มันมาจากป่า
-
เขียนโดย Glasz
วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 01.42 น.
8 ตอน
1 วิจารณ์
10.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 15.39 น. โดย เจ้าของเรื่องเล่า
4) ภาพลวงตา ???
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากเห็นภาพใบหน้าของผู้หญิงซ่อนในม่านหมอกแล้ว ฉันยอมรับเลยว่าตอนนั้นรู้สึกทะแม่งๆจิตตกนิดๆ ความคิดของฉันที่ผุดขึ้นมาคือมันคงไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือเกี่ยวกับปัญหาจากตัวกล้องซะแล้ว แต่ฉันก็พยายามคิดในแง่ดีว่าบางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ พอเงยหน้ามองดูเพื่อนอีกสี่คนที่กำลังเดินไปคุยไปอย่างสนุกสนานแล้วทำให้ฉันตัดสินใจว่าตอนนี้คงต้องพักเรื่องรูปไว้ก่อน ไม่อยากทำให้เพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันกังวลและเสียบรรยากาศการเที่ยวในครั้งนี้
หลังจากหิมะหยุดตกแล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นทันตาเห็น สิ่งที่ฉันเรียนรู้ได้หลังจากมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้นอกจากเรื่องสภาพอากาศแล้วก็เป็นเรื่องช่วงเวลากลางวันที่สั้นกว่ากลางคืน แค่บ่ายสามโมงก็เริ่มมืดเหมือนยามเย็นของเมืองไทย พอถึงบ่ายสี่โมงก็กลายเป็นเวลากลางคืนไปโดยปริยาย ดังนั้นฉันจึงสามารถคาดคะเนเวลาจากท้องฟ้าได้ว่าถึงเวลาบ่ายสามโมงแล้ว และมันก็เป็นเวลาที่พวกเราเดินสำรวจมาถึงอีกสถานที่ของโรงแรมนั่นคือปราสาทหลังค่อนข้างใหญ่สไตล์ยุโรปนั่นเอง
ถ้าคุณนึกลักษณะของปราสาทไม่ออกขอให้นึกถึงปราสาทแสนสวยในบรรดานิทานเจ้าหญิงต่างๆเข้าไว้ เพราะที่นี่ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงพอสมควร ทางเดินขึ้นปราสาทเป็นบันไดทอดยาวขึ้นไปยังบริเวณลานด้านหน้าของปราสาท แน่นอนว่าพวกเราไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปสำรวจ ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดพวกเราก็เดินสวนทางกับคู่รักสองสามคู่ที่มาสำรวจปราสาทหลังนี้ก่อนหน้าพวกเรา ฉันได้ยินมาว่าปราสาทหลังนี้เป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ฉันจึงคาดคะเนว่าพวกบรรดาคู่รักที่เดินผ่านพวกเราไปน่าจะมาดูโลเคชั่นก่อนตัดสินใจถ่ายพรีเวดดิ้งก็เป็นไปได้...
ในที่สุดก็เดินขึ้นมาถึงลานด้านหน้าปราสาท พวกเราเลยแยกกันสำรวจตามบริเวณที่แต่ละคนอยากไป โดยนัดกันว่าให้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเพราะประตูเข้าตัวปราสาทถูกปิดเรียบร้อยแล้ว คงสำรวจได้แค่บริเวณด้านนอกปราสาทเท่านั้นซึ่งไม่น่าจะใช้เวลานานมากนัก ตัวฉันเดินสำรวจตามทางเดินด้านข้างของปราสาทที่มีรั้วกั้นไว้ วิวที่เห็นจากมุมสูงสร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียวเลยจัดการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนแทนกล้องถ่ายภาพที่ถ่ายภาพเจ้าปัญหา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างจากภาพที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปทั้งๆที่ไม่มีหมอกเลย ฉันจึงคิดว่าไหนๆก็ถ่ายรูปแล้วไม่เวิร์คก็คงทำได้แค่เดินชมวิวอย่างเดียว...
ในขณะที่เดินชมวิวไปเรื่อยๆหิมะก็ตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับฝนน้ำแข็ง ตอนนั้นฉันเจอเพื่อนของฉันคนหนึ่งเดินอยู่บริเวณระเบียงด้านหลังของปราสาทที่เป็นจุดยืนชมวิว ฉันจึงทักเรียกไปและเพื่อนก็หันกลับมา ตอนนั้นแว่นของฉันเริ่มมัวเพราะหิมะและฝนน้ำแข็งที่ตกลงมากระทบกับแว่นฉันจึงถอดแว่นเพื่อเช็ดทำความสะอาด พอทำความสะอาดแว่นเสร็จฉันจึงขอให้เพื่อนถือแว่นไว้แป๊บนึงเพื่อเช็ดคราบน้ำแข็งที่เกาะตามใบหน้าออก พอฉันเช็ดเอาคราบน้ำแข็งออกเสร็จแล้วจึงขอแว่นคืนกับเพื่อน ปรากฎว่าเพื่อนของฉันคนนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ ฉันจึงเดินตามหาเพื่อนเพื่อขอแว่นคืนจนกระทั่งฉันเจอเพื่อนของฉันคนนี้อีกครั้ง คราวนี้ฉันจึงขอแว่นคืนอีกครั้งแต่เพื่อนของฉันก็ไม่ได้คืนแว่นหรือตอบกลับแต่อย่างใด เขากลับเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆส่วนตัวฉันก็บอกให้เขาหยุดเดินก่อนแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฉันจึงตัดสินใจเดินตามเขาไปเพื่อขอแว่นคืน เดินตามไปได้ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกฉันจากด้านหลังพร้อมเสียงบ่นตามมาว่า "เรียก 8 รอบไม่ได้ยินเลยหรอ ?" ซึ่งนั่นคือเสียงของเพื่อนฉันเอง ซึ่งเพื่อนคนที่ว่าก็คือคนที่ฉันกำลังเดินตามหลังเมื่อครู่นี่เอง ตอนนั้นความสงสัยของฉันผุดขึ้นมาพร้อมกับหันกลับไปมองบริเวณที่ฉันเห็นเพื่อนของฉันคนนั้นเดินอยู่ก่อนหน้านี้ แต่กลับพบเพียงแค่หิมะและฝนน้ำแข็งที่ตกลงมา ไม่มีใครอยู่ตรงบริเวณนั้นเลย ถึงแม้จะสงสัยมากแค่ไหนแต่ตอนนั้นฉันสนใจเรื่องแว่นของฉันมากกว่าจึงขอแว่นที่ฝากไว้กับเพื่อนคืน แต่คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนนั้นคือ "ไม่มีแว่นหรอก...ไม่ได้รับฝากแว่นด้วย" แต่พอฉันบอกว่าพึ่งฝากแว่นไว้ไปหยกๆตรงบริเวณระเบียงด้านหลังของปราสาทเพื่อนก็ตอบกลับมาด้วยความงุนงงหนักกว่าเดิมว่า "เธอจะฝากแว่นกับฉันตรงบริเวณนั้นได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่เคยไปบริเวณนั้นเลย !!!"
หลังจากหิมะหยุดตกแล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นทันตาเห็น สิ่งที่ฉันเรียนรู้ได้หลังจากมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้นอกจากเรื่องสภาพอากาศแล้วก็เป็นเรื่องช่วงเวลากลางวันที่สั้นกว่ากลางคืน แค่บ่ายสามโมงก็เริ่มมืดเหมือนยามเย็นของเมืองไทย พอถึงบ่ายสี่โมงก็กลายเป็นเวลากลางคืนไปโดยปริยาย ดังนั้นฉันจึงสามารถคาดคะเนเวลาจากท้องฟ้าได้ว่าถึงเวลาบ่ายสามโมงแล้ว และมันก็เป็นเวลาที่พวกเราเดินสำรวจมาถึงอีกสถานที่ของโรงแรมนั่นคือปราสาทหลังค่อนข้างใหญ่สไตล์ยุโรปนั่นเอง
ถ้าคุณนึกลักษณะของปราสาทไม่ออกขอให้นึกถึงปราสาทแสนสวยในบรรดานิทานเจ้าหญิงต่างๆเข้าไว้ เพราะที่นี่ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงพอสมควร ทางเดินขึ้นปราสาทเป็นบันไดทอดยาวขึ้นไปยังบริเวณลานด้านหน้าของปราสาท แน่นอนว่าพวกเราไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปสำรวจ ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดพวกเราก็เดินสวนทางกับคู่รักสองสามคู่ที่มาสำรวจปราสาทหลังนี้ก่อนหน้าพวกเรา ฉันได้ยินมาว่าปราสาทหลังนี้เป็นหนึ่งในโลเคชั่นยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ฉันจึงคาดคะเนว่าพวกบรรดาคู่รักที่เดินผ่านพวกเราไปน่าจะมาดูโลเคชั่นก่อนตัดสินใจถ่ายพรีเวดดิ้งก็เป็นไปได้...
ในที่สุดก็เดินขึ้นมาถึงลานด้านหน้าปราสาท พวกเราเลยแยกกันสำรวจตามบริเวณที่แต่ละคนอยากไป โดยนัดกันว่าให้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเพราะประตูเข้าตัวปราสาทถูกปิดเรียบร้อยแล้ว คงสำรวจได้แค่บริเวณด้านนอกปราสาทเท่านั้นซึ่งไม่น่าจะใช้เวลานานมากนัก ตัวฉันเดินสำรวจตามทางเดินด้านข้างของปราสาทที่มีรั้วกั้นไว้ วิวที่เห็นจากมุมสูงสร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียวเลยจัดการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนแทนกล้องถ่ายภาพที่ถ่ายภาพเจ้าปัญหา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างจากภาพที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปทั้งๆที่ไม่มีหมอกเลย ฉันจึงคิดว่าไหนๆก็ถ่ายรูปแล้วไม่เวิร์คก็คงทำได้แค่เดินชมวิวอย่างเดียว...
ในขณะที่เดินชมวิวไปเรื่อยๆหิมะก็ตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับฝนน้ำแข็ง ตอนนั้นฉันเจอเพื่อนของฉันคนหนึ่งเดินอยู่บริเวณระเบียงด้านหลังของปราสาทที่เป็นจุดยืนชมวิว ฉันจึงทักเรียกไปและเพื่อนก็หันกลับมา ตอนนั้นแว่นของฉันเริ่มมัวเพราะหิมะและฝนน้ำแข็งที่ตกลงมากระทบกับแว่นฉันจึงถอดแว่นเพื่อเช็ดทำความสะอาด พอทำความสะอาดแว่นเสร็จฉันจึงขอให้เพื่อนถือแว่นไว้แป๊บนึงเพื่อเช็ดคราบน้ำแข็งที่เกาะตามใบหน้าออก พอฉันเช็ดเอาคราบน้ำแข็งออกเสร็จแล้วจึงขอแว่นคืนกับเพื่อน ปรากฎว่าเพื่อนของฉันคนนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ ฉันจึงเดินตามหาเพื่อนเพื่อขอแว่นคืนจนกระทั่งฉันเจอเพื่อนของฉันคนนี้อีกครั้ง คราวนี้ฉันจึงขอแว่นคืนอีกครั้งแต่เพื่อนของฉันก็ไม่ได้คืนแว่นหรือตอบกลับแต่อย่างใด เขากลับเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆส่วนตัวฉันก็บอกให้เขาหยุดเดินก่อนแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฉันจึงตัดสินใจเดินตามเขาไปเพื่อขอแว่นคืน เดินตามไปได้ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกฉันจากด้านหลังพร้อมเสียงบ่นตามมาว่า "เรียก 8 รอบไม่ได้ยินเลยหรอ ?" ซึ่งนั่นคือเสียงของเพื่อนฉันเอง ซึ่งเพื่อนคนที่ว่าก็คือคนที่ฉันกำลังเดินตามหลังเมื่อครู่นี่เอง ตอนนั้นความสงสัยของฉันผุดขึ้นมาพร้อมกับหันกลับไปมองบริเวณที่ฉันเห็นเพื่อนของฉันคนนั้นเดินอยู่ก่อนหน้านี้ แต่กลับพบเพียงแค่หิมะและฝนน้ำแข็งที่ตกลงมา ไม่มีใครอยู่ตรงบริเวณนั้นเลย ถึงแม้จะสงสัยมากแค่ไหนแต่ตอนนั้นฉันสนใจเรื่องแว่นของฉันมากกว่าจึงขอแว่นที่ฝากไว้กับเพื่อนคืน แต่คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนนั้นคือ "ไม่มีแว่นหรอก...ไม่ได้รับฝากแว่นด้วย" แต่พอฉันบอกว่าพึ่งฝากแว่นไว้ไปหยกๆตรงบริเวณระเบียงด้านหลังของปราสาทเพื่อนก็ตอบกลับมาด้วยความงุนงงหนักกว่าเดิมว่า "เธอจะฝากแว่นกับฉันตรงบริเวณนั้นได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่เคยไปบริเวณนั้นเลย !!!"
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องเล่า
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ