ห้องพักริมสุด

5.3

เขียนโดย bowkily

วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23.49 น.

  1 ตอนเดียวจบ
  10 วิจารณ์
  6,886 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     เมืองศิวิไลอย่างกรุงเทพสมัยนี้      ทั่วทุกอนูสามารถทำเงินได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากใครมีที่   มีทางอยู่ใกล้ศูนย์การค้า  ก็เรียกได้ว่าป็นเศรษฐีย่อมๆได้แล้ว  ผู้คนจึงแห่กันมาปักหลัก   ตั้งรกรากทำมาหากินในเมืองกรุงอย่างล้นหลาม  แน่นอนส่วนใหญ่พวกที่ไม่มีบ้านในตัวเมืองอยู่ก่อนแล้ว  ก็มักจะซื้อคอนโดมิเนียมอยู่ หรือ คนที่มีเงินน้อยหน่อยก็ต้องเช่าหอพัก  จ่ายกันเป็นรายเดือนไป  แต่สำหรับฉันที่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพ  จำเป็นต้องออกมาเช่าหอพักเอาใกล้ที่ทำงานที่สุด เพื่อหนีรถติดตอนเช้าและตอนเย็น
บริษัทที่ฉันทำอยู่เป็นบริษัทเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง  ซึ่งยังดีที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านไม่ต้องไปผจญกับความวุ่นวายบนท้องถนน  แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องเช่าหอพักอยู่ดี  เพราะจากบ้านกว่าจะถึงรถไฟฟ้า ระยะทางพอสมควรทีเดียว  เพื่อซื้อเวลา  ฉันจึงตัดสินใจอยู่ห้องพักห่างจากที่ทำงานไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  หอพักแห่งนี้จากภายนอกดูสะอาดสะอ้าน ทั้งตึกเป็นตึกใหม่   ลมโชยโปร่งสบาย  มียามรักษาความปลอดภัยรวมถึงกล้องวงจรปิดครบครัน   และที่สำคัญอยู่ห่างสถานีรถไฟฟ้าไม่ถึง500เมตร  จึงไม่แปลกที่จะมีคนอยู่เต็มทุกห้อง     โชคดีวันที่ฉันมาเช็คห้องพัก มีห้องหนึ่งกำลังจะย้ายออกพอดี   เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาฉันจึงวางเงินมัดจำและทำสัญญาวันนั้นเลย 
ห้องที่ฉันอยู่นั้น  เป็นห้องริมสุดทางเดินของชั้น 4 ซึ่งราคาแพงกว่าห้องธรรมดานิดหน่อย  เพราะนอกจากจะใหญ่กว่าห้องอื่นแล้ว     ห้องนี้ยังมีหน้าต่างเพิ่มมาอีกหนึ่งบานข้างผนังด้วย   แต่ที่น่าแปลก    คือเจ้าของหอพักคิดราคาให้เป็นพิเศษ    แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำสัญญาหนึ่งปี  ความหมายคือหากคุณเช่าอยู่ไม่ถึงปีก็ไม่เป็นไร    แต่คุณต้องจ่ายค่าเช่าห้องให้ครบหนึ่งปีเต็มตามสัญญา    คุณจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตามสบาย    เจ้าของเขาไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว  ฉันเห็นว่าถึงยังงัยก็ต้องทำงานที่นี่อีกนาน   จึงไม่ลังเลที่จะทำตามเงื่อนไข    ดีซะอีก     เหลือเงินเก็บมากขึ้นแถมได้ห้องดีด้วย ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว โดยลืมความสงสัยไปอย่างสิ้นเชิง   และปกติเท่าที่สังเกตุ   ตอนกลางวันของที่นี่ มักจะเงียบเชียบคนไม่พลุกพล่าน   เพราะส่วนใหญ่ไปทำงานกันหมด   ส่วนตอนเย็นพอถึงเวลาเลิกงาน   คนก็กลับมาพักผ่อนห้องใครห้องมัน ไม่สุงสิงกัน
                จนวันหนึ่งฉันเลิกงานช้ากว่าทุกวัน     ถึงห้องก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว   ซึ่งตอนเข้าลิฟท์มาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกัน  ตามมารยาทคนไทย  ฉันหันไปยิ้มให้พอเป็นมิตร  ผู้หญิงคนนั้นก็หันมายิ้มกลับ แล้วก็เอ่ยถามฉันอย่างคนอยู่มานาน
 “เพิ่งย้ายมาอยู่หรอค่ะ    ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย” 
  “ใช่ค่ะ เพิ่งมาอยู่ไม่กี่วันนี้เอง   ฉันอยู่ชั้น 4 ห้องสุดท้ายค่ะ”  ไม่ทันที่ผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไรต่อ   ลิฟท์ก็ถึงชั้นสี่พอดี    ฉันจึงเดินออก   และไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มให้กับเพื่อนคนแรกในตึกนี้     ระหว่างทางเดินเข้าห้องจะสังเกตุเห็น  ทุกห้องล้วนมีแผ่นสีแดงเล็กๆติดหน้าประตู เหมือนว่านัดกันไปซื้อมาจากที่เดียวกันก็ไม่เชิง    ฉันยังนึกขำๆในใจ    สงสัยคนที่ตึกนี้คงจะเป็นพวกลัทธิใดลัทธิหนึ่งแน่ๆ     กลัวผีขึ้นสมองทั้งที่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด   ยังไม่ทันจบความคิด     ขณะที่ฉันกำลังไขกุญแจเข้าห้อง   พลันผู้หญิงที่เจอกันในลิฟท์ก็วิ่งมา    เธอว่าอยากทำความรู้เพื่อนใหม่เลยชวนฉันไปนั่งคุยที่ห้องเธอซึ่งอยู่ชั้น 5    จริงๆวันนี้กลับจากทำงานก็เหนื่อยแล้ว    แต่ก็ไม่ดีที่จะปฏิเสษ       ฉันเลยบอกให้เข้าไปรอในห้องด้วยกันก่อน   ขอเวลาเก็บของ 5 นาที  เธอบอกด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า  “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ รอข้างนอกก็ได้ เกรงใจ ” ฉันเลยพยักหน้าและ  เปิดประตูห้องแง้มไว้นิดนึง    ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บของ    จู่ๆประตูก็ปิดดัง ปึ้ง!  ตอนแรกคิดว่าลมแรง เลยไม่ได้ใสนใจ     พอทำอะไรเสร็จสรรพ   ฉันก็รีบออกมาทันทีด้วยกลัวเธอจะรอนาน   แต่เมื่อออกมาก็ไม่พบเธอเสียแล้ว    ยังไม่ทันไรเสียงหนึงก็ดังขึ้นอีก  พลั๊ก พลั๊ก พลั๊ก !! แคว๊ก   ฉันตกใจร้องเสียงหลง  “นั่นใครน่ะ  ออกมานะ’   ฉันกวาดตามองเข้าไปในห้อง  แล้วเสียงหนึ่งก็ตอบสวนมาเกือบจะตะโกน
 “กูออกมาแล้ว มึงน่ะแหละ ออกไป นี่มันห้องกู”   ฉันมองหาต้นตอของเสียง  พร้อมๆกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง    ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือ    ผู้หญิงใส่ชุดนอนสีขาว  ผมยาวปรกหน้า  ตัวห้อยโตงเตงแกว่งไปมา   หัวของเธอติดอยู่กับห่วงที่ใช้ขื่อเป็นตัวยึด  มือทั้งสองข้างเหมือนกำลังจะคว้ากำแพง  มองดีๆคือเธอข่วนฝาผนังอยู่นั่นเอง  เสียงนั้นมันดัง  แกร๊ก ๆ ๆ    ตัวก็ดิ้นชักกระตุกทุรนทุราย   ดวงตาเป็นสีแดงฉานจนแทบไม่เห็นตาขาวหรือตาดำ สีหน้าทรมานสุดขีด  ฉันยืนนิ่ง ขาชา ตัวสั่น เพราะทั้งแน่ใจและมั่นใจว่า  ไม่มีทางเป็นอะไรไปได้นอกจาก   ผี!  ตั้งแต่เกิดจนอายุล่วงมาป่านนี้ยังไม่เคยเห็นผีกัน จะ จะ สักที     ทั้งยังตะโกนไล่ฉันออกจากห้องอีกด้วย   และทันที ที่ขาขยับได้ฉันก็วิ่งไปที่ประตูแทบจะก้าวเดียวถึง    หลุดจากประตูได้แค่นั้นแหละ   มือไม้มันอ่อนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องไห้ด้วยความกลัว  วิ่งไปตั้งหลักหน้าห้องถัดไปจากห้องฉันอีก 2 ห้อง  คนอื่นๆทีได้ยินเสียงต่างก็ออกมาดูกัน    ว่ามันเกิดอะไร 
“คุณเป็นอะไร รึเปล่าครับ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น พร้อมๆกับเดินมาเขย่าตัวฉัน แต่เวลานั้นจิตใจไม่อยู่กับตัว   ได้แต่ร้องสะอึกสะอื้น
 “จะให้ผมอยู่เป็นเพื่อนมั้ยครับ”  เขาปลอบพร้อมกับพาฉันลงไปนั่งม้าหินใต้ตึก    ผ่านไปกี่ชั่วโมงไม่รู้มารู้สึกตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงเขาเรียกเบาๆพอให้รู้สึกตัว
 “คุณครับ ดีขึ้นรึยังครับ พอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ฉันหันไปสบตาเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจเล่าเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว   พอฉันเล่าจบ เขาก็ทำหน้านิ่งเรียบ  เหมือนไม่ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“แล้วคุณไม่รู้หรือ   ว่าห้องนั้นไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่หรอก”
“ทำไมล่ะค่ะ   ห้องนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”  สีหน้าที่งุนงง มันทำให้เขาใจอ่อนก่อนจะเล่าในสิ่งที่คนอยู่มานาน  กล้ำกลืนฝืนทน
                                   เมื่อปีที่แล้วในห้องนั้น มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่    สามีทำงานเป็นเซลขายรถยนต์   เป็นธรรมดาที่ ต้องเจอกับลูกค้ามากหน้าหลายตาโดยเฉพาะลูกค้าผู้หญิง    ส่วนภรรยาก็เป็นแม่บ้าน   เพราะร่างกายไม่สู้แข็งแรงเหมือนคนทั่วไป    พักหลังๆสามีมีเงินเก็บมากขึ้น    จากการทำยอดทะลุทะลวง     และเริ่มตะเวนดูบ้านเพื่อจะซื้อ   ทำเซอร์ไพรส์ภรรยา   บางครั้งเขาตะเวนดูโครงการบ้านที่ขึ้นเป็นดอกเห็ด      ทำให้ต้องเจียดเวลาหลังเลิกงานไปเก็บข้อมูลเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว    แต่ประจวบเหมาะกับมีลูกค้าผู้หญิงมาชอบพอ     ทั้งโทรศัพท์เข้ามาเกือบจะทุกชั่วโมง   ไหนจะข้อความหวานๆที่ส่งมาได้ไม่เว้นแต่ละวัน   ฝ่ายสามีไม่ได้คิดนอกใจภรรยาเลยแม้แต่น้อย   ติดแค่คำว่า   ลูกค้าคือเงิน   จะไม่รับสายหรือด่ากลับไป  ก็อาจจะโดนไล่ออกจากบริษัทได้ง่ายๆ    ทางเดียวที่ทำได้   คือให้ภรรยาเชื่อใจเขา    มันเป็นการยากที่ภรรยาจะไว้ใจในตัวสามี   เหตุเพราะเขาตอบไม่ได้ว่าเวลาหลังเลิกงานไปไหนต่อ  อยู่กับใคร  หรือกำลังทำอะไร      ถึงกลับบ้านผิดเวลาเกือบทุกวัน   สามีเธอเป็นคนปากหนัก   ไม่ชอบการโกหก   ได้แต่เงียบ  เงียบ  และก็เงียบ      รอแค่เพียงธนาคารอนุมัติการกู้สินเชื่อบ้านเมื่อไหร่    เขาจะรีบบอกความจริงกับเธอทันที     และเรื่องลูกค้าสาวคนนั้น   เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะบอกกับเธอให้เข้าใจ    ว่าตัวเขามีเมียแล้ว  คงรับไมตรีจากใครไม่ได้อีก      แต่ยังไม่ทันได้จัดการอะไรต่ออะไร    เขาและเธอก็เริ่มทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต  โดยฝ่ายภรรยาไม่รับฟังอะไรสักอย่าง   พักหลังๆหนักเข้าถึงขนาดขู่จะฆ่าตัวตาย ด้านสามีเกิดเครียด  ดวดไปกินเหล้ากลับดึกทุกคืน เมียเขาคิดไปต่างๆนาๆว่า ผัวไปเที่ยวกับลูกค้าผู้หญิงคนนั้น  เกิดน้อยใจ เลยฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอกับขื่อที่ติดกับผนังห้อง  แล้วอัดวีดีโอไว้ให้สามีดูเพื่อประชด   จากนั้นสามีก็ลาออกจากงาน เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบ  โทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่บอกความจริงไปแต่แรก คิดว่าทุกอย่างคงกลับมาเป็นปกติหลังจากเอกสารเกี่ยวกับการกู้เรียบร้อยแล้ว    แต่มันสายไป  สายไปอย่างไม่น่าให้อภัย    หลังจากนั้นห้องนี้ก็ถูกปิดตายมาตลอด   เจ้าของตึกสั่งการห้ามทุกคนพูดถึงเรื่องนี้อีก  แล้วจะให้อยู่ฟรี 6 เดือน  ถ้าเรื่องแพร่งพรายจากปากใครไป  เงินมัดจำสามเดือนของทุกห้องจะไม่ได้คืนแม้แต่บาทเดียวต้องรับผิดชอบร่วมกัน  ของฟรีกับการกลัวเสียเงินก้อนโตเป็นสิ่งล่อตาเพื่อปิดข่าวได้  คนในตึกนี้จึงยอมรับไปโดนปริยาย   ไม่นานห้องนี้ก็ถูกเปิดให้เช่าอีกครั้ง  ก็ไม่มีใครทนอยู่ได้สักคนเดียว  อีกทั้งยังต้องเสียเงินรายเดือนจ่ายให้ครบทุกเดือนตามสัญญาโดยจำใจ    ผีเจ้าของห้องเค้าคงหวงและคงรอสามีกลับมา  เขาถึงไม่ไปไหน สิ่งสำคัญคือเมื่อคนไม่ถึงที่ตาย  แล้วฆ่าตัวตาย  เขาก็ต้องกลับมาที่เดิมแล้วฆ่าตัวตายทุกคืนๆ    ทำจนกว่าถึงอายุไขของเขา 
“แล้วตอนนี้สามีเขาอยู่ไหนล่ะค่ะ ”
“ไปบวช แต่ตอนนี้สึกแล้วล่ะ เขาย้ายไปอยู่ตึกข้างๆนี่เอง เพราะยังห่วงภรรยาอยู่” เขาชี้ไปตึกสีขาวที่อยู่ติดกับตึกของฉัน
“ท่าทางคุณดูรู้เรื่องเยอะจัง    แต่ฉันสงสัยว่าถ้าเขายังห่วงภรรยาอยู่  ทำไมเขาสึกแล้วไม่มาอยู่ห้องเดิมที่เคยอยู่ล่ะค่ะ  ไปอยู่ทำไมตึกข้างๆ มันไม่ได้ห่างกันเลยนะ” ฉันยังคงติดใจอยู่
“เขาทำใจรับไม่ได้  ไม่อยากอยู่ห้องที่เคยมีอดีตสมัยตอนที่ยังรักกันน่ะครับ”
 
                                เราสองคนนั่งคุยกันถึงเช้า   กระทั่ง ฉันขอตัวกลับไปห้องก่อน  นี่มันก็เช้าแล้วเธอคงไม่ออกมาตอนนี้ล่ะมั้ง   ไม่กี่นาทีของก็ถูกจัดเก็บพร้อมย้าย   ไม่เคยเก็บข้าวของทั้งห้องได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลย  ไม่เอาแล้วค่ามัดจำห้อง ฉันโทรไปหาเพื่อนให้มาช่วยย้ายของ   ในระหว่างที่พวกเราขนของลงมานั้น  เพื่อนฉันบอกว่า  เห็นผู้หญิงยืนที่หน้าต่างชี้มาทางฉัน   สายตาดุมาก ฉันไปมีเรื่องอะไรกับใครรึเปล่า  ได้ยินแค่นั้นแหละขนหัวที่มันยังไม่หายลุกกลับลุกชันขึ้นมาอีก  ฉันบอกเพื่อนให้รีบๆเอาของขึ้นรถและขับออกไปเถอะ อย่าถามอะไรมาก  ฉันย้ายของทั้งหมดมาไว้ที่บ้านเพราะไม่อยากไปเช่าห้องที่ไหนอีกแล้ว บอกได้เลยว่าเข็ด    ต่อแต่นี้จะไม่ขออยู่คนเดียวแน่นอน    แล้วก็เกิดเรื่องตามมาอีกจนได้  ไอ้ตอนที่เก็บของ   ขนย้ายออกมา     ฉันไม่ทันสังเกตุเห็นว่ามีม้วนเทปอยู่ในลัง  ชื่อเขียนหน้าตลับก็ไม่มี    ใจเจ้ากรรมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ   ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นเทปอะไร  เพื่อนฉันรีบเอาขึ้นมาดูพร้อมทำหน้าทะเล้น    กระโดดไปเปิดเครื่องเล่นแล้วรีบมานั่งดูอย่างตั้งใจ    เพราะคิดว่าฉันคงมีเรื่องลับๆซ่อนไว้อย่างแน่นอน   ก็น่าคิดอยู่   ดูเทปซ่อนอย่างดี    มิน่าถึงแซวฉันในรถตอนขับออกมาว่า    “นี่ถ้าฉันไม่เก็บของลับแกมานะ   ป่านนี้คงเป็นภาพฉาวอยู่ในเน็ตแล้ว  ข้างในเป็นอะไรล่ะ คลิปส่วนตัวหรอจ๊ะ  มีฟงมีแฟนไม่คิดจะบอกเพื่อนบ้าง สงสัยจะเก็บไว้ดูคนเดียว คริ คริ”
 
 
ฉันไม่เข้าใจ  ว่ามันพูดเรื่องอะไรของมัน  แต่ก็ไม่อยากถาม    คิดว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย  แต่พอเปิดเทปเล่นเท่านั้นแหละ รู้เลยว่ามันคือเทปอะไร? 
 
 
                  ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้ากล้องที่ดำเนินการเก็บรายละเอียดทุกขั้นทุกตอน    ทั้งพูดตัดพ้อสามี    ทั้งร้องไห้โวยวาย    ทั้งกระชากผ้าม่านออกมาทั้งยวงจากหน้าต่าง      และเดินไปเอากรรไกรมาตัด    แล้วค่อยๆนำมาผูกต่อกันเป็นเชือกยาว        ขณะที่ตัดผ้าเธอก็ยังมองมาที่กล้องตลอด  ตาที่บวมบ่งบอกถึงผ่านการเสียน้ำตามาอย่างหนัก    จากนั้นเธอก็ค่อยๆลากเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งมาวางกลางห้อง   แล้วเอาผ้าพาดแขวนไว้กับขื่อแล้วมัดปมอย่างช้าๆ   จากนั้นเธอเริ่ม เอาศรีษะลอดเข้าไปอยู่ในห่วง   ก่อนจะถีบเก้าอี้ให้ล้มลง    ตัวเธอแกว่งไปมาตามแรงโน้มถ่วง  ดิ้นทุรนทุราย ลิ้นจุกปาก มือปัดไปปัดมาทั้งข่วนกำแพงดัง  แคว้ก! เหมือนทรมานอย่างแสนสาหัส   ตาเริ่มมีเลือดฝาดจนแดงก่ำแผ่ไปทั้งสองข้าง  ก่อนจะหยุดแน่นิ่ง มือเท้าหงิกงอ  ลิ้นห้อยอกมาจุกที่ปาก ตากว้างเบิกโพลง  หน้าบิดเบี้ยวราวไม่ใช่มนุษย์     คำพูดสุดท้ายของเธอยังคงก้องอยู่ในหัว “แล้วคุณจะต้องเสียใจตลอดชีวิต ”   เสียงนั้นบ่งบอกว่าทั้งแค้นใจน้อยใจเสียใจ     ส่วนเพื่อนฉันที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ก็บ่นขึ้นลอยๆ
 “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย   สงสัยถ่ายหนังกันมั้ง  นี่ถ้าเป็นเรื่องจริง คงน่ากลัวตายชัก ว่ามั้ยแก”
หูฉันตอนนี้อยู่ในอาการอื้อ ได้ยินทุกคำพูดแต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เลย  นั่นเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ในเทปนั้นเป็นเรื่องจริง   ฉันไม่เคยเห็นขั้นตอนของคนที่ฆ่าตัวตายของจริง  ไม่เคยเห็นอาการทรมานเพราะขาดอากาศหายใจ  ไม่เคยเห็นเรื่องจริงที่ไม่ใช่การแสดง  และไม่คิดว่าจะได้เห็นแบบนี้  ถ้าเลือกได้ ฉันไม่ขอรับรู้เลยได้มั้ย?  จากนั้นน้ำตาฉันก็ซึมไหลออกมาไม่หยุด     ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอเลยด้วยซ้ำ      ฉันจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง      ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบย้ายออกมากระทันหัน    ทั้งที่ไม่อยากจะพูดถึงมัน อยากจะลืมๆไปให้หมด  แต่สถานการณ์ก็บังคับฉันจนได้ 
     เมื่อฉันเล่าจบ  เพื่อนฉันตกอยู่ในอาการไม่ต่างกัน   เบิกตาค้าง  ขนมหล่นจากปากเพราะไม่คิดฝันว่าจะเป็นของจริง  เทปที่ฉายอยู่ในจอทีวีไม่ต้องไปปิดสวิตแล้ว เดินไปกระชากปลั๊กออกทันที  ทำยังงัยก็ได้ให้ภาพมันดับไปเลย   ฉันกับเพื่อนตัดสินใจนำเทปกลับไปคืนที่เดิม   เพราะไม่อยากเก็บครอบครอง  กลัวเจ้าของจะตามมาทวง    พอไปถึงหอพักที่เมื่อกลางวันเพิ่งจะย้ายออกมา    แสงบนท้องฟ้าก็เป็นสีส้มเข้มแล้ว    ใกล้มืดเต็มที   วิธีที่ดีที่สุดก็คือ  คืนให้เจ้าของตึกนำไปวางไว้ที่เดิมในห้องนั้น  เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปในออฟฟิส    ก็ไม่เห็นพนักงานสักคนแล้ว  เหลือวิธีสุดท้าย   คือต้องเอาเทปไปวางหน้าห้องนั้นเอง กุญแจก็คืนไปแล้ว   ตั้งแต่ตอนย้ายออกมา  และถึงมีสำรองให้ตายยังงัยก็ไม่เข้าไปห้องนั้นเด็ดขาด    ระหว่างเดินไปอย่างหวาดระแวง      บังเอิญหันหลังไปเจอผู้หญิงคนที่ขึ้นลิฟท์มาด้วยกันคราวนั้นอีก    ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
     “วันนั้นออกมาฉันก็ไม่เห็นคุณแล้ว    และก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณอยู่ห้องไหน   ขอโทษนะค่ะที่ทำให้รอนาน   วันนั้นดูคุณแปลกๆนะค่ะ  คุณคงกำลังจะบอกอะไรฉัน”
     “เอ่อ ค่ะ   คือฉันต่างหากต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ  ได้ข่าวว่าคุณย้ายออกแล้วหรอค่ะ  คือจริงๆวันที่ฉันเจอคุณที่ลิฟท์ ฉันตั้งใจจะเล่าเรื่องห้องที่คุณอยู่ให้ฟัง  เพราะสงสารคนที่มาอยู่ห้องนั้น ต้องเสียค่ามัดจำไปฟรีๆตั้งหลายคนแล้ว  แต่ไม่กล้าเดินเข้าห้องคุณ ฉันกลัว   แต่ฉันก็เห็นนะ  ตอนคุณกำลังเก็บของ ฉันเห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวยืนอยู่มองมาที่ฉัน  แล้วประตูก็ปิดใส่หน้า   ฉันตกใจรีบวิ่งขึ้นห้องเล่าให้แฟนฟัง  แฟนเลยสั่งห้ามไม่ให้ฉันไปยุ่ง  เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ฉันต้องขอโทษคุณจริงๆนะค่ะ”  เธอใช้มือป้องปากทำเสียงเบาแทบจะกระซิบ  ยืนหันหลังให้กล้องวงจรปิดตลอดการคุยกับฉัน
 
                             ฟังแล้วก็ขนลุกขึ้นมาอีก   เพื่อนฉันหันรีหันขวางหาคนช่วยฝากเอาเทปไปให้เจ้าของตึก แต่ก็ไม่มีใครยอมรับฝากสักคนเดียว  จนสายตาฉันเหลือบเห็นผู้ชายคนที่อยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้าวันนั้น  ฉันรีบเดินเข้าไปทักและขอคำปรึกษา  ทันที่ที่เขาเห็นเทปม้วนนั้นเขาก็กระชากปาลงพื้นทันที   ยังไม่หมดแค่นั้นเขากระโดดขยี้ๆหลายต่อหลายที จนแน่ใจว่ามันพังแล้วไม่เหลือชิ้นดี  ฉันกับเพื่อนตกใจยืนจับมือกันแน่น  หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากชี้นบน  ฉันกับเพื่อนหันมองหน้ากัน แล้ว เงยหน้าขึ้นไปอย่างช้าๆ  พระเจ้าช่วย!! ห้องริมชั้น 4 ห้องที่ฉันเพิ่งย้ายออกมา  ไฟมัน  เปิดๆ ปิดๆ พร้อมๆกับเสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนหนึ่ง      ห้องที่ว่างเปล่าแล้วไฟมันจะเปิดปิดเองได้ยังงัย   สุนัขในระแวกนั้นต่างพากันหอนขึ้นมา  รับกันเป็นทอดๆ จากที่กลัวอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลัวเป็นทวีคูณไปอีกฉันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้ชายคนนั้นทรุดลงกับพื้น  ก้มหน้าร้องไห้แทบใจจะขาด 
 “ทำไมคุณต้องทำอย่างนี้  ทำไม   จะให้ผมเสียใจไปถึงไหน   ผมไม่อยากดูมันอีก  ผมขอโทษ ได้ยินมั้ย ผมขอโทษ ผมรักคุณคนเดียว   ทำไมไม่เชื่อใจกัน  ฮือ  ฮือ”  เขาร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนขาดสติ ฉันกับเพื่อนเกิดความสงสารจับใจ
      หลังจากวันนั้น  ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว      ว่ามันเกิดอะไรขึ้น สามีผู้หญิงคนที่ผูกคอตายก็คือ  คนที่มาปลอบฉันในวันนั้น เพราะเขารู้ว่าวิญญาณเธอยังคงวนเวียนอยู่   ไม่ยอมไปไหน  และที่เขาไปบวชก็เพื่อต้องการไถ่บาปให้กับภรรยา   จากหนักให้เป็นเบา  และยังคอยช่วยคนที่มาเช่าห้องนั้น  ให้รอดพ้นจาก ผีภรรยา  ที่เล่นงานคนแล้วคนเล่า     ถึงแม้จะรู้ว่าเขาคงช่วยอะไรไม่ได้มาก   และเขายังรู้สึกผิดตลอด  ที่ทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปทั่ว   เวลาผ่านไปถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังหมั่นทำบุญตักบาตร  อุทิศส่วนกุศลให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ขาด   โดยหวังว่าเธอจะไปสู่สุขติโดยเร็ว   และขอให้เธออย่าได้ไปหลอกใครๆอีกเลย  แค่นี้บาปก็มากอยู่แล้ว   ส่วนเทปนั่นถึงทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่  แปลกตรง  เทปนั้นไม่เคยพังหรือมีใครทำลายได้เลย  ฉันได้ข่าวว่าเทปนั้นถูกนำไปไว้ในความดูแลของพระรูปหนึ่งแล้ว ขออนุโมทนา สาธุ!
 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา