พระในบ้าน
10.0
1) พระในบ้าน (สำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมะมาแบ่งปันจร้า)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมีเรื่องเล่าที่สืบกันมาว่า มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญสุนทาน
ทุกๆเช้าคุณนายจะออกมาใส่บาตรหลังจากนั้นก็จัดเตรียมสำหรับข้าวที่
บรรจงทำอย่างปราณีตเพื่อนำไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่ง
เป็นเจ้าอาวาสเพราะมีความเคารพนับถือใน จริยวัตรของท่านและ
ชอบฟังท่านสนทนาหรือเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง หากมีเวลาว่าง
หลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวันอยู่
คุยกับสมเด็จท่านพอสมควร แล้วก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้ประจำ
วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเรียน
ถวายว่า
"คุณนายช่างเป็นใจบุญเสียจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ มีแม่อยู่คนหนึ่งก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ห้องแคบๆหลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูกๆ นอนอยู่บนตึกใหญ่อย่างสุขสบายเวลาพูดจากับแม่ก็หยาบคายไม่ค่อยน่าฟัง ผิดกับมาที่วัดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมานอกบ้านบ้างก็ไม่ได้กลัวคนจะเห็นว่ามีแม่แก่ๆ อยู่ในบ้าน คนเขามาเล่าให้ฟังหลายรอบแล้ว เท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบได้"
ฝ่ายสมเด็จฯได้ยินดังนั้น ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ต่อมาอีก
หลายวันท่านมีกิจนิมนต์นอกวัดและบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้าน
คุณนายท่านจึงแวะเยี่ยมเยียน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ ทาถึงที่
บ้าน ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน
จึงเรียกลูกหลานเข้ามานมัสการท่านให้ท่านอวยพรให้ลูกหลาน แล้ว
ชวนท่านคุยเรื่องต่างๆมากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์
บ้างตามธรรมเนียม
ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนาย
มีบ้างไหม คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบเร็วพลันว่า
"พระในบ้านของอิฉันมีเยอะเจ้าค่ะ เป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี สมัยเชียงแสนก็มี นิมนต์พระคุณท่านฯขึ้นไปชมที่ห้องพระชั้นบนดีมั๊ยเจ้าคะ"
สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายจะยังไม่เข้าใจ จึงถามตรงๆว่า
"ได้ยินว่าโยมมีคุณแม่มาพักด้วย ตอนนี้ท่านไปไหนซะล่ะ"
คุณนายได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่นึกว่าสมเด็จฯท่านจะถามเช่นนี้ ครั้นจะ
ตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้านก็กลัวสมเด็จฯท่านจะไปดูแล้วเห็น
สภาพความเป็นอยู่ของแม่แล้วท่านจะตำหนิ จึงตอบเลี่ยงไปว่า
"ตอนนี้คุณแม่ไม่อยู่ออกไปเยี่ยมญาติ คงอีกนานกว่าจะกลับเจ้าค่ะ"
สมเด็จท่านฯไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเห็นสมควร
แก่เวลาแล้วท่านก็ลากลับ
หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังไปทำบุญที่วัดเป็นประจำทุกวัน พอเห็น
ได้แก่เวลาท่านก็ถามว่า
"พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือ?"
คุณนายตอบอย่างภาคภูมิใจว่า
"อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแล้วค่ะ จุดธูปเทียนบูชาจึงนำมาถวายที่วัด ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะเพราะอิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร"
"อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม! พระในบ้านที่อาตมาถามนี่หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งนิ่่ง ส่วนสมเด็จฯ ท่านก็พูดต่อไปเรื่อยๆ
"คนเรามีพระในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจน่ะ บางคนมีพ่อบางคนเหลือแม่ บางคนยังโชคดีมีทั้งพ่อมีทั้งแม่ก็นับว่าบุญ เราควรจะเอาใจใส่ท่านบ้าง ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้ท่านอยู่อย่างอดๆอยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ควรจะดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้วกินใช้จะหมดเปลืองไปละเท่าไหร่เชียว ใช่ไหมโยม?
โยมก็เหมือนกัน ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นแต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไรนักปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อึดทึบแทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้านทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ดินทั้งหมด โยมปล่อยให้ท่านอยู่หลังบ้านอย่างอดๆอยากๆโยมไม่สงสารท่านบ้างหรือ?"
"โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่กับแม่โยมซึ่งเป็นพระในบ้านอีกองค์หนึ่ง โยมไม่เคยจัดหาให้ที่จัดหามาให้อาตมานี่ สังเกตหลายครั้งแล้ว โยมจัดมาปราณีตเลยทีเดียวเมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมไปตามปกติแต่ตอนนี้ขอบอกตรงๆว่ามันกลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาเป็นพระในวัดไม่ควรจะเอาเปรียบพระในบ้านของโยม" ท่านสมเด็จฯ ยังพูดต่อไปเรื่อยๆ
"อาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีหรือไม่แต่เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวไปแล้วลูกหลานโยมทำกับโยมเช่นนี้ มันจะทำกับโยมบ้างและทำต่อๆไปแบบไม่สิ้นสุด เพราะเห็นว่าแม่ทำกับยายเราได้ขนาดนี้เราก็ทำได้เหมือนกัน อาตมาพูดแล้วจะโกรธเคืองอาฆาตมาตามใจเถอะ แต่ที่อาตมาพูดเพราะหวังดีไม่อยากให้โยมเป็นบาปในนรก โยมลองคิดดูก็แล้วกัน"
ความรู้สึกผิดชั่วดีแล่นเข้ามาจับหัวใจ ทำให้น้ำตาของคุณนายหลั่ง
ไหลพรูด้วยความนึกเสียใจ สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯท่านโดยไม่
กล่าวคำอำลาใดๆ
จากนั้นไม่นานสมเด็จท่านฯก็ได้ทราบข่าวว่าคุณนายได้จัดบ้านใหม่
ย้ายห้องให้ติดกับห้องของคุณนายและลูกๆบนตึกใหญ่พร้อมด้วยดูแล
อย่างดี ไม่ค่อยออกนอกบ้านเช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้ามาหาสมเด็จ
ท่านฯอีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายเดือน...
นับเป็นบุญที่คุณนายกลับตัวกลับใจได้ทัน มีเวลาที่จะสนองพระคุณบุพการีก่อนที่จะสายเกินไป
ผิดกับบางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่ที่เป็นพระประเสริฐก็สายเสียแล้ว คือรู้ก็รู้ว่าท่านทั้งสองได้อวสานจากโลกนี้ไปนานแล้วนานเสียแล้ว
ถ้าใครทำเช่นนี้ต้องบาปใหญ่เลยนะคะเพราะท่านมีพระคุณกับเรามากแค่ไหนเรื่องนี้ไข่มุกเตรียมมาให้สำหรับคนมีคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะขอขอบคุณที่ติดตามนะคะถ้าไม่ว่ากันใครชอบเรื่องนี้ก็คอมเม้นมาบอกเรื่องราวในนี้ได้ค่ะว่าทุกท่านทำแบบไหนกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนที่จะสายไปไม่มีโอกาสอีกแล้วสามารถนำมาบอกเป็นเรื่องราวได้นะคะที่www.keedkean.comที่นี่นะคะถ้ามีเรื่องใหม่จะมาเสนออีกค่ะถ้ามีพิมพ์ตกก็ขออภัยนะคะ(ขออภัยไม่มีรูป)ค่ะ
ทุกๆเช้าคุณนายจะออกมาใส่บาตรหลังจากนั้นก็จัดเตรียมสำหรับข้าวที่
บรรจงทำอย่างปราณีตเพื่อนำไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่ง
เป็นเจ้าอาวาสเพราะมีความเคารพนับถือใน จริยวัตรของท่านและ
ชอบฟังท่านสนทนาหรือเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง หากมีเวลาว่าง
หลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวันอยู่
คุยกับสมเด็จท่านพอสมควร แล้วก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้ประจำ
วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเรียน
ถวายว่า
"คุณนายช่างเป็นใจบุญเสียจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ มีแม่อยู่คนหนึ่งก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ห้องแคบๆหลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูกๆ นอนอยู่บนตึกใหญ่อย่างสุขสบายเวลาพูดจากับแม่ก็หยาบคายไม่ค่อยน่าฟัง ผิดกับมาที่วัดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมานอกบ้านบ้างก็ไม่ได้กลัวคนจะเห็นว่ามีแม่แก่ๆ อยู่ในบ้าน คนเขามาเล่าให้ฟังหลายรอบแล้ว เท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบได้"
ฝ่ายสมเด็จฯได้ยินดังนั้น ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ต่อมาอีก
หลายวันท่านมีกิจนิมนต์นอกวัดและบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้าน
คุณนายท่านจึงแวะเยี่ยมเยียน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ ทาถึงที่
บ้าน ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน
จึงเรียกลูกหลานเข้ามานมัสการท่านให้ท่านอวยพรให้ลูกหลาน แล้ว
ชวนท่านคุยเรื่องต่างๆมากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์
บ้างตามธรรมเนียม
ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนาย
มีบ้างไหม คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบเร็วพลันว่า
"พระในบ้านของอิฉันมีเยอะเจ้าค่ะ เป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี สมัยเชียงแสนก็มี นิมนต์พระคุณท่านฯขึ้นไปชมที่ห้องพระชั้นบนดีมั๊ยเจ้าคะ"
สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายจะยังไม่เข้าใจ จึงถามตรงๆว่า
"ได้ยินว่าโยมมีคุณแม่มาพักด้วย ตอนนี้ท่านไปไหนซะล่ะ"
คุณนายได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่นึกว่าสมเด็จฯท่านจะถามเช่นนี้ ครั้นจะ
ตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้านก็กลัวสมเด็จฯท่านจะไปดูแล้วเห็น
สภาพความเป็นอยู่ของแม่แล้วท่านจะตำหนิ จึงตอบเลี่ยงไปว่า
"ตอนนี้คุณแม่ไม่อยู่ออกไปเยี่ยมญาติ คงอีกนานกว่าจะกลับเจ้าค่ะ"
สมเด็จท่านฯไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเห็นสมควร
แก่เวลาแล้วท่านก็ลากลับ
หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังไปทำบุญที่วัดเป็นประจำทุกวัน พอเห็น
ได้แก่เวลาท่านก็ถามว่า
"พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือ?"
คุณนายตอบอย่างภาคภูมิใจว่า
"อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแล้วค่ะ จุดธูปเทียนบูชาจึงนำมาถวายที่วัด ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะเพราะอิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร"
"อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม! พระในบ้านที่อาตมาถามนี่หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งนิ่่ง ส่วนสมเด็จฯ ท่านก็พูดต่อไปเรื่อยๆ
"คนเรามีพระในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจน่ะ บางคนมีพ่อบางคนเหลือแม่ บางคนยังโชคดีมีทั้งพ่อมีทั้งแม่ก็นับว่าบุญ เราควรจะเอาใจใส่ท่านบ้าง ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้ท่านอยู่อย่างอดๆอยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ควรจะดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้วกินใช้จะหมดเปลืองไปละเท่าไหร่เชียว ใช่ไหมโยม?
โยมก็เหมือนกัน ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นแต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไรนักปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อึดทึบแทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้านทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ดินทั้งหมด โยมปล่อยให้ท่านอยู่หลังบ้านอย่างอดๆอยากๆโยมไม่สงสารท่านบ้างหรือ?"
"โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่กับแม่โยมซึ่งเป็นพระในบ้านอีกองค์หนึ่ง โยมไม่เคยจัดหาให้ที่จัดหามาให้อาตมานี่ สังเกตหลายครั้งแล้ว โยมจัดมาปราณีตเลยทีเดียวเมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมไปตามปกติแต่ตอนนี้ขอบอกตรงๆว่ามันกลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาเป็นพระในวัดไม่ควรจะเอาเปรียบพระในบ้านของโยม" ท่านสมเด็จฯ ยังพูดต่อไปเรื่อยๆ
"อาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีหรือไม่แต่เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวไปแล้วลูกหลานโยมทำกับโยมเช่นนี้ มันจะทำกับโยมบ้างและทำต่อๆไปแบบไม่สิ้นสุด เพราะเห็นว่าแม่ทำกับยายเราได้ขนาดนี้เราก็ทำได้เหมือนกัน อาตมาพูดแล้วจะโกรธเคืองอาฆาตมาตามใจเถอะ แต่ที่อาตมาพูดเพราะหวังดีไม่อยากให้โยมเป็นบาปในนรก โยมลองคิดดูก็แล้วกัน"
ความรู้สึกผิดชั่วดีแล่นเข้ามาจับหัวใจ ทำให้น้ำตาของคุณนายหลั่ง
ไหลพรูด้วยความนึกเสียใจ สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯท่านโดยไม่
กล่าวคำอำลาใดๆ
จากนั้นไม่นานสมเด็จท่านฯก็ได้ทราบข่าวว่าคุณนายได้จัดบ้านใหม่
ย้ายห้องให้ติดกับห้องของคุณนายและลูกๆบนตึกใหญ่พร้อมด้วยดูแล
อย่างดี ไม่ค่อยออกนอกบ้านเช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้ามาหาสมเด็จ
ท่านฯอีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายเดือน...
นับเป็นบุญที่คุณนายกลับตัวกลับใจได้ทัน มีเวลาที่จะสนองพระคุณบุพการีก่อนที่จะสายเกินไป
ผิดกับบางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่ที่เป็นพระประเสริฐก็สายเสียแล้ว คือรู้ก็รู้ว่าท่านทั้งสองได้อวสานจากโลกนี้ไปนานแล้วนานเสียแล้ว
ถ้าใครทำเช่นนี้ต้องบาปใหญ่เลยนะคะเพราะท่านมีพระคุณกับเรามากแค่ไหนเรื่องนี้ไข่มุกเตรียมมาให้สำหรับคนมีคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะขอขอบคุณที่ติดตามนะคะถ้าไม่ว่ากันใครชอบเรื่องนี้ก็คอมเม้นมาบอกเรื่องราวในนี้ได้ค่ะว่าทุกท่านทำแบบไหนกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนที่จะสายไปไม่มีโอกาสอีกแล้วสามารถนำมาบอกเป็นเรื่องราวได้นะคะที่www.keedkean.comที่นี่นะคะถ้ามีเรื่องใหม่จะมาเสนออีกค่ะถ้ามีพิมพ์ตกก็ขออภัยนะคะ(ขออภัยไม่มีรูป)ค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ