ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,006 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) Eternal blood, eternal ice and eternal torture
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ17
Eternal blood, eternal ice and eternal torture
ลำแสงของเวทมนตร์คาถาปะทะกันจนเกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ร่างของมารีเคลื่อนที่หลบคาถาของคู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว และฟันคลื่นพลังโจมตีอีกฝ่าย โทวาดะ ไนโตะเองกระโดดหลบแบบฉิวเฉียด ส่งผลให้กำแพงด้านหลังพังทลายและตลบอบอวลไปด้วยฝุ่น
ในจังหวะที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น มารีก็พุ่งตัวเข้ามาฟันไปที่ต้นขาของอีกฝ่าย เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นและติดอยู่ที่ดาบ
มารีหมุนตัวอีกรอบ ฟาดดาบตัดคาถาที่ไนโตะยิงมา แม้อีกฝ่ายจะยิงคาถามาแบบไม่ยั้ง แต่เธอก็ใช้ดาบปัดไปได้หมด และ...
ฉัวะ!
“อ๊ากกก” ชายหนุ่มร้องลั่น นั่นเพราะข้อมือข้างที่ถือไม้สายสิทธิ์อยู่ขาดสะบั้น เขาล้มตัวลงไปนอนชักดิ้นชักงออย่างเจ็บปวด
มารีหยุดมือและยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่า...
“ฮ่าๆๆๆ สุดยอด! สุดยอดจริง ๆ !”
ไนโตะใช้มืออีกข้างหยิบก้อนดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ชนิดหนึ่งออกมา มันเปล่งแสงออกมาเรือง ๆ แล้วก็ยัดมันใส่หน้าอกของตัวเอง มารีเห็นท่าไม่ดี จึงรีบกระโดดถอยออกมา
ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นแสงสว่าง มือที่ถูกตัดขาดเลื่อนกลับมาหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง และร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น
“โฮกกกก”
สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์เกล็ดสีเขียวมรกตปรากฏตัวแทนที่ไนโตะ มันมีสี่ขา ปีกขนาดใหญ่เหมือนค้างคาว หัวทรงเพรียวมีเขาสองข้างงอกออกมา เมื่ออ้าปากก็เห็นฟันแหลมคมจำนวนมากพร้อมน้ำลายไหลกระเซ็น เพดานของโกดังพังทลายเนื่องจากความสูงของมัน มังกรคำรามใส่มารีจะผมปลิวไสว ทว่าใบหน้าก็ยังคงซังกะตายไร้ความรู้สึก
สัตว์ร้ายพุ่งตัวเข้ามาใส่ พื้นสั่นสะเทือนจากน้ำหนักตัวมหาศาล มารีรีบกระโจนตัวหลบและตวัดดาบส่งคลื่นพลังฟันเข้าเนื้อของมัน ทว่ากลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วนปรากฏขึ้นมาเลย
อย่างที่รู้กันว่าผิวหนังของมังกรทนทานกับการโจมตีทางกายภาพและเวทมนตร์ทุกชนิด จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของมังกรมีแค่ดวงตาเท่านั้น
แต่ดวงตาของมังกรก็มีพลังวิเศษในการสาปผู้ใดก็ตามที่จ้องไปตรง ๆ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีทั้งสาปให้เป็นหิน ตายทันที หรือร่างลุกเป็นไฟ
เรียกได้ว่าอุดทุกช่องโหว่เลย
มังกรคำรามดังลั่น ก่อนจะสูดลมหายใจและพ่นเปลวเพลิงความร้อนสูงใส่มารีเต็ม ๆ
ครืนนน
เดรโกรัสยกซากกำแพงที่ทับผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่งออกไป เขาหยิบน้ำยาใส ๆ ในหลอดแก้วจากกระเป๋าปฐมพยาบาลที่นักดาบปริศนาส่งให้ หยอดใส่ปากของผู้บาดเจ็บหนึ่งหยด ไม่นานก็ได้สติกลับมา พร้อมกับรอยแผลที่สมานดังเดิม
“น้ำยาอะไรน่ะเน่อ ทำไมถึงได้...” หลังจากที่ได้น้ำยาไป ไทที่ฟื้นกลับมาก็มองดูตัวเองที่กลับมาปกติอย่างทึ่ง ๆ นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดแล้ว บาดแผลที่เกิดตามตัวของเขาจากการต่อสู้ก่อนหน้าก็หายไปหมดเลย
“น้ำตาของเจ้าหญิงเอเลนาน่ะ” หนุ่มผมแดงยิ้มจาง ๆ ให้ กระนั้นไทก็ยังคงทำหน้างง ๆ
“มารีล่ะคะ!” ลูอานากลับมาเป็นปกติเช่นกันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนก ทว่าไม่มีวี่แววของเพื่อนสาวเลย เดรโกกับไทได้แต่เพียงเม้มปากอย่างเจ็บใจเท่านั้น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมทั้งสองคน”
“อาจารย์!?”
พวกเด็ก ๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ นั่นเพราะอยู่ดี ๆ ที่ปรึกษาชมรมในร่างเด็กน้อยวัยประถมก็มานั่งกอดเข่าคุยด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแน่ใจว่าไม่เห็นเธอเลย
“มะ...มาได้ยังไงน่ะครับเน่ออาจารย์” ไทถามด้วยความอึ้ง ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็อึ้งกว่าเดิม เพราะซากปรักหักพังหายไปหมดแล้ว ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีการระเบิดหรือการต่อสู้อะไรทั้งสิ้น
“ข้อดีของการเป็นวิญญาณล่ะนะ เพียงแค่นึกก็สามารถไปโผล่ที่ไหนก็ได้ แต่ว่ากินพลังเวทย์เอาเรื่องเลย” เด็กหญิงผมขาวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ
“เหมือนกับตอนนั้นเลย...” เดรโกนึกถึงตอนที่ที่ปรึกษาชมรมไปแอบจิ๊กชากับขนมในห้องชมรมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนโดยที่ไม่มีใครรู้ ที่แท้อาจารย์ของเขาก็ใช้วิธีการนี้นั่นเอง
“อาจารย์คะ มารีโดนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว!” ลูอานาบอกอย่างตื่นตระหนก “รีบไปช่วยเธอเถอะค่ะ!”
“ไม่ต้องหรอก”
“เอ๋”
ดวงตาสีเหลืองทองดูเหม่อไปครู่หนึ่ง อาเทเนียก็ลุกขึ้นยืนและมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ระหว่างนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้ามาพาตัวไทกับลูอานาไปจุดปฐมพยาบาล เหลือแค่เดรโกที่ยังคงอยู่กับอาจารย์
“อาจารย์ครับ” หนุ่มผมแดงเอ่ยขึ้นมา ยังไงเขาก็ต้องถามสิ่งที่คาใจอยู่ให้ได้ และคนที่น่าจะรู้คำตอบก็คือสตรีตรงหน้านี่แหละ
“ครูพอจะเดาได้นะว่าเธอจะถามอะไร” เด็กหญิงยิ้มให้ “อยากจะรู้สินะว่าครูตัวยืดได้หดได้ยังไง”
“นั่นก็แอบสงสัยเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้อยากจะถามอีกเรื่องนึง”
“งะ...งั้นเหรอ” ที่ปรึกษาชมรมแอบเบ้ปากเซ็ง ๆ “แล้วสงสัยอะไรล่ะ”
“มารีให้ผมดูความทรงจำตอนที่เธอเคยอยู่กับเจ้าหญิงเอเลนาแล้วน่ะครับ” หนุ่มผมแดงบอก “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงเอเลนาหลังจากที่มารีตายครั้งแรกเหรอครับ แล้วทำไมไม้กายสิทธิ์ของเจ้าหญิงถึงไปอยู่กับมารีได้”
“เด็กคนนั้นไม่ได้หายไปไหนหรอก” อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดกล่าว “เธอแค่ทำให้อีกคนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะ”
ร่างยักษ์ของมังกรสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินโดยรอบยามเมื่อขยับกาย มารีมองมันด้วยท่าทางสุขุม ช่วงก่อนหน้านี้เธอทำให้มันอาละวาดหนักเพื่อจะผลาญพลังกายไป แต่ดูเหมือนเจ้านี้จะยังมีพลังงานเหลือล้น พื้นที่โดยรอบกลายเป็นกองเพลิงโหมคลื่นความร้อนจนเม็ดเหงื่อผุดซึมไปทั้งร่างของเด็กสาว ลมหายใจจากความเหนื่อยล้าพ่นออกมาจากปาก
ขืนเป็นแบบนี้ เธอได้หมดสภาพก่อนแน่
ในตอนนั้นก็นึกอะไรที่บ้าระห่ำออกมาได้ มารีกัดฟันและขยับแว่นตาให้เข้าที่
มังกรพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง แต่สิ่งที่เด็กสาวทำก็คือปักดาบลงไปกับพื้น
ถ้าเข้าใจธรรมชาติ ก็จะควบคุมธรรมชาติได้...
ครืนนน
ทันใดนั้น มังกรยักษ์ก็ถูกกดลงไปไถลกับพื้น ดวงตาของมันเบิกกว้างจากแรงกดดันมหาศาล จากนั้นก็ถูกยกให้ลอยขึ้นและกระแทกลงมาซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีเปลือกไม้เบื้องหลังแว่นมองภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาไร้อารมณ์
แต่ก็ใช่ว่าจะยอมโดนกระทำฝ่ายเดียว มังกรอ้าปากและพ่นไฟใส่ ทว่ากลับไม่มีอะไรออกมาจากปากของมันเลย
รูม่านตาที่เป็นขีดของมังกรขยายใหญ่ขึ้น นั่นเพราะมันหายใจไม่ได้ และเปลวไฟโดยรอบก็ดับลงเพราะขาดออกซิเจน
ร่างขนาดยักษ์พยายามดิ้นขัดขืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มารียังคงเพ่งสมาธิมองภาพตรงหน้า ควบคุมทิศทางของน้ำหนักมังกรให้กดลงพื้นหลายสิบเท่าและสร้างแรงมหาศาลกดทับด้านบน
อยู่ดี ๆ เลือดกำเดาก็ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองข้าง แน่นอนว่าการใช้เวทมนตร์ระดับนี้ กินพลังมหาศาล และเกินกว่าที่ร่างของมนุษย์ธรรมดา ๆ จะรับไหว บวกกับสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทน มารีทรุดเข่าลงและจับดาบประคองตัวไว้ไม่ให้ล้ม เธอพยายามรักษาสติเพ่งสมาธิหมายจะเผด็จศึกให้ได้
มังกรค่อย ๆ ตัวหัดเล็กลงจนสุดท้ายก็เหลือเพียงร่างของโทวาดะ ไนโตะ กับดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปของมังกร ชายหนุ่มที่นอนกองกับพื้นพยายามยื่นมือไปหามารีและทำปากพะงาบ ๆ เพื่อขออากาศหายใจ ใบหน้าของเขามีแต่ความหวาดกลัว
เมื่อแรงเฮือกสุดท้ายหมดลง โมเลกุลของอากาศทั้งหมดให้กลับมา มารีทรุดตัวลงไปคุกเข่าหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
“เวทย์ระดับนี้...เป็นไปได้ยังไงกัน แกก็แค่...เด็ก ม.ปลายคนนึงแท้ ๆ” ไนโตะค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เขาเองก็หายใจแรงจนอกกระเพื่อม
“...อาจารย์...สอนมาดีล่ะนะ” มารีใช้มือเช็ดเลือดกำเดาออก เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินโซเซลากดาบมาหาอีกฝ่าย
“ถ้าฆ่าฉัน...แล้วทำให้หายแค้นได้ก็เชิญเถอะ...ถ้ายังมีแรงเหลือล่ะนะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มกวน ๆ ให้เธอ เห็นแล้วน่าถีบซักดอก
กระนั้นมารีก็ได้แต่กัดฟัน ตอนนี้ร่างของเธอปวดจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว ยิ่งจะให้ยกดาบตัดคออีกฝ่ายยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“...ไม่จำเป็นหรอก” ทว่าเด็กสาวกลับยิ้มออกมา ก่อนที่จะสิ้นสติและเอนล้มลงไปนอนกับพื้นต่อหน้าของชายหนุ่ม
แต่ยังไม่ทันที่ไนโตะจะตั้งตัว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“โลกนี้ไม่มีเวทมนตร์ไหนที่ชุบชีวิตคนตายได้หรอกนะคุณดันเต้ มันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้” อาเทเนียกล่าวโดยที่ยังคงจ้องมองท้องฟ้า “เด็กที่ชื่อมารี โอแคลร์น่ะ ตายจากโลกนี้ไปตั้งแต่วันที่เธอถูกพวกอีกาจับตัวไปแล้ว และเธอก็ไม่ได้ดื่มเลือดของเอเลนาเข้าไปหรอก”
ได้ยินดังนั้น เดรโกก็เหวอไปทันที
“แล้วทำไม...เธอถึง...”
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ” เด็กหญิงยิ้มให้ “เธอรู้จักรถยนต์ไหม”
“กล่องเหล็กใหญ่ ๆ มีสี่ล้อใช่ไหมครับ” เขานึกถึงตอนที่ไปโลกมนุษย์ เขาเห็นเจ้าสิ่งนี้จอดอยู่ตามถนน บางคันก็วิ่งไปมาได้
“รถยนต์น่ะ ถ้าไม่มีคนขับมันก็เคลื่อนที่ไม่ได้ คนเราเองก็มีทั้งร่างกายที่เหมือนเป็นตัวรถ และวิญญาณที่เหมือนเป็นคนขับรถ” อีกฝ่ายบอก “ในตอนนั้นน่ะ สิ่งที่ครูทำได้ก็มีเพียงซ่อมตัวรถให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเท่านั้น แต่ครูไม่สามารถเอาตัวคนขับคนเดิมกลับมาได้ สิ่งที่ครูทำได้คือเวทมนตร์ที่เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นวิญญาณ แต่เวทมนตร์นี้ต้องใช้พลังเวทย์มหาศาลมาก และคนที่จะใช้มันได้โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบ ถ้าไม่ใช่ครู หรืออาร์คานา ก็ต้องเป็นเอ็กซีดเท่านั้น”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาหลังแว่นกันลมก็เบิกโต
“หรือว่า...”
“รู้หรือยังล่ะว่าเจ้าหญิงเอเลนาหายไปไหนโดยไม่มีร่องรอยเลย” อาเทเนียมองหน้าเขา “เพราะว่าเธอกลายเป็นวิญญาณที่ขับเคลื่อนร่างของมารี โอแคลร์อยู่ยังไงล่ะ”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าโทวาดะ ไนโตะ คือเด็กสาวผู้มีผมสีเงินยาวสลวย ๆ เหมือนเส้นไหมปลิวไสว ผิวขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนลูกแก้วที่บรรจุท้องฟ้าสีครามในวันที่ปลอดโปร่งเอาไว้ ประดับด้วยจุดประกายแสงแต่งเต้มราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดียตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
“อ้าปาก”
ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลแดงตรง ๆ ไนโตะที่ตกอยู่ในการควบคุมทำตามคำสั่งของเธอโดยอัตโนมัติ
เจ้าหญิงเอเลนาใช้ด้านคมของดาบน้ำแข็งสะกิดที่ปลายนิ้วชี้ของตัวเอง หยดเลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแผลเล็ก ๆ เธอยื่นมันไปตรงหน้าของชายหนุ่ม เลือดหยดน้อย ๆ หล่นตามแรงโน้มถ่วง สัมผัสกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ไหลลงคอไป
ทันใดนั้นดวงตาสีน้ำตาลแดงของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง นั่นเพราะความปวดร้าวที่ก่อตัวขึ้นมาจากภายในราวกับร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ กระนั้นเขากลับไม่สามารถขยับร่างกายได้เนื่องจากยังคงต้องมนต์สะกดจากดวงตาของเจ้าหญิง
“หายใจเข้าลึก ๆ ไว้ล่ะ”
เอเลนาเอาดาบมาพาดไหล่ของชายหนุ่ม ดวงตาสีฟ้าของเธอยังคงดูเยือกเย็น แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นที่แผ่ออกมา และในตอนนั้นเอง...
“!?”
ประกายแสงปรากฏขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงแหวนเวทมนตร์ ตามมาด้วยร่างของมารีที่อุ้มนัวร์เดินออกมาด้วยหน้าเรียบเฉย
“มารี!”
ลูอานาที่นั่งอยู่ที่จุดปฐมพยาบาลรีบวิ่งมาหาทันที ก่อนจะโผกอดเธอแน่นจนนัวร์ที่ยังอยู่ในอ้อมแขนตัวแทบบี้ ไทวิ่งอ้าแขนตามมาอีกคน แต่มารีเอี้ยวตัวหลบได้ทัน พ่อหนุ่มหน้าหวานก็เลยหน้าทิ่มพื้นไปแทน
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” มารีปล่อยนัวร์ลงและลูบหลังลูอานาที่ร้องไห้ออกมา ก่อนจะหันไปหาอาเทเนียกับเดรโกที่ยืนอยู่ไกล ๆ หนุ่มผมแดงเม้มปากและกลืนน้ำลายอย่างกระอักกระอ่วน เธอรู้ทันทีว่าหมอนี้โดนไอ้อาจารย์ข้าง ๆ สปอยไปแล้ว
“เรียบร้อยไหม” อาเทเนียเดินมาหา
“ค่ะ” มารีพยักหน้านิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายเมื่อลูอานาผละเธอออก “เท่านี้...ก็คงหมดห่วงแล้ว”
“คงไม่ได้เอาถึงตายใช่ไหม”
“หนักกว่านั้นเยอะค่ะ” เธอยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ว่าแต่ มาทำไมเอาป่านนี้น่ะคะ ทำเป็นตำรวจในหนังไปได้”
“อุตส่าห์มาซ่อมตึกรามบ้านช่องให้เชียวนะ” เด็กหญิงทำแก้มป่อง “งั้นก็...เจอกันวันจันทร์นะเด็ก ๆ”
ทันใดนั้นร่างของเด็กหญิงก็หายวับไป ทิ้งให้พวกเด็ก ๆ ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“แทนที่จะพาพวกเรากลับไปด้วยนะคะจารย์...” ลูอานาถอนหายใจออกมา
“แล้ว...พวกเราจะยังไงต่อล่ะเน่อ” ไทถามขึ้นมา
“พวกนั้นคงไม่กล้ามายุ่งสักพักล่ะน่ะ” มารีบอก “ไปหาคาเฟ่นั่งรอขึ้นวาฬกันเถอะ ชักหิว ๆ แล้ว”
ในระหว่างที่พวกเด็ก ๆ เดินไปหาร้านกาแฟร้านใหม่กัน เดรโกที่เดินรั้งท้ายได้แต่มองแผ่นหลังของมารีเงียบ ๆ เขาไม่สามารถมองเธอเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
มารีที่สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ หันมาหาเขา แต่เด็กหนุ่มไม่กล้าจะสบตาด้วยเลย
กระนั้น ก็มีอีกประเด็นที่พุ่งเข้ามาในหัว
ถ้าเจ้าหญิงเอเลนาตัวจริงอยู่ตรงนี้ แล้วไอ้คนที่เอาชื่อสาวใช้ของพระราชวังเรฟลอเดียมาเป็นชื่อปลอม ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเจ้าหญิงเอเลนามาตลอดคือใครล่ะ...
“สุดท้าย เด็กคนนั้นก็ตายไปแล้วจริง ๆ สินะ”
กลับมาที่โกดังร้างที่เหลือเพียงซากจากกองเพลิง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาตลอดเดินมาหยุดยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าสิ่ง ๆ หนึ่ง
ตอนแรกเขาคิดว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อมารีจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ๆ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้กับตาตัวเอง ก็ล้มเลิกความคิดไป
กระนั้นก็ยังอดที่จะทึ่งในความคิดและฝีมือของ อาจารย์ ของเขาไม่ได้
ชายหนุ่มมองดูสร้อยคอล็อกเก็ตของตัวเอง ในนั้นมีรูปของเขากับหญิงสาวและเด็กผู้หญิงตัวน้อยอีกคน รอยยิ้มของพวกเธอทั้งสองช่างสดใสยิ่งนัก ทว่าดวงตาสีเขียวมรกตที่เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานของเขานั้นกลับดูเศร้าหมองลงทันที เขาปิดฝาล็อกเก็ตและกำมันแน่น
เมื่อเก็บล็อกเกตใส่กระเป๋าเสื้อ ดวงตาของชายหนุ่มก็เลื่อนขึ้นมามองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนเอง
“ยินดีด้วยนะที่ได้เป็นอมตะ”
“...”
ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เบิกกว้างและมีเส้นเลือดผุดขึ้นมาของไนโตะมองกลับมาที่เขาเช่นกัน แต่ก็ได้แค่กลอกไปมาอย่างทุกข์ทรมาน นั่นเพราะตอนนี้เขาถูกผนึกอยู่ในของแข็งใสบริสุทธิ์และเย็นเฉียบโดยที่ไม่สามารถขยับอะไรได้ จะหายใจก็ไม่ได้ และยังต้องสัมผัสกับความเย็นสุดขั้ว พร้อมกับความเจ็บปวดจากเลือดต้องสาปไปตลอดกาล เป็นการถูกลงทัณฑ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“ไอ้แมวเวรนั่นดันล่อไปเจอพวกนกฮูกซะได้” หญิงสาวผมขาวเดินกลับมาอย่างหัวเสีย ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเจอภาพตรงหน้า “อ้าว ออกไปแปบเดียวกลายไปไอติมแท่งไปแล้วเหรอ”
“อืม” ชายหนุ่มถอนหายใจ “เจ้านี้เป็นน้ำแข็งนิรันดร์กาลน่ะ หมอนี่คงต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ”
“ไอ้น้ำแข็งที่ว่าไม่มีวันละลาย แถมแข็งยิ่งกว่าเพชรสินะ” อีกฝ่ายเบ้ปาก
น้ำแข็งนิรันดร์กาลไม่ใช่น้ำแข็งจริง ๆ แต่เป็นโมเลกุลของสสารที่ถูกดึงพลังงานความร้อนออกจนหมดและอัดแน่นกลายเป็นของแข็งด้วยเวทมนตร์ระดับมหาเวท สสารนี้ยังเป็นส่วนประกอบของดาบน้ำแข็งที่เจ้าหญิงเอเลนาใช้ ซึ่งคนที่สร้างมันขึ้นมาได้ เท่าที่รู้ก็มีเพียงตัวเจ้าหญิงกับอาร์คานาอีกตนที่พวกฝูงอีกาพยายามจะเอาตัวมาแต่ไม่สำเร็จเท่านั้น
“แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อล่ะ” หญิงสาวโบกคทาหนึ่งที ทำให้ก้อนน้ำแข็งที่ผนึกไนโตะเอาไว้ลอยขึ้นจากพื้น
“ยังไงตอนนี้เราก็ได้เลือดเจ้าหญิงมาแล้ว เดี๋ยวไปหาวิธีปลดผนึกน้ำแข็งนี่ออกก่อน ถ้าไม่ได้ยังไงก็คงต้องใช้แผนสอง”
“รับทราบ”
“อเพริ อิอานูอัม”
ชายหนุ่มหยิบไม้กายสิทธิ์ทำจากคริสตัลหินสีดำโบกเล็กน้อยและชี้ไปที่พื้น ร่างของเขาเรืองแสงสีทองออกมาพร้อมกับอักษรเวทมนตร์ลอยรอบ ๆ
เมื่อแสงหายไป หญิงสาวก็เอาคทาจิ้มกับพื้นและชักออกมาพิจารณา จากนั้นเธอก็โบกคทา ทำให้ผลึกน้ำแข็งที่ผนึกร่างไนโตะเอาไว้ลอยลงไปในพื้น แล้วเธอก็ค่อย ๆ หย่อนตัวเองหายเข้าไปตาม
เกทไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเสมอไป
คงต้องขอบคุณอาเทเนีย ที่สอนเวทมนตร์โบราณของอาร์คานานี้ให้เขา แม้ตอนนี้จะยังกำหนดจุดหมายปลายทางไม่ได้ บางครั้งก็ไปโผล่ที่ดาวอื่นนอกโลกบ้าง ในอวกาศบ้าง แต่สักวันก็คงจะแก้ไขจุดบกพร่องนี้ได้
ชายหนุ่มหย่อนตัวเองทะลุเกทไป ก่อนจะรีบผนึกมันเพื่อไม่ให้เจ้าแมวตัวนั้นรู้ตัวทัน
Eternal blood, eternal ice and eternal torture
ลำแสงของเวทมนตร์คาถาปะทะกันจนเกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ร่างของมารีเคลื่อนที่หลบคาถาของคู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว และฟันคลื่นพลังโจมตีอีกฝ่าย โทวาดะ ไนโตะเองกระโดดหลบแบบฉิวเฉียด ส่งผลให้กำแพงด้านหลังพังทลายและตลบอบอวลไปด้วยฝุ่น
ในจังหวะที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น มารีก็พุ่งตัวเข้ามาฟันไปที่ต้นขาของอีกฝ่าย เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นและติดอยู่ที่ดาบ
มารีหมุนตัวอีกรอบ ฟาดดาบตัดคาถาที่ไนโตะยิงมา แม้อีกฝ่ายจะยิงคาถามาแบบไม่ยั้ง แต่เธอก็ใช้ดาบปัดไปได้หมด และ...
ฉัวะ!
“อ๊ากกก” ชายหนุ่มร้องลั่น นั่นเพราะข้อมือข้างที่ถือไม้สายสิทธิ์อยู่ขาดสะบั้น เขาล้มตัวลงไปนอนชักดิ้นชักงออย่างเจ็บปวด
มารีหยุดมือและยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่า...
“ฮ่าๆๆๆ สุดยอด! สุดยอดจริง ๆ !”
ไนโตะใช้มืออีกข้างหยิบก้อนดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ชนิดหนึ่งออกมา มันเปล่งแสงออกมาเรือง ๆ แล้วก็ยัดมันใส่หน้าอกของตัวเอง มารีเห็นท่าไม่ดี จึงรีบกระโดดถอยออกมา
ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นแสงสว่าง มือที่ถูกตัดขาดเลื่อนกลับมาหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง และร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น
“โฮกกกก”
สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์เกล็ดสีเขียวมรกตปรากฏตัวแทนที่ไนโตะ มันมีสี่ขา ปีกขนาดใหญ่เหมือนค้างคาว หัวทรงเพรียวมีเขาสองข้างงอกออกมา เมื่ออ้าปากก็เห็นฟันแหลมคมจำนวนมากพร้อมน้ำลายไหลกระเซ็น เพดานของโกดังพังทลายเนื่องจากความสูงของมัน มังกรคำรามใส่มารีจะผมปลิวไสว ทว่าใบหน้าก็ยังคงซังกะตายไร้ความรู้สึก
สัตว์ร้ายพุ่งตัวเข้ามาใส่ พื้นสั่นสะเทือนจากน้ำหนักตัวมหาศาล มารีรีบกระโจนตัวหลบและตวัดดาบส่งคลื่นพลังฟันเข้าเนื้อของมัน ทว่ากลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วนปรากฏขึ้นมาเลย
อย่างที่รู้กันว่าผิวหนังของมังกรทนทานกับการโจมตีทางกายภาพและเวทมนตร์ทุกชนิด จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของมังกรมีแค่ดวงตาเท่านั้น
แต่ดวงตาของมังกรก็มีพลังวิเศษในการสาปผู้ใดก็ตามที่จ้องไปตรง ๆ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีทั้งสาปให้เป็นหิน ตายทันที หรือร่างลุกเป็นไฟ
เรียกได้ว่าอุดทุกช่องโหว่เลย
มังกรคำรามดังลั่น ก่อนจะสูดลมหายใจและพ่นเปลวเพลิงความร้อนสูงใส่มารีเต็ม ๆ
ครืนนน
เดรโกรัสยกซากกำแพงที่ทับผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่งออกไป เขาหยิบน้ำยาใส ๆ ในหลอดแก้วจากกระเป๋าปฐมพยาบาลที่นักดาบปริศนาส่งให้ หยอดใส่ปากของผู้บาดเจ็บหนึ่งหยด ไม่นานก็ได้สติกลับมา พร้อมกับรอยแผลที่สมานดังเดิม
“น้ำยาอะไรน่ะเน่อ ทำไมถึงได้...” หลังจากที่ได้น้ำยาไป ไทที่ฟื้นกลับมาก็มองดูตัวเองที่กลับมาปกติอย่างทึ่ง ๆ นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดแล้ว บาดแผลที่เกิดตามตัวของเขาจากการต่อสู้ก่อนหน้าก็หายไปหมดเลย
“น้ำตาของเจ้าหญิงเอเลนาน่ะ” หนุ่มผมแดงยิ้มจาง ๆ ให้ กระนั้นไทก็ยังคงทำหน้างง ๆ
“มารีล่ะคะ!” ลูอานากลับมาเป็นปกติเช่นกันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนก ทว่าไม่มีวี่แววของเพื่อนสาวเลย เดรโกกับไทได้แต่เพียงเม้มปากอย่างเจ็บใจเท่านั้น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมทั้งสองคน”
“อาจารย์!?”
พวกเด็ก ๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ นั่นเพราะอยู่ดี ๆ ที่ปรึกษาชมรมในร่างเด็กน้อยวัยประถมก็มานั่งกอดเข่าคุยด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแน่ใจว่าไม่เห็นเธอเลย
“มะ...มาได้ยังไงน่ะครับเน่ออาจารย์” ไทถามด้วยความอึ้ง ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็อึ้งกว่าเดิม เพราะซากปรักหักพังหายไปหมดแล้ว ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีการระเบิดหรือการต่อสู้อะไรทั้งสิ้น
“ข้อดีของการเป็นวิญญาณล่ะนะ เพียงแค่นึกก็สามารถไปโผล่ที่ไหนก็ได้ แต่ว่ากินพลังเวทย์เอาเรื่องเลย” เด็กหญิงผมขาวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ
“เหมือนกับตอนนั้นเลย...” เดรโกนึกถึงตอนที่ที่ปรึกษาชมรมไปแอบจิ๊กชากับขนมในห้องชมรมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนโดยที่ไม่มีใครรู้ ที่แท้อาจารย์ของเขาก็ใช้วิธีการนี้นั่นเอง
“อาจารย์คะ มารีโดนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว!” ลูอานาบอกอย่างตื่นตระหนก “รีบไปช่วยเธอเถอะค่ะ!”
“ไม่ต้องหรอก”
“เอ๋”
ดวงตาสีเหลืองทองดูเหม่อไปครู่หนึ่ง อาเทเนียก็ลุกขึ้นยืนและมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ระหว่างนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้ามาพาตัวไทกับลูอานาไปจุดปฐมพยาบาล เหลือแค่เดรโกที่ยังคงอยู่กับอาจารย์
“อาจารย์ครับ” หนุ่มผมแดงเอ่ยขึ้นมา ยังไงเขาก็ต้องถามสิ่งที่คาใจอยู่ให้ได้ และคนที่น่าจะรู้คำตอบก็คือสตรีตรงหน้านี่แหละ
“ครูพอจะเดาได้นะว่าเธอจะถามอะไร” เด็กหญิงยิ้มให้ “อยากจะรู้สินะว่าครูตัวยืดได้หดได้ยังไง”
“นั่นก็แอบสงสัยเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้อยากจะถามอีกเรื่องนึง”
“งะ...งั้นเหรอ” ที่ปรึกษาชมรมแอบเบ้ปากเซ็ง ๆ “แล้วสงสัยอะไรล่ะ”
“มารีให้ผมดูความทรงจำตอนที่เธอเคยอยู่กับเจ้าหญิงเอเลนาแล้วน่ะครับ” หนุ่มผมแดงบอก “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงเอเลนาหลังจากที่มารีตายครั้งแรกเหรอครับ แล้วทำไมไม้กายสิทธิ์ของเจ้าหญิงถึงไปอยู่กับมารีได้”
“เด็กคนนั้นไม่ได้หายไปไหนหรอก” อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดกล่าว “เธอแค่ทำให้อีกคนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะ”
ร่างยักษ์ของมังกรสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินโดยรอบยามเมื่อขยับกาย มารีมองมันด้วยท่าทางสุขุม ช่วงก่อนหน้านี้เธอทำให้มันอาละวาดหนักเพื่อจะผลาญพลังกายไป แต่ดูเหมือนเจ้านี้จะยังมีพลังงานเหลือล้น พื้นที่โดยรอบกลายเป็นกองเพลิงโหมคลื่นความร้อนจนเม็ดเหงื่อผุดซึมไปทั้งร่างของเด็กสาว ลมหายใจจากความเหนื่อยล้าพ่นออกมาจากปาก
ขืนเป็นแบบนี้ เธอได้หมดสภาพก่อนแน่
ในตอนนั้นก็นึกอะไรที่บ้าระห่ำออกมาได้ มารีกัดฟันและขยับแว่นตาให้เข้าที่
มังกรพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง แต่สิ่งที่เด็กสาวทำก็คือปักดาบลงไปกับพื้น
ถ้าเข้าใจธรรมชาติ ก็จะควบคุมธรรมชาติได้...
ครืนนน
ทันใดนั้น มังกรยักษ์ก็ถูกกดลงไปไถลกับพื้น ดวงตาของมันเบิกกว้างจากแรงกดดันมหาศาล จากนั้นก็ถูกยกให้ลอยขึ้นและกระแทกลงมาซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีเปลือกไม้เบื้องหลังแว่นมองภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาไร้อารมณ์
แต่ก็ใช่ว่าจะยอมโดนกระทำฝ่ายเดียว มังกรอ้าปากและพ่นไฟใส่ ทว่ากลับไม่มีอะไรออกมาจากปากของมันเลย
รูม่านตาที่เป็นขีดของมังกรขยายใหญ่ขึ้น นั่นเพราะมันหายใจไม่ได้ และเปลวไฟโดยรอบก็ดับลงเพราะขาดออกซิเจน
ร่างขนาดยักษ์พยายามดิ้นขัดขืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มารียังคงเพ่งสมาธิมองภาพตรงหน้า ควบคุมทิศทางของน้ำหนักมังกรให้กดลงพื้นหลายสิบเท่าและสร้างแรงมหาศาลกดทับด้านบน
อยู่ดี ๆ เลือดกำเดาก็ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองข้าง แน่นอนว่าการใช้เวทมนตร์ระดับนี้ กินพลังมหาศาล และเกินกว่าที่ร่างของมนุษย์ธรรมดา ๆ จะรับไหว บวกกับสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทน มารีทรุดเข่าลงและจับดาบประคองตัวไว้ไม่ให้ล้ม เธอพยายามรักษาสติเพ่งสมาธิหมายจะเผด็จศึกให้ได้
มังกรค่อย ๆ ตัวหัดเล็กลงจนสุดท้ายก็เหลือเพียงร่างของโทวาดะ ไนโตะ กับดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปของมังกร ชายหนุ่มที่นอนกองกับพื้นพยายามยื่นมือไปหามารีและทำปากพะงาบ ๆ เพื่อขออากาศหายใจ ใบหน้าของเขามีแต่ความหวาดกลัว
เมื่อแรงเฮือกสุดท้ายหมดลง โมเลกุลของอากาศทั้งหมดให้กลับมา มารีทรุดตัวลงไปคุกเข่าหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
“เวทย์ระดับนี้...เป็นไปได้ยังไงกัน แกก็แค่...เด็ก ม.ปลายคนนึงแท้ ๆ” ไนโตะค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เขาเองก็หายใจแรงจนอกกระเพื่อม
“...อาจารย์...สอนมาดีล่ะนะ” มารีใช้มือเช็ดเลือดกำเดาออก เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินโซเซลากดาบมาหาอีกฝ่าย
“ถ้าฆ่าฉัน...แล้วทำให้หายแค้นได้ก็เชิญเถอะ...ถ้ายังมีแรงเหลือล่ะนะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มกวน ๆ ให้เธอ เห็นแล้วน่าถีบซักดอก
กระนั้นมารีก็ได้แต่กัดฟัน ตอนนี้ร่างของเธอปวดจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว ยิ่งจะให้ยกดาบตัดคออีกฝ่ายยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“...ไม่จำเป็นหรอก” ทว่าเด็กสาวกลับยิ้มออกมา ก่อนที่จะสิ้นสติและเอนล้มลงไปนอนกับพื้นต่อหน้าของชายหนุ่ม
แต่ยังไม่ทันที่ไนโตะจะตั้งตัว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“โลกนี้ไม่มีเวทมนตร์ไหนที่ชุบชีวิตคนตายได้หรอกนะคุณดันเต้ มันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้” อาเทเนียกล่าวโดยที่ยังคงจ้องมองท้องฟ้า “เด็กที่ชื่อมารี โอแคลร์น่ะ ตายจากโลกนี้ไปตั้งแต่วันที่เธอถูกพวกอีกาจับตัวไปแล้ว และเธอก็ไม่ได้ดื่มเลือดของเอเลนาเข้าไปหรอก”
ได้ยินดังนั้น เดรโกก็เหวอไปทันที
“แล้วทำไม...เธอถึง...”
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ” เด็กหญิงยิ้มให้ “เธอรู้จักรถยนต์ไหม”
“กล่องเหล็กใหญ่ ๆ มีสี่ล้อใช่ไหมครับ” เขานึกถึงตอนที่ไปโลกมนุษย์ เขาเห็นเจ้าสิ่งนี้จอดอยู่ตามถนน บางคันก็วิ่งไปมาได้
“รถยนต์น่ะ ถ้าไม่มีคนขับมันก็เคลื่อนที่ไม่ได้ คนเราเองก็มีทั้งร่างกายที่เหมือนเป็นตัวรถ และวิญญาณที่เหมือนเป็นคนขับรถ” อีกฝ่ายบอก “ในตอนนั้นน่ะ สิ่งที่ครูทำได้ก็มีเพียงซ่อมตัวรถให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเท่านั้น แต่ครูไม่สามารถเอาตัวคนขับคนเดิมกลับมาได้ สิ่งที่ครูทำได้คือเวทมนตร์ที่เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นวิญญาณ แต่เวทมนตร์นี้ต้องใช้พลังเวทย์มหาศาลมาก และคนที่จะใช้มันได้โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบ ถ้าไม่ใช่ครู หรืออาร์คานา ก็ต้องเป็นเอ็กซีดเท่านั้น”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาหลังแว่นกันลมก็เบิกโต
“หรือว่า...”
“รู้หรือยังล่ะว่าเจ้าหญิงเอเลนาหายไปไหนโดยไม่มีร่องรอยเลย” อาเทเนียมองหน้าเขา “เพราะว่าเธอกลายเป็นวิญญาณที่ขับเคลื่อนร่างของมารี โอแคลร์อยู่ยังไงล่ะ”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าโทวาดะ ไนโตะ คือเด็กสาวผู้มีผมสีเงินยาวสลวย ๆ เหมือนเส้นไหมปลิวไสว ผิวขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนลูกแก้วที่บรรจุท้องฟ้าสีครามในวันที่ปลอดโปร่งเอาไว้ ประดับด้วยจุดประกายแสงแต่งเต้มราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดียตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
“อ้าปาก”
ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลแดงตรง ๆ ไนโตะที่ตกอยู่ในการควบคุมทำตามคำสั่งของเธอโดยอัตโนมัติ
เจ้าหญิงเอเลนาใช้ด้านคมของดาบน้ำแข็งสะกิดที่ปลายนิ้วชี้ของตัวเอง หยดเลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแผลเล็ก ๆ เธอยื่นมันไปตรงหน้าของชายหนุ่ม เลือดหยดน้อย ๆ หล่นตามแรงโน้มถ่วง สัมผัสกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ไหลลงคอไป
ทันใดนั้นดวงตาสีน้ำตาลแดงของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง นั่นเพราะความปวดร้าวที่ก่อตัวขึ้นมาจากภายในราวกับร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ กระนั้นเขากลับไม่สามารถขยับร่างกายได้เนื่องจากยังคงต้องมนต์สะกดจากดวงตาของเจ้าหญิง
“หายใจเข้าลึก ๆ ไว้ล่ะ”
เอเลนาเอาดาบมาพาดไหล่ของชายหนุ่ม ดวงตาสีฟ้าของเธอยังคงดูเยือกเย็น แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นที่แผ่ออกมา และในตอนนั้นเอง...
“!?”
ประกายแสงปรากฏขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงแหวนเวทมนตร์ ตามมาด้วยร่างของมารีที่อุ้มนัวร์เดินออกมาด้วยหน้าเรียบเฉย
“มารี!”
ลูอานาที่นั่งอยู่ที่จุดปฐมพยาบาลรีบวิ่งมาหาทันที ก่อนจะโผกอดเธอแน่นจนนัวร์ที่ยังอยู่ในอ้อมแขนตัวแทบบี้ ไทวิ่งอ้าแขนตามมาอีกคน แต่มารีเอี้ยวตัวหลบได้ทัน พ่อหนุ่มหน้าหวานก็เลยหน้าทิ่มพื้นไปแทน
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” มารีปล่อยนัวร์ลงและลูบหลังลูอานาที่ร้องไห้ออกมา ก่อนจะหันไปหาอาเทเนียกับเดรโกที่ยืนอยู่ไกล ๆ หนุ่มผมแดงเม้มปากและกลืนน้ำลายอย่างกระอักกระอ่วน เธอรู้ทันทีว่าหมอนี้โดนไอ้อาจารย์ข้าง ๆ สปอยไปแล้ว
“เรียบร้อยไหม” อาเทเนียเดินมาหา
“ค่ะ” มารีพยักหน้านิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายเมื่อลูอานาผละเธอออก “เท่านี้...ก็คงหมดห่วงแล้ว”
“คงไม่ได้เอาถึงตายใช่ไหม”
“หนักกว่านั้นเยอะค่ะ” เธอยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ว่าแต่ มาทำไมเอาป่านนี้น่ะคะ ทำเป็นตำรวจในหนังไปได้”
“อุตส่าห์มาซ่อมตึกรามบ้านช่องให้เชียวนะ” เด็กหญิงทำแก้มป่อง “งั้นก็...เจอกันวันจันทร์นะเด็ก ๆ”
ทันใดนั้นร่างของเด็กหญิงก็หายวับไป ทิ้งให้พวกเด็ก ๆ ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“แทนที่จะพาพวกเรากลับไปด้วยนะคะจารย์...” ลูอานาถอนหายใจออกมา
“แล้ว...พวกเราจะยังไงต่อล่ะเน่อ” ไทถามขึ้นมา
“พวกนั้นคงไม่กล้ามายุ่งสักพักล่ะน่ะ” มารีบอก “ไปหาคาเฟ่นั่งรอขึ้นวาฬกันเถอะ ชักหิว ๆ แล้ว”
ในระหว่างที่พวกเด็ก ๆ เดินไปหาร้านกาแฟร้านใหม่กัน เดรโกที่เดินรั้งท้ายได้แต่มองแผ่นหลังของมารีเงียบ ๆ เขาไม่สามารถมองเธอเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
มารีที่สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ หันมาหาเขา แต่เด็กหนุ่มไม่กล้าจะสบตาด้วยเลย
กระนั้น ก็มีอีกประเด็นที่พุ่งเข้ามาในหัว
ถ้าเจ้าหญิงเอเลนาตัวจริงอยู่ตรงนี้ แล้วไอ้คนที่เอาชื่อสาวใช้ของพระราชวังเรฟลอเดียมาเป็นชื่อปลอม ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเจ้าหญิงเอเลนามาตลอดคือใครล่ะ...
“สุดท้าย เด็กคนนั้นก็ตายไปแล้วจริง ๆ สินะ”
กลับมาที่โกดังร้างที่เหลือเพียงซากจากกองเพลิง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาตลอดเดินมาหยุดยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าสิ่ง ๆ หนึ่ง
ตอนแรกเขาคิดว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อมารีจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ๆ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้กับตาตัวเอง ก็ล้มเลิกความคิดไป
กระนั้นก็ยังอดที่จะทึ่งในความคิดและฝีมือของ อาจารย์ ของเขาไม่ได้
ชายหนุ่มมองดูสร้อยคอล็อกเก็ตของตัวเอง ในนั้นมีรูปของเขากับหญิงสาวและเด็กผู้หญิงตัวน้อยอีกคน รอยยิ้มของพวกเธอทั้งสองช่างสดใสยิ่งนัก ทว่าดวงตาสีเขียวมรกตที่เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานของเขานั้นกลับดูเศร้าหมองลงทันที เขาปิดฝาล็อกเก็ตและกำมันแน่น
เมื่อเก็บล็อกเกตใส่กระเป๋าเสื้อ ดวงตาของชายหนุ่มก็เลื่อนขึ้นมามองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนเอง
“ยินดีด้วยนะที่ได้เป็นอมตะ”
“...”
ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เบิกกว้างและมีเส้นเลือดผุดขึ้นมาของไนโตะมองกลับมาที่เขาเช่นกัน แต่ก็ได้แค่กลอกไปมาอย่างทุกข์ทรมาน นั่นเพราะตอนนี้เขาถูกผนึกอยู่ในของแข็งใสบริสุทธิ์และเย็นเฉียบโดยที่ไม่สามารถขยับอะไรได้ จะหายใจก็ไม่ได้ และยังต้องสัมผัสกับความเย็นสุดขั้ว พร้อมกับความเจ็บปวดจากเลือดต้องสาปไปตลอดกาล เป็นการถูกลงทัณฑ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“ไอ้แมวเวรนั่นดันล่อไปเจอพวกนกฮูกซะได้” หญิงสาวผมขาวเดินกลับมาอย่างหัวเสีย ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเจอภาพตรงหน้า “อ้าว ออกไปแปบเดียวกลายไปไอติมแท่งไปแล้วเหรอ”
“อืม” ชายหนุ่มถอนหายใจ “เจ้านี้เป็นน้ำแข็งนิรันดร์กาลน่ะ หมอนี่คงต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ”
“ไอ้น้ำแข็งที่ว่าไม่มีวันละลาย แถมแข็งยิ่งกว่าเพชรสินะ” อีกฝ่ายเบ้ปาก
น้ำแข็งนิรันดร์กาลไม่ใช่น้ำแข็งจริง ๆ แต่เป็นโมเลกุลของสสารที่ถูกดึงพลังงานความร้อนออกจนหมดและอัดแน่นกลายเป็นของแข็งด้วยเวทมนตร์ระดับมหาเวท สสารนี้ยังเป็นส่วนประกอบของดาบน้ำแข็งที่เจ้าหญิงเอเลนาใช้ ซึ่งคนที่สร้างมันขึ้นมาได้ เท่าที่รู้ก็มีเพียงตัวเจ้าหญิงกับอาร์คานาอีกตนที่พวกฝูงอีกาพยายามจะเอาตัวมาแต่ไม่สำเร็จเท่านั้น
“แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อล่ะ” หญิงสาวโบกคทาหนึ่งที ทำให้ก้อนน้ำแข็งที่ผนึกไนโตะเอาไว้ลอยขึ้นจากพื้น
“ยังไงตอนนี้เราก็ได้เลือดเจ้าหญิงมาแล้ว เดี๋ยวไปหาวิธีปลดผนึกน้ำแข็งนี่ออกก่อน ถ้าไม่ได้ยังไงก็คงต้องใช้แผนสอง”
“รับทราบ”
“อเพริ อิอานูอัม”
ชายหนุ่มหยิบไม้กายสิทธิ์ทำจากคริสตัลหินสีดำโบกเล็กน้อยและชี้ไปที่พื้น ร่างของเขาเรืองแสงสีทองออกมาพร้อมกับอักษรเวทมนตร์ลอยรอบ ๆ
เมื่อแสงหายไป หญิงสาวก็เอาคทาจิ้มกับพื้นและชักออกมาพิจารณา จากนั้นเธอก็โบกคทา ทำให้ผลึกน้ำแข็งที่ผนึกร่างไนโตะเอาไว้ลอยลงไปในพื้น แล้วเธอก็ค่อย ๆ หย่อนตัวเองหายเข้าไปตาม
เกทไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเสมอไป
คงต้องขอบคุณอาเทเนีย ที่สอนเวทมนตร์โบราณของอาร์คานานี้ให้เขา แม้ตอนนี้จะยังกำหนดจุดหมายปลายทางไม่ได้ บางครั้งก็ไปโผล่ที่ดาวอื่นนอกโลกบ้าง ในอวกาศบ้าง แต่สักวันก็คงจะแก้ไขจุดบกพร่องนี้ได้
ชายหนุ่มหย่อนตัวเองทะลุเกทไป ก่อนจะรีบผนึกมันเพื่อไม่ให้เจ้าแมวตัวนั้นรู้ตัวทัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ