นก็ได้จับมือผมไว้ แล้วพวกเราเดินขึ้นไปที่ห้องข้างบน นั่นกัน”
............................................................
สองสามีภรรยายื่นอยู่หน้าห้องของชายหนุ่มผู้อมทุกข์ แต่เริ่มสองจิตสองใจว่าพวกเขาจะเคาะประตูปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาดีหรือไม่ สุดท้ายสองสามีภรรยาวัยกลางคนก็ตัดสินใจล้มเลิกที่จะปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ต่างพร้อมใจกันพากันเดินหันหลังกลับไปยังห้องพักเพื่อนอนหลับพักผ่อนกันต่อไป..
“อย่ารบกวนพวกเขาเลยที่รัก กลับห้องพักของพวกเรากันเถอะ อย่าคิดอะไรบ้าๆต่อไปเลย เราคงไม่โชคร้ายเจอผีหรือวิญญาณกันทั้งวันหรอก นะคุณ”
“แต่...ฉันอยากรู้จริงๆ”
“แต่ผมไม่อยากจะรู้แล้ว”
“ถ้าคุณไม่เคาะฉันเคาะเอง คุณถอยไป”
ระหว่างที่ภรรยาผู้ขี้สงสัยกำลังจะเคาะประตู ขออนุญาตเจ้าของห้องให้ช่วยเปิดประตูให้ พวกเขาก็ต่างได้ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อกันเบาๆ ภายในห้องดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วสองสามีภรรยาวัยกลางคนก็แอบฟังการสนทนากันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณแม่ครับ คุณพ่อป่วยเป็นอะไรหรือครับ ทำไมถึงนอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวแบบนี้มาเป็นเดือนๆแล้วล่ะครับ ดูร่างกายของคุณพ่อสิครับสกปรกมากๆเลย ผมไม่อยากให้คุณพ่อมีสภาพเป็นแบบนี้เลยครับ”
“คุณพ่อไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากหรอกลูก เพียงแต่คุณพ่อของลูกทำงานหนักไปหน่อยก็แค่นั่นเอง ร่างกายคุณพ่อจึงดูสูบผอมและสกปรกไปแบบนี้”
“คุณพ่อกำลังแต่งนิยายอยู่ใช่มั้ยคะคุณแม่”
“ใช่จ๊ะลูก เมื่อคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว คุณพ่อก็จะหายจากอาการป่วยแล้วคุณพ่อก็จะจดจำพวกเราได้ รออีกหน่อยนะจ๊ะลูก”
“จริงๆ หรือครับคุณแม่ เมื่อคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จแล้วจะจำผมกับน้องและคุณแม่ได้”
“จริงๆจ๊ะลูก ตอนนี้คุณพ่อมีห่วงติดค้างที่ยังทำไม่เสร็จ ตอนนี้จึงยังมองไม่เห็นพวกเราหรือจดจำพวกเราได้ ...รออีกไม่นานเมื่อคุณพ่อหายจากอาการป่วยก็จะจดจำพวกเราได้เอง นะจ๊ะลูก”
“อย่างนั่นพวกเรากลับลงไปข้างล่างกันเถอะนะคะคุณแม่ คุณพ่อจะได้ตื่นขึ้นมาทำงานต่อให้เสร็จ แล้วพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวพ่อ แม่ ลูก เหมือนเดิม”
“จ๊ะลูก...เรากลับห้องนอนกันเถอะ...ได้เวลาที่คุณพ่อจะตื่นขึ้นมาแต่งนิยายตอนสุดท้ายแล้ว”
............................................................
สองสามีภรรยายื่นรออยู่หน้าประตูห้องพวกเขากำลังรอให้หญิงสาวและลูกๆเปิดประตูก้าวเดินออกมาเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของมนุษย์ไม่เช่นเสียงของผีหรือวิญญาณ สุดท้ายประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ และเปิดกว้างออกจนสามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจนแต่ที่น่าแปลกก็คือภายในห้องมีแค่ร่างกายของชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสภาพสกปรก แล้วร่างกายก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ แล้ว แน่นอนว่าชายหนุ่มที่พวกเขาได้พบและพูดคุยสนทนาด้วยได้ตายจากไปนานแล้ว แล้วที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ก็คือร่างกายที่เน่าเปื่อย ไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งหรือพูดคุยกับพวกเขาได้อีก
...แต่พวกเขาต่างคิดผิดชายหนุ่มในสภาพสกปรกโสโครกกำลังลุกจากเตียงนอนแล้วค่อยๆก้าวเดินตรงไปที่ยังโต๊ะเขียนหนังสืออย่างคนกำลังละเมอไม่รับรู้สิ่งใดรอบข้าง เข้าจับปากกาแล้วลงมือเขียนอะไรสักอย่างลงไปบนกระดาษสีขาวโดยที่สองสามีภรรยาไม่สามารถจะเดินเข้าไปแอบจ้องมองใกล้ๆได้ในสภาพมืดมัวด้วยแสงสว่างลางๆจากแสงจันทร์ยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจและหลอนสุดๆ ก็คือไม่มีแม้เงาของภรรยาชายหนุ่มศพเดินได้ หรือลูกของเขาเลย สองสามีภรรยารับรู้ได้ในทันทีพวกเขากำลังถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว...
“คุณค่ะพวกเรารีบออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะค่ะ ฉันกลัว บ้านนี้มีแต่ผีและวิญญาณเต็มไปหมด”
โดยไม่รอช้าสองสามีจูงมือพากันจะเดินออกไปจากห้องอันมืดสลัวๆ แต่ไม่ทันการเสียแล้วประตูห้องถูกลมพัดปิดไว้ในทันที มันแน่นและเปิดไม่ออก...
“มันเปิดไม่ออกคุณ”
“ผีพวกนั่นมันต้องจงใจขังพวกเราไว้ในนี้แน่ๆเลยคุณ เราจะทำยังไงกันดีคะ ฉันกลัว”
“ช่วยด้วยๆ ช่วยพวกเราด้วย ใครก็ได้ช่วยพวกเราด้วย”
ภรรยาวัยกลางคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างหมดสิ้นปัญญา แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะเข้ามาช่วยเหลือเธอและสามีได้ นอกจากใครหรืออะไรบ้างตนในห้องจะยอมปลดปล่อยสองสามีภรรยยาออกไปจากห้องเอง และเสียงนั่นก็เริ่มดังขึ้น จากด้านหลังของสองสามีภรรยาวัยกลางคน...
“คุณแม่ครับ คุณพ่อแต่งนิยายบทสุดท้ายจบแล้วครับ สุดยอดไปเลยครับคุณแม่ คุณพ่อแต่งนิยายเสร็จสิ้นเสียทีผมดีใจมากเลยครับคุณแม่ ดูนี้สิครับมันเป็นนิยายที่หนามากเลยนะครับ”
“ไหนแม่ขอดูหน่อยสิลูกมันหนาจริงๆหรือเปล่า โอ้โฮ๊เนื้อเรื่องมันต้องสนุกมากแน่ๆเลย หากมันได้ตีพิมพ์มันก็ต้องขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ เช่นกันเลยล่ะลูก คุณพ่อของลูกนี่เก่งสุดยอดจริงๆเลยนะจ๊ะ”
“คุณแม่ค่ะ ไหนคุณแม่บอกว่าหากคุณพ่อแต่งนิยายเสร็จสิ้นจนบทสุดท้ายแล้ว คุณพ่อก็จะจดจำพวกเราได้และมองเห็นพวกเรายังไงกันล่ะค่ะ แล้วนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหนหรือค่ะคุณแม่”
“คุณพ่อก็ยืนรอพวกเราอยู่หน้าประตูห้องเพื่อทำให้ลูกๆเซอร์ไพรส์ หรือแปลกใจอย่างไรล่ะจ๊ะลูกๆ”
“จริงหรือค่ะคุณแม่” "จริงหรือครับคุณแม่"
“จริงสิจ๊ะลูกๆ..คุณค่ะ สามีที่รักของฉัน เข้ามาหาลูกๆได้แล้วล่ะค่ะคุณ ลูกๆกับฉันรอให้คุณทำเซอร์ไพรส์อยู่นะคะคุณ”
......................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนจับจ้องมองไปที่ประตูที่ปิดไว้แน่น มันกำลังถูกเปิดออกจากด้านนอกชายหนุ่มในสภาพสะอาดสะอานไม่สกปรกเหมือนที่พบกันในครั้งแรก ก้าวเดินตรงเข้ามาภายในห้องอย่างช้าและแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีส่งรอยยิ้มให้แก่สองสามีภรรยาวัยกลางคน อีกครั้ง สองสามีมีสภาพกอดกันไว้แน่นและกำลังตัวแข็งพร้อมตาค้าง...
“ผะ...ผี..ผี้....ผี...พวกแกเป็นผี....เธอกับลูกๆ คือผีที่พวกเราขับรถชนใช่มั้ย.. ใช่มั้ย...”
“ใช่แล้วล่ะคะ ฉันกับลูกๆ เพียงแค่ต้องการจะให้พวกคุณมาค้างแรมด้วย ...โดยที่ต้องการอยากจะให้พวกคุณช่วยเอานิยายของสามีของฉันไปตีพิมพ์ให้หน่อย... ก็เท่านั่นเอง ไม่คิดจะทำให้คุณต้องกลัว หรือหลอนกันเลย แม้แต่เพียงนิดเดียว”
“เธอไม่ต้องการให้พวกเรากลัวเลยรึ... นี้มันสยองและหลอนมากๆๆเลยนะเธอ.. แล้วนี้สามีเธอเขาตายมานานเท่าไหร่แล้้ว...”
“ผมตายมานานเดือนหนึ่งได้แล้วล่ะครับ แต่ผมยังแต่งนิยายไม่เสร็จ...วิญญาณจึงยังไม่สามารถไหนได้ไปหาเมียและลูกๆก็ไม่ได้ และตอนนี้ร่างกายผมก็เริ่มจะเน่าเปื่อยแล้วด้วย บ้านผมก็อยู่ไกลจากผู้คนจึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมา ผมไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จึงไม่มีใครแวะเวียนมาหาให้ฝากผีฝากไข้ได้ ผมได้แต่นั่งมองร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยไปวันๆ สุดท้ายผมจึงคิดและตัดสินใจว่าจะแต่งนิยายให้เสร็จ เพื่อรอคอยคนใจดีมีเมตตาอย่างพวกคุณมาช่วยจัดงานศพให้กับผม...นิยายที่ผมแต่งก็ถือเป็นค่าตอบแทนในความมีเมตตาและความใจดีของพวกคุณ...และได้โปรดทำความฝันของผมให้เป็นความจริงด้วยเถอะนะครับ เอานิยายของผมไปตีพิมพ์ให้ด้วย ...รายได้ส่วนหนึ่งผมยกให้กับพวกคุณ อีกส่วนก็ช่วยทำบุญกวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผมกับครอบครัวด้วย”
“พวกคุณนี้เป็นผีที่พิลึกและหลอนจริงๆเลย แม้ตายแล้วก็ยังคิดที่จะแต่งนิยายต่อให้เสร็จอีก และยังมีความคิดที่จะใช้นิยายที่แต่งเป็นค่าจ้างตอบแทนให้กับคนที่จะมาช่วยจัดพิธีศพให้อีกด้วย...คุณไม่คิดว่ามันสยอง และหลอนเกินไปหน่อยหรือครับ...”
“คุณคิดว่ามันสยองและหลอนมากจริงๆหรือครับ แต่บางคนเขาไม่ได้คิดว่าเรื่องของผมกับครอบครัวของผม มันจะน่ากลัวและหลอน หรือตื่นเต้นน่ากลัวสักเท่าไรเลยนะครับ ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะขวัญอ่อนกันเป็นเองมากกว่า”
“บ้าสิ...สยอง และหลอนมากๆ เลยต่างหาก มีอย่างที่ไหนพวกคุณตายแล้วยังมีกะจิตกะใจมาแต่งนิยายกันต่อให้เสร็จได้อีก”
“ฮ่าๆๆๆ ห่าๆๆๆ ฮึๆๆๆ หึๆๆๆ....ขอบคุณที่พวกคุณเห็นว่าเรื่องของผมน่ากลัวและหลอนมากๆตอนนี้ผมหมดห่วงแล้ว ฝากพวกคุณทำความฝันของผมให้เป็นความจริงด้วย ผมกับครอบครัวขอลาพวกคุณไปก่อน ลาก่อนผู้ใจบุญและมีเมตตา แล้วอย่าลืมตรวจทานนิยายของผมด้วยนะครับ ผมพิมพ์ผิดและพิมพ์ตกค่อนข้างจะแยะอยู่สักหน่อย ฮ่าๆๆ”
................................................................
สองสามีภรรยาวัยกลางคนหายตกใจกันชั่วคราว แล้วก้าวเดินตรงไปยังนิยายที่ชายหนุ่มแต่งทิ้งไว้ให้ เพื่อใช้เป็นค่าจ้างในการจัดงานศพหรือพิธีศพให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งตายไปได้หนึ่งเดือนแล้ว สองสามีภรรายาวัยกลางคนเริ่มต้นอ่านชื่อเรื่องนิยายที่ชายหนุ่มได้เขียนทิ้งไว้ให้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆและดังขึ้นพร้อมกัน...เรื่อง มิติสยอง...ชิมิ....จบบริบูรณ์
...............................................
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องสั้นเรื่องที่สองของผมครับ...หึๆๆ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ