โชค
9.0
1) เรื่องสั้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-1- "คุณน่าจะหาปลามาเลี้ยง เพื่อทำให้ตัวเองจะมีโชค" เป็นคำพูดของซินแสนิรนามท่านหนึ่งแนะนำผมไว้เมื่อเดือนก่อน ความจริงผมก็เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องหมอดูเท่าไหร่ ยิ่งมีคนมาทักนั่นทักนี่แล้วบอกว่าจะมีเคราะห์หรือกำลังจะมีโชคลาภนั่น ยิ่งเหลวไหล ผมไม่คิดว่าชีวิตคนเราเกิดมาลืมตาอ้าปากบนโลกใบนี้ได้เพราะมีใครเขียน กำหนดขึ้นมา หรือหากจะมีใครสักคนอย่างที่ว่าอยู่จริงก็น่าเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย เขาคงจะต้องทำงานหนักชนิดหามรุ่งหามค่ำ ดีไม่ดีค่าโอทีอาจไม่มีด้วยซ้ำ ก็กว่าเขาจะเขียนชีวิตใครขึ้นมาได้สักคนคงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนี้แล้วผมจึงไม่เชื่อคำพูดเรื่อยเจื้อยของซินแสนิรนามท่านนั้น หรือถึงจะเชื่อผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเข้าท่าตรงไหน ชีวิตคนเราหากมันจะมีสุขมีทุกข์มีซวยบ้างจะเป็นไร ทำไมเราต้องอยากรู้อะไรล่วงหน้าด้วย ก็จริงอยู่การรู้อนาคตนั้นจะได้หาทางแก้ไขทัน แต่หากเรามีความสามารถข้ามไปแก้ไขอนาคตได้ถึงเพียงนั้น ผมว่าเราก็น่าจะมีวิธีกลับไปแก้ไขอดีตได้เช่นกัน ซึ่งมันน่าจะดีกว่าเพราะที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้ต่างก็ถูกทับถมด้วยอดีต มากันทั้งนั้น ผ่านมาหลายวันจนผมลืมซินแสนิรนามท่านนั้นไป จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนก็แนะนำผมให้หาปลามาเลี้ยง เพราะการเลี้ยงปลาคือการทำบุญอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมให้คนเลี้ยงมีโชคลาภ พลันผมก็นึกไปถึงซินแสนิรนามท่านนั้น ซินแสก็แนะนำให้ผมหาปลามาเลี้ยง มันช่างตรงกันอะไรปานนั้น ยังนึกอยู่ว่าเพื่อนคงมีส่วนได้ส่วนเสียกับซินแสท่านนั้นหรืออย่างไร แต่ผมนั้นถือว่าตัวเองเป็นคนรักเพื่อน ไหน ๆ เพื่อนก็อุตส่าห์แนะนำมาทั้งที ก็แค่การเลี้ยงปลามันจะไปยากตรงไหน อีกอย่างค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงเกินไปหากเทียบกับสิ่งที่จะได้รับกลับมา อีกหน่อยชีวิตความเป็นอยู่ของผมอาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ ในเมื่อซินแสกับเพื่อนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการเลี้ยงปลาช่วย เสริมดวงให้คนเลี้ยงมีโชคลาภ ผมเองก็ไม่รู้ว่าซินแสท่านนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน แต่ก็น่าจะลองดู พออีกสามวันถัดไปผมก็มีตู้ปลามาตั้งอยู่ในห้อง ก็เป็นเพื่อนของผมนั่นแหละที่รับเป็นธุระให้ทั้งหมด อีกทั้งเป็นวิทยากรบอกคำแนะนำการให้อาหาร การเปลี่ยนถ่ายน้ำ การจัดระบบนิเวศภายในตู้ปลา ตลอดจนการจัดวางตู้ปลาในตำแหน่งที่เหมาะสม ผมมีความสุขกับมันอยู่ได้ไม่กี่วัน แล้วผมก็พบว่าปลาของผมไม่กินอาหาร ซึ่งสาเหตุของการไม่กินอาหาร บอกตามตรงผมเองก็อ่อนประสบการณ์ในเรื่องนี้ และคาดเดาลำบาก แต่ที่รู้มันคงไม่อดอาหารเพื่อประท้วงอะไรผม และยิ่งไม่น่าจะมีส่วนร่วมกับการประท้วงคนในรัฐสภาฯ ด้วยเช่นกัน ผมจึงเปลี่ยนการให้อาหารในปริมาณที่น้อยลง เพราะหากปลาไม่กินอาหารเกรงว่ามันอาจก่อให้น้ำเน่าเสียได้ แต่ก็เป็นเช่นเดิม มันยังเมินเฉยต่อท่าทีการเอาใจใส่ของผมอย่างไม่ใยดี บางครั้งก็นึกโมโห หน็อย..นี่ถ้าไม่เพราะว่าเลี้ยงแล้วจะช่วยเสริมดวงให้ล่ะก็ ป่านนี้...แวบหนึ่งผมมองไปที่ครัว แต่โถ..พ่อคุณ กินอะไรซะก่อนเถอะ จะงอนจะประท้วงอะไรค่อยว่ากัน เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งมาจะลำบาก จากที่เอามาเลี้ยงเลยกลายเป็นเอามาฆ่าเสียนี่ ผมรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อเห็นว่าปลาที่ผมเลี้ยงไม่กินอาหาร แต่หากจะบอกว่าไม่กินเสียเลยก็ดูจะเกินไป ผมสังเกตว่ามันกินบ้างเพียงเล็กน้อย ผมเฝ้าสังเกตอยู่หลายวันจนแน่ใจว่าปลาที่ผมเลี้ยงกินอาหารเพียงแต่น้อย นิด จากที่ได้สอบถามจากเพื่อนที่เคยเลี้ยงและหาตำรามาอ่าน พบว่ามันกินน้อยผิดปกติ ผมจึงคิดเอาเองว่ามันคงยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือมันยังไม่ชินกับบ้านใหม่ของมันนั่นเอง -2- "ทางเราต้องพิจารณาให้คุณออกนะ" เป็นเสียงของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ผมทำงานอยู่ เรียกผมเข้าไปในตอนเช้า "คุณมีอะไรอยากพูดหรืออยากบอกผมมั้ย" ผู้จัดการถามเสียงโทนต่ำ ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่มีอะไรจะพูดมากกว่า ผมไม่ค่อยยี่หระกับคำพูดทำนองนี้เท่าใดนัก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความเคยชินก็ได้ เพราะการถูกไล่ออกจากงานแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก คำพูดทำนองนี้เหมือนกับว่าผมเพิ่งได้ยินมาจากที่ทำงานเก่าเมื่อปีที่ ผ่านมานี่เอง หลังจากที่ผมเผลอไปชกปากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เผอิญว่าเจ้านั่นดันเป็นลูกน้องคนโปรดเสียนี่ ผมก็เลยต้องถูกเชิญให้ออกตามระเบียบ ส่วนครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ยกระดับจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นผู้จัดการ ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะการกระทำของผมมันดูอุกอาจอยู่สักหน่อย ก็จะให้ทำอย่างไรได้ คนเลือดร้อนอย่างผมกว่าจะคิดอะไรได้ บางทีมันก็สายเกินไปแล้ว ก็คงต้องโยนความผิดให้มือเจ้ากรรมนี่แหละ เพราะมันแท้ ๆ ที่เหวี่ยงไปเร็วเกินกว่าที่ผมจะได้คิด ซึ่งกว่าจะคิดได้ก็เห็นผู้จัดการของผมนอนหงายท้องไปแล้ว ผมขับรถกลับบ้าน พร้อมน้อมรับคำตัดสินและไม่คิดจะยื่นอุทธรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องหางานใหม่เป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับผมพอสมควร แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย เพราะไหนจะต้องเตรียมเอกสารการสมัคร แล้วไหนจะต้องไปรอคิวเพื่อให้คนเพิ่งเคยเห็นหน้ากันวันแรกถามโน้นถาม นี่ บางทีก็สอบประวัติราวกับนักโทษ คำถามสูตรสำเร็จสำหรับพวกคนสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น ทำไมคุณถึงอยากเข้ามาทำงานที่นี่ คุณคิดว่าจะทำอะไรเพื่อบริษัท แล้วคาดหวังไว้ว่าบริษัทจะให้อะไรตอบแทนคุณอะไรทำนองนี้ และคำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุดก็คือ เหตุใดคุณถึงออกจากงาน ซึ่งผมถือว่าตัวเองนั้นเป็นคนจริงใจจึงไม่อยากโกหก แต่การไม่โกหกก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะได้งานทำ ดังนี้แล้วผมคิดว่าการสมัครงานจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องสนุกสักเท่าไหร่ สำหรับผม ขับรถคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้สักพัก เหมือนได้ยินเสียงดังโครมมาจากท้ายรถ รู้สึกว่าจะมีวัตถุที่วิ่งมาด้วยความเร็วชนเข้ากับท้ายรถผม เหลือบมองไปที่กระจกหลัง ว่าแล้วเชียว นั่นไง...แท็กซี่คันหนึ่งอัดบี้เข้ามาที่ท้ายรถผมอย่างจัง ผมหักพวงมาลัยออกซ้ายเพื่อจะจอด เลือดในกายของผมสูบฉีดเต็มที่ และมีทีท่าว่าอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ผมเตรียมจอดรถเพื่อจะคุยกับคนขับแท็กซี่คันนั้นให้รู้เรื่อง หรือถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็คงไม่มีอื่นใดให้ต้องคุยอีก ผมจอดรถ เปิดประตูกำลังจะเดินออกไปคุยกับคนขับแท็กซี่ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะคุยอะไรกับผมมากนัก ถึงได้ตะบึงรถออกไปอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่มองตามหลังแท็กซี่คันนั้นไป กำลังจะกลับเข้าไปในรถเพื่อขับตาม ก็หวังจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องหรือไม่อย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ในภาวะที่ตัวเองเหมือนเพิ่งตกเป็นจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาคดีมา วีรกรรมที่สร้างไว้ในที่ทำงานทำให้อารมณ์ของผมลดลงได้บ้าง ผมเปลี่ยนใจเดินกลับไปดูที่ท้ายรถ อืม...มันใช้ได้ทีเดียว ท้ายบุบโค้งเว้าได้รูปทรงดีแท้ ชีวิตคนเราเมื่อมันถึงคราวซวยอะไร ๆ มันก็พลอยซวยไปตามกัน วันนี้แค่ตกงานไม่พอ รถยังมาถูกชนท้ายอีก แวบหนึ่งเหมือนผมได้ยินคำพูดของซินแสดังก้องหู ผมขับรถออกไป คำพูดของซินแสก็ยังคงดังก้องหูผมอยู่ไม่ขาด หรือว่าช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยดีจริง ๆ แต่ผมก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจเสียทีเดียว ผมก็ทำตามคำแนะนำโดยการหาปลามาเลี้ยงแล้ว ไม่เห็นว่าอะไร ๆ ในชีวิตของผมจะดีขึ้นเลย สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ผมหยุดรถ เอนหลังพิงกับเบาะ หลับตาหวังคลายความเมื่อยล้า หรืออย่างน้อย ๆ หากมันจะลืมเรื่องซวย ๆ ที่ผ่านมาได้สักช่วงเวลาน้อยนิดก็ยังดี เสียงเคาะกระจกดังขึ้น ผมลืมตามองไปที่ต้นเสียง เห็นเด็กหญิงร่างผอม เนื้อตัวมอมแมม สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้นเก่า ๆ ในมือถือพวงมาลัยจ้องมาที่ผม ผมรู้ว่าเธอต้องการอะไร ผมดูเจตนาและความต้องการของเธอออก แต่รถผมเพิ่งถูกชนท้ายมา ไม่รู้จะเอาพวงมาลัยไปไหว้ใคร หรือเพื่อให้ใครมาคุ้มครอง ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรผมได้เลย ผมยกมือเป็นเชิงปัดปฏิเสธ แล้วก็หลับตาเหมือนไม่สนใจอะไรเธออีก แต่เสียงเคาะกระจกก็ยังคงดังอยู่ จนทำให้ผมไม่สามารถข่มตาลงได้ ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองผม แล้วในมือของเธอก็ยังชูพวงมาลัยเสนอขายให้ผมอยู่เช่นเดิม บอกตามตรงผมไม่ชอบการเสนอขายในลักษณะนี้เลย มันเป็นการยัดเยียดเกินไป ซึ่งคำพูดทำนองนี้เหมือนว่าผมเพิ่งพูดไปเมื่อไม่นานนี่เองในที่ประชุม ฝ่ายการตลาด ผมอยากให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขายของเราใหม่ โดยการให้คนซื้อเดินเข้ามาหาเรา แทนที่เราจะเดินเข้าไปหาคนซื้อ ซึ่งมันอาจจะขัดกับหลักการขายเห่ย ๆ ทั่วไปอยู่บ้าง ไม่เห็นจะต้องวิ่งตามคนซื้อเสมอไป ผมว่าสินค้าสามารถสร้างภาพลักษณ์ขึ้นได้หากมีแผนการตลาดที่ดี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่สูงเกินไปจนคนซื้อต้องปีนขึ้นไปหา อีกอย่างหนึ่งที่ผมเสนอไปก็คือเราจำเป็นจะต้องรู้โพสิชั่นของตัวเอง คือต้องหาตำแหน่งตัวเองให้เจอก่อน ซึ่งหากรู้ตำแหน่งตัวเองและมีกลุ่มลูกค้าที่แน่นอนแล้ว หลังจากนั้นเราอาจจะเอาโฆษณาเข้าไปเสริม หรือไม่ก็ทุ่มออกแคมเปญเพื่อย้ำเตือนผู้บริโภค หรือจะพูดให้เท่หน่อยก็ที่ภาษาการตลาดเรียกว่า Reminder Promotion เพราะนอกจากกลุ่มลูกค้าเดิมจะยังไม่ลืมสินค้าของเราแล้ว ดีไม่ดีอาจจะมีกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าผมจะยกเอาตำราทั้งหมดมากองไว้ตรงหน้า แต่ด้วยความคิดเห็นที่สวนทางและไม่ค่อยลงรอยกัน ประกอบกับคนเลือดร้อนอย่างผมด้วยแล้ว ผลสรุปในวาระการประชุมครั้งนั้น ผมก็เป็นอันตกงาน เพราะเผลอไปชกปากใครเข้าให้ เสียงเคาะกระจกดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมตัดรำคาญโดยการเลื่อนกระจกลง "มีอะไรอีกล่ะ" ผมตะคอกเสียงออกไป "น้าช่วยซื้อพวงมาลัยหนูหน่อย" เด็กหญิงว่า "วันนี้ไม่ซื้อ ไปขายให้คนอื่นบ้างก็ได้" ผมพูดเป็นเชิงไล่ หลับตา ในหัวหัวสมองก็คิดแต่วันพรุ่งนี้ผมจะเริ่มต้นหางานที่ไหนก่อน "น้า...ช่วยซื้อหน่อย" ผมนั่งนิ่ง หลับตา ทำทีไม่สนใจ "นะน้า...น้าช่วยซื้อพวงมาลัยหนูหน่อย" เธอยังรบเร้า ผมลืมตามองไปที่เด็กหญิง ในมือของเธอยังชูสินค้าให้ผมดู ผมเหนื่อยเกินไปที่จะบอกปัดปฏิเสธ นี่กระมังคือข้อดีของการเสนอขายในลักษณะนี้ มันทำให้คนซื้ออย่างผมดิ้นไม่หลุด หรือว่ากลยุทธิ์การขายที่ผมนำมาเสนอในที่ประชุมเมื่อวันก่อนจะใช้ไม่ ได้ผลจริง ๆ "พวงเท่าไหร่" ผมถาม "สิบบาทค่ะ" ผมนิ่งไปสักพัก นั่งคิดไปตามประสาคนฝ่ายขายที่กำลังตกงาน โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ยินคำลักษณะนี้จากเด็ก ๆ เหล่านี้ เด็กหญิงพูดคำว่า "ค่ะ" อย่างชัดถ้อยชัดคำ มันจึงเป็นวิธีการเสนอขายที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอ หรือหากว่าผมไม่ได้คิดเอาเอง อย่างน้อยๆ คำว่า "ค่ะ" ของเด็กหญิงก็เป็นการสร้างความประทับใจในตอนแรกที่ใช้ได้ทีเดียว "งั้นเอามาพวงหนึ่ง" ผมบอก "น้า" เด็กหญิงว่า "น้าช่วยหนูสักสองพวงเถอนะ วันนี้หนูขายไม่ได้เลย น้อง ๆ รอกินข้าวอยู่" ดวงตาคู่นั้นจดจ้องมาที่ผม ผมไม่รู้หรอกว่าเธอพูดจริงหรือว่าโกหก เพราะผมเคยเจอในลักษณะนี้จนชิน ถ้าไม่มีเงินซื้อข้าว ก็แม่ป่วย หรือไม่ก็น้องเข้าโรงพยาบาลอะไรทำนองนี้ ซึ่งผมว่ามันดูเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อย แต่ผมไม่อยากเสียเวลามาต่อรองอะไรมากนัก จึงตัดรำคาญโดยซื้อพวงมาลัยของเธอทั้งสองพวง ผมหยิบเงินให้เด็กหญิงไปยี่สิบบาท เด็กหญิงถามผม "รถน้าถูกชนท้ายมาหรือ" ผมพยักหน้า "น้าโชคไม่ดีเลย" เด็กหญิงว่า ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะถึงเธอไม่บอกผมก็รู้ว่าโชคไม่เคยเข้าข้างผมอยู่แล้ว กำลังจะเลื่อนกระจกขึ้น แต่ผมสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง "มีอะไรรึเปล่า?" ผมถาม เด็กหญิงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญสิบบาทมากำไว้ในมือ แล้วยื่นให้ผม "หนูคืนให้น้าสิบบาท" "ทำไมหรือ?" ผมประหลาดใจ "น้าต้องเอาเงินไปซ่อมรถ" เด็กหญิงว่า ผมมองไปที่แววตาใสคู่นั้น แล้วยิ้ม "แล้วนี่ให้พวงมาลัยมาตั้งสองพวง ขายแค่สิบบาทไม่ขาดทุนหรือ?" "ไม่เป็นไร" "ใจใหญ่นะเรา" ผมว่า "ให้น้าเอาไว้หน้ารถ คราวต่อไปจะได้ไม่มีใครขับมาชนท้ายอีก" สัญญาณไฟจราจรกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เด็กหญิงก็กำลังจะวิ่งกลับไปที่บาทวิถี ผมเลื่อนกระจกลงแล้วตะโกนเรียก "หนู!" เด็กหญิงหันกลับมามองหน้าผม "น้องรอกินข้าวอยู่ไม่ใช่หรือ" ผมถาม เด็กหญิงพยักหน้า สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว เสียงบีบแตรดังไล่มาจากด้านหลัง ผมหยิบเงินสองร้อยในกระเป๋าให้เธอ "เอาไปซื้อข้าวให้น้อง" ผมบอก เด็กหญิงยกมือไหว้ หยิบเงินแล้ววิ่งไปที่บาทวิถี ผมต้องรีบบึ่งรถออกไปเพราะเสียงแตรรถจากด้านหลัง พอผ่านสี่แยกนั้นมาได้ผมมองที่กระจกหลังไม่เห็นเด็กหญิงคนนั้นอีกแล้ว ผมหยิบเอาพวงมาลัยทั้งสองพวงมาวางไว้ที่หน้ารถ ก็หวังในใจว่าต่อไปก็คงไม่มีใครขับรถมาชนท้ายรถผมอีก เหมือนกับที่เด็กหญิงบอก วันนี้ผมโชคไม่ดีจริง ๆ -3- เรือหางยาวเพิ่งแล่นผ่านไปได้สักระยะ คลื่นระลอกน้อยใหญ่ก็เริ่มจางหายไป ผมยืนอยู่ริมแม่น้ำในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เมื่อคลื่นจากเรือหางยาวอ่อนตัวลง ผมก็ค่อยๆ นั่งลงแล้วเอาปลาที่เพิ่งนำมาเลี้ยงไม่ถึงเดือนมาปล่อย สีสันมันดูใช้ได้ทีเดียว ผมค่อย ๆ เทมันลงไปใกล้ริมน้ำ เจ้าปลาตัวน้อยลอยวนอยู่รอบ ๆ ริมน้ำ ราวกับว่าไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี แม้ว่าคลื่นจากเรือหางยาวจะหายไป แต่คลื่นจากลมก็ยังไม่สงบเสียทีเดียวนัก บางครั้งมันก็ซัดมาริมฝั่ง เจ้าปลาตัวน้อยก็โยกเยกไปตามแรงคลื่น ผมนั่งมองมันอยู่นาน ในใจก็ลุ้นว่ามันจะไปทางไหน และจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ในช่วงเวลาที่ผมนำปลามาเลี้ยง รู้สึกว่าเจ้าปลาของผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมมากนัก เพราะนอกจากโชคจะไม่เข้าใกล้ ความซวยยังตามมาตอแยผมอีกต่างหาก เมื่อวานทั้งตกงาน รถชน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพรุ่งนี้ผมจะเจออะไรอีกบ้าง จะเริ่มต้นหางานที่ไหน และบทสรุปของมันจะเป็นอย่างไร ดังนี้แล้วผมคิดว่า ผมไม่ควรที่จะเลี้ยงไว้เป็นแน่ อีกอย่างหนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่าเจ้าปลาของผมก็ไม่อยากจะอยู่กับผมด้วยเช่นกัน เพราะสังเกตจากที่มันไม่ยอมกินอาหารหลายวันติดต่อกัน ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย ผมเฝ้ามองเจ้าปลาตัวนั้นอยู่สักครู่ใหญ่ มันไม่มีทีท่าว่าจะว่ายไปที่อื่นเลย บางทีนี่อาจจะเป็นโลกใบใหญ่เกินไป เพราะตลอดทั้งชีวิตมีเพียงกรอบกระจกล้อมรอบไม่กี่ตารางนิ้ว หรือมันอาจจะตื่นเต้นกับโลกใบใหม่จนทำอะไรไม่ถูก มันคงคล้ายกับนักโทษที่พ้นโทษออกมาสู่สังคมใหม่ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ความรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดกลัว คนเรานี่ก็ประหลาดเห็นกรงขังของผู้อื่นเป็นสิ่งสวยงาม ผมเพิ่งรู้ตัวเองว่าผมเอากรงขังของผู้อื่นมาเป็นเครื่องประดับ และไว้สะเดาะเคราะห์เพื่อที่ตัวเองจะมีโชค หลังจากที่นั่งดูท่าทีอยู่ได้ไม่นานนัก เจ้าปลาตัวน้อยก็ว่ายเข้าไปในกอหญ้าริมฝั่ง มันคงเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ ก็หวังว่ามันคงจะพบกับชีวิตใหม่ที่ดี และโชคคงจะมีแก่มันบ้าง ผมเดินออกมากำลังจะกลับบ้าน เดินลัดผ่านสวนสาธารณะ ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ผมเห็นชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งดูดวงอยู่ ยิ่งมองผมยิ่งมีความคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเห็นชายแก่คนนั้นที่ไหน ผมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อได้เห็นหน้าชัด ๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นซินแสคนที่แนะนำให้ผมเลี้ยงปลาเมื่อเดือนก่อน ซินแสคนนั้นไม่ได้มองมาทางผม เพราะเขามัวยุ่งอยู่กับการดูดวงให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กำลังจะหันหลังเดินกลับไปที่รถ หูของผมแว่ว ๆ ว่าได้ยินเสียงของซินแสแนะนำเด็กหนุ่ม "คุณก็น่าจะหาปลามาเลี้ยงบ้าง เพื่อทำให้ตัวเองมีโชค"
*************
*************
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ