ณ สถานีขนส่ง
9.7
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ณ สถานีขนส่ง
เสียงเครื่องยนต์คำครามดังกระหึ่มแข่งกับเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน สถานีขนส่งยังคงวุ่นวายและสับสนอยู่เสมอแม้จะเป็นเวลาก่อนรุ่งสางก็ตามที ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนพิงกำแพงร้านสะดวกซื้ออยู่อย่างเงียบๆ ข้างกายมีกระเป๋าเป้ใบหนึ่งวางอยู่ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นทอดสายตาออกไปไกล พ่นลมหายใจออกแรงๆเป็นพักๆ คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม เขาเหนื่อยหน่ายกับแสงสีและความวุ่นวายของเมืองเต็มที ทั้งพวกเพื่อนไม่เอาถ่านของเขาด้วยเหมือนกัน ขนาดเขากำลังจะหนีไปต่างจังหวัดก็ยังไม่วายต้องทนแกร่วรอรถอยู่ที่สถานีถึงสองชั่วโมง
‘อะไรมันจะวุ่นวาย หนวกหู น่ารำคาญขนาดนี้วะ?’ เขาคิดพลางเป่าลมออกมาแรงๆ แล้วทอดสายตาออกไปอีกเผื่อว่าจะคลายความหงุดหงิดไปได้ พลันสายตาของชายหนุ่มก็ไปสะดุดเข้ากับห้องกระจกเล็กๆห้องหนึ่ง เป็นหนึ่งในบรรดาห้องรับรองสำหรับผู้โดยสาร แต่ข้างในกลับว่างพิกล เท่าที่ดูเห็นจะมีคนอยู่เพียงคนเดียว จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ แต่แล้วเขาก็พบคำตอบเมื่อเห็นว่าโทรทัศน์ที่ควรจะตั้งอยู่กลับไม่มี และพัดลมก็ตั้งอยู่อย่างที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น คงเป็นเพราะเครื่องปรับอากาศเสียประกอบกับโทรทัศน์ก็ไม่มีคนจึงไม่สนใจจะเข้าไปนั่งอุดอู้อยู่ในนั้นเป็นแน่
‘คงจะเงียบสบายกว่าข้างนอกล่ะน่า’ ชายหนุ่มคิดแล้วก็คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง สาวเท้าตรงไปยังห้องรับรองนั้น
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องรับรองชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความสงบ ราวกับเป็นอีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว ต่างจากข้างนอกมากมายนัก หากจะมีเสียงก็คงจะมีก็แต่เพียงพัดลมที่ครางต่ำๆเท่านั้น ชายหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างห่างจากหญิงสาวพอสมควร
เขาชำเลืองมองดูหญิงสาวครู่หนึ่งตามประสาชาย ร่างบางแลดูน่าทะนุถนอม ผมยาวสีดำสนิทรวบเป็นเปียเดี่ยวไว้ข้างหลัง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากบางได้รูปสวย หญิงสาวไม่ได้สนใจต่อการมาของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย สายตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือในมือไม่วาง เมื่อเห็นว่าสมาธิของอีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในหนังสือเล่มบางนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดที่จะเข้าไปทัก เลือกที่จะปล่อยตัวตามสบายดื่มด่ำไปกับความสงบที่หาได้ยากยิ่งในสังคมเองอันวุ่นวาย
สักพักหนึ่งเสียงสะอื้นเบาๆก็กระทบเข้ากับโสตประสาทของเขา ชายหนุ่มสะดุ้งหันไปทางต้นเสียงพลางนึกสงสัย หญิงสาวกำลังร้องไห้ เธอพยายามสะกดเสียงสะอื้นให้เบาที่สุด หากแต่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลพรากออกมาได้
“ทิชชู่ไหมครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งซองทิชชู่แบบพกพาผ่านไปให้เธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ยิ้มอย่างอายๆมาให้เขา เธอกล่าวขอบคุณแล้วรับทิชชู่จากเขาไป
“เรื่องเศร้ามากเลยหรือครับ?” เขาถามอย่างชวนคุย คิดว่าเธอคงจะสงสารนางเอก ไม่ก็เรื่องราวความรักของพระเอกกับนางเอกเป็นแน่
หญิงสาวพยักหน้ารับเบาๆ ยังคงไม่หยุดสะอื้น “ค่ะเศร้ามากทีเดียว ฉันไม่เคยเห็นแม่คนไหนต้องมาเจอชะตากรรมเช่นนี้เลย” เธอเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แม่หรือครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ
“ค่ะ” เธอพยักหน้าพลางสะอื้นพลาง “ฉันไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่แม่พยายามทำทุกอย่างเพื่อลูกได้ถึงขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่เธอถูกมองว่าเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดเสียอย่างนั้น” เธอกล่าวแต่ละถ้อยคำออกมาอย่างยากเย็นเพราะการร้องไห้
ถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ฉงนยิ่งขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดถึงเรื่องของนางเอกพระเอกดังที่เขาคาดการณ์ไว้ เธอกำลังพูดถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ดูท่าทางจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ไม่ทันที่เขาจะถามอะไรต่อไปเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณจะคิดว่าฉันแปลกก็ได้นะคะ ที่สงสารตัวร้ายในนิยายอย่างนี้ แต่ฉันอดไม่ได้จริงๆที่จะสงสารเธอ...” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามกลั้นสะอื้นไว้แล้วกล่าวต่อไป “เธอทำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะทำให้ลูกขอเธอมีความสุข เพราะเธอมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นคนที่คอยดูแลลูกของเธอหลังจากที่เธอล่วงลับไปแล้ว เธอทำทุกอย่างเพียงลำพังเพื่อลูกสาวของเธอ ผิดถูกเธอไม่รู้อะไรแล้วเพราะความรักและเป็นห่วง แต่ที่ร้ายที่สุดไม่ใช่เพราะไม่มีใครเห็นใจเธอ เป็นเพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือเธอต่างหาก”
หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันกล่าวว่า “คุณคิดว่าการต่อสู้ในหนทางที่มืดมนเพียงคนเดียว เป็นสิ่งที่หญิงคนหนึ่งสมควรจะได้รับหรือเปล่าคะ? ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเขียนถึงได้มอบบทอันโหดร้ายให้เธอได้ถึงขนาดนี้”
“แต่ว่าการกระทำขอเธอไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องไม่ใช่หรือครับ?” เขาถามกลับตามความคิดเห็นส่วนตัว ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือละคร ตัวร้ายต่างกระทำการที่ไม่ถูกต้องอยู่ทุกครั้งไป แม้ว่าเหตุผลจะต่างกันไปบ้างก็ตาม
“แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นปัญหาของเธอเลยนี่คะ! การที่คนเราเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะคิดหาทางอออกได้ดีเท่ากับการมีคนเข้ามาช่วยเหลือ เสนอแนะ” หญิงสาวพูดแทบจะแผดเสียงด้วยอารมณ์ร่วมไปกับนิยาย
ชายหนุ่มนิ่งไปเพราะคำพูดของเธอ หากเธอไม่ใช่นักวิจารณ์ ก็คงจะมีปูมหลังที่เชื่อมโยงกันได้กับกรณีที่พูดกันอยู่นี้เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดออกมาเสียมากมายและเกิดอารมณ์ร่วมจนเกือบจะตวาดเขาเช่นนี้ ชายหนุ่มชำเลืองมองดูชื่อเรื่องที่พิมพ์อยู่บนมุมด้านหนึ่งของหน้าหนังสือ เห็นเป็นเรื่องที่เคยดูและพอจะจำได้คร่าวๆ เขาจึงรู้ว่าหญิงสาวพูดถึงตัวละครตัวไหนอยู่และนึกขึ้นมาได้ถึงตอนจบของเรื่องนี้
“แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการให้อภัยจากคนอื่นๆไม่ใช่หรือครับ? ผมเองก็เคยดูอยู่ เธอปฏิเสธการให้อภัยนั้น เธอพยายามหนีแล้วสุดท้ายจึงถูกวิสามัญ เธอได้รับการให้อภัยแล้วแต่ไม่รับเอาไว้เองไม่ใช่หรือครับ?” เขาพูดไปตามที่นึกออก พยายามชี้ให้หญิงสาวเห็นว่ามีคนให้อภัยในความผิดของตัวละครตัวนั้น แต่ที่ตัวละครนั้นต้องพบกับหายนะก็เพราะทิฐิของตนเอง
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ แววตาเศร้าหมองกล่าวว่า “ค่ะ เราเห็นว่าเนื้อเรื่องมันเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอซึ่งเป็นแม่ที่รักลูกมากคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ต้องต่อสู้เพียงลำพังในปัญหาที่เธอมองไม่เห็นทางอออก เธอคนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ของคนเลวที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย...” หญิงสาวผ่อนลมหายใจแล้วต่อจนจบว่า “...ไม่อย่างนั้นคนเขียนคงไม่ลงโทษเธอด้วยการมอบความตายให้แก่เธอหรอกค่ะ”
ประโยคนั้นของหญิงสาวกระแทกเข้าไปในห้วงความคิดของชายหนุ่ม ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นพ้องกับเธอว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ ไม่ทันที่บทสนทนาจะกำเนินต่อไป หญิงสาวก็ลุกขึ้นกล่าวขอโทษที่ชวนคุยเรื่องไร้สาระ และขอตัวไปขึ้นรถ ชายหนุ่มกำลังงงๆจึงได้แต่พยักหน้ารับบอกว่าไม่เป็นไรเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มใช้เวลาที่เหลือนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไร แต่ความจริงแล้วมีความสำคัญต่อชีวิตของเขามากทีเดียว
หากเธอกำลังจะชี้ให้เขาเห็นว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ทำผิดเพราะไม่สามารถหาทางออกเพียงลำพังได้ได้ และต้องการใครสักคนให้เข้ามาช่วยเหลือ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อตัดสินความผิดแล้ว เธอก็ได้บอกสิ่งที่มีค่าที่สุดแก่เขา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ล้วงเอาตั๋วเดินทางออกมาจากกระเป๋ากางเกงฉีกออกเสียสี่ส่วน คว้าเป้ขึ้นสะพายแล้วเดินออกไปจากห้องรับรองนั้น
หากเจตนาแรกของเขาคือการหนีไปให้พ้นจากเพื่อนเฮงซวย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนีอีกแล้ว จะมีก็แต่เหตุผลที่จะต้องกลับไป...ดึงเพื่อนที่ทำตัวเหลวแหลกให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม
ที่หน้าสถานีขนส่งชายหนุ่มหันหลังกลับทอดสายตาไปยังสถานที่อันวุ่นวายแห่งนั้น และนึกขอบคุณหญิงสาวนิรนามคนนั้นอย่างสุดใจ ที่บอกสิ่งดีๆให้แก่เขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้เจตนาก็ตาม
---------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^
(วางโครงเรื่องไว้นานแล้ว เพิ่งจะได้แต่งจริงจังก็คราวนี้
ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ)
เสียงเครื่องยนต์คำครามดังกระหึ่มแข่งกับเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน สถานีขนส่งยังคงวุ่นวายและสับสนอยู่เสมอแม้จะเป็นเวลาก่อนรุ่งสางก็ตามที ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนพิงกำแพงร้านสะดวกซื้ออยู่อย่างเงียบๆ ข้างกายมีกระเป๋าเป้ใบหนึ่งวางอยู่ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นทอดสายตาออกไปไกล พ่นลมหายใจออกแรงๆเป็นพักๆ คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม เขาเหนื่อยหน่ายกับแสงสีและความวุ่นวายของเมืองเต็มที ทั้งพวกเพื่อนไม่เอาถ่านของเขาด้วยเหมือนกัน ขนาดเขากำลังจะหนีไปต่างจังหวัดก็ยังไม่วายต้องทนแกร่วรอรถอยู่ที่สถานีถึงสองชั่วโมง
‘อะไรมันจะวุ่นวาย หนวกหู น่ารำคาญขนาดนี้วะ?’ เขาคิดพลางเป่าลมออกมาแรงๆ แล้วทอดสายตาออกไปอีกเผื่อว่าจะคลายความหงุดหงิดไปได้ พลันสายตาของชายหนุ่มก็ไปสะดุดเข้ากับห้องกระจกเล็กๆห้องหนึ่ง เป็นหนึ่งในบรรดาห้องรับรองสำหรับผู้โดยสาร แต่ข้างในกลับว่างพิกล เท่าที่ดูเห็นจะมีคนอยู่เพียงคนเดียว จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ แต่แล้วเขาก็พบคำตอบเมื่อเห็นว่าโทรทัศน์ที่ควรจะตั้งอยู่กลับไม่มี และพัดลมก็ตั้งอยู่อย่างที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น คงเป็นเพราะเครื่องปรับอากาศเสียประกอบกับโทรทัศน์ก็ไม่มีคนจึงไม่สนใจจะเข้าไปนั่งอุดอู้อยู่ในนั้นเป็นแน่
‘คงจะเงียบสบายกว่าข้างนอกล่ะน่า’ ชายหนุ่มคิดแล้วก็คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง สาวเท้าตรงไปยังห้องรับรองนั้น
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องรับรองชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความสงบ ราวกับเป็นอีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว ต่างจากข้างนอกมากมายนัก หากจะมีเสียงก็คงจะมีก็แต่เพียงพัดลมที่ครางต่ำๆเท่านั้น ชายหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างห่างจากหญิงสาวพอสมควร
เขาชำเลืองมองดูหญิงสาวครู่หนึ่งตามประสาชาย ร่างบางแลดูน่าทะนุถนอม ผมยาวสีดำสนิทรวบเป็นเปียเดี่ยวไว้ข้างหลัง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากบางได้รูปสวย หญิงสาวไม่ได้สนใจต่อการมาของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย สายตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือในมือไม่วาง เมื่อเห็นว่าสมาธิของอีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในหนังสือเล่มบางนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดที่จะเข้าไปทัก เลือกที่จะปล่อยตัวตามสบายดื่มด่ำไปกับความสงบที่หาได้ยากยิ่งในสังคมเองอันวุ่นวาย
สักพักหนึ่งเสียงสะอื้นเบาๆก็กระทบเข้ากับโสตประสาทของเขา ชายหนุ่มสะดุ้งหันไปทางต้นเสียงพลางนึกสงสัย หญิงสาวกำลังร้องไห้ เธอพยายามสะกดเสียงสะอื้นให้เบาที่สุด หากแต่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลพรากออกมาได้
“ทิชชู่ไหมครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งซองทิชชู่แบบพกพาผ่านไปให้เธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ยิ้มอย่างอายๆมาให้เขา เธอกล่าวขอบคุณแล้วรับทิชชู่จากเขาไป
“เรื่องเศร้ามากเลยหรือครับ?” เขาถามอย่างชวนคุย คิดว่าเธอคงจะสงสารนางเอก ไม่ก็เรื่องราวความรักของพระเอกกับนางเอกเป็นแน่
หญิงสาวพยักหน้ารับเบาๆ ยังคงไม่หยุดสะอื้น “ค่ะเศร้ามากทีเดียว ฉันไม่เคยเห็นแม่คนไหนต้องมาเจอชะตากรรมเช่นนี้เลย” เธอเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แม่หรือครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ
“ค่ะ” เธอพยักหน้าพลางสะอื้นพลาง “ฉันไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่แม่พยายามทำทุกอย่างเพื่อลูกได้ถึงขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่เธอถูกมองว่าเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดเสียอย่างนั้น” เธอกล่าวแต่ละถ้อยคำออกมาอย่างยากเย็นเพราะการร้องไห้
ถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ฉงนยิ่งขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดถึงเรื่องของนางเอกพระเอกดังที่เขาคาดการณ์ไว้ เธอกำลังพูดถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ดูท่าทางจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ไม่ทันที่เขาจะถามอะไรต่อไปเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณจะคิดว่าฉันแปลกก็ได้นะคะ ที่สงสารตัวร้ายในนิยายอย่างนี้ แต่ฉันอดไม่ได้จริงๆที่จะสงสารเธอ...” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามกลั้นสะอื้นไว้แล้วกล่าวต่อไป “เธอทำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะทำให้ลูกขอเธอมีความสุข เพราะเธอมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นคนที่คอยดูแลลูกของเธอหลังจากที่เธอล่วงลับไปแล้ว เธอทำทุกอย่างเพียงลำพังเพื่อลูกสาวของเธอ ผิดถูกเธอไม่รู้อะไรแล้วเพราะความรักและเป็นห่วง แต่ที่ร้ายที่สุดไม่ใช่เพราะไม่มีใครเห็นใจเธอ เป็นเพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือเธอต่างหาก”
หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันกล่าวว่า “คุณคิดว่าการต่อสู้ในหนทางที่มืดมนเพียงคนเดียว เป็นสิ่งที่หญิงคนหนึ่งสมควรจะได้รับหรือเปล่าคะ? ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเขียนถึงได้มอบบทอันโหดร้ายให้เธอได้ถึงขนาดนี้”
“แต่ว่าการกระทำขอเธอไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องไม่ใช่หรือครับ?” เขาถามกลับตามความคิดเห็นส่วนตัว ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือละคร ตัวร้ายต่างกระทำการที่ไม่ถูกต้องอยู่ทุกครั้งไป แม้ว่าเหตุผลจะต่างกันไปบ้างก็ตาม
“แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นปัญหาของเธอเลยนี่คะ! การที่คนเราเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะคิดหาทางอออกได้ดีเท่ากับการมีคนเข้ามาช่วยเหลือ เสนอแนะ” หญิงสาวพูดแทบจะแผดเสียงด้วยอารมณ์ร่วมไปกับนิยาย
ชายหนุ่มนิ่งไปเพราะคำพูดของเธอ หากเธอไม่ใช่นักวิจารณ์ ก็คงจะมีปูมหลังที่เชื่อมโยงกันได้กับกรณีที่พูดกันอยู่นี้เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดออกมาเสียมากมายและเกิดอารมณ์ร่วมจนเกือบจะตวาดเขาเช่นนี้ ชายหนุ่มชำเลืองมองดูชื่อเรื่องที่พิมพ์อยู่บนมุมด้านหนึ่งของหน้าหนังสือ เห็นเป็นเรื่องที่เคยดูและพอจะจำได้คร่าวๆ เขาจึงรู้ว่าหญิงสาวพูดถึงตัวละครตัวไหนอยู่และนึกขึ้นมาได้ถึงตอนจบของเรื่องนี้
“แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการให้อภัยจากคนอื่นๆไม่ใช่หรือครับ? ผมเองก็เคยดูอยู่ เธอปฏิเสธการให้อภัยนั้น เธอพยายามหนีแล้วสุดท้ายจึงถูกวิสามัญ เธอได้รับการให้อภัยแล้วแต่ไม่รับเอาไว้เองไม่ใช่หรือครับ?” เขาพูดไปตามที่นึกออก พยายามชี้ให้หญิงสาวเห็นว่ามีคนให้อภัยในความผิดของตัวละครตัวนั้น แต่ที่ตัวละครนั้นต้องพบกับหายนะก็เพราะทิฐิของตนเอง
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ แววตาเศร้าหมองกล่าวว่า “ค่ะ เราเห็นว่าเนื้อเรื่องมันเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอซึ่งเป็นแม่ที่รักลูกมากคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ต้องต่อสู้เพียงลำพังในปัญหาที่เธอมองไม่เห็นทางอออก เธอคนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์ของคนเลวที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย...” หญิงสาวผ่อนลมหายใจแล้วต่อจนจบว่า “...ไม่อย่างนั้นคนเขียนคงไม่ลงโทษเธอด้วยการมอบความตายให้แก่เธอหรอกค่ะ”
ประโยคนั้นของหญิงสาวกระแทกเข้าไปในห้วงความคิดของชายหนุ่ม ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นพ้องกับเธอว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ ไม่ทันที่บทสนทนาจะกำเนินต่อไป หญิงสาวก็ลุกขึ้นกล่าวขอโทษที่ชวนคุยเรื่องไร้สาระ และขอตัวไปขึ้นรถ ชายหนุ่มกำลังงงๆจึงได้แต่พยักหน้ารับบอกว่าไม่เป็นไรเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มใช้เวลาที่เหลือนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไร แต่ความจริงแล้วมีความสำคัญต่อชีวิตของเขามากทีเดียว
หากเธอกำลังจะชี้ให้เขาเห็นว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ทำผิดเพราะไม่สามารถหาทางออกเพียงลำพังได้ได้ และต้องการใครสักคนให้เข้ามาช่วยเหลือ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อตัดสินความผิดแล้ว เธอก็ได้บอกสิ่งที่มีค่าที่สุดแก่เขา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ล้วงเอาตั๋วเดินทางออกมาจากกระเป๋ากางเกงฉีกออกเสียสี่ส่วน คว้าเป้ขึ้นสะพายแล้วเดินออกไปจากห้องรับรองนั้น
หากเจตนาแรกของเขาคือการหนีไปให้พ้นจากเพื่อนเฮงซวย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนีอีกแล้ว จะมีก็แต่เหตุผลที่จะต้องกลับไป...ดึงเพื่อนที่ทำตัวเหลวแหลกให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม
ที่หน้าสถานีขนส่งชายหนุ่มหันหลังกลับทอดสายตาไปยังสถานที่อันวุ่นวายแห่งนั้น และนึกขอบคุณหญิงสาวนิรนามคนนั้นอย่างสุดใจ ที่บอกสิ่งดีๆให้แก่เขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้เจตนาก็ตาม
---------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^
(วางโครงเรื่องไว้นานแล้ว เพิ่งจะได้แต่งจริงจังก็คราวนี้
ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ)
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ