ฝัน
8.0
1) -
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคิมหันหนุ่มร่างเซอร์อาศัยอยู่ในเมืองจันทรา.......
นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วที่ผมยังคิดถึงเธอตลอดมา คิดถึงหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟแห่งยามราตรีที่เงียบ
สงัดดั่งสายลมที่พัดมาไม่มีวันพบกับดวงตะวันสาดส่องไปถึงเมืองนั้นเลย มีเพียงแสงไฟที่ประดับประดาระยิบระยับพร่างพราวสุดตระหง่าน
ตระการตาช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นละมุนไปถึงทรวงคละเคล้าความเหงาเสียเหลือเกิน ผู้คนที่เดินบนท้องถนนคราครั่งอื้ออึงดั่งมดงานร่ายรำ
อยากกลับไปยังแห่งหนนั้น....เหลือเกิน
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาทางริมหน้าต่าง เสียงรถราวิ่งกันวุ่นวายกับอากาศที่แสนเย็นสบายยามเช้า เสียงนกร้องเรียกประสาน
เสียงกันดั่งวงขับร้องประสานเสียงน้อยๆบรรเลงเป็นเพลงชวนให้คล้อยตามเสียงหวานๆอันแสนหวานชวนให้สดับรับฟังไปกับบทเพลงบรรเลง
อันไพเราะ ภาพเหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาทุกๆวัน หากเหตุการณ์วันนี้ผิดแผกแตกต่างออกไป....
วันนี้ไม่มีแสงตะวัน มีเสียงคนขับร้องเสียงดนตรี ทุกคนดูมีความสุขตลอดเวลา ตามสองข้างทางบ้างก็เล่นดนตรี บ้างแสดง
โชว์เล็กๆน้อยๆ ชวนให้เดินชวนชมไปเรื่อยๆอย่างไม่เบื่อเลย ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนทุกวัน โต๊ะที่วางเรียงราย แจกันที่วางอยู่ที่เดิม
แสดงไฟสลัวๆเสมือนชวนให้เกิดความเหงาปะปนความอบอุ่น แต่วันนี้ไม่มี.....เธอคนนั้น...คนเดิม...
ผมเคยเจอเธอมาประมาณ 2 - 3 ครั้ง เท่าที่จำความได้ เธอชื่อ ทีฟา หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางดั่งหุ่นตุ๊กตาขยับเขยื้อน
ใบหน้าอันเจิดจรัสงดงาม ริมฝีปากบางวางเป็นรูปดูช่างน่าสัมผัส ดวงตาที่คอยสะกดทุกสายตาผู้คนคล้อยตามมองเธออย่างไม่ละสายตา ชุด
ที่ดูคล้ายชุดนอนที่เป็นเอกลักษณ์ทีฟาทำเอาผมอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นเธอทุกครั้ง ภายใต้ค่ำคืนอันเงียบสงัดแต่วันนี้หัวใจผมเริ่มเต้นถี่ขึ้นทุกที
เมื่อได้เจอเธอ
สาวน้อยในชุดนอนออกมาวิ่งเล่นคนเดียวอยู่ลำพัง สะกดทุกชั่วขณะจนผมมายืนอยู่ข้างเธอตั้งแต่เมื่อใดโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มและ
บอกทักทาย เรารู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้าเริ่มเกิดเป็นความสัมพันธ์สนิทสนมกัน เราเจอกันทุกวันนานวันเข้าผมเริ่มรู้สึกร่างกายผม
มันไม่สู้ดีกับการที่ต้องมาเจอเธอ จากที่ออกมาเจอเธอทุกวันนานวันเข้ากลายเป็นได้เพียงแหงนมองเธอจากทางหน้าต่าง เราเริ่มห่างหาย
กันไปเธอไม่ได้มายืนอยู่ตรงที่เดิมพร้อมกับความทรุดลงทำให้ขนาดแหงนมองเธอก็ทำไม่ได้ ลมหายใจเริ่มอ่อนล้าลง แสงไฟค่อยๆมืดลง
ดวงตาหรี่ลงเรื่อยๆหรือนี่คือวาระสุดท้ายที่ผมจะต้องเจอทำไมมันช่างเร็วยิ่งนัก เริ่มเกิดความสงสัยคลางแคลงใจขึ้นคำถามมากมายหลั่งไหล
ท่วมท้น คนรอบกายที่ผมไม่เคยนึกถึงผมลืมไปเลยว่าผมอยู่คนเดียวแบบนี้มานานเท่าไร คนรอบกายผมหายไปไหนกันหมด พ่อ แม่ พี่
น้อง ญาติๆ ต่างพากันหายหน้าผมไปตั้งแต่วันที่พบแต่แสงไฟไม่มีวันได้พบกับตะวัน ความหวาดกลัวต่อชีวิตหลั่งไหลเข้ามา การอยากมี
ชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนมันช่างทรมานเหลือเกินถ้าเทียบวันเวลาที่เสียไป
ความมืดเริ่มบดบังดวงตา กลับมีเสียงเล็กๆลอดเข้ากระทบโสตประสาทเสียงอันคุ้นเคยและอบอุ่น
“คัมหัน!!! หมอ!!! หมอคะ ช่วยตามหมอให้ที คิมหันฟื้นแล้ว คิมหันฟื้นแล้ว”
ความสับสนงุนงงเกิดขึ้น ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับเตียงที่ผมนอนอยู่ สายระโยงรยางค์พันกันจ้าระหวั่น หรือผมแค่ฝันไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ใช่.... ตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุนี่ก็เป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้วที่ผมสลบไป แต่มันช่างเป็นเวลานาน 1 ปี ในความฝันของผม สายตา
เหลือบไปเห็นนิยายเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำให้ผมเข้าใจได้เมื่อผมเปิดอ่านมัน เป็นนิยายที่ยามเย็นแม่ของผมจะมาเล่าให้ฟังทุกคืน นี่คือสิ่ง
ที่ผมเพียงฝันไปหรือนี่ ....
อาการดีขึ้นเรื่อยๆ วันนี้อากาศแจ่มใด ผมออกมาสูดอากาศยามเช้า ผู้คนที่มาเฝ้าไข้ผู้ป่วยต่างพากันเข็นรถออกมานั่งเล่นกันใต้
ต้นไม้ เด็กๆวิ่งเล่นกันทั่วทั้งสนาม แต่สิ่งที่หนึ่งที่สะดุดสายตาและลมหายใจ หญิงสาวในความฝันของผม นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้
กับชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลเหมือนกับผม แต่เธอดูช่างละม้ายคล้ายกับคนในฝันของผมเสียเหลือเกิน แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือหนังสือ
ที่อ่านคือเล่มเดียวกับที่แม่อ่านให้ผมฟังทุกคืน กับสายตาและความตกใจของเธอที่เห็นผมมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
มันเป็นความฝัน ที่ไม่ใช่ความฝัน เธอเล่าในสิ่งที่ผมก็พบเจอ มันเป็นเรื่องเดียวกันที่เราได้ประสบพบเจอ แต่มันก็ยังเป็นความฝันอยู่
ดี ทำให้เราทั้งสองเกิดความรู้สึกอยากรู้ตอนจบของเรื่องเป็นอย่าง แต่เมื่อเปิดอ่านไปยังหน้าสุดท้ายกลับพบแต่กระดาษที่ชำรุดลอยหมึกที่เลอะ
เปรอะเปื้อนจนมองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร
จบ.......
ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับปากกาเพียงด้ามเดียว
แต่เกิดจากใจสองดวงเป็นคนกำหนดมันเอง.....
นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วที่ผมยังคิดถึงเธอตลอดมา คิดถึงหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟแห่งยามราตรีที่เงียบ
สงัดดั่งสายลมที่พัดมาไม่มีวันพบกับดวงตะวันสาดส่องไปถึงเมืองนั้นเลย มีเพียงแสงไฟที่ประดับประดาระยิบระยับพร่างพราวสุดตระหง่าน
ตระการตาช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นละมุนไปถึงทรวงคละเคล้าความเหงาเสียเหลือเกิน ผู้คนที่เดินบนท้องถนนคราครั่งอื้ออึงดั่งมดงานร่ายรำ
อยากกลับไปยังแห่งหนนั้น....เหลือเกิน
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาทางริมหน้าต่าง เสียงรถราวิ่งกันวุ่นวายกับอากาศที่แสนเย็นสบายยามเช้า เสียงนกร้องเรียกประสาน
เสียงกันดั่งวงขับร้องประสานเสียงน้อยๆบรรเลงเป็นเพลงชวนให้คล้อยตามเสียงหวานๆอันแสนหวานชวนให้สดับรับฟังไปกับบทเพลงบรรเลง
อันไพเราะ ภาพเหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาทุกๆวัน หากเหตุการณ์วันนี้ผิดแผกแตกต่างออกไป....
วันนี้ไม่มีแสงตะวัน มีเสียงคนขับร้องเสียงดนตรี ทุกคนดูมีความสุขตลอดเวลา ตามสองข้างทางบ้างก็เล่นดนตรี บ้างแสดง
โชว์เล็กๆน้อยๆ ชวนให้เดินชวนชมไปเรื่อยๆอย่างไม่เบื่อเลย ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนทุกวัน โต๊ะที่วางเรียงราย แจกันที่วางอยู่ที่เดิม
แสดงไฟสลัวๆเสมือนชวนให้เกิดความเหงาปะปนความอบอุ่น แต่วันนี้ไม่มี.....เธอคนนั้น...คนเดิม...
ผมเคยเจอเธอมาประมาณ 2 - 3 ครั้ง เท่าที่จำความได้ เธอชื่อ ทีฟา หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางดั่งหุ่นตุ๊กตาขยับเขยื้อน
ใบหน้าอันเจิดจรัสงดงาม ริมฝีปากบางวางเป็นรูปดูช่างน่าสัมผัส ดวงตาที่คอยสะกดทุกสายตาผู้คนคล้อยตามมองเธออย่างไม่ละสายตา ชุด
ที่ดูคล้ายชุดนอนที่เป็นเอกลักษณ์ทีฟาทำเอาผมอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นเธอทุกครั้ง ภายใต้ค่ำคืนอันเงียบสงัดแต่วันนี้หัวใจผมเริ่มเต้นถี่ขึ้นทุกที
เมื่อได้เจอเธอ
สาวน้อยในชุดนอนออกมาวิ่งเล่นคนเดียวอยู่ลำพัง สะกดทุกชั่วขณะจนผมมายืนอยู่ข้างเธอตั้งแต่เมื่อใดโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มและ
บอกทักทาย เรารู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้าเริ่มเกิดเป็นความสัมพันธ์สนิทสนมกัน เราเจอกันทุกวันนานวันเข้าผมเริ่มรู้สึกร่างกายผม
มันไม่สู้ดีกับการที่ต้องมาเจอเธอ จากที่ออกมาเจอเธอทุกวันนานวันเข้ากลายเป็นได้เพียงแหงนมองเธอจากทางหน้าต่าง เราเริ่มห่างหาย
กันไปเธอไม่ได้มายืนอยู่ตรงที่เดิมพร้อมกับความทรุดลงทำให้ขนาดแหงนมองเธอก็ทำไม่ได้ ลมหายใจเริ่มอ่อนล้าลง แสงไฟค่อยๆมืดลง
ดวงตาหรี่ลงเรื่อยๆหรือนี่คือวาระสุดท้ายที่ผมจะต้องเจอทำไมมันช่างเร็วยิ่งนัก เริ่มเกิดความสงสัยคลางแคลงใจขึ้นคำถามมากมายหลั่งไหล
ท่วมท้น คนรอบกายที่ผมไม่เคยนึกถึงผมลืมไปเลยว่าผมอยู่คนเดียวแบบนี้มานานเท่าไร คนรอบกายผมหายไปไหนกันหมด พ่อ แม่ พี่
น้อง ญาติๆ ต่างพากันหายหน้าผมไปตั้งแต่วันที่พบแต่แสงไฟไม่มีวันได้พบกับตะวัน ความหวาดกลัวต่อชีวิตหลั่งไหลเข้ามา การอยากมี
ชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนมันช่างทรมานเหลือเกินถ้าเทียบวันเวลาที่เสียไป
ความมืดเริ่มบดบังดวงตา กลับมีเสียงเล็กๆลอดเข้ากระทบโสตประสาทเสียงอันคุ้นเคยและอบอุ่น
“คัมหัน!!! หมอ!!! หมอคะ ช่วยตามหมอให้ที คิมหันฟื้นแล้ว คิมหันฟื้นแล้ว”
ความสับสนงุนงงเกิดขึ้น ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับเตียงที่ผมนอนอยู่ สายระโยงรยางค์พันกันจ้าระหวั่น หรือผมแค่ฝันไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ใช่.... ตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุนี่ก็เป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้วที่ผมสลบไป แต่มันช่างเป็นเวลานาน 1 ปี ในความฝันของผม สายตา
เหลือบไปเห็นนิยายเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำให้ผมเข้าใจได้เมื่อผมเปิดอ่านมัน เป็นนิยายที่ยามเย็นแม่ของผมจะมาเล่าให้ฟังทุกคืน นี่คือสิ่ง
ที่ผมเพียงฝันไปหรือนี่ ....
อาการดีขึ้นเรื่อยๆ วันนี้อากาศแจ่มใด ผมออกมาสูดอากาศยามเช้า ผู้คนที่มาเฝ้าไข้ผู้ป่วยต่างพากันเข็นรถออกมานั่งเล่นกันใต้
ต้นไม้ เด็กๆวิ่งเล่นกันทั่วทั้งสนาม แต่สิ่งที่หนึ่งที่สะดุดสายตาและลมหายใจ หญิงสาวในความฝันของผม นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้
กับชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลเหมือนกับผม แต่เธอดูช่างละม้ายคล้ายกับคนในฝันของผมเสียเหลือเกิน แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือหนังสือ
ที่อ่านคือเล่มเดียวกับที่แม่อ่านให้ผมฟังทุกคืน กับสายตาและความตกใจของเธอที่เห็นผมมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
มันเป็นความฝัน ที่ไม่ใช่ความฝัน เธอเล่าในสิ่งที่ผมก็พบเจอ มันเป็นเรื่องเดียวกันที่เราได้ประสบพบเจอ แต่มันก็ยังเป็นความฝันอยู่
ดี ทำให้เราทั้งสองเกิดความรู้สึกอยากรู้ตอนจบของเรื่องเป็นอย่าง แต่เมื่อเปิดอ่านไปยังหน้าสุดท้ายกลับพบแต่กระดาษที่ชำรุดลอยหมึกที่เลอะ
เปรอะเปื้อนจนมองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร
จบ.......
ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับปากกาเพียงด้ามเดียว
แต่เกิดจากใจสองดวงเป็นคนกำหนดมันเอง.....
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ