ค่า SPF ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างไร ? เคล็ดลับเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม

หลายคนเมื่อเลือกซื้อครีมกันแดดคงเคยสังเกตเห็นค่า SPF บนฉลากผลิตภัณฑ์กันมาบ้าง โดยส่วนใหญ่มักเลือกค่า SPF สูง ๆ ไว้ก่อนเพราะคิดว่าสามารถปกป้องผิวได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่รังสี UV มีความรุนแรงมากขึ้นทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดูแลผิวในชีวิตประจำวัน
บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับค่า SPF ว่ามีกี่ระดับ ? ช่วยปกป้องผิวจากรังสีชนิดใด ? และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม ?
 

 
ค่า SPF คืออะไร ปกป้องผิวจากรังสีชนิดใด ?

ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าที่ใช้วัดความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ในแสงแดดที่ต้องเผชิญทุกวัน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดปัญหาผิวตามมา เช่น ผิวไหม้แดด มีริ้วรอยก่อนวัย และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพผิวในระยะยาว
 

 
ค่า SPF ในครีมกันแดด มีทั้งหมดกี่ระดับ ?
ค่า SPF ในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดแบ่งออกเป็นหลายระดับด้วยกัน โดยแต่ละระดับมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดที่แตกต่างกัน ดังนี้

ค่า SPF 15 : ป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 93.3% ถือเป็นค่า SPF ที่น้อย เหมาะสำหรับการปกป้องผิวในวันเบา ๆ ทำกิจกรรมในร่มที่ไม่ต้องเผชิญแสงแดดโดยตรง เช่น ทำงานในออฟฟิศ หรือใช้ชีวิตในอาคาร
ค่า SPF 30 : ป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 96.7% เป็นค่า SPF ในระดับกลาง เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้งทั่วไปที่ไม่ได้โดนแดดจัดมาก เช่น ทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีร่มเงา ทำธุระนอกบ้าน รวมถึงเหมาะกับผู้ที่มีสีผิวขาวอมเหลือง
ค่า SPF 45 : ป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 97.8% เป็นค่า SPF ในระดับกลาง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ต้องอยู่กลางแจ้งนานขึ้น หรือช่วงที่แดดค่อนข้างแรง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวขาวอมชมพู เนื่องจากมีโอกาสเกิดผิวหมองคล้ำหรือเสี่ยงผิวไหม้แดดได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวขาวอมเหลือง
ค่า SPF 50 : ป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 98% ถือเป็นค่า SPF ที่มีประสิทธิภาพสูงในการปกป้องผิว เหมาะกับสภาพอากาศประเทศไทย และการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเจอแสงแดดจัด ต้องการปกป้องผิวให้มากขึ้น เช่น ไปทะเล
ค่า SPF 100 : ป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 98.5% เป็นค่า SPF ที่ให้การปกป้องสูงสุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือทำกิจกรรมที่ต้องเจอแดดจัดมาก ๆ เช่น การเล่นกีฬากลางแจ้ง ปีนเขา แต่ไม่ค่อยนิยมมากนักเพราะเสี่ยงเกิดการระคายเคืองได้

 

 
การใช้กันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ ดีจริงไหม ?

หลายคนมักเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ เพราะคิดว่าค่า SPF ที่สูงนั้นสามารถช่วยปกป้องผิวได้ดีขึ้นตามไปด้วย ความจริงแล้วการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมหรือให้การปกป้องที่ดีกว่าเสมอไป
การเลือกค่า SPF ในครีมกันแดดควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานและสภาพผิวของแต่ละคน หากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านหรือในอาคาร โดยไม่ต้องเจอแสงแดดโดยตรง เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปก็เพียงพอสำหรับการปกป้องผิว แต่ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง เจอแสงแดดจัด ให้เลือกใช้ครีมกันแดดค่า SPF 50 ขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงถึง 100 ในการใช้ชีวิตประจำวัน
นอกจากการเลือกค่า SPF แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกวิธี เช่น การทาครีมในปริมาณที่เพียงพอและทาซ้ำระหว่างวัน จะช่วยให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพดีกว่าการเลือกใช้ค่า SPF ที่สูงจนเกินความจำเป็น
 

 
ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA เท่าไหร่ดี ?
ในการเลือกครีมกันแดด นอกจากค่า SPF แล้ว ค่า PA (Protection Grade of UVA) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะค่า SPF นั้นป้องกันได้เฉพาะรังสี UVB แต่ยังมีรังสี UVA ที่สามารถทะลุผ่านผิวหนังชั้นนอกเข้าไปทำร้ายผิวชั้นในได้ ทำให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และความหมองคล้ำ
ดังนั้นค่า PA (Protection Grade of UVA) จึงเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ที่ควรพิจารณาควบคู่กันไป

คำแนะนำการเลือกค่า SPF และ PA ในครีมกันแดด

สำหรับชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในร่มหรืออยู่ในอาคาร : เลือกค่า SPF 30 และ PA+++
สำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้งหรืออยู่ท่ามกลางแสงแดดจัดเป็นเวลานาน : เลือกค่า SPF 50 ขึ้นไป และ PA++++

ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF และ PA ให้เหมาะสม จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อย่างครอบคลุม
 

 
สรุปเรื่องค่า SPF บนผลิตภัณฑ์กันแดด
ค่า SPF เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อครีมกันแดด การป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพควรคำนึงถึงค่า SPF และ PA โดยเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและกิจกรรมที่ทำ เพื่อช่วยปกป้องผิวให้ปลอดภัยจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแสงแดด
นอกจากนี้ การทากันแดดในปริมาณที่เหมาะสม และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง รวมถึงการหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องผิวที่ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://drvsquare.com/knowledge/what-spf/