[Omegavers] เมื่อไหร่คนจะเลิกเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเบต้า!
-
เขียนโดย GUEST1716463936
วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.41 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
853 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 18.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปึง!
“โอ๊ย!” ผมร้องก่อนกุมหัวของตัวเองเอาไว้เนื่องจากเมื่อกี้ตกใจไปหน่อย พอผละออกศีรษะผมเลยโขกเอากระจกรถไปเต็มๆ แบบที่เห็น
“โพธิ์เป็นอะไรมั้ย!” เกิดเสียงร้องด้วยความตกใจ เขาลูบหัวผมป้อยๆ เหมือนปลอบเด็กเสียขวัญ
“ไม่เป็นไร กระจกรถนายแตกมั้ย” ค่าซ่อมเทสลาแพงมั้ยวะ ผมแอบคำนวณในใจว่าฐานเงินเดือนที่ทำจ๊อบตอนนี้พอจ่ายไหวมั้ย
มีเสียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่มือหนาๆ จะลูบไหล่ผม เขาคลี่ยิ้มที่แฝงด้วยข้อความบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก “ไม่แตกหรอก โพธิ์ต้องเป็นห่วงตัวเองก่อนรถเราสิ”
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ หัวผมไม่บุบสลาย กระจกรถเขาไม่ร้าว หาญก็พาผมออกจากหน้าคาเฟ่ มุ่งสู่ห้างดังใจกลางเมือง ส่วนผมก็คุ้นๆ เหมือนเคยมากับยัยแพรวเมื่อวานนี้
เขาพาผมลงจากรถ เดินนำผมเข้าไปในร้านอาหารหรูที่ต้องจองคิวก่อนเข้ามากิน พนักงานที่บริการอยู่หน้าร้านพอเห็นเขาก็รีบกุลีกุจอเปิดทางให้พวกเราอย่างไว พวกเรานั่งลงในที่นั่งที่ว่างอยู่พอดี แอบเห็นโต๊ะรอบๆ มองมาทางนี้ (ที่ถูกคือมองหาญ) แล้วก็เกิดเสียงซุบซิบดังมาจากทุกทิศ
ผมที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้วเลยมาเปิดใบเมนูว่าจะกินอะไรดี เหมือนร้านนี้จะมีบริการอาหารแทบจะทุกสัญชาติ อยากกินอะไรก็จิ้มเลือกมาเลย ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่นมีหมด
หน้าท้ายๆ เป็นพวกอาหารสัญชาติอีตาลี ผรั่งเศษ มีอินเดียด้วย เห็นแวบๆ ผมพลิกไปพลิกมาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ส่วนราคาก็… อุ เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ
“โพธิ์สั่งเลย เราเลี้ยงเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน” เขาเหมือนเห็นสีหน้าลำบากใจของผมเลยเอ่ยปากเป็นมั่นเป็นเหมาะพร้อมส่งยิ้มเล่นหูเล่นตาแพรวพราวซะไม่มีมาให้
“อืม… ไม่รู้จะกินอะไรน่ะสิ” ผมตอบไปอย่างตรงไปตรงมา เขาระบายรอยยิ้ม ก่อนจะใจดีแนะนำเมนูให้ผมสองสามอย่าง ว่ามาที่นี่ควรกินอะไรดี หลังผมเลือกได้แล้วเขาก็เรียกบริกรมารับออเดอร์ไป
ผมนั่งมองนั่นมองนี่ วิเคราะห์การตกแต่งภายในแบบคนไม่ได้เรียนสถาปัตย์มา เอ้อ… จะว่าไปแชนเดอร์เลียร้านนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะ
“เจ็บมากมั้ย ขอโทษนะ” เสียงของชายที่นั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เขายกมือมากุมรอบข้อมือของผมที่ขึ้นเป็นรอยมือสีแดงน่ากลัวเพราะถูกใครบางคนกระชากก่อนหน้านี้
“หายเจ็บแล้ว” ผมบอกนิ่งๆ เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟก่อน ทำให้เขากลืนคำพูดลงคอจนหมดก่อนหันมาสาธยายบรรดาอาหารคาวหวานตรงหน้าให้ผมฟังแทน
หลังแนะนำเมนูบนโต๊ะจนครบถ้วนเขาก็ตักให้ผมชิมอย่างละคำสองคำ อันที่จริงก่อนออกมาผมยัดทะนานข้าวเช้าที่ยัยแพรวทำให้จนอิ่มแปล้ไปแล้ว แต่พอเห็นอาหารน่ากินแบบนี้ผมก็อดน้ำลายสอไม่ได้ ผมใช้ช้อนกลางตักแบ่งเนื้อชิ้นหนึ่งใส่จานตัวเองแล้วกินคู่กับข้าว
“อร่อยมั้ย” เขาถามเสียงแผ่วขณะที่เท้าคางมองผมตักนู่นนี่เข้าปาก ทำให้ผมอดถามคำถามแบบเดียวกับยัยแพรวไม่ได้
“ไม่กินหรือไง?”
เกิดเสียงหัวเราะแผ่วเบาก่อนที่เขาจะให้คำตอบแบบที่ตรงไปตรงมากว่าที่คิด “คนเราน่ะนะ ถ้าตกหลุมรักใครแล้วก็อยากเฝ้ามองทุกการกระทำของเขานั่นแหละ”
“...”
“เราแค่มองโพธิ์แบบนี้เรามีความสุขแล้ว”
“ความสุขไม่ทำให้อิ่มท้อง” ผมตักลาซานญ่าวางลงในจานเปล่าของเขา “ความรักก็เช่นกัน”
“โพธิ์รู้เรื่องความรักดีจังเลย” เขาเปรย
“นายก็น่าจะรู้เหมือนกันนะ” ผมพูด “เหมือนจะเป็นเพลย์บอยตัวพ่อเลยนี่”
เขาหัวเราะใส่ผม ก่อนจะถามว่าไปรู้มาจากไหน
“ข่าวซุบซิบออกจะเยอะ” ผมบอกก่อนเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่เป็นปรากฏการณ์ที่ไอ้หมอนี่เที่ยวหักอกคนทั่วม.ไปคบกับคนโน้นทีคนนี้ที สุดท้ายก็เลิกหลังคบกันได้ไม่นาน “เขาเรียกอะไรนะ อ้อ! ฟันแล้วทิ้ง… นั่นแหละ”
ผมสรุป ทำเอาอีกฝ่ายแผดเสียงหัวเราะจนไหล่โยกไหล่คลอน
“ในข่าวนั่นมันไอ้ขาลกับไอ้คิง ส่วนไอ้ชัชก็หน้ามั่วตัวพ่อจริง” เขาบอก
“แต่นายก็ไม่ปฏิเสธนี่ว่าตัวเองไม่ได้ทำ” ผมพูดไปพลางส่งสปาเกตตี้ที่ม้วนอยู๋บนส้อมเข้าปาก ซร้วบ! โห คาโบนาร่าเขาทำมาดีจริงๆ
“แล้วโพธิ์ไม่พอใจเหรอ” เขาทำหน้าหงอยๆ ทำเอานึกถึงหมาตัวโตอีกแล้ว “ที่เราไม่ซิง”
“...” ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าขยะแขยงปนกระอักกระอ่วนใส่ไอ้หมอนี่แบบเต็มสูบแน่ๆ “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เรายังไม่รู้จักกันเลยเถอะ”
รู้แค่ว่าแกชื่อหาญ เป็นสมาชิกเพลย์บอยตัวพ่อในวงบอยแบนด์ที่เดบิวต์มาด้วยหน้าตากับบารมีบุพการีล้วนๆ ออกอีเว้นท์ทีก็ฉีกอกโอเมก้าทั่วทิศในรัศมีสิบกิโลก็เป็นบุญแล้วเถอะ อย่ามาเอาอะไรกับกูเลย กูขออยู่เป็นต้นโพธิ์ของกูเฉยๆ ดีกว่า
“เราชื่อหาญ” อีกฝ่ายรีบแนะนำตัว
“รู้แล้ว”
“ได้ยินมาจากข่าวลือเหรอ?”
“อืม” ผมพยักหน้ารับแบบแกนๆ
“แล้วไม่อยากรู้จักเรามากกว่านี้เหรอ เราอาจไม่เหมือนที่เขาพูดกันก็ได้”
ผมหยุดกินแล้วพินิจพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดตีนด้วยสายตาประเมินมูลค่าวัตถุชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าไอ้นี่แม่งเหมือนที่คนเขาพูดกันจริงๆ ด้วยโว้ย!
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วก็มีท่าทางมั่นคง พึ่งพาได้ น่าเชื่อถือต่างจากพวกเพื่อนในก๊วนที่ดูเจ้าชู้โลเลไม่น่าไว้ใจของเขานี่แหละที่ทำให้เขามีเสน่ห์ต่างออกไป แบบว่า…แผ่กลิ่นอายของจ่าฝูงจางๆ บ๊ะ! อย่างกับพระเอกหนังแวร์วูฟ
“ไม่ดิ ต้องถามนายนั่นแหละ ทำไมถึงอยากมารู้จักเรา” ผมวกเข้าประเด็น
“เราไม่ได้อยากรู้จักโพธิ์นะ” เขาพูดก่อนอธิบายเสริม “เรารู้จักโพธิ์อยู่แล้ว”
เสี้ยววินาทีที่คำตอบหลุดออกมาจากปากของเขาสันหลังของผมก็เย็นวาบ ผมยังรักษาในหน้าเรียบนิ่งขณะที่มือก็ค่อยๆ คืบคลานไปหาส้อมปลายแหลมก่อนใช้นิ้วพลิกเข้ามาถือไว้ในมือ ใบหน้าของอีกฝ่ายยังประดับด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“อ้อ ไปรู้มาจากไหนล่ะ” ผมถามพลางเอียงคอ สายตาโฟกัสไปที่สีหน้าของคนตรงข้ามที่ดู… ผิดหวังเสียใจหน่อยๆ
“โพธิ์จำเราไม่ได้เหรอ?”
“แล้วนายเป็นใคร” ผมถามอย่างตรงไปตรงมา พลางจับสังเกตดวงตาคู่นั้น ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ สิ่งที่ผมเห็นคือแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนประหม่าเล็กน้อยแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเพียงกะพริบตา
“เราบอกโพธิ์ไปแล้ว โพธิ์ไม่ได้ฟังเหรอ?” เขาส่งยิ้มยียวนให้ผม “เราชื่อหาญ ชอบโพธิ์ ตอนนี้กำลังจีบโพธิ์อยู่”
ผมถอนหายใจ เขาไม่ใช่คนแบบที่ผมคิด… ไม่ใช่ในแง่นั้น
“ตกลงนายทำทั้งหมดนี่เพื่อจีบเรา?” ผมวนกลับมาที่เรื่องเดิม
“เราจะพูดอีกรอบละกัน เราจีบโพธิ์อยู่” เขาคลี่ยิ้มนุ่มนวล พอหลุดปากออกมาแบบนั้นโต๊ะรอบๆ ก็พากันเม้ามอยกันใหญ่
“...” เชี่ย กูไม่น่าถามเลย กูจะโดนใครดักตีมั้ยเนี่ย
“เราชอบโพธิ์จริงๆ ให้โอกาสเรานะ”
“มีอะไรที่ทำให้นายชอบเรา ลิสต์มาสักสามข้อ” แล้วจงอภิปราย ( 10 คะแนน) ถุย!
เขากะพริบตาปริบๆ ใส่ผมรัวๆ เหมือนสมองช็อตไปครู่หนึ่ง ก่อนมันจะกลับมาทำงานอีกครั้ง “ตอนเย็น ห้องพยาบาล กับ…จูบ”
สายตาของเขาเหมือนทอดมองออกไปไกลแสนไกล ส่วนสมองของผมก็ถึงคราวลัดวงจรบ้างแล้ว คำเดียวที่หลุดรอดออกมาได้คือ “ห๊ะ?”
“โพธิ์ไม่รู้สินะ” เขาทำหน้าเสียดายนิดๆ ผมรอให้เขาอธิบายต่อ แต่อีกฝ่ายก็เหมือนไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เขาเปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรกับเขาและเพื่อนของเขามากนัก แค่รู้ว่าไอ้หมอนี่มีคนกรี๊ดกร๊าดเยอะเป็นพิเศษตอนงานประกวดดาวเดือน และหลังจากนั้นก็มีข่าวเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทและข่าวหึงหวงจากสมาชิกในกลุ่มของเขา
แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ถูกกลบด้วยหน้าหล่อๆ ประหนึ่งแสงไฟไว้ล่อแมลงกับเงินในบัญชีที่จะใช้ทิ้งไปเท่าไหร่ก็ไม่เสียดายของพวกเขา ถ้าให้พูดคงต้องบอกว่าคนพวกนี้ใช้ชีวิตต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง
และหนึ่งในนั้นก็กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผม บอกว่าชอบผม และพยายามป้อยอด้วยคำพูดหวานหูเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
“อยากจีบก็จีบ” นั่นเป็นสิ่งที่ผมบอกกับเขาขณะที่คิดสะระตะจนตกตะกอน ผมรู้ว่าความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด ผมไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธความตั้งใจของเขา ปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ต้องการ เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปตามใจไม่นานเขาก็จะหมดความอดทนและเริ่มจากไปเอง
“ขอบคุณนะ” หาญยิ้มออกมาทำให้ใบหน้าหล่อๆ นั่นยิ่งดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ น่าเสียดายจริงที่หมอนี่ชอบผม…
พอกินอิ่มเขาก็เป็นฝ่ายเดินนำผมไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ภัตตาคารสุดหรู อาหารรสเริศ แม้แต่บริกรที่อยู่ในเครื่องแบบของทางร้านก็มีเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ผมสังเกตรอบๆ แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ในชุดราตรีหางปลาหรือทักซิโด้สุดเนี้ยบแต่ก็แต่งกายด้วยสินค้าแบรนด์เนมหลายชิ้น ประดับด้วยเพชรพลอยหรืออัญมณีล้ำค่า
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเองก็เช่นกัน เสื้อผ้าของเขาราวกับวัดไซส์มาอย่างดี กระชับเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ต่างจากผมที่อยู่ในชุดยับๆ ซึ่งเพิ่งออกจากเครื่องอบผ้า ผมเผ้ารุงรังยังไม่ได้หวี
“โพธิ์! ไปไหน” หาญกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ผม
“ฉันจะกลับห้องแล้ว นายก็กลับไปเถอะ”
“โกรธอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วขณะเดินตีคู่มากับผม
คำถามนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วบ้าง “เปล่านี่”
“เราแค่กินข้าวกันเฉยๆ ยังไม่ได้เดทกันจริงๆ เลย” เขายิ้ม เลื่อนมือมาจับมือผมไว้ “เดี๋ยวเราพาโพธิ์ไปดูหนัง”
ผมรู้สึกเดจาวูชอบกลขณะที่เดินตามเขาไปตามทาง ผ่านร้านทำเล็บที่เมื่อวานเพิ่งเข้าไป ต่อจากนั้นก็ถึงโรงหนังขนาดใหญ่ เมื่อวานผมมัวแต่ง่วงจนไม่ทันได้สังเกตอะไร ภายในพื้นที่ที่เป็นโซนขายตั๋วและเคาน์เตอร์จำหน่ายป๊อบคอร์นถูกปูด้วยพรมสีแดง มีไฟสีเหลืองนวลประดับประดา ตรงหน้าประกอบด้วยผู้คนที่ยืนกันอยู่ตามจุดต่างๆ
หาญเข้าไปคุยกับพนักงาน ครู่เดียวเราก็ได้เข้าไปในส่วนที่บรรยากาศเหมือนไนต์คลับ มีที่นั่งถูกจัดวางไว้บริการ อีกฟากเป็นบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์คอยบริการอยู่ด้านหลัง
“ตอนนี้หนังยังไม่ถึงเวลาฉาย โพธิ์รอก่อนนะ ประมาณครึ่งชั่วโมง” เขาพูดเนิบๆ จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มที่หน้าบาร์แล้วเดินมานั่งกับผมบนโซฟา
“...” เอ่อ… ที่นั่งก็ตั้งกว้างแม่งเสือกมานั่งเบียดกูเฉย
“โพธิ์อยากกินอะไรมั้ย” เขาหันมาหาถามผม แสงไฟสลัวๆ ในห้องขับเน้นเหลี่ยมมุมบนใบหน้าให้เด่นชัดขึ้น แพขนตางี้ สันกรามงี้พุ่งแทบจะแทงตาผม
ผมส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนหันไปสนใจโทรศัพท์หน้าจอแตกๆ ขอตัวเอง ผมพยายามกดอ่านแชทกลุ่มที่เด้งไม่หยุดแต่ไม่ติดสักที สงสัยต้องเปลี่ยนฟิล์มซะละ…
ภายในห้องแชทผู้เปิดประเด็นยังคงเป็นไอ้ธรเหมือนเดิม วันนี้มาในท็อปปิกว่าด้วยผมกำลังจะโดนนายอัลฟ่าที่ตามตื๊อคาบไปแดก ผมพยายามกลั้นหัวเราะเพราะผู้ถูกพาดพิงนั่งอยู่ข้างๆ นี่เอง
[ทอน : น้องโพธิ์เดทให้สนุกนาจา~]
คราวนี้ชื่อเล่นไอ้ธรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าไปผันมาจากอะไรอีก ผมพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง
[หนองโพ : ขอร้องเถอะ กูเป็นสเตรท]
ชื่อเล่นในกลุ่มแชทของผมเป็นการเล่นเสียงมาจากที่ไอ้ธรมันเรียกผมว่าน้องโพธิ์ หน่องโพธิ์ จนกลายเป็นฟาร์มวัวนมในที่สุด มอออ~
ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์ตอนที่บริกรวางบางอย่างไว้บนโต๊ะน่าจะเป็นของที่นายหาญสั่งมา ในส่วนของเขาเป็นไวน์แดงแก้วหนึ่ง อีกฝ่ายใช้สองนิ้วจับที่ก้านแก้วอย่างชำนาญ ก่อนหมุนของเหลวสีแดงเข้มวนไปมา
“เราไม่เคยเห็นโพธิ์ดื่มเลย อยากลองพวกค็อกเทลมั้ย” นายหาญจิบไวน์ในแก้วก่อนเบี่ยงตัวมาทางผม เขาใช้แขนข้างหนึ่งพาดผ่านพนักพิงเหมือนจะโอบไหล่ผมกลายๆ สายตาก็เหล่ไปที่เครื่องดื่มที่สั่งไว้รอแล้ว
กระดุมสองเม็ดของเขาบนปลดออกเผยให้เห็นแผงอกตลอดจนไหปลาร้าเป็นเส้นชัดเจน อีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างขาเบี่ยงมาทางผม มือข้างที่ว่างก็ควงแกว่งแก้วไวน์ ระยะห่างของเราแทบจะไม่มีพื้นที่ให้หายใจชนิดที่ว่าถ้าผมอยากจูบเขาตอนนี้ผมแค่ยื่นหน้าไปนิดเดียวก็ได้สัมผัสริมฝีปากบางๆ ของคนตรงหน้าแล้ว ทั้งบรรยากาศเอย เพลงที่บรรเลงคลอเอย กูนึกว่ากูอยู่ในโรงแรม
โห… มาในมาดนี้ นี่ถ้าเป็นโอเมก้าแบบที่เขาเคยควง แล้วเขาปล่อยฟีโรโมนมาสักหน่อยคงพร้อมเปลื้องผ้าแล้วเดินเข้าปากเขาแหงๆ ส่วนผมก็พยักหน้าให้เขาง่ายๆ
“เอาสิ” ผมหยิบค็อกเทลที่มาในแก้วทรงสูงขึ้นมาแล้วชิมมันเข้าไปนิดนึง… ก็ไม่ได้แย่นี่หว่า
ไม่นานจากนั้นสมาชิกในกลุ่มที่ชื่อรามิณทร์ก็ส่งรูปภาพจากคราวที่แล้ว คราวนี้รูปนั้นมาในรูปแบบโปสเตอร์ซีรีส์ใส่ฟิลเตอร์ฟุ้งๆ ละลายฉากหลังจนเป็นโบเก้ทำให้ตัวหลักอย่างผมและหาญโดดเด่นขึ้นมา พร้อมไทโปเด่นหราด้านล่างว่า ‘พิชิตรักนายเบต้า’ ผมทั้งฉิวทั้งขัน อยากจะมุดจอไปต่อยคนทำจริงๆ
[minnie : หาญ มาเฟียระดับอัลฟ่าจ่าฝูงดันมาตกหลุมรัก โพธิ์ หนุ่มเบต้าธรรมดาๆ พนักงานพาร์ทไทม์ร้านเครือในมอร์ รักอลวนเจอกับคนอลเวงเรื่องราวสุดจั๊กจี้หัวใจจึงเริ่มขึ้น ]
ผมขำก๊าก จำได้ว่ารามิณทร์มันเรียนบริหารไม่ใช่เหรอวะ หรือมันใช้เส้นผัดซีอิ๊วของพ่อมันย้ายตัวเองไปคณะอื่นตอนไหนวะเนี่ย
[หนองโพ : โคตรเหี้ย ใครทำ 555555555555555]
[prinky : กู] / [minnie : โปสเตอร์บายน้องก้อย]
ผมยกมือขึ้นมาปิดปากจากนั้นก็ขำจนไหล่สั่นกึกๆ ไอ้พิ้งค์ที่ไม่ได้ชอบสีชมพูหรือเกิดวันอังคารแต่อย่างใดเสนอตัวขึ้นมา
คนในกลุ่มชอบเรียกมันว่าน้องก้อยเพราะตอนรู้จักกันใหม่ๆ มันชอบแนะนำตัวว่าชื่อพิงค์กี้ ทุกคนก็เรียกมันว่าพิงค์กี้จนกระทั่งมีคนเอาไปแปลเป็นภาษาไทยแบบผิดๆ มันเลยได้ชื่อว่าน้องก้อยที่มาจากนิ้วก้อยนี่แหละ
ส่วนชื่อในกลุ่มมันก็เล่นคำมาจากชื่ออีพริ้งอีกที
[หนองโพ : ละใครเป็นโปรดิวเซอร์]
[ทอน : กู ยัยมินเป็นสปอนเซอร์ ยัยโพธิ์เป็นนักแสดงนำ เริ่ด!]
ไอ้ธรชายแท้เล้บเจลพิมพ์ไอเดียซีรีย์ของมันเข้ามาในกลุ่มรัวๆ บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยัยแพรวโผล่มา
[Preaw : แล้วชั้นล่ะ]
[ทอน : เป็นนางร้าย แต่สวยเว่อ แกต้องเข้ามาในบทสาวคู่หมั้นตัวร้ายของมาเฟีย ตอนแรกแกจะสาดน้ำใส่โพธิ์ แล้วหาญก็จะออกมาปกป้อง ปกป้องแก… เพราะแกใส่ร้ายไอ้โพมัน แต่สุดท้ายแกก็โดนเฉดหัวทิ้งอยู่ดี ตอนท้ายเรื่องแกจะจับโพไปให้โจรขืนใจ แต่หาญจะมาช่วยทัน]
ไอ้ธรพิมพ์ข้อความอย่างเมามันส์ โดยหารู้ไม่ว่าการ์ดกับดักจะทำงานใน สาม สอง หนึ่ง…
[Preaw : เหรอ]
[Preaw : ขำเนอะ :) 55]
เท่านั้นแหละ ตี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ผมมารู้อีกทีว่ายัยแพรวลงสตอรี่ที่ดูไม่รู้เรื่องรัวๆ จนท่านแก้วต้องโทรมาถามว่าเกิดอะไรกับลูกสาวตูหรือไม่ ถ้าใช่กดหนึ่ง ถ้าไอ้แพรวแค่เมาแล้วจับโทรศัพท์ถ่ายมั่วๆ กดสอง ติดต่อพนักงานกดศูนย์ ทำให้ไอ้ธรต้องเป็นหน่วยกล้าตายลงไปพลีกายให้ยัยแพรวเหยียบอก จากนั้นโลกก็กลับสู่ความสงบสุขบัดดล
เอาเป็นว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้ เพราะหลังจากที่ข้อความสุดท้ายส่งมา ไอ้ธรก็เหมือนจะพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายที จากนั้นก็เงียบไปเนิ่นนาน
ผมกดปิดหน้าจอแล้วหันมาจิบค็อกเทลในมือพลางมองไปรอบๆ แบบคนไม่ได้เรียนออกแบบภายในมา
“ดูอะไรอยู่” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้น ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าตัวเองไม่ได้มาคนเดียว
“ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนที่ตัวเองเอาแต่จ้องโทรศัพท์เขาไม่ได้คุยอะไรกับผม มีแค่ผมที่หัวเราะคิกๆ คลอไปกับดนตรีสากลที่เปิดอยู่ภายในห้อง
พอเห็นทีว่าผมว่างแล้วเขาก็ชวนคุยนั่นนี่ บรรยายถึงชนิดของเหล้า แล้วก็วกมาพูดถึงเหล้าที่อยู่ในแก้วผมว่ามีรายละเอียดยังไง เขาแนะนำนู่นนี่ให้ผมเยอะแยะมากมายเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เขาจะหยุดเสียที
สิบนาทีก่อนหนังเข้าฉายเขาสั่งไวน์มาอีกแก้ว
“โพธิ์ลองชิมดู” เขาวางแก้วเปล่าในมือของตัวเองลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยัดแก้วใบใหม่เข้ามาในมือผม
หาญกุมมือของผมเอาไว้ จัดแจงนิ้วของผมให้จับแก้วไวน์อย่างถูกต้องไม่ให้หล่นลงพื้น ผมถือไวน์แดงด้วยสี่นิ้วของตัวเอง จากนั้นเขาสอนให้ผมวนแก้วไวน์เพื่อให้มันสัมผัสกับอากาศ
“ทีนี้ลองดมดู” ผมก้มลงสูดกลิ่นในแก้วตามคำของเขา ก่อนจะกระดกของเหลวสีแดงเข้มเข้าปากรสชาติเฝื่อนๆ กระจายทั่วโพรงปากของผม พอผมกลืนของเหลวทั้งหมดลงคอนายหาญที่ดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ถามขึ้น “เป็นไง”
“ไม่แย่” ผมยักไหล่ ก่อนหันไปคุยกับเขาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็จิบไวน์ต่อ
“โอ๊ย!” ผมร้องก่อนกุมหัวของตัวเองเอาไว้เนื่องจากเมื่อกี้ตกใจไปหน่อย พอผละออกศีรษะผมเลยโขกเอากระจกรถไปเต็มๆ แบบที่เห็น
“โพธิ์เป็นอะไรมั้ย!” เกิดเสียงร้องด้วยความตกใจ เขาลูบหัวผมป้อยๆ เหมือนปลอบเด็กเสียขวัญ
“ไม่เป็นไร กระจกรถนายแตกมั้ย” ค่าซ่อมเทสลาแพงมั้ยวะ ผมแอบคำนวณในใจว่าฐานเงินเดือนที่ทำจ๊อบตอนนี้พอจ่ายไหวมั้ย
มีเสียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่มือหนาๆ จะลูบไหล่ผม เขาคลี่ยิ้มที่แฝงด้วยข้อความบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก “ไม่แตกหรอก โพธิ์ต้องเป็นห่วงตัวเองก่อนรถเราสิ”
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ หัวผมไม่บุบสลาย กระจกรถเขาไม่ร้าว หาญก็พาผมออกจากหน้าคาเฟ่ มุ่งสู่ห้างดังใจกลางเมือง ส่วนผมก็คุ้นๆ เหมือนเคยมากับยัยแพรวเมื่อวานนี้
เขาพาผมลงจากรถ เดินนำผมเข้าไปในร้านอาหารหรูที่ต้องจองคิวก่อนเข้ามากิน พนักงานที่บริการอยู่หน้าร้านพอเห็นเขาก็รีบกุลีกุจอเปิดทางให้พวกเราอย่างไว พวกเรานั่งลงในที่นั่งที่ว่างอยู่พอดี แอบเห็นโต๊ะรอบๆ มองมาทางนี้ (ที่ถูกคือมองหาญ) แล้วก็เกิดเสียงซุบซิบดังมาจากทุกทิศ
ผมที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้วเลยมาเปิดใบเมนูว่าจะกินอะไรดี เหมือนร้านนี้จะมีบริการอาหารแทบจะทุกสัญชาติ อยากกินอะไรก็จิ้มเลือกมาเลย ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่นมีหมด
หน้าท้ายๆ เป็นพวกอาหารสัญชาติอีตาลี ผรั่งเศษ มีอินเดียด้วย เห็นแวบๆ ผมพลิกไปพลิกมาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ส่วนราคาก็… อุ เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ
“โพธิ์สั่งเลย เราเลี้ยงเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน” เขาเหมือนเห็นสีหน้าลำบากใจของผมเลยเอ่ยปากเป็นมั่นเป็นเหมาะพร้อมส่งยิ้มเล่นหูเล่นตาแพรวพราวซะไม่มีมาให้
“อืม… ไม่รู้จะกินอะไรน่ะสิ” ผมตอบไปอย่างตรงไปตรงมา เขาระบายรอยยิ้ม ก่อนจะใจดีแนะนำเมนูให้ผมสองสามอย่าง ว่ามาที่นี่ควรกินอะไรดี หลังผมเลือกได้แล้วเขาก็เรียกบริกรมารับออเดอร์ไป
ผมนั่งมองนั่นมองนี่ วิเคราะห์การตกแต่งภายในแบบคนไม่ได้เรียนสถาปัตย์มา เอ้อ… จะว่าไปแชนเดอร์เลียร้านนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะ
“เจ็บมากมั้ย ขอโทษนะ” เสียงของชายที่นั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เขายกมือมากุมรอบข้อมือของผมที่ขึ้นเป็นรอยมือสีแดงน่ากลัวเพราะถูกใครบางคนกระชากก่อนหน้านี้
“หายเจ็บแล้ว” ผมบอกนิ่งๆ เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟก่อน ทำให้เขากลืนคำพูดลงคอจนหมดก่อนหันมาสาธยายบรรดาอาหารคาวหวานตรงหน้าให้ผมฟังแทน
หลังแนะนำเมนูบนโต๊ะจนครบถ้วนเขาก็ตักให้ผมชิมอย่างละคำสองคำ อันที่จริงก่อนออกมาผมยัดทะนานข้าวเช้าที่ยัยแพรวทำให้จนอิ่มแปล้ไปแล้ว แต่พอเห็นอาหารน่ากินแบบนี้ผมก็อดน้ำลายสอไม่ได้ ผมใช้ช้อนกลางตักแบ่งเนื้อชิ้นหนึ่งใส่จานตัวเองแล้วกินคู่กับข้าว
“อร่อยมั้ย” เขาถามเสียงแผ่วขณะที่เท้าคางมองผมตักนู่นนี่เข้าปาก ทำให้ผมอดถามคำถามแบบเดียวกับยัยแพรวไม่ได้
“ไม่กินหรือไง?”
เกิดเสียงหัวเราะแผ่วเบาก่อนที่เขาจะให้คำตอบแบบที่ตรงไปตรงมากว่าที่คิด “คนเราน่ะนะ ถ้าตกหลุมรักใครแล้วก็อยากเฝ้ามองทุกการกระทำของเขานั่นแหละ”
“...”
“เราแค่มองโพธิ์แบบนี้เรามีความสุขแล้ว”
“ความสุขไม่ทำให้อิ่มท้อง” ผมตักลาซานญ่าวางลงในจานเปล่าของเขา “ความรักก็เช่นกัน”
“โพธิ์รู้เรื่องความรักดีจังเลย” เขาเปรย
“นายก็น่าจะรู้เหมือนกันนะ” ผมพูด “เหมือนจะเป็นเพลย์บอยตัวพ่อเลยนี่”
เขาหัวเราะใส่ผม ก่อนจะถามว่าไปรู้มาจากไหน
“ข่าวซุบซิบออกจะเยอะ” ผมบอกก่อนเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่เป็นปรากฏการณ์ที่ไอ้หมอนี่เที่ยวหักอกคนทั่วม.ไปคบกับคนโน้นทีคนนี้ที สุดท้ายก็เลิกหลังคบกันได้ไม่นาน “เขาเรียกอะไรนะ อ้อ! ฟันแล้วทิ้ง… นั่นแหละ”
ผมสรุป ทำเอาอีกฝ่ายแผดเสียงหัวเราะจนไหล่โยกไหล่คลอน
“ในข่าวนั่นมันไอ้ขาลกับไอ้คิง ส่วนไอ้ชัชก็หน้ามั่วตัวพ่อจริง” เขาบอก
“แต่นายก็ไม่ปฏิเสธนี่ว่าตัวเองไม่ได้ทำ” ผมพูดไปพลางส่งสปาเกตตี้ที่ม้วนอยู๋บนส้อมเข้าปาก ซร้วบ! โห คาโบนาร่าเขาทำมาดีจริงๆ
“แล้วโพธิ์ไม่พอใจเหรอ” เขาทำหน้าหงอยๆ ทำเอานึกถึงหมาตัวโตอีกแล้ว “ที่เราไม่ซิง”
“...” ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าขยะแขยงปนกระอักกระอ่วนใส่ไอ้หมอนี่แบบเต็มสูบแน่ๆ “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เรายังไม่รู้จักกันเลยเถอะ”
รู้แค่ว่าแกชื่อหาญ เป็นสมาชิกเพลย์บอยตัวพ่อในวงบอยแบนด์ที่เดบิวต์มาด้วยหน้าตากับบารมีบุพการีล้วนๆ ออกอีเว้นท์ทีก็ฉีกอกโอเมก้าทั่วทิศในรัศมีสิบกิโลก็เป็นบุญแล้วเถอะ อย่ามาเอาอะไรกับกูเลย กูขออยู่เป็นต้นโพธิ์ของกูเฉยๆ ดีกว่า
“เราชื่อหาญ” อีกฝ่ายรีบแนะนำตัว
“รู้แล้ว”
“ได้ยินมาจากข่าวลือเหรอ?”
“อืม” ผมพยักหน้ารับแบบแกนๆ
“แล้วไม่อยากรู้จักเรามากกว่านี้เหรอ เราอาจไม่เหมือนที่เขาพูดกันก็ได้”
ผมหยุดกินแล้วพินิจพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดตีนด้วยสายตาประเมินมูลค่าวัตถุชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าไอ้นี่แม่งเหมือนที่คนเขาพูดกันจริงๆ ด้วยโว้ย!
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วก็มีท่าทางมั่นคง พึ่งพาได้ น่าเชื่อถือต่างจากพวกเพื่อนในก๊วนที่ดูเจ้าชู้โลเลไม่น่าไว้ใจของเขานี่แหละที่ทำให้เขามีเสน่ห์ต่างออกไป แบบว่า…แผ่กลิ่นอายของจ่าฝูงจางๆ บ๊ะ! อย่างกับพระเอกหนังแวร์วูฟ
“ไม่ดิ ต้องถามนายนั่นแหละ ทำไมถึงอยากมารู้จักเรา” ผมวกเข้าประเด็น
“เราไม่ได้อยากรู้จักโพธิ์นะ” เขาพูดก่อนอธิบายเสริม “เรารู้จักโพธิ์อยู่แล้ว”
เสี้ยววินาทีที่คำตอบหลุดออกมาจากปากของเขาสันหลังของผมก็เย็นวาบ ผมยังรักษาในหน้าเรียบนิ่งขณะที่มือก็ค่อยๆ คืบคลานไปหาส้อมปลายแหลมก่อนใช้นิ้วพลิกเข้ามาถือไว้ในมือ ใบหน้าของอีกฝ่ายยังประดับด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“อ้อ ไปรู้มาจากไหนล่ะ” ผมถามพลางเอียงคอ สายตาโฟกัสไปที่สีหน้าของคนตรงข้ามที่ดู… ผิดหวังเสียใจหน่อยๆ
“โพธิ์จำเราไม่ได้เหรอ?”
“แล้วนายเป็นใคร” ผมถามอย่างตรงไปตรงมา พลางจับสังเกตดวงตาคู่นั้น ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ สิ่งที่ผมเห็นคือแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนประหม่าเล็กน้อยแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเพียงกะพริบตา
“เราบอกโพธิ์ไปแล้ว โพธิ์ไม่ได้ฟังเหรอ?” เขาส่งยิ้มยียวนให้ผม “เราชื่อหาญ ชอบโพธิ์ ตอนนี้กำลังจีบโพธิ์อยู่”
ผมถอนหายใจ เขาไม่ใช่คนแบบที่ผมคิด… ไม่ใช่ในแง่นั้น
“ตกลงนายทำทั้งหมดนี่เพื่อจีบเรา?” ผมวนกลับมาที่เรื่องเดิม
“เราจะพูดอีกรอบละกัน เราจีบโพธิ์อยู่” เขาคลี่ยิ้มนุ่มนวล พอหลุดปากออกมาแบบนั้นโต๊ะรอบๆ ก็พากันเม้ามอยกันใหญ่
“...” เชี่ย กูไม่น่าถามเลย กูจะโดนใครดักตีมั้ยเนี่ย
“เราชอบโพธิ์จริงๆ ให้โอกาสเรานะ”
“มีอะไรที่ทำให้นายชอบเรา ลิสต์มาสักสามข้อ” แล้วจงอภิปราย ( 10 คะแนน) ถุย!
เขากะพริบตาปริบๆ ใส่ผมรัวๆ เหมือนสมองช็อตไปครู่หนึ่ง ก่อนมันจะกลับมาทำงานอีกครั้ง “ตอนเย็น ห้องพยาบาล กับ…จูบ”
สายตาของเขาเหมือนทอดมองออกไปไกลแสนไกล ส่วนสมองของผมก็ถึงคราวลัดวงจรบ้างแล้ว คำเดียวที่หลุดรอดออกมาได้คือ “ห๊ะ?”
“โพธิ์ไม่รู้สินะ” เขาทำหน้าเสียดายนิดๆ ผมรอให้เขาอธิบายต่อ แต่อีกฝ่ายก็เหมือนไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เขาเปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรกับเขาและเพื่อนของเขามากนัก แค่รู้ว่าไอ้หมอนี่มีคนกรี๊ดกร๊าดเยอะเป็นพิเศษตอนงานประกวดดาวเดือน และหลังจากนั้นก็มีข่าวเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทและข่าวหึงหวงจากสมาชิกในกลุ่มของเขา
แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ถูกกลบด้วยหน้าหล่อๆ ประหนึ่งแสงไฟไว้ล่อแมลงกับเงินในบัญชีที่จะใช้ทิ้งไปเท่าไหร่ก็ไม่เสียดายของพวกเขา ถ้าให้พูดคงต้องบอกว่าคนพวกนี้ใช้ชีวิตต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง
และหนึ่งในนั้นก็กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผม บอกว่าชอบผม และพยายามป้อยอด้วยคำพูดหวานหูเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
“อยากจีบก็จีบ” นั่นเป็นสิ่งที่ผมบอกกับเขาขณะที่คิดสะระตะจนตกตะกอน ผมรู้ว่าความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด ผมไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธความตั้งใจของเขา ปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ต้องการ เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปตามใจไม่นานเขาก็จะหมดความอดทนและเริ่มจากไปเอง
“ขอบคุณนะ” หาญยิ้มออกมาทำให้ใบหน้าหล่อๆ นั่นยิ่งดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ น่าเสียดายจริงที่หมอนี่ชอบผม…
พอกินอิ่มเขาก็เป็นฝ่ายเดินนำผมไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ภัตตาคารสุดหรู อาหารรสเริศ แม้แต่บริกรที่อยู่ในเครื่องแบบของทางร้านก็มีเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ผมสังเกตรอบๆ แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ในชุดราตรีหางปลาหรือทักซิโด้สุดเนี้ยบแต่ก็แต่งกายด้วยสินค้าแบรนด์เนมหลายชิ้น ประดับด้วยเพชรพลอยหรืออัญมณีล้ำค่า
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเองก็เช่นกัน เสื้อผ้าของเขาราวกับวัดไซส์มาอย่างดี กระชับเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ต่างจากผมที่อยู่ในชุดยับๆ ซึ่งเพิ่งออกจากเครื่องอบผ้า ผมเผ้ารุงรังยังไม่ได้หวี
“โพธิ์! ไปไหน” หาญกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ผม
“ฉันจะกลับห้องแล้ว นายก็กลับไปเถอะ”
“โกรธอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วขณะเดินตีคู่มากับผม
คำถามนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วบ้าง “เปล่านี่”
“เราแค่กินข้าวกันเฉยๆ ยังไม่ได้เดทกันจริงๆ เลย” เขายิ้ม เลื่อนมือมาจับมือผมไว้ “เดี๋ยวเราพาโพธิ์ไปดูหนัง”
ผมรู้สึกเดจาวูชอบกลขณะที่เดินตามเขาไปตามทาง ผ่านร้านทำเล็บที่เมื่อวานเพิ่งเข้าไป ต่อจากนั้นก็ถึงโรงหนังขนาดใหญ่ เมื่อวานผมมัวแต่ง่วงจนไม่ทันได้สังเกตอะไร ภายในพื้นที่ที่เป็นโซนขายตั๋วและเคาน์เตอร์จำหน่ายป๊อบคอร์นถูกปูด้วยพรมสีแดง มีไฟสีเหลืองนวลประดับประดา ตรงหน้าประกอบด้วยผู้คนที่ยืนกันอยู่ตามจุดต่างๆ
หาญเข้าไปคุยกับพนักงาน ครู่เดียวเราก็ได้เข้าไปในส่วนที่บรรยากาศเหมือนไนต์คลับ มีที่นั่งถูกจัดวางไว้บริการ อีกฟากเป็นบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์คอยบริการอยู่ด้านหลัง
“ตอนนี้หนังยังไม่ถึงเวลาฉาย โพธิ์รอก่อนนะ ประมาณครึ่งชั่วโมง” เขาพูดเนิบๆ จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มที่หน้าบาร์แล้วเดินมานั่งกับผมบนโซฟา
“...” เอ่อ… ที่นั่งก็ตั้งกว้างแม่งเสือกมานั่งเบียดกูเฉย
“โพธิ์อยากกินอะไรมั้ย” เขาหันมาหาถามผม แสงไฟสลัวๆ ในห้องขับเน้นเหลี่ยมมุมบนใบหน้าให้เด่นชัดขึ้น แพขนตางี้ สันกรามงี้พุ่งแทบจะแทงตาผม
ผมส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนหันไปสนใจโทรศัพท์หน้าจอแตกๆ ขอตัวเอง ผมพยายามกดอ่านแชทกลุ่มที่เด้งไม่หยุดแต่ไม่ติดสักที สงสัยต้องเปลี่ยนฟิล์มซะละ…
ภายในห้องแชทผู้เปิดประเด็นยังคงเป็นไอ้ธรเหมือนเดิม วันนี้มาในท็อปปิกว่าด้วยผมกำลังจะโดนนายอัลฟ่าที่ตามตื๊อคาบไปแดก ผมพยายามกลั้นหัวเราะเพราะผู้ถูกพาดพิงนั่งอยู่ข้างๆ นี่เอง
[ทอน : น้องโพธิ์เดทให้สนุกนาจา~]
คราวนี้ชื่อเล่นไอ้ธรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าไปผันมาจากอะไรอีก ผมพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง
[หนองโพ : ขอร้องเถอะ กูเป็นสเตรท]
ชื่อเล่นในกลุ่มแชทของผมเป็นการเล่นเสียงมาจากที่ไอ้ธรมันเรียกผมว่าน้องโพธิ์ หน่องโพธิ์ จนกลายเป็นฟาร์มวัวนมในที่สุด มอออ~
ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์ตอนที่บริกรวางบางอย่างไว้บนโต๊ะน่าจะเป็นของที่นายหาญสั่งมา ในส่วนของเขาเป็นไวน์แดงแก้วหนึ่ง อีกฝ่ายใช้สองนิ้วจับที่ก้านแก้วอย่างชำนาญ ก่อนหมุนของเหลวสีแดงเข้มวนไปมา
“เราไม่เคยเห็นโพธิ์ดื่มเลย อยากลองพวกค็อกเทลมั้ย” นายหาญจิบไวน์ในแก้วก่อนเบี่ยงตัวมาทางผม เขาใช้แขนข้างหนึ่งพาดผ่านพนักพิงเหมือนจะโอบไหล่ผมกลายๆ สายตาก็เหล่ไปที่เครื่องดื่มที่สั่งไว้รอแล้ว
กระดุมสองเม็ดของเขาบนปลดออกเผยให้เห็นแผงอกตลอดจนไหปลาร้าเป็นเส้นชัดเจน อีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างขาเบี่ยงมาทางผม มือข้างที่ว่างก็ควงแกว่งแก้วไวน์ ระยะห่างของเราแทบจะไม่มีพื้นที่ให้หายใจชนิดที่ว่าถ้าผมอยากจูบเขาตอนนี้ผมแค่ยื่นหน้าไปนิดเดียวก็ได้สัมผัสริมฝีปากบางๆ ของคนตรงหน้าแล้ว ทั้งบรรยากาศเอย เพลงที่บรรเลงคลอเอย กูนึกว่ากูอยู่ในโรงแรม
โห… มาในมาดนี้ นี่ถ้าเป็นโอเมก้าแบบที่เขาเคยควง แล้วเขาปล่อยฟีโรโมนมาสักหน่อยคงพร้อมเปลื้องผ้าแล้วเดินเข้าปากเขาแหงๆ ส่วนผมก็พยักหน้าให้เขาง่ายๆ
“เอาสิ” ผมหยิบค็อกเทลที่มาในแก้วทรงสูงขึ้นมาแล้วชิมมันเข้าไปนิดนึง… ก็ไม่ได้แย่นี่หว่า
ไม่นานจากนั้นสมาชิกในกลุ่มที่ชื่อรามิณทร์ก็ส่งรูปภาพจากคราวที่แล้ว คราวนี้รูปนั้นมาในรูปแบบโปสเตอร์ซีรีส์ใส่ฟิลเตอร์ฟุ้งๆ ละลายฉากหลังจนเป็นโบเก้ทำให้ตัวหลักอย่างผมและหาญโดดเด่นขึ้นมา พร้อมไทโปเด่นหราด้านล่างว่า ‘พิชิตรักนายเบต้า’ ผมทั้งฉิวทั้งขัน อยากจะมุดจอไปต่อยคนทำจริงๆ
[minnie : หาญ มาเฟียระดับอัลฟ่าจ่าฝูงดันมาตกหลุมรัก โพธิ์ หนุ่มเบต้าธรรมดาๆ พนักงานพาร์ทไทม์ร้านเครือในมอร์ รักอลวนเจอกับคนอลเวงเรื่องราวสุดจั๊กจี้หัวใจจึงเริ่มขึ้น ]
ผมขำก๊าก จำได้ว่ารามิณทร์มันเรียนบริหารไม่ใช่เหรอวะ หรือมันใช้เส้นผัดซีอิ๊วของพ่อมันย้ายตัวเองไปคณะอื่นตอนไหนวะเนี่ย
[หนองโพ : โคตรเหี้ย ใครทำ 555555555555555]
[prinky : กู] / [minnie : โปสเตอร์บายน้องก้อย]
ผมยกมือขึ้นมาปิดปากจากนั้นก็ขำจนไหล่สั่นกึกๆ ไอ้พิ้งค์ที่ไม่ได้ชอบสีชมพูหรือเกิดวันอังคารแต่อย่างใดเสนอตัวขึ้นมา
คนในกลุ่มชอบเรียกมันว่าน้องก้อยเพราะตอนรู้จักกันใหม่ๆ มันชอบแนะนำตัวว่าชื่อพิงค์กี้ ทุกคนก็เรียกมันว่าพิงค์กี้จนกระทั่งมีคนเอาไปแปลเป็นภาษาไทยแบบผิดๆ มันเลยได้ชื่อว่าน้องก้อยที่มาจากนิ้วก้อยนี่แหละ
ส่วนชื่อในกลุ่มมันก็เล่นคำมาจากชื่ออีพริ้งอีกที
[หนองโพ : ละใครเป็นโปรดิวเซอร์]
[ทอน : กู ยัยมินเป็นสปอนเซอร์ ยัยโพธิ์เป็นนักแสดงนำ เริ่ด!]
ไอ้ธรชายแท้เล้บเจลพิมพ์ไอเดียซีรีย์ของมันเข้ามาในกลุ่มรัวๆ บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยัยแพรวโผล่มา
[Preaw : แล้วชั้นล่ะ]
[ทอน : เป็นนางร้าย แต่สวยเว่อ แกต้องเข้ามาในบทสาวคู่หมั้นตัวร้ายของมาเฟีย ตอนแรกแกจะสาดน้ำใส่โพธิ์ แล้วหาญก็จะออกมาปกป้อง ปกป้องแก… เพราะแกใส่ร้ายไอ้โพมัน แต่สุดท้ายแกก็โดนเฉดหัวทิ้งอยู่ดี ตอนท้ายเรื่องแกจะจับโพไปให้โจรขืนใจ แต่หาญจะมาช่วยทัน]
ไอ้ธรพิมพ์ข้อความอย่างเมามันส์ โดยหารู้ไม่ว่าการ์ดกับดักจะทำงานใน สาม สอง หนึ่ง…
[Preaw : เหรอ]
[Preaw : ขำเนอะ :) 55]
เท่านั้นแหละ ตี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ผมมารู้อีกทีว่ายัยแพรวลงสตอรี่ที่ดูไม่รู้เรื่องรัวๆ จนท่านแก้วต้องโทรมาถามว่าเกิดอะไรกับลูกสาวตูหรือไม่ ถ้าใช่กดหนึ่ง ถ้าไอ้แพรวแค่เมาแล้วจับโทรศัพท์ถ่ายมั่วๆ กดสอง ติดต่อพนักงานกดศูนย์ ทำให้ไอ้ธรต้องเป็นหน่วยกล้าตายลงไปพลีกายให้ยัยแพรวเหยียบอก จากนั้นโลกก็กลับสู่ความสงบสุขบัดดล
เอาเป็นว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้ เพราะหลังจากที่ข้อความสุดท้ายส่งมา ไอ้ธรก็เหมือนจะพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายที จากนั้นก็เงียบไปเนิ่นนาน
ผมกดปิดหน้าจอแล้วหันมาจิบค็อกเทลในมือพลางมองไปรอบๆ แบบคนไม่ได้เรียนออกแบบภายในมา
“ดูอะไรอยู่” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้น ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าตัวเองไม่ได้มาคนเดียว
“ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนที่ตัวเองเอาแต่จ้องโทรศัพท์เขาไม่ได้คุยอะไรกับผม มีแค่ผมที่หัวเราะคิกๆ คลอไปกับดนตรีสากลที่เปิดอยู่ภายในห้อง
พอเห็นทีว่าผมว่างแล้วเขาก็ชวนคุยนั่นนี่ บรรยายถึงชนิดของเหล้า แล้วก็วกมาพูดถึงเหล้าที่อยู่ในแก้วผมว่ามีรายละเอียดยังไง เขาแนะนำนู่นนี่ให้ผมเยอะแยะมากมายเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เขาจะหยุดเสียที
สิบนาทีก่อนหนังเข้าฉายเขาสั่งไวน์มาอีกแก้ว
“โพธิ์ลองชิมดู” เขาวางแก้วเปล่าในมือของตัวเองลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยัดแก้วใบใหม่เข้ามาในมือผม
หาญกุมมือของผมเอาไว้ จัดแจงนิ้วของผมให้จับแก้วไวน์อย่างถูกต้องไม่ให้หล่นลงพื้น ผมถือไวน์แดงด้วยสี่นิ้วของตัวเอง จากนั้นเขาสอนให้ผมวนแก้วไวน์เพื่อให้มันสัมผัสกับอากาศ
“ทีนี้ลองดมดู” ผมก้มลงสูดกลิ่นในแก้วตามคำของเขา ก่อนจะกระดกของเหลวสีแดงเข้มเข้าปากรสชาติเฝื่อนๆ กระจายทั่วโพรงปากของผม พอผมกลืนของเหลวทั้งหมดลงคอนายหาญที่ดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ถามขึ้น “เป็นไง”
“ไม่แย่” ผมยักไหล่ ก่อนหันไปคุยกับเขาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็จิบไวน์ต่อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ