ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,008 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) Destiny princess departs again
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ18
Destiny princess departs again
“เหวอ!”
ทันที่ที่เดรโกรัสยกแมวขาวขึ้นมา คุณเธอก็ดิ้นอย่างแรงจนหลุดจากมือของเขาและรีบวิ่งหนีออกจากร้านทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ออกไป
“ให้มันได้อย่างงี้สิ” เห็นดังนั้น มารีก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ดะ...โดนเกลียดเข้าแล้ว”
“รบกวนหน่อย ถ้าครึ่งชั่วโมงเราไม่กลับมา ฝากแบกร่างนี้กลับไปที่โรงเรียนให้ด้วยนะ หรือถ้าขี้เกียจรอก็แบกไปก่อนได้เลย ส่วนค่าอาหารฝากออกไปก่อนนะ เดี๋ยวมาจ่ายคืนให้”
“เอ๋”
ยังไม่ทันที่หนุ่มผมแดงจะตอบอะไร มารีก็ฟุบหลับไปกับโต๊ะเสียแล้ว โดยที่กระเป๋าสะพายข้างของเธอหายไปด้วย
“เอาไงดีอะ” เขาหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้นัวร์ที่ทำสีหน้าไม่ต่างกัน
“แล้วแต่เลยฮะ”
เดรโกถอนหายใจก่อนจะขยับเขาไปพิจารณาร่างของมารีให้ใกล้ขึ้น เมื่อยกนิ้วไปจ่อที่จมูกก็พบว่าไม่มีลมหายใจเข้าออก พอแตะที่หน้าผากก็รู้สึกว่าความอุ่นในร่างค่อย ๆ ลดลง และเมื่อจับไปที่ข้อมือก็พบว่าไม่มีชีพจรเต้นแล้ว
แม้จะดูเหมือนแค่ฟุบหลับไป แต่ถ้าพูดตรง ๆ เลยก็คือตรงหน้าของเขาก็คือศพนั่นแหละ...
“ว่าแต่ เดรโกทำได้ยังไงน่ะฮะ ให้แม่นั่นมานอนบนตักได้น่ะ” นัวร์แย่งขนมที่เหลือมาจากมารี (เพราะคงไม่ได้กินแล้ว) เอาเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ถามอีกฝ่าย
“ก็แค่นั่งอยู่เฉย ๆ น่ะ แล้วเขาก็กระโดดขึ้นมานอนเอง” เขายักไหล่ให้ บางทีแมวก็เป็นสัตว์ที่เดาใจอะไรไม่ได้ ถ้าแมวทุกตัวแปลงร่างเป็นคนได้แบบนัวร์ก็คงดี
“น่าอิจฉาจัง” เด็กน้อยเบ้ปากและตักขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก “ผมตามจีบนางมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่แม่แต่แยแสเลย”
“แก่แดดอะเรา” ได้ยินดังนั้นก็อดขำกับความไร้เดียงสาของเจ้าหนูนี่ไม่ได้ แต่ในตอนนั้นเดรโกก็นึกอะไรออก “จะว่าไป นัวร์รู้จักคนที่ชื่ออาเรียไหม แล้วในสายตานัวร์เขาหน้าตายังไงเหรอ”
“เคยเจออยู่ฮะ แล้วก็ทำให้ผมปวดหัวมาแล้วรอบนึง” ดวงตาสีเหลืองกลอกไปมา “หน้าตาของคน ๆ นั้น...ก็ผมสีเงิน ตาสีฟ้าเหมือนเจ้านายเลยฮะ”
“งั้นเหรอ แล้วพอจะรู้อะไรไหมว่าเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้านายเธอน่ะ”
“งืม เจ้านายเองก็ไม่เคยบอกอะไรเลยน่ะฮะ” เด็กน้อยกอดอก “แต่ว่านะ มีอยู่อย่างนึงที่คน ๆ นั้นไม่เหมือนเจ้านายน่ะฮะ”
“นิสัยเหรอ”
“ไอ้นี่ต่างหากฮะ” นัวร์ยกสองมือขึ้นมาจับไปที่อวัยวะหนึ่ง ทำให้ดวงตาเบื้องหลังแว่นกันลมเบิกกว้างทันที เพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าไม่เคยเห็นอวัยวะส่วนนั้นของทั้งสองคนโผล่ออกมาเลย
เอเลนาไล่ตามแมวขาวไปเรื่อย ๆ มันยังคงวิ่งซอกแซกไปตามซอกซอยต่าง ๆ ผ่านผู้คน ถนนใหญ่ มาถึงริมทะเลสาบ และวิ่งเลาะไปจนกระทั่งมาถึงอุทยานแห่งชาติ
อย่าบอกนะว่า...
แล้วเจ้าแมวก็มาหยุดที่หน้าซากบ้านร้าง มันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครอื่นอยู่แถวนี้หรือไม่ แล้วก็เริ่มทำอะไรแปลก ๆ ที่เอเลนาไม่เข้าใจ
เริ่มจากการนั่งด้วยสองขาหลัง เอาอุ้งเท้าหน้าทั้งสองมาเท้าสะเอวส่ายก้นเล็กน้อยสองสามที จากนั้นเอาอุ้งเท้ามาทำท่าหมุน ๆ แล้วชูขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง พับแขนและเอาอุ้งเท้าแตะไหล่
ปิ๊ง...
“...เฮ้ย!”
แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของแมวน้อยสีขาวก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตา เอเลนารีบกลับร่างมาเป็นกายเนื้อและสำรวจรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจ้าแมวอยู่เลย เมื่อเอามือแตะตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่พบว่ามีเกทอยู่
ยังไงแมวตัวนั้นก็ไม่น่าจะใช้เวทมนต์ได้เพราะเป็นมนุษย์สัตว์ หรือว่ามันจะเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อใช้ข้ามมิติไป
เจ้าหญิงเม้มปาก จากนั้นก็ซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นก็สูดหายใจลึก ๆ และเริ่มเอาบ้าง
สองมือเท้าสะเอวส่ายก้นไปมา กำมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา
“...” หน้าของเด็กสาวเริ่มแดงและร้อนผ่าว ๆ
จากนั้นกางแขนขึ้นและลง พับแขนเอามือแตะไหล่
“...”
พอมองไปรอบ ๆ เธอก็ยังคงยืนที่เดิม คิดแล้วก็รู้สึกว่านี่มันติงต๊องชะมัด
“อ๊ะ”
ทว่ามือกระพริบตาสองสามที ภาพตรงหน้าก็ทำให้ดวงตาสีฟ้าสดใสเบิกกว้าง แม้โดยรอบจะยังคงเป็นป่าสนเช่นเดิม แต่ตรงที่ ๆ เคยมีบ้านร้างอยู่นั้นได้เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ตรงหน้าของเอเลนาคือกระท่อมไม้หลังน้อยชั้นเดียวเป็นทรงน่ารัก ถูกสร้างจากไม้ซุงนำมาวางเรียงกันและมุงหลังคาด้วยเปลือกไม้ ที่ด้านหลังมีปล่องไฟก่อขึ้นมาจากหิน รอบตัวบ้านมีทั้งสวนผักและสวนดอกไม้ปลูกเอาไว้ เมื่อมองรอบ ๆ อีกทีก็พบว่าถนนของอุทยานหายไปแล้ว เหมือนกับว่าที่นี่ถูกล้อมรอบด้วยป่าและไม่มีทางออกไปที่ไหนเลย
แต่นอกจากตัวบ้านแล้ว ก็มีร่างมนุษย์สัตว์สาวในชุดกระโปรงสไตล์วิคตอเรียนที่หน้าเหวอทำปากพะงาบ ๆ อยู่อีกอย่างนึงด้วย
“คะๆๆๆใครน่ะคะ ละๆๆๆแล้วมาได้ไง!!”
ว่าแล้วคุณเธอก็หันตัวไปคว้าขวานผ่าฟืนเล่มใหญ่ที่ปักอยู่กับท่อนไม้ใกล้ ๆ มาถือเพื่อป้องกันตัว
“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ ก่อน” เอเลนายิ้มแหย ๆ ให้ “พี่ชื่อเอเลนา เป็นลูกสาวของโรมาริน”
“เอ๊ะ!” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว กระนั้นก็ยังดูไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ และยังคงถือขวานจ่อมาที่เธอ “ถ้างั้นพิสูจน์มาค่ะ”
เจ้าหญิงหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างและเปลี่ยนมันเป็นดาบน้ำแข็งเอาปักลงพื้น จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาสางผมด้านข้างไปทัดหูไว้ เผยใบหูที่มีลักษณะแหลมที่ปลายคล้ายกับเอลฟ์แต่สั้นกว่าให้อีกฝ่ายดู
ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างทันที ก่อนจะรีบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าเธอ
“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทด้วยค่ะ นายหญิงสั่งเอาไว้ว่าห้ามไว้ใจทุกคน”
หลังจากนั้น มนุษย์สัตว์สาวก็พาเอเลนาเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้าน ชงชาดอกไม้หอม ๆ เสิร์ฟพร้อมกับคุกกี้ที่หน้าตาคุ้นเคยให้ เอเลนามองไปรอบ ๆ ภายในตกแต่งในสไตล์เรียบง่าย มีต้นไม้เล็ก ๆ ปลูกเอาไว้สองสามกระถางตามมุมห้อง มีลมเย็น ๆ พัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ถึงจะบอกว่าไม่ไว้ใจทุกคน แต่เมื่อกี้หล่อนดันไปนอนบนตักไอ้ผู้ชายคนนั้นได้เนี่ยนะ...
“อืม” เธอแอบนินทาอีกฝ่ายในใจพลางยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าให้หายร้อนและสูดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ผ่านจมูก “ว่าแต่ เธอชื่ออะไรเหรอ”
“มองต์บลังค์ค่ะ เรียกบลังค์เฉย ๆ ก็ได้”
“ชื่อน่ากินเชียว”
“นายหญิงบอกว่าแปลว่าภูเขาสีขาวน่ะค่ะ มันน่ากินตรงไหนเหรอคะ” สาวน้อยทำตาปริบ ๆ เอียงคองง ๆ
“มันบังเอิญกลายมาเป็นชื่อขนมชนิดนึงน่ะ” เจ้าหญิงยิ้มให้ “ขอถามอะไรหน่อยสิ เธอเป็นคนส่งคุกกี้ไปให้อาจารย์อาเทเนียใช่ไหม”
“ค่ะ” สาวน้อยพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “นายหญิงจะส่งคุกกี้มาทางเตาผิงนี้ แล้วหนูก็จะส่งผ่านเครือข่ายเตาผิงที่บ้านร้างไปให้อาจารย์อาเทเนียอีกที แต่ว่าหลังจากนี้จะให้หนูส่งยังไงดีคะ เอาไปให้กับตัวเลยไหม”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวค่อยแวะมาเอาที่นี่ก็ได้ ว่าแต่...นายหญิงของบลังค์อยู่ไหนเหรอ”
เอเลนามองไปรอบ ๆ บ้าน ทว่าไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัยคนอื่นเลย มันทำให้ในอกของเธอรู้สึกหวิว ๆ ชอบกล
“อา...ต้องขออภัยด้วยนะคะ เรื่องนั้นหนูเองก็ไม่ทราบค่ะ” บลังค์ยิ้มจ๋อย ๆ พร้อมกับใบหูที่ลู่ลง “หนูเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารของนายหญิงเท่านั้น หน้าที่ที่นายหญิงมอบเอาไว้ให้ก็คือดูแลที่นี่ ส่งคุกกี้ให้อาจารย์อาเทเนีย และรอการมาถึงของคุณหนูเท่านั้นค่ะ ถ้าคุณหนูมาแล้วก็ให้มอบสิ่งนี้ให้”
เด็กสาวดึงก้านโรสแมรีออกมาจากโชคเกอร์ที่คอและส่งให้ เอเลนารับมันมาด้วยสองมือ
ทันทีที่ก้านโรสแมรีเขียว ๆ สัมผัสกับฝ่ามือของเธอ มันก็เรืองแสงและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นลูกกุญแจสีเงินที่มีด้ามจับทำเป็นรูปหัวของมังกร
“นายหญิงบอกว่าถ้าใช้กุญแจนี้ไขเปิดประตูบานไหนก็ตาม จะสามารถโผล่มาที่นี่ได้ตลอดค่ะ ท่านตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นบ้านของคุณหนู”
“แล้ว ถ้าจะออกจากที่นี่ล่ะ”
“ก็ทำแบบเดียวกันค่ะ ขอแค่นึกถึงที่หมายปลายทางให้ละเอียดที่สุดก็พอ”
เยี่ยมเลย หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ค่าขนส่งสาธารณะแล้วสินะ
“แล้ว พี่จะต้องทำยังไงต่อเหรอ ถึงจะได้เจอแม่น่ะ” ระหว่างที่พิจารณาลูกกุญแจไป เอเลนาก็ถามอีกฝ่าย
“คงต้องหาผู้ส่งสารคนต่อไปน่ะค่ะ หนูเองก็ไม่เคยเจอผู้ส่งสารคนอื่นเลย” เด็กสาวยิ้มแห้ง “แต่ก็น่าจะหาไม่ยากหรอกค่ะ ผู้ส่งสารทุกคนเป็นสัตว์ที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์สัตว์ได้ และจะมีสัญลักษณ์ของนายหญิงติดอยู่ที่ตัวค่ะ อ้อ บางทีกุญแจนั่นอาจจะเป็นคำใบ้ก็ได้นะคะ”
จะให้เจอกันง่าย ๆ ไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนใจพลางมองดูรูปหัวมังกรที่ลูกกุญแจที่สะท้อนกับแสงจากหน้าต่าง พลางถอนหายใจออกมา
ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกตงิด ๆ ใจ ไม่ใช่เรื่องของมังกรหรอก แต่เป็นไอ้บ้าคนนึงที่ทนมือทนเท้ากับทุกอย่างราวกับว่ามีผิวหนังเป็นเกล็ดมังกรนั่นแหละ
หรือว่า…
“จะว่าไป...ไม่พาคุณหนูอีกท่านมาด้วยเหรอคะ”
“รู้ด้วยเหรอ” เจ้าหญิงละสายตาขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ค่ะ นายหญิงเคยบอกเอาไว้อยู่ จริง ๆ หนูก็เคยเจอเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่ากลัวว่าจะเป็นตัวปลอม ก็เลยไม่ได้แสดงตัว” บลังค์บอก “คน ๆ นั้นเองก็พยายามหาเบาะแสของนายหญิงอยู่เหมือนกัน รวมทั้งคุณหนูด้วย”
“ทางนั้นเองก็พยายามอย่างหนักในแบบของตัวเองสินะ” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “ไว้ซักวันจะพามาแล้วกัน งั้นขอลองเล่นเจ้านี่หน่อยนะ”
เอเลนาลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู เมื่อยื่นกุญแจไปที่รูกุญแจ ส่วนปลายก็เปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากันโดยอัตโนมัติ เธอนึกภาพของสถานที่ปลายทางที่หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเสียบกุญแจเข้าไปและบิดไขกุญแจ มีเสียงดังกริ๊กตามมาหนึ่งที เมื่อแง้มประตูออก ลมหนาวก็พัดเข้ามาปะทะร่าง
“ไว้วันหลังจะมาหาบ่อย ๆ นะ มีคนที่อยากรู้จักเธออยู่คนนึงด้วยล่ะ” เจ้าหญิงยิ้มจาง ๆ ให้มองต์บลังค์ก่อนจะเดินผ่านประตูไป สาวน้อยจับชายกระโปรงและถอนสายบัวให้อย่างนอบน้อม แต่ก็แอบเอียงคอสงสัย
“ใครน่ะ!”
อีวาน สเตฟานอฟที่นั่งคุกเข่าภาวนาอยู่ ณ ระเบียงของห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดชักอาวุธออกมาเมื่อได้ยินเสียงผู้บุกรุก ทว่าดวงตาก็เบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างอันบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวเดินมา
“อะ...องค์หญิง!”
“ขอโทษนะคะ…อาจารย์ ที่ทำให้ต้องทรมานแบบนี้” เจ้าหญิงปิดเปลือกตาลง ทำให้หยดน้ำใส ๆ ที่ซึมออกมาไหลผ่านแก้มไปถึงคางและหยดลงในแก้วน้ำที่ใส่น้ำเปล่าเอาไว้ เธอส่งแก้วนั้นให้กับอาจารย์ที่เป็นคนสอนวิชาดาบให้กับเธอ
อีวานรับแก้วน้ำและจิบไปหนึ่งอึก ไม่นาน ร่องรอยของความโทรมบนใบหน้าก็พลันจางหายไปทันที
“กระหม่อมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึง...”
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงแล้วก็วุ่นวายกันนะคะ” เอเลนายกมือเช็ดน้ำตาออก ก่อนจะหันไปมองภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอก เธอชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่จุด ๆ หนึ่งและยิงลำแสงออกไป ทำให้บาเรียเวทมนตร์ที่คอยปกป้องยอดหอคอยเอาไว้แตกสลาย จากนั้นก็ชี้ไม้ไปที่แก้วน้ำในมือของอีวาน ทำให้ของเหลวใส ๆ ที่บรรจุเอาไว้ลอยออกมา เจ้าหญิงชี้ไม้กายสิทธิ์ขึ้นฟ้า ทำให้กลุ่มของของเหลวพุ่งขึ้นไปตาม ไม่นานท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็ดำมืดยิ่งกว่าเดิม ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืน ๆ และหยดน้ำฝนที่ร่วงหล่นลงมา
“หลังจากฝนนี้หยุด ท้องฟ้าก็จะกลับมาสดใสและอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็นนะคะ ส่วนน้ำตามธรรมชาติที่รองรับน้ำฝนนี้ไว้ก็จะมีพลังแบบเดียวกับน้ำตาของฉัน”
“....องค์หญิง”
“ฉันไม่อยากจะแบกรับภาระนี้อีกแล้วค่ะอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากจะเป็นชนวนสงคราม หรืออาวุธสงครามแบบที่ท่านพ่อตั้งใจเอาไว้ด้วย” เอเลนายิ้มเศร้า ๆ ให้อีกฝ่าย “ฝากขอโทษท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยนะคะ”
เธอเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์เป็นดาบ ก่อนจะใช้ด้านคมตัดปลายผมออกมาปอยหนึ่งและส่งให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอได้กลับมาแล้ว
“ไม่ต้องตามหาฉันอีกแล้วนะคะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านแล้ว”
เจ้าหญิงเปลี่ยนดาบกลับมาเป็นไม้กายสิทธิ์และโบกสะบัดไม้อีกหนึ่งที ร่างของเธอก็พลันอันตรธานหายไป พร้อมกับเสียงร้องเรียกหาของอาจารย์ของเธอ
ยังเหลืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสาง
ร่างอันบอบบางของเอเลนาเดินผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เต็มฟุตบาท โดยหาได้สนใจว่าผู้ที่เดินผ่านพวกเขาไปเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ของโลกเวทมนตร์ ในอ้อมแขนของเธอโอบกอดห่อของบางอย่างที่ซื้อมาจากร้านใกล้ ๆ อย่างทะนุถนอม เจ้าหญิงเดินไปเรื่อย ๆ พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต
ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย ตรงหน้าของเธอคือโกดังร้างที่อยู่ริมแม่น้ำ ห่างไกลจากตัวเมืองและผู้คน เด็กสาวเม้มปากและสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จนมาถึงห้องมืด ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโต๊ะหนึ่งตัว
เอเลนาแกะห่อของออก วางช่อดอกเบญจมาศสีขาวบริสุทธิ์ลงบนโต๊ะซึ่งมีร่องรอยบากเอาไว้ห้ารอย เธอล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายข้าง หยิบไดอารีเล่มเก่าออกมาเปิดไปที่หน้า ๆ หนึ่ง ซึ่งมีกระดาษถูกพับครึ่งเสียบเอาไว้
อาเทเนียบอกว่าบังเอิญเจอสิ่งนี้ตอนที่เก็บกวาดห้องของมารีหลังเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น เธอบอกว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เพื่อนของเธอทิ้งไว้ให้ เอเลนาไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมาเลย
แต่ในตอนนี้ เธอเองก็จัดการตัวการที่ทำให้เพื่อนต้องเจอชะตากรรมแบบนั้นไปแล้ว เอเลนาสูดลมหายใจเข้า หยิบแผ่นกระดาษออกมาและคลี่ออก
ฝั่งหนึ่งเป็นภาพตัวการ์ตูนที่วาดล้อเลียนแบบลวก ๆ เป็นภาพของมารีที่พยายามทำท่าง้อเธออยู่ ส่วนอีกฝั่งคือข้อความไม่กี่บรรทัด
เอเลนา
ฉันนี่มันโง่จริง ๆ ที่โดนความโลภบังตาจนลืมไปว่าสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือนมานี้คืออะไร
ฉันสัญญาว่าจะกลับมาเป็นมารีของเอเลนาเหมือนเดิม อย่าโกรธกันเลยนะ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย ๆ
ฉันขอโ---------------------
ข้อความบรรทัดสุดท้ายยังไม่ทันจะเขียนจบก็มีร่องรอยเหมือนขีดลากออกไป คงเป็นตอนที่พวกอีกาบุกเข้ามาพอดี
“...ฉันเอง...ก็พูดไม่ดี...กับมารีไว้เหมือนกัน...แถมยัง....”
หยดน้ำใส ๆ หยดจากปลายคางกระทบพื้นที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีดอกไม้สีขาวงอกออกมาและผลิบาน
“ฉันยกโทษให้...หลับให้สบายนะ...มารี”
ร่างของเจ้าหญิงทรุดลงไปเกาะกับโต๊ะ ก่อนจะร้องไห้ออกมา มีเพียงเสียงร้องที่โหยหวนแทบจะขาดใจที่สะท้อนกังวานอยู่ภายในนั้น...
“โอ๊ะ ตื่นแล้ว”
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มารีก็พบว่าตัวเองมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานกว้างของโรงเรียน แสงแดดส่องผ่านหมู่ใบไม้ลงมาระยิบระยับ แต่ก็สว่างจนต้องยกมือขึ้นมาป้อง ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงลมร้อน ๆ ที่พัดเข้ามาและเสียงจั๊กจั่นดังกังวาน
“กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ” มารีขยับท่าทางขึ้นมานั่งละดันแว่นตามองพวกเพื่อน ๆ เดรโกนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอโดยมีนัวร์ในร่างแมวดำนอนขดอยู่บนตักของเขา ส่วนที่พื้นหญ้ามีไทกับลูอานาที่ปูเสื้อนั่งเล่นอุปกรณ์ปรุงยากันอยู่
“ลองเล่นอะไรใหม่ ๆ กันล่ะเน่อ” ไทยิ้ม “อะ น้ำสมุนไพรแก้ร้อน”
“ไม่อะ ขอบคุณ”
“ชิ...” ไทเดาะลิ้น เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนอีกสองคนที่ไม่ได้กินชาสมุนไพรแปลก ๆ ด้วยเช่นกัน เป็นบรรยากาศบ้า ๆ บอ ๆ ที่เจอทุกครั้งในคาบชมรม ราวกับว่าสองสามวันที่ผ่านนี้ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นมาก่อนเลย
“มารีไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ลูอานาถามเธอ
“อืม สบายมาก” เธอยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เป็นห่วง”
“เดรโกเล่าให้ฟังแล้วล่ะเน่อ แต่ว่านะ มารีจะสุดยอดเกินไปแล้ว” ไทว่า ได้ยินดังนั้นก็ทำเอาเธอแอบใจหวิว ๆ และรีบหันไปหาหนุ่มผมแดงทันที ทว่าเดรโกเพียงส่ายหน้าให้
“แค่เล่าว่ามารีซ้อนแผนแล้วไปจัดการพวกอีกาตัวคนเดียวน่ะ”
“...แล้วไป” เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก “จริงสิ ซื้อเจ้านี่มาฝากล่ะ”
มารีเปิดกระเป๋าสะพายข้าง หยิบถุงขนมที่ซื้อมาจากปารีสก่อนหน้านี้ให้เพื่อน ๆ มีทั้งมาการอง มองต์บลังค์ เมดเดเลน เอแคลร์ และชูครีม ทำให้ตาของเพื่อน ๆ ลุกวาวทันที
พอกัดขนมเอแคลร์เข้าไป เดรโกก็เลิกคิ้วขึ้นและแก้มกลายเป็นสีชมพูพร้อมกับยกนิ้วชม ลูอานาที่ชิมเมดเดเลนเองก็ร้องออกมาอย่างมีความสุข
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”
ในระหว่างนั้นเอง อาเรีย สเตฟานอฟ (ที่ทุกคนรู้กันแล้วว่าเป็นตัวปลอม) ก็เดินมาหา เธอเลิกคิ้วมองของแต่ละอย่างด้วยความสงสัย
“มา ๆ กินขนมกันเน่อ” เจ้าไทชูแก้วใส่น้ำสมุนไพรเป็นการทักทาย ก่อนจะกัดขนมมาการองและจิบสมุนไพรเข้าไปให้ลื่นคอ “อ๊ะ!”
ปุ๋ง...
ทันใดนั้น ร่างพ่อหนุ่มตัวแสบของเราก็มีควันผุดออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ตัวเขียว ที่มีผมเป็นใบไม้และมีกิ่งไม้งอกออกมาเป็นเขา
“อ๊ะ...น้ำยาชำระล้างหมดพอดีน่ะ” มารีค้น ๆ กระเป๋าสะพายข้าง ก็เจอแต่ขวดน้ำยาเปล่า ๆ
“เอ๊!!!”
“เอ่อมารี ถามอะไรหน่อยสิ” ระหว่างที่ไอ้ตัวแสบร้องห่มร้องไห้ เดรโกเข้ามากระซิบถามเธอ
“รู้แล้วล่ะว่าเรื่องอะไร” เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปที่เด็กสาวผมเงิน “นี่ มีผึ้งเกาะอยู่ที่หูน่ะ”
“เอ๋ ไหนๆๆๆ” อาเรียรีบทัดผมก่อนปัด ๆ ออก เผยให้เห็นใบหูรูปทรงกลมมนเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทั้งในสายตาของไทกับลูอานา และสายตาพิเศษของเดรโกกับมารี
“...อย่างนี้นี่เอง” หนุ่มผมแดงกอดอก “แต่ถ้าอย่างนั้น คน ๆ นี้เขาเป็นอะไรกับ...มารีเหรอ”
“คนหน้าตาเหมือนกันสองคน ถ้าไม่ใช่ดอพเพลแกงเกอร์ มันก็มีแค่กรณีเดียวแหละนะ” มารีหยิบกุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋าสายข้างและพินิจพิจารณามันอีกรอบ “แต่ตอนนี้เราเองก็มีเรื่องอยากจะถามเดรโกอยู่เหมือนกันแหละ”
“สายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”
เหมือนที่พระราชินีมาร์การิตาเคยบอกเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กสาวผมเงินตรงหน้าก็คือสายลับจากเรฟลอเดียที่ถูกส่งตัวมาเพื่อสืบหาตัวของเจ้าหญิงเอเลนาเนี่ยแหละ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าทางนั้นจะส่งคนที่ใกล้ตัวที่สุดของเธอมา
ไว้สักวัน ค่อยบอกเรื่องที่ไปเจอกับบลังค์ให้ฝาแฝดของเธอรู้ก็แล้วกัน...
“คิดยังไงกับเด็กพวกนั้นล่ะ”
ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน คนสามคนพูดคุยกันอยู่ที่ห้องพักชั้นสามและมองไปที่พวกเด็ก ๆ ที่ยังคงทำเรื่องไร้สาระกันจนน่าเหนื่อยใจ
“การประสานงานกันในการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง ทีมเวิร์คไม่มี ทำอะไรตามใจตัวเองกันหมด” อาจารย์ราตรีกอดอกมองพวกเด็ก ๆ “ถ้าเอเลนาไปช่วยไม่ทัน ป่านนี้น่าจะตายไปสองคนแล้ว”
“ก็เข้าใจอยู่ว่าที่เลือกสามคนนี้มาเพราะมีความหลังกับพวกอีกากันทุกคน แต่ตอนนี้พวกเขาโดนความแค้นบังตาจนคิดแต่จะลุยท่าเดียว แถมยังอ่อนประสบการณ์กันหมดด้วย” อาจารย์ลุดวิกเสริม “ให้เจ้าหญิงเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดีกว่าเถอะครับ อย่าเอาพวกเขาไปเสี่ยงเลย...อาจารย์”
“ถึงเราจะกีดกันแค่ไหน แต่สักวันพวกเขาก็ต้องไปซัดกับไอ้พวกนั้นอยู่ดี มันเป็นชะตาที่เลี้ยงไม่ได้หรอก” อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดบอกกับอดีตลูกศิษย์ทั้งสอง “หน้าที่ของพวกเราก็คือคอยฟูมฟักและลับเขี้ยวเล็บของพวกเขาให้ถูกทางจนปีกกล้าขาแข็งเท่านั้นแหละ อย่างน้อยตอนนี้ก็พอจะให้เป็นผู้ช่วยของเอเลนาไปได้บ้าง”
“น่าจะเป็นภาระมากกว่าค่ะ” อาจารย์วิชาปรุงยาถอนหายใจ ทำเอา ผอ. หัวเราะร่วน
“นั่นสินะ คงจะยังให้มาเป็นเป็นสมาชิกเต็มตัวไม่ได้” ดวงตาสีเหลืองทองมองไปที่พวกเด็ก ๆ “ก็เหมือนพวกเธอสองคนเมื่อก่อนแหละนะ”
ดวงตาสีน้ำชาเบื้องหลังแว่นกรอบพระจันทร์เสี้ยวของอาจารย์สาวเลื่อนหนี ส่วนอาจารย์ในผ้าคลุมก็หัวเราะออกมา
“หลังจากนี้ฝากพวกเธอสองคนช่วยสอนพวกเขาทีนะ ในฐานะที่พวกเธอเองก็เป็นรุ่นพี่ของพวกเขา รวมทั้งในฐานะสมาชิกชมรมเดียวกันรุ่นก่อนหน้าด้วย”
วันต่อมา โฮมก็เปิดเรียนตามปกติโดยไม่สนใจว่าการสอบกลางภาคเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะผลาญพลังชีวิตของเด็กนักเรียนไปมากเท่าไร หรืออากาศจะร้อนจนไม่อยากจะออกมาข้างนอก รวมทั้งไม่สนใจด้วยว่าพวกมารีแทบจะเอาชีวิตกันไม่รอด
หลังจากคาบวิชาเสรีตอนบ่ายจบลง พวกเด็ก ๆ ก็เดินห่อเหี่ยวไปยังห้องชมรม
“วันนี้ดูมารีอารมณ์ดีนะคะ” ลูอานาก็หันมามองมารี ก็จริงของเธอ ทั้งวันนี้มารีไม่ได้สะทกสะท้านกับคลื่นความร้อน หรือความรู้หัวข้อใหม่ที่ยัดเข้ามาในสมองสักเท่าไหร่
“...เจอเรื่องดี ๆ มาน่ะ” มารียิ้มจาง ๆ ก่อนจะจิบน้ำเย็น ๆ จากกระติกแบบพกพาเพื่อคลายร้อน
“ได้แฟนเหรอคะ”
พรืด!
“ปะ...เปล่าสักหน่อย” มารีกระแอม ก่อนจะดันแว่นตาเล็กน้อยและเช็ดปาก
“เมื่อวานขอบใจเน่อ” ไทที่กลับมาเป็นปกติแล้วหันไปหาอาเรีย โชคดีที่สาวผมเงินเก็บน้ำยาชำระล้างที่เธอทำเอาไว้ตั้งแต่วันแรกของการเรียนอยู่
“อืม” อาเรียที่เดินมาด้วยเพราะยังไงก็ต้องไปที่ห้องสมุดเหมือนกันเชิดหน้าไปหนึ่งที
“จริงสิ อ่านข่าวเมื่อเช้านี้แล้วยัง” เดรโกทักขึ้นมา
“เรื่องที่เจ้าหญิงเอเลนากลับมาแล้วสินะคะ” สาวชาวเผ่าประกบมือ “โล่งอกไปทีเนอะ”
“แต่ว่านะ ทั้งที่กลับมาแล้วแท้ ๆ แต่ดันหายไปไหนไม่รู้อีกเนี่ยน่ะสิ” อาเรียถอนหายใจออกมา และยกมือขึ้นมากุมขมับ เห็นแล้วมารีก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ
“พระองค์คงไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”
“กรี๊ด!”
อยู่ดี ๆ ลูอานาก็กระโดดโหยงเพราะอาจารย์ลุดวิกที่สวมผ้าคลุมและลอยได้ดันโผล่มาข้างหลังตอนไหนไม่รู้ ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ป่านนี้คงวิ่งป่าราบกันแล้ว
“มะ...มาตั้งแต่ตอนไหนน่ะครับเน่อ” ไทยิ้มแห้ง ๆ มองอาจารย์
“ตั้งแต่ที่คุณคาฮานานูอิแซวคุณโอแคลร์เรื่องแฟนแล้วล่ะ อาจารย์ขอไปที่ห้องชมรมพวกเธอด้วยนะ” อาจารย์กล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ทว่าทำไมพวกเด็ก ๆ ถึงรู้สึกว่าตาขวามันกระตุกก็ไม่รู้
เมื่อเข้ามา ก็พบว่าอาจารย์ราตรีมานั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะอีกคน
“เอ่อ...อาจารย์มาทำอะไรเหรอครับ” เดรโกยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย
“ก็ครูเคยอยู่ชมรมนี้นี่ จะแวะมาไม่ได้เหรอ” หญิงสาวสิ่งยิ้มให้ ทว่าทำให้พวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ
“ยังไม่ได้บอกสินะ พวกครูสองคนเคยอยู่ชมรมนี้กันมาก่อน ถึงจะห่างกันเป็นร้อยปีก็เถอะ” อาจารย์ลุดวิกว่า
“ระ...ร้อยปีเหรอคะ” ลูอานาเอียงคองง
“วันนี้เริ่มด้วยคาถาป้องกันตัวง่าย ๆ ก็แล้วกัน” อาจารย์หนุ่มกล่าว “แต่ก่อนอื่นเลย ครูขออนุญาตนะ ถ้าสอนทั้งแบบนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่”
เขาสะบัดมือหนึ่งที ทำให้หน้าต่างของห้องชมรมปิดลง เลื่อนผ้าม่านปิดบังแสงทั้งหมด และเปิดไฟในห้องให้ความสว่างแทน
จากนั้นอาจารย์ลุดวิกก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายอยู่ เด็ก ๆ แต่ละคนกลืนน้ำลาย เพราะตั้งแต่เรียนมาครึ่งเทอม พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าตาจริง ๆ ของอาจารย์คนนี้เลย นอกจากมือซีด ๆ ที่ดูน่ากลัว
สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือเรือนผมสั้นสีดำ ดวงตาสีแดงสดที่ดูดุร้าย จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางซีด ๆ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ร้องออกมาว่า...
“หล่อโคตร!”
ในระหว่างที่พวกเพื่อน ๆ ฝึกคาถากับอาจารย์ทั้งสอง มารีที่ใช้คาถาพวกนี้เป็นแล้วก็เพียงนั่งมองเพื่อน ๆ เงียบ ๆ บนโซฟา พลางจิบน้ำผลไม้ไปโดยมีนัวร์นอนขดอยู่บนตัก
พอรู้ตัวอีกทีก็มีเพื่อนเยอะขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย...
มารีลูบไล้ไปบนขนนุ่ม ๆ ของเจ้าแมวคู่ใจ นับแต่แต่เรื่องเศร้าในวันนั้น เธอก็อยู่กับเขาสองคนมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เข้ามาที่โฮมและพบผู้คนมากมาย
ว่ากันว่าคนที่มีชะตาร่วมกันย่อมดึงดูดให้มาอยู่ด้วยกัน
ใครจะคิดว่าคนแปลกหน้าที่แค่เจอกันตอนขึ้นวาฬ กับคนที่เธอเผลอเดินชนจะมีอดีตที่เกี่ยวข้องกับพวกฝูงอีกา และมารวมกันอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน
แน่นอนว่ามารีไม่ได้เชื่อเรื่องของโชคชะตา เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการชักใยจากคนที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุดคนหนึ่งเท่านั้นเอง
มารีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้คนที่พูดถึงจะมีแผนอะไรมากกว่านั้นหรือไม่
“เมี้ยว!”
อยู่ดี ๆ นัวร์ที่นอนอยู่ก็สะดุ้ง พร้อมกับหูและหางที่ชี้เด่ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“โผล่มาแล้วเหรอ”
“เมี้ยว”
จะให้พวกนั้นไปด้วยดีไหมนะ แต่ว่า ตอนนี้ให้ฝึกต่อไปก่อนดีกว่า พวกเขายังอ่อนประสบการณ์เกินไปจริง ๆ เดี๋ยวจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายเหมือนรอบที่แล้ว
“ไปห้องน้ำหน่อยนะ ดื่มน้ำมากไปหน่อย”
มารีลุกขึ้น ก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับนัวร์ เดินลงบันไดมาถึงหน้าห้องสมุด ผ่านต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน ออกจากประตูหน้า ข้ามสะพาน และมาหยุดที่หน้าทางเข้า
สายลมร้อน ๆ พัดผ่านไป ต่อไปก็จะเข้าสู่การสอบปลายภาคและปิดภาคเรียนในช่วงฤดูร้อน
มารีอุ้มนัวร์มานั่งบนไหล่ หยิบไม้กวาดสำหรับบินออกมา พลางมองกลับไปที่โรงเรียนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ร่างของเด็กสาวลอยขึ้นจากพื้นช้า ๆ และเคลื่อนห่างออกไป
ไว้สักวันค่อยบอกความจริงกับพวกเพื่อน ๆ ที่เหลือแล้วกัน
ยังไงเธอก็มีเวลาอีกถมเถ ในเมื่อตอนนี้เธออยู่ที่โฮม และบ้านที่แท้จริงของเธอแล้ว...
-fin-
Destiny princess departs again
“เหวอ!”
ทันที่ที่เดรโกรัสยกแมวขาวขึ้นมา คุณเธอก็ดิ้นอย่างแรงจนหลุดจากมือของเขาและรีบวิ่งหนีออกจากร้านทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ออกไป
“ให้มันได้อย่างงี้สิ” เห็นดังนั้น มารีก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ดะ...โดนเกลียดเข้าแล้ว”
“รบกวนหน่อย ถ้าครึ่งชั่วโมงเราไม่กลับมา ฝากแบกร่างนี้กลับไปที่โรงเรียนให้ด้วยนะ หรือถ้าขี้เกียจรอก็แบกไปก่อนได้เลย ส่วนค่าอาหารฝากออกไปก่อนนะ เดี๋ยวมาจ่ายคืนให้”
“เอ๋”
ยังไม่ทันที่หนุ่มผมแดงจะตอบอะไร มารีก็ฟุบหลับไปกับโต๊ะเสียแล้ว โดยที่กระเป๋าสะพายข้างของเธอหายไปด้วย
“เอาไงดีอะ” เขาหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้นัวร์ที่ทำสีหน้าไม่ต่างกัน
“แล้วแต่เลยฮะ”
เดรโกถอนหายใจก่อนจะขยับเขาไปพิจารณาร่างของมารีให้ใกล้ขึ้น เมื่อยกนิ้วไปจ่อที่จมูกก็พบว่าไม่มีลมหายใจเข้าออก พอแตะที่หน้าผากก็รู้สึกว่าความอุ่นในร่างค่อย ๆ ลดลง และเมื่อจับไปที่ข้อมือก็พบว่าไม่มีชีพจรเต้นแล้ว
แม้จะดูเหมือนแค่ฟุบหลับไป แต่ถ้าพูดตรง ๆ เลยก็คือตรงหน้าของเขาก็คือศพนั่นแหละ...
“ว่าแต่ เดรโกทำได้ยังไงน่ะฮะ ให้แม่นั่นมานอนบนตักได้น่ะ” นัวร์แย่งขนมที่เหลือมาจากมารี (เพราะคงไม่ได้กินแล้ว) เอาเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ถามอีกฝ่าย
“ก็แค่นั่งอยู่เฉย ๆ น่ะ แล้วเขาก็กระโดดขึ้นมานอนเอง” เขายักไหล่ให้ บางทีแมวก็เป็นสัตว์ที่เดาใจอะไรไม่ได้ ถ้าแมวทุกตัวแปลงร่างเป็นคนได้แบบนัวร์ก็คงดี
“น่าอิจฉาจัง” เด็กน้อยเบ้ปากและตักขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก “ผมตามจีบนางมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่แม่แต่แยแสเลย”
“แก่แดดอะเรา” ได้ยินดังนั้นก็อดขำกับความไร้เดียงสาของเจ้าหนูนี่ไม่ได้ แต่ในตอนนั้นเดรโกก็นึกอะไรออก “จะว่าไป นัวร์รู้จักคนที่ชื่ออาเรียไหม แล้วในสายตานัวร์เขาหน้าตายังไงเหรอ”
“เคยเจออยู่ฮะ แล้วก็ทำให้ผมปวดหัวมาแล้วรอบนึง” ดวงตาสีเหลืองกลอกไปมา “หน้าตาของคน ๆ นั้น...ก็ผมสีเงิน ตาสีฟ้าเหมือนเจ้านายเลยฮะ”
“งั้นเหรอ แล้วพอจะรู้อะไรไหมว่าเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้านายเธอน่ะ”
“งืม เจ้านายเองก็ไม่เคยบอกอะไรเลยน่ะฮะ” เด็กน้อยกอดอก “แต่ว่านะ มีอยู่อย่างนึงที่คน ๆ นั้นไม่เหมือนเจ้านายน่ะฮะ”
“นิสัยเหรอ”
“ไอ้นี่ต่างหากฮะ” นัวร์ยกสองมือขึ้นมาจับไปที่อวัยวะหนึ่ง ทำให้ดวงตาเบื้องหลังแว่นกันลมเบิกกว้างทันที เพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าไม่เคยเห็นอวัยวะส่วนนั้นของทั้งสองคนโผล่ออกมาเลย
เอเลนาไล่ตามแมวขาวไปเรื่อย ๆ มันยังคงวิ่งซอกแซกไปตามซอกซอยต่าง ๆ ผ่านผู้คน ถนนใหญ่ มาถึงริมทะเลสาบ และวิ่งเลาะไปจนกระทั่งมาถึงอุทยานแห่งชาติ
อย่าบอกนะว่า...
แล้วเจ้าแมวก็มาหยุดที่หน้าซากบ้านร้าง มันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครอื่นอยู่แถวนี้หรือไม่ แล้วก็เริ่มทำอะไรแปลก ๆ ที่เอเลนาไม่เข้าใจ
เริ่มจากการนั่งด้วยสองขาหลัง เอาอุ้งเท้าหน้าทั้งสองมาเท้าสะเอวส่ายก้นเล็กน้อยสองสามที จากนั้นเอาอุ้งเท้ามาทำท่าหมุน ๆ แล้วชูขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง พับแขนและเอาอุ้งเท้าแตะไหล่
ปิ๊ง...
“...เฮ้ย!”
แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของแมวน้อยสีขาวก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตา เอเลนารีบกลับร่างมาเป็นกายเนื้อและสำรวจรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจ้าแมวอยู่เลย เมื่อเอามือแตะตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่พบว่ามีเกทอยู่
ยังไงแมวตัวนั้นก็ไม่น่าจะใช้เวทมนต์ได้เพราะเป็นมนุษย์สัตว์ หรือว่ามันจะเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อใช้ข้ามมิติไป
เจ้าหญิงเม้มปาก จากนั้นก็ซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นก็สูดหายใจลึก ๆ และเริ่มเอาบ้าง
สองมือเท้าสะเอวส่ายก้นไปมา กำมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา
“...” หน้าของเด็กสาวเริ่มแดงและร้อนผ่าว ๆ
จากนั้นกางแขนขึ้นและลง พับแขนเอามือแตะไหล่
“...”
พอมองไปรอบ ๆ เธอก็ยังคงยืนที่เดิม คิดแล้วก็รู้สึกว่านี่มันติงต๊องชะมัด
“อ๊ะ”
ทว่ามือกระพริบตาสองสามที ภาพตรงหน้าก็ทำให้ดวงตาสีฟ้าสดใสเบิกกว้าง แม้โดยรอบจะยังคงเป็นป่าสนเช่นเดิม แต่ตรงที่ ๆ เคยมีบ้านร้างอยู่นั้นได้เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ตรงหน้าของเอเลนาคือกระท่อมไม้หลังน้อยชั้นเดียวเป็นทรงน่ารัก ถูกสร้างจากไม้ซุงนำมาวางเรียงกันและมุงหลังคาด้วยเปลือกไม้ ที่ด้านหลังมีปล่องไฟก่อขึ้นมาจากหิน รอบตัวบ้านมีทั้งสวนผักและสวนดอกไม้ปลูกเอาไว้ เมื่อมองรอบ ๆ อีกทีก็พบว่าถนนของอุทยานหายไปแล้ว เหมือนกับว่าที่นี่ถูกล้อมรอบด้วยป่าและไม่มีทางออกไปที่ไหนเลย
แต่นอกจากตัวบ้านแล้ว ก็มีร่างมนุษย์สัตว์สาวในชุดกระโปรงสไตล์วิคตอเรียนที่หน้าเหวอทำปากพะงาบ ๆ อยู่อีกอย่างนึงด้วย
“คะๆๆๆใครน่ะคะ ละๆๆๆแล้วมาได้ไง!!”
ว่าแล้วคุณเธอก็หันตัวไปคว้าขวานผ่าฟืนเล่มใหญ่ที่ปักอยู่กับท่อนไม้ใกล้ ๆ มาถือเพื่อป้องกันตัว
“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ ก่อน” เอเลนายิ้มแหย ๆ ให้ “พี่ชื่อเอเลนา เป็นลูกสาวของโรมาริน”
“เอ๊ะ!” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว กระนั้นก็ยังดูไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ และยังคงถือขวานจ่อมาที่เธอ “ถ้างั้นพิสูจน์มาค่ะ”
เจ้าหญิงหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างและเปลี่ยนมันเป็นดาบน้ำแข็งเอาปักลงพื้น จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาสางผมด้านข้างไปทัดหูไว้ เผยใบหูที่มีลักษณะแหลมที่ปลายคล้ายกับเอลฟ์แต่สั้นกว่าให้อีกฝ่ายดู
ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างทันที ก่อนจะรีบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าเธอ
“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทด้วยค่ะ นายหญิงสั่งเอาไว้ว่าห้ามไว้ใจทุกคน”
หลังจากนั้น มนุษย์สัตว์สาวก็พาเอเลนาเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้าน ชงชาดอกไม้หอม ๆ เสิร์ฟพร้อมกับคุกกี้ที่หน้าตาคุ้นเคยให้ เอเลนามองไปรอบ ๆ ภายในตกแต่งในสไตล์เรียบง่าย มีต้นไม้เล็ก ๆ ปลูกเอาไว้สองสามกระถางตามมุมห้อง มีลมเย็น ๆ พัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ถึงจะบอกว่าไม่ไว้ใจทุกคน แต่เมื่อกี้หล่อนดันไปนอนบนตักไอ้ผู้ชายคนนั้นได้เนี่ยนะ...
“อืม” เธอแอบนินทาอีกฝ่ายในใจพลางยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าให้หายร้อนและสูดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ผ่านจมูก “ว่าแต่ เธอชื่ออะไรเหรอ”
“มองต์บลังค์ค่ะ เรียกบลังค์เฉย ๆ ก็ได้”
“ชื่อน่ากินเชียว”
“นายหญิงบอกว่าแปลว่าภูเขาสีขาวน่ะค่ะ มันน่ากินตรงไหนเหรอคะ” สาวน้อยทำตาปริบ ๆ เอียงคองง ๆ
“มันบังเอิญกลายมาเป็นชื่อขนมชนิดนึงน่ะ” เจ้าหญิงยิ้มให้ “ขอถามอะไรหน่อยสิ เธอเป็นคนส่งคุกกี้ไปให้อาจารย์อาเทเนียใช่ไหม”
“ค่ะ” สาวน้อยพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “นายหญิงจะส่งคุกกี้มาทางเตาผิงนี้ แล้วหนูก็จะส่งผ่านเครือข่ายเตาผิงที่บ้านร้างไปให้อาจารย์อาเทเนียอีกที แต่ว่าหลังจากนี้จะให้หนูส่งยังไงดีคะ เอาไปให้กับตัวเลยไหม”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวค่อยแวะมาเอาที่นี่ก็ได้ ว่าแต่...นายหญิงของบลังค์อยู่ไหนเหรอ”
เอเลนามองไปรอบ ๆ บ้าน ทว่าไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัยคนอื่นเลย มันทำให้ในอกของเธอรู้สึกหวิว ๆ ชอบกล
“อา...ต้องขออภัยด้วยนะคะ เรื่องนั้นหนูเองก็ไม่ทราบค่ะ” บลังค์ยิ้มจ๋อย ๆ พร้อมกับใบหูที่ลู่ลง “หนูเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารของนายหญิงเท่านั้น หน้าที่ที่นายหญิงมอบเอาไว้ให้ก็คือดูแลที่นี่ ส่งคุกกี้ให้อาจารย์อาเทเนีย และรอการมาถึงของคุณหนูเท่านั้นค่ะ ถ้าคุณหนูมาแล้วก็ให้มอบสิ่งนี้ให้”
เด็กสาวดึงก้านโรสแมรีออกมาจากโชคเกอร์ที่คอและส่งให้ เอเลนารับมันมาด้วยสองมือ
ทันทีที่ก้านโรสแมรีเขียว ๆ สัมผัสกับฝ่ามือของเธอ มันก็เรืองแสงและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นลูกกุญแจสีเงินที่มีด้ามจับทำเป็นรูปหัวของมังกร
“นายหญิงบอกว่าถ้าใช้กุญแจนี้ไขเปิดประตูบานไหนก็ตาม จะสามารถโผล่มาที่นี่ได้ตลอดค่ะ ท่านตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นบ้านของคุณหนู”
“แล้ว ถ้าจะออกจากที่นี่ล่ะ”
“ก็ทำแบบเดียวกันค่ะ ขอแค่นึกถึงที่หมายปลายทางให้ละเอียดที่สุดก็พอ”
เยี่ยมเลย หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ค่าขนส่งสาธารณะแล้วสินะ
“แล้ว พี่จะต้องทำยังไงต่อเหรอ ถึงจะได้เจอแม่น่ะ” ระหว่างที่พิจารณาลูกกุญแจไป เอเลนาก็ถามอีกฝ่าย
“คงต้องหาผู้ส่งสารคนต่อไปน่ะค่ะ หนูเองก็ไม่เคยเจอผู้ส่งสารคนอื่นเลย” เด็กสาวยิ้มแห้ง “แต่ก็น่าจะหาไม่ยากหรอกค่ะ ผู้ส่งสารทุกคนเป็นสัตว์ที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์สัตว์ได้ และจะมีสัญลักษณ์ของนายหญิงติดอยู่ที่ตัวค่ะ อ้อ บางทีกุญแจนั่นอาจจะเป็นคำใบ้ก็ได้นะคะ”
จะให้เจอกันง่าย ๆ ไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนใจพลางมองดูรูปหัวมังกรที่ลูกกุญแจที่สะท้อนกับแสงจากหน้าต่าง พลางถอนหายใจออกมา
ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกตงิด ๆ ใจ ไม่ใช่เรื่องของมังกรหรอก แต่เป็นไอ้บ้าคนนึงที่ทนมือทนเท้ากับทุกอย่างราวกับว่ามีผิวหนังเป็นเกล็ดมังกรนั่นแหละ
หรือว่า…
“จะว่าไป...ไม่พาคุณหนูอีกท่านมาด้วยเหรอคะ”
“รู้ด้วยเหรอ” เจ้าหญิงละสายตาขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ค่ะ นายหญิงเคยบอกเอาไว้อยู่ จริง ๆ หนูก็เคยเจอเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่ากลัวว่าจะเป็นตัวปลอม ก็เลยไม่ได้แสดงตัว” บลังค์บอก “คน ๆ นั้นเองก็พยายามหาเบาะแสของนายหญิงอยู่เหมือนกัน รวมทั้งคุณหนูด้วย”
“ทางนั้นเองก็พยายามอย่างหนักในแบบของตัวเองสินะ” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “ไว้ซักวันจะพามาแล้วกัน งั้นขอลองเล่นเจ้านี่หน่อยนะ”
เอเลนาลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู เมื่อยื่นกุญแจไปที่รูกุญแจ ส่วนปลายก็เปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากันโดยอัตโนมัติ เธอนึกภาพของสถานที่ปลายทางที่หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเสียบกุญแจเข้าไปและบิดไขกุญแจ มีเสียงดังกริ๊กตามมาหนึ่งที เมื่อแง้มประตูออก ลมหนาวก็พัดเข้ามาปะทะร่าง
“ไว้วันหลังจะมาหาบ่อย ๆ นะ มีคนที่อยากรู้จักเธออยู่คนนึงด้วยล่ะ” เจ้าหญิงยิ้มจาง ๆ ให้มองต์บลังค์ก่อนจะเดินผ่านประตูไป สาวน้อยจับชายกระโปรงและถอนสายบัวให้อย่างนอบน้อม แต่ก็แอบเอียงคอสงสัย
“ใครน่ะ!”
อีวาน สเตฟานอฟที่นั่งคุกเข่าภาวนาอยู่ ณ ระเบียงของห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดชักอาวุธออกมาเมื่อได้ยินเสียงผู้บุกรุก ทว่าดวงตาก็เบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างอันบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวเดินมา
“อะ...องค์หญิง!”
“ขอโทษนะคะ…อาจารย์ ที่ทำให้ต้องทรมานแบบนี้” เจ้าหญิงปิดเปลือกตาลง ทำให้หยดน้ำใส ๆ ที่ซึมออกมาไหลผ่านแก้มไปถึงคางและหยดลงในแก้วน้ำที่ใส่น้ำเปล่าเอาไว้ เธอส่งแก้วนั้นให้กับอาจารย์ที่เป็นคนสอนวิชาดาบให้กับเธอ
อีวานรับแก้วน้ำและจิบไปหนึ่งอึก ไม่นาน ร่องรอยของความโทรมบนใบหน้าก็พลันจางหายไปทันที
“กระหม่อมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึง...”
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงแล้วก็วุ่นวายกันนะคะ” เอเลนายกมือเช็ดน้ำตาออก ก่อนจะหันไปมองภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอก เธอชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่จุด ๆ หนึ่งและยิงลำแสงออกไป ทำให้บาเรียเวทมนตร์ที่คอยปกป้องยอดหอคอยเอาไว้แตกสลาย จากนั้นก็ชี้ไม้ไปที่แก้วน้ำในมือของอีวาน ทำให้ของเหลวใส ๆ ที่บรรจุเอาไว้ลอยออกมา เจ้าหญิงชี้ไม้กายสิทธิ์ขึ้นฟ้า ทำให้กลุ่มของของเหลวพุ่งขึ้นไปตาม ไม่นานท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็ดำมืดยิ่งกว่าเดิม ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืน ๆ และหยดน้ำฝนที่ร่วงหล่นลงมา
“หลังจากฝนนี้หยุด ท้องฟ้าก็จะกลับมาสดใสและอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็นนะคะ ส่วนน้ำตามธรรมชาติที่รองรับน้ำฝนนี้ไว้ก็จะมีพลังแบบเดียวกับน้ำตาของฉัน”
“....องค์หญิง”
“ฉันไม่อยากจะแบกรับภาระนี้อีกแล้วค่ะอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากจะเป็นชนวนสงคราม หรืออาวุธสงครามแบบที่ท่านพ่อตั้งใจเอาไว้ด้วย” เอเลนายิ้มเศร้า ๆ ให้อีกฝ่าย “ฝากขอโทษท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยนะคะ”
เธอเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์เป็นดาบ ก่อนจะใช้ด้านคมตัดปลายผมออกมาปอยหนึ่งและส่งให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอได้กลับมาแล้ว
“ไม่ต้องตามหาฉันอีกแล้วนะคะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านแล้ว”
เจ้าหญิงเปลี่ยนดาบกลับมาเป็นไม้กายสิทธิ์และโบกสะบัดไม้อีกหนึ่งที ร่างของเธอก็พลันอันตรธานหายไป พร้อมกับเสียงร้องเรียกหาของอาจารย์ของเธอ
ยังเหลืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสาง
ร่างอันบอบบางของเอเลนาเดินผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เต็มฟุตบาท โดยหาได้สนใจว่าผู้ที่เดินผ่านพวกเขาไปเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ของโลกเวทมนตร์ ในอ้อมแขนของเธอโอบกอดห่อของบางอย่างที่ซื้อมาจากร้านใกล้ ๆ อย่างทะนุถนอม เจ้าหญิงเดินไปเรื่อย ๆ พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต
ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย ตรงหน้าของเธอคือโกดังร้างที่อยู่ริมแม่น้ำ ห่างไกลจากตัวเมืองและผู้คน เด็กสาวเม้มปากและสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จนมาถึงห้องมืด ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโต๊ะหนึ่งตัว
เอเลนาแกะห่อของออก วางช่อดอกเบญจมาศสีขาวบริสุทธิ์ลงบนโต๊ะซึ่งมีร่องรอยบากเอาไว้ห้ารอย เธอล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายข้าง หยิบไดอารีเล่มเก่าออกมาเปิดไปที่หน้า ๆ หนึ่ง ซึ่งมีกระดาษถูกพับครึ่งเสียบเอาไว้
อาเทเนียบอกว่าบังเอิญเจอสิ่งนี้ตอนที่เก็บกวาดห้องของมารีหลังเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น เธอบอกว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เพื่อนของเธอทิ้งไว้ให้ เอเลนาไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมาเลย
แต่ในตอนนี้ เธอเองก็จัดการตัวการที่ทำให้เพื่อนต้องเจอชะตากรรมแบบนั้นไปแล้ว เอเลนาสูดลมหายใจเข้า หยิบแผ่นกระดาษออกมาและคลี่ออก
ฝั่งหนึ่งเป็นภาพตัวการ์ตูนที่วาดล้อเลียนแบบลวก ๆ เป็นภาพของมารีที่พยายามทำท่าง้อเธออยู่ ส่วนอีกฝั่งคือข้อความไม่กี่บรรทัด
เอเลนา
ฉันนี่มันโง่จริง ๆ ที่โดนความโลภบังตาจนลืมไปว่าสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือนมานี้คืออะไร
ฉันสัญญาว่าจะกลับมาเป็นมารีของเอเลนาเหมือนเดิม อย่าโกรธกันเลยนะ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย ๆ
ฉันขอโ---------------------
ข้อความบรรทัดสุดท้ายยังไม่ทันจะเขียนจบก็มีร่องรอยเหมือนขีดลากออกไป คงเป็นตอนที่พวกอีกาบุกเข้ามาพอดี
“...ฉันเอง...ก็พูดไม่ดี...กับมารีไว้เหมือนกัน...แถมยัง....”
หยดน้ำใส ๆ หยดจากปลายคางกระทบพื้นที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีดอกไม้สีขาวงอกออกมาและผลิบาน
“ฉันยกโทษให้...หลับให้สบายนะ...มารี”
ร่างของเจ้าหญิงทรุดลงไปเกาะกับโต๊ะ ก่อนจะร้องไห้ออกมา มีเพียงเสียงร้องที่โหยหวนแทบจะขาดใจที่สะท้อนกังวานอยู่ภายในนั้น...
“โอ๊ะ ตื่นแล้ว”
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มารีก็พบว่าตัวเองมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานกว้างของโรงเรียน แสงแดดส่องผ่านหมู่ใบไม้ลงมาระยิบระยับ แต่ก็สว่างจนต้องยกมือขึ้นมาป้อง ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงลมร้อน ๆ ที่พัดเข้ามาและเสียงจั๊กจั่นดังกังวาน
“กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ” มารีขยับท่าทางขึ้นมานั่งละดันแว่นตามองพวกเพื่อน ๆ เดรโกนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอโดยมีนัวร์ในร่างแมวดำนอนขดอยู่บนตักของเขา ส่วนที่พื้นหญ้ามีไทกับลูอานาที่ปูเสื้อนั่งเล่นอุปกรณ์ปรุงยากันอยู่
“ลองเล่นอะไรใหม่ ๆ กันล่ะเน่อ” ไทยิ้ม “อะ น้ำสมุนไพรแก้ร้อน”
“ไม่อะ ขอบคุณ”
“ชิ...” ไทเดาะลิ้น เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนอีกสองคนที่ไม่ได้กินชาสมุนไพรแปลก ๆ ด้วยเช่นกัน เป็นบรรยากาศบ้า ๆ บอ ๆ ที่เจอทุกครั้งในคาบชมรม ราวกับว่าสองสามวันที่ผ่านนี้ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นมาก่อนเลย
“มารีไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ลูอานาถามเธอ
“อืม สบายมาก” เธอยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เป็นห่วง”
“เดรโกเล่าให้ฟังแล้วล่ะเน่อ แต่ว่านะ มารีจะสุดยอดเกินไปแล้ว” ไทว่า ได้ยินดังนั้นก็ทำเอาเธอแอบใจหวิว ๆ และรีบหันไปหาหนุ่มผมแดงทันที ทว่าเดรโกเพียงส่ายหน้าให้
“แค่เล่าว่ามารีซ้อนแผนแล้วไปจัดการพวกอีกาตัวคนเดียวน่ะ”
“...แล้วไป” เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก “จริงสิ ซื้อเจ้านี่มาฝากล่ะ”
มารีเปิดกระเป๋าสะพายข้าง หยิบถุงขนมที่ซื้อมาจากปารีสก่อนหน้านี้ให้เพื่อน ๆ มีทั้งมาการอง มองต์บลังค์ เมดเดเลน เอแคลร์ และชูครีม ทำให้ตาของเพื่อน ๆ ลุกวาวทันที
พอกัดขนมเอแคลร์เข้าไป เดรโกก็เลิกคิ้วขึ้นและแก้มกลายเป็นสีชมพูพร้อมกับยกนิ้วชม ลูอานาที่ชิมเมดเดเลนเองก็ร้องออกมาอย่างมีความสุข
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”
ในระหว่างนั้นเอง อาเรีย สเตฟานอฟ (ที่ทุกคนรู้กันแล้วว่าเป็นตัวปลอม) ก็เดินมาหา เธอเลิกคิ้วมองของแต่ละอย่างด้วยความสงสัย
“มา ๆ กินขนมกันเน่อ” เจ้าไทชูแก้วใส่น้ำสมุนไพรเป็นการทักทาย ก่อนจะกัดขนมมาการองและจิบสมุนไพรเข้าไปให้ลื่นคอ “อ๊ะ!”
ปุ๋ง...
ทันใดนั้น ร่างพ่อหนุ่มตัวแสบของเราก็มีควันผุดออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ตัวเขียว ที่มีผมเป็นใบไม้และมีกิ่งไม้งอกออกมาเป็นเขา
“อ๊ะ...น้ำยาชำระล้างหมดพอดีน่ะ” มารีค้น ๆ กระเป๋าสะพายข้าง ก็เจอแต่ขวดน้ำยาเปล่า ๆ
“เอ๊!!!”
“เอ่อมารี ถามอะไรหน่อยสิ” ระหว่างที่ไอ้ตัวแสบร้องห่มร้องไห้ เดรโกเข้ามากระซิบถามเธอ
“รู้แล้วล่ะว่าเรื่องอะไร” เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปที่เด็กสาวผมเงิน “นี่ มีผึ้งเกาะอยู่ที่หูน่ะ”
“เอ๋ ไหนๆๆๆ” อาเรียรีบทัดผมก่อนปัด ๆ ออก เผยให้เห็นใบหูรูปทรงกลมมนเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทั้งในสายตาของไทกับลูอานา และสายตาพิเศษของเดรโกกับมารี
“...อย่างนี้นี่เอง” หนุ่มผมแดงกอดอก “แต่ถ้าอย่างนั้น คน ๆ นี้เขาเป็นอะไรกับ...มารีเหรอ”
“คนหน้าตาเหมือนกันสองคน ถ้าไม่ใช่ดอพเพลแกงเกอร์ มันก็มีแค่กรณีเดียวแหละนะ” มารีหยิบกุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋าสายข้างและพินิจพิจารณามันอีกรอบ “แต่ตอนนี้เราเองก็มีเรื่องอยากจะถามเดรโกอยู่เหมือนกันแหละ”
“สายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”
เหมือนที่พระราชินีมาร์การิตาเคยบอกเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กสาวผมเงินตรงหน้าก็คือสายลับจากเรฟลอเดียที่ถูกส่งตัวมาเพื่อสืบหาตัวของเจ้าหญิงเอเลนาเนี่ยแหละ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าทางนั้นจะส่งคนที่ใกล้ตัวที่สุดของเธอมา
ไว้สักวัน ค่อยบอกเรื่องที่ไปเจอกับบลังค์ให้ฝาแฝดของเธอรู้ก็แล้วกัน...
“คิดยังไงกับเด็กพวกนั้นล่ะ”
ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน คนสามคนพูดคุยกันอยู่ที่ห้องพักชั้นสามและมองไปที่พวกเด็ก ๆ ที่ยังคงทำเรื่องไร้สาระกันจนน่าเหนื่อยใจ
“การประสานงานกันในการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง ทีมเวิร์คไม่มี ทำอะไรตามใจตัวเองกันหมด” อาจารย์ราตรีกอดอกมองพวกเด็ก ๆ “ถ้าเอเลนาไปช่วยไม่ทัน ป่านนี้น่าจะตายไปสองคนแล้ว”
“ก็เข้าใจอยู่ว่าที่เลือกสามคนนี้มาเพราะมีความหลังกับพวกอีกากันทุกคน แต่ตอนนี้พวกเขาโดนความแค้นบังตาจนคิดแต่จะลุยท่าเดียว แถมยังอ่อนประสบการณ์กันหมดด้วย” อาจารย์ลุดวิกเสริม “ให้เจ้าหญิงเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดีกว่าเถอะครับ อย่าเอาพวกเขาไปเสี่ยงเลย...อาจารย์”
“ถึงเราจะกีดกันแค่ไหน แต่สักวันพวกเขาก็ต้องไปซัดกับไอ้พวกนั้นอยู่ดี มันเป็นชะตาที่เลี้ยงไม่ได้หรอก” อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดบอกกับอดีตลูกศิษย์ทั้งสอง “หน้าที่ของพวกเราก็คือคอยฟูมฟักและลับเขี้ยวเล็บของพวกเขาให้ถูกทางจนปีกกล้าขาแข็งเท่านั้นแหละ อย่างน้อยตอนนี้ก็พอจะให้เป็นผู้ช่วยของเอเลนาไปได้บ้าง”
“น่าจะเป็นภาระมากกว่าค่ะ” อาจารย์วิชาปรุงยาถอนหายใจ ทำเอา ผอ. หัวเราะร่วน
“นั่นสินะ คงจะยังให้มาเป็นเป็นสมาชิกเต็มตัวไม่ได้” ดวงตาสีเหลืองทองมองไปที่พวกเด็ก ๆ “ก็เหมือนพวกเธอสองคนเมื่อก่อนแหละนะ”
ดวงตาสีน้ำชาเบื้องหลังแว่นกรอบพระจันทร์เสี้ยวของอาจารย์สาวเลื่อนหนี ส่วนอาจารย์ในผ้าคลุมก็หัวเราะออกมา
“หลังจากนี้ฝากพวกเธอสองคนช่วยสอนพวกเขาทีนะ ในฐานะที่พวกเธอเองก็เป็นรุ่นพี่ของพวกเขา รวมทั้งในฐานะสมาชิกชมรมเดียวกันรุ่นก่อนหน้าด้วย”
วันต่อมา โฮมก็เปิดเรียนตามปกติโดยไม่สนใจว่าการสอบกลางภาคเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะผลาญพลังชีวิตของเด็กนักเรียนไปมากเท่าไร หรืออากาศจะร้อนจนไม่อยากจะออกมาข้างนอก รวมทั้งไม่สนใจด้วยว่าพวกมารีแทบจะเอาชีวิตกันไม่รอด
หลังจากคาบวิชาเสรีตอนบ่ายจบลง พวกเด็ก ๆ ก็เดินห่อเหี่ยวไปยังห้องชมรม
“วันนี้ดูมารีอารมณ์ดีนะคะ” ลูอานาก็หันมามองมารี ก็จริงของเธอ ทั้งวันนี้มารีไม่ได้สะทกสะท้านกับคลื่นความร้อน หรือความรู้หัวข้อใหม่ที่ยัดเข้ามาในสมองสักเท่าไหร่
“...เจอเรื่องดี ๆ มาน่ะ” มารียิ้มจาง ๆ ก่อนจะจิบน้ำเย็น ๆ จากกระติกแบบพกพาเพื่อคลายร้อน
“ได้แฟนเหรอคะ”
พรืด!
“ปะ...เปล่าสักหน่อย” มารีกระแอม ก่อนจะดันแว่นตาเล็กน้อยและเช็ดปาก
“เมื่อวานขอบใจเน่อ” ไทที่กลับมาเป็นปกติแล้วหันไปหาอาเรีย โชคดีที่สาวผมเงินเก็บน้ำยาชำระล้างที่เธอทำเอาไว้ตั้งแต่วันแรกของการเรียนอยู่
“อืม” อาเรียที่เดินมาด้วยเพราะยังไงก็ต้องไปที่ห้องสมุดเหมือนกันเชิดหน้าไปหนึ่งที
“จริงสิ อ่านข่าวเมื่อเช้านี้แล้วยัง” เดรโกทักขึ้นมา
“เรื่องที่เจ้าหญิงเอเลนากลับมาแล้วสินะคะ” สาวชาวเผ่าประกบมือ “โล่งอกไปทีเนอะ”
“แต่ว่านะ ทั้งที่กลับมาแล้วแท้ ๆ แต่ดันหายไปไหนไม่รู้อีกเนี่ยน่ะสิ” อาเรียถอนหายใจออกมา และยกมือขึ้นมากุมขมับ เห็นแล้วมารีก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ
“พระองค์คงไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”
“กรี๊ด!”
อยู่ดี ๆ ลูอานาก็กระโดดโหยงเพราะอาจารย์ลุดวิกที่สวมผ้าคลุมและลอยได้ดันโผล่มาข้างหลังตอนไหนไม่รู้ ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ป่านนี้คงวิ่งป่าราบกันแล้ว
“มะ...มาตั้งแต่ตอนไหนน่ะครับเน่อ” ไทยิ้มแห้ง ๆ มองอาจารย์
“ตั้งแต่ที่คุณคาฮานานูอิแซวคุณโอแคลร์เรื่องแฟนแล้วล่ะ อาจารย์ขอไปที่ห้องชมรมพวกเธอด้วยนะ” อาจารย์กล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ทว่าทำไมพวกเด็ก ๆ ถึงรู้สึกว่าตาขวามันกระตุกก็ไม่รู้
เมื่อเข้ามา ก็พบว่าอาจารย์ราตรีมานั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะอีกคน
“เอ่อ...อาจารย์มาทำอะไรเหรอครับ” เดรโกยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย
“ก็ครูเคยอยู่ชมรมนี้นี่ จะแวะมาไม่ได้เหรอ” หญิงสาวสิ่งยิ้มให้ ทว่าทำให้พวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ
“ยังไม่ได้บอกสินะ พวกครูสองคนเคยอยู่ชมรมนี้กันมาก่อน ถึงจะห่างกันเป็นร้อยปีก็เถอะ” อาจารย์ลุดวิกว่า
“ระ...ร้อยปีเหรอคะ” ลูอานาเอียงคองง
“วันนี้เริ่มด้วยคาถาป้องกันตัวง่าย ๆ ก็แล้วกัน” อาจารย์หนุ่มกล่าว “แต่ก่อนอื่นเลย ครูขออนุญาตนะ ถ้าสอนทั้งแบบนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่”
เขาสะบัดมือหนึ่งที ทำให้หน้าต่างของห้องชมรมปิดลง เลื่อนผ้าม่านปิดบังแสงทั้งหมด และเปิดไฟในห้องให้ความสว่างแทน
จากนั้นอาจารย์ลุดวิกก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายอยู่ เด็ก ๆ แต่ละคนกลืนน้ำลาย เพราะตั้งแต่เรียนมาครึ่งเทอม พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าตาจริง ๆ ของอาจารย์คนนี้เลย นอกจากมือซีด ๆ ที่ดูน่ากลัว
สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือเรือนผมสั้นสีดำ ดวงตาสีแดงสดที่ดูดุร้าย จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางซีด ๆ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ร้องออกมาว่า...
“หล่อโคตร!”
ในระหว่างที่พวกเพื่อน ๆ ฝึกคาถากับอาจารย์ทั้งสอง มารีที่ใช้คาถาพวกนี้เป็นแล้วก็เพียงนั่งมองเพื่อน ๆ เงียบ ๆ บนโซฟา พลางจิบน้ำผลไม้ไปโดยมีนัวร์นอนขดอยู่บนตัก
พอรู้ตัวอีกทีก็มีเพื่อนเยอะขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย...
มารีลูบไล้ไปบนขนนุ่ม ๆ ของเจ้าแมวคู่ใจ นับแต่แต่เรื่องเศร้าในวันนั้น เธอก็อยู่กับเขาสองคนมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เข้ามาที่โฮมและพบผู้คนมากมาย
ว่ากันว่าคนที่มีชะตาร่วมกันย่อมดึงดูดให้มาอยู่ด้วยกัน
ใครจะคิดว่าคนแปลกหน้าที่แค่เจอกันตอนขึ้นวาฬ กับคนที่เธอเผลอเดินชนจะมีอดีตที่เกี่ยวข้องกับพวกฝูงอีกา และมารวมกันอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน
แน่นอนว่ามารีไม่ได้เชื่อเรื่องของโชคชะตา เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการชักใยจากคนที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุดคนหนึ่งเท่านั้นเอง
มารีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้คนที่พูดถึงจะมีแผนอะไรมากกว่านั้นหรือไม่
“เมี้ยว!”
อยู่ดี ๆ นัวร์ที่นอนอยู่ก็สะดุ้ง พร้อมกับหูและหางที่ชี้เด่ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“โผล่มาแล้วเหรอ”
“เมี้ยว”
จะให้พวกนั้นไปด้วยดีไหมนะ แต่ว่า ตอนนี้ให้ฝึกต่อไปก่อนดีกว่า พวกเขายังอ่อนประสบการณ์เกินไปจริง ๆ เดี๋ยวจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายเหมือนรอบที่แล้ว
“ไปห้องน้ำหน่อยนะ ดื่มน้ำมากไปหน่อย”
มารีลุกขึ้น ก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับนัวร์ เดินลงบันไดมาถึงหน้าห้องสมุด ผ่านต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน ออกจากประตูหน้า ข้ามสะพาน และมาหยุดที่หน้าทางเข้า
สายลมร้อน ๆ พัดผ่านไป ต่อไปก็จะเข้าสู่การสอบปลายภาคและปิดภาคเรียนในช่วงฤดูร้อน
มารีอุ้มนัวร์มานั่งบนไหล่ หยิบไม้กวาดสำหรับบินออกมา พลางมองกลับไปที่โรงเรียนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ร่างของเด็กสาวลอยขึ้นจากพื้นช้า ๆ และเคลื่อนห่างออกไป
ไว้สักวันค่อยบอกความจริงกับพวกเพื่อน ๆ ที่เหลือแล้วกัน
ยังไงเธอก็มีเวลาอีกถมเถ ในเมื่อตอนนี้เธออยู่ที่โฮม และบ้านที่แท้จริงของเธอแล้ว...
-fin-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ