Heaven Earth Hell
-
เขียนโดย LuvifrancSLawLia
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 18.29 น.
13 chapter
11 วิจารณ์
4,919 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 18.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) การเคลื่อนไหวของปีศาจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “เช้านี้ดูจะหนักเกินไปสำหรับคุณซาคาเรียสนะครับ” วิลเลี่ยมหัวเราะร่า พวกเขากำลังพักกลางวันอยู่ในบ้านหลังเดิม ซาคาเรียสดูซึมๆ เงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเรียบนิ่ง ที่เป็นแบบนี้ก็ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในตอนเช้า
“คุณควรเริ่มพูดเกี่ยวกับผู้คุมประชาชนได้รึยังครับ?” วิลเลี่ยมถึงกับสะอึก หันไปมองใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างน่ายำเกรง “ได้ครับๆ ถ้างั้น…เอ่อ…เริ่มจากเท้าความก่อนนะครับ” เพราะอำนาจแห่งสายตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกว่าริมฝีปากมันไม่ขยับตามธรรมชาติ วิลเลี่ยมลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไป ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอย่างงุนงง เพียงไม่นาน ประตูบ้านก็เปิดออกอีกครั้ง วิลเลี่ยมกวักมือเรียกคนข้างในให้เดินออกไป ด้านนอกโทมัสมองเห็นแต่ไกลกิ่งไม้ 9 กิ่ง ถูกปักอยู่บนพื้นหญ้าด้านนอก
“ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายถึงโครงสร้างของโรงเรียนและการบริหารงานเพราะทั้ง 2 อย่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมประชาชนโดยตรงครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “ภายในอาณาเขตของโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้มีอาคารเรียนทั้งหมด 7 แห่ง โรงอาหาร 2 แห่งและหนึ่งลานอเนกประสงค์ อาคารเรียนที่พวกเราใช้เรียนมีชื่อว่าอาคารไวเวิร์น” โทมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ต่อไปก็แผนผังโรงเรียน” วิลเลี่ยมวาดเส้นเชื่อมโยงจนกลายเป็นรูปร่างของแผนที่ “กิ่งไม้ยาวแทนอาคารเรียน 7 แห่ง กิ่งไม้สั้นแทนโรงอาหาร 2 แห่ง วงกลมแทนลานน้ำพุมังกร สี่เหลี่ยมแทนลานอเนกประสงค์ส่วนขีดแทนเส้นถนน” โทมัสคิดตามทุกคำพูดอย่างละเอียด “ถ้าดูจากแผนผังจะเห็นว่ามี 6 อาคารที่ตั้งขนานทางปีกซ้ายและขวา แต่ละปีกมี 1 โรงอาหาร”
“ระบบการบริหารของโรงเรียนถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนได้แก่สภาโรงเรียนและสภานักเรียนที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนโรงเรียน เริ่มจากสภาโรงเรียนที่มีสมาชิกทั้งหมด 7 คน หนึ่งในนั้นคือพระราชินีแห่งราชวงศ์ฟรานซิสโก้ที่ 15 ครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “หน้าที่ของสภาโรงเรียนคือการบริหารทรัพยากรภายในโรงเรียนให้ได้ตามงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ส่วนสภานักเรียน สมาชิก 4 คนเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซส” วิลเลี่ยมเสริม “หน้าที่ของสภานักเรียนคือการควบคุมนักเรียนให้อยู่ในนโยบายที่ถูกสร้างขึ้นโดยสภานักเรียนจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงถูกเรียกอย่างติดปากว่าผู้คุมประชาชนครับ” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มสั่นเครือ มันหมายความว่ายังไง?
“1 ปีก่อนที่จะเกิดกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเป็นช่วงที่โรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้รุ่งเรืองไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของนักเรียน มีกลุ่มมากมายก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งสภานักเรียนแต่ไม่มีกลุ่มไหนเอาชนะกลุ่มที่มีประวัติเก่าแก่และยาวนานซึ่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างกลุ่มจัสติคได้” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มแผ่วลง “ท้ายที่สุดยุคทองของพวกเขาก็ยุติลงหลังจากการปรากฏตัวของนักเรียนปีหนึ่ง 4 คนผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสและใช้มันลงแข่งการเลือกตั้งสภานักเรียนกับกลุ่มจัสติค” โทนเสียงนั้นแฝงด้วยความหดหู่ “จากที่ผมได้ยินมา ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสที่มีสมาชิกเพียง 4 คนจะสามารถเรียกคะแนนเสียงของนักเรียนได้อย่างล้นหลามจนทำให้กลุ่มจัสติคแพ้ราบคาบ” สีหน้าของซาคาเรียสแสดงออกอย่างตกใจ กลับกันที่โทมัสยังมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร “หลังจากการขึ้นรับตำแหน่งสภานักเรียนของพวกเขา ทำให้เกิดการประท้วงขนาดย่อมของกลุ่มนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยและคิดว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเล่นตุกติกกับการเลือกตั้ง” สิ้นเสียงกล่าวไปเพียงเท่านั้น
เสียงผ่อนลมหายใจบ่งบอกการเริ่มใหม่ของนิทานที่ยังไม่จบดี “ผลลัพธ์ของการประท้วงจบลงที่ผู้ประท้วงทั้งหมดถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีข่าวลือว่าการอนุมัติไล่นักเรียนผู้ประท้วงการเลือกตั้งเป็นมติเสียงข้างมากจากสภาโรงเรียน...” “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ซาคาเรียสแย้งขึ้นทันใด “ทำไมสภาโรงเรียนถึงต้องไล่นักเรียนที่ประท้วงออกอย่างง่ายดายแบบนั้นล่ะครับทั้งที่หนึ่งในนั้นเป็นถึงพระราชินีผู้ทรงธรรม พระองค์ไม่มีทางเห็นด้วยกับมติที่ว่าอย่างแน่นอนครับ” ซาคาเรียสค้านชนฝา “เรื่องนั้นก็ใช่แต่ว่า....” วิลเลี่ยมเขยิบตัวเข้าใกล้พวกเขาก่อนจะยื่นหน้าออกไปใกล้ที่สุด “สมาชิกในสภาโรงเรียนไม่ได้จงรักภักดีต่อพระราชินีทุกคนนะครับ” คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของโทมัส ชัดเจนว่าเขาเริ่มจะให้ความสนใจกับวิลเลี่ยมมากขึ้นแล้ว
“หลังจากที่การประท้วงสงบลง สภานักเรียนออกนโยบายที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ ไม่ใช่ในทางที่ดีนะครับ มันคือนโยบายว่าด้วยการแบ่งอาณาเขตโรงเรียน แบ่งเป็น 2 ส่วน อาณาเขตปีกขวาที่มีอาคาร 4 หลังซึ่งรวมถึงอาคารที่พวกเราใช้เรียน โรงอาหารตะวันออกและลานกว้างอเนกประสงค์ ทั้งหมดนี้สำหรับนักเรียนหลวงหรือก็คือพวกนักเรียนที่จ่ายเงินค่าเล่าเรียน” “อาณาเขตปีกซ้ายมีอาคารเรียน 3 หลังและโรงอาหารตะวันตก เป็นอาณาเขตของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนหรือก็คือนักเรียนที่ไม่ต้องชำระเงินค่าเล่าเรียนแต่สามารถเรียนที่โรงเรียนได้เหมือนนักเรียนหลวงซึ่งถูกเรียกว่านักเรียนทุน”
“พวกเขาถูกนโยบายว่าด้วยเครื่องแต่งกายนักเรียนพิเศษ โดยบังคับให้นักเรียนทุนทุกคนต้องสวมเครื่องแบบชนิดพิเศษที่ทางสภานักเรียนเป็นผู้คัดสรรให้และนโยบายว่าด้วยการไม่อนุญาตให้นักเรียนทุนเหยียบในอาณาเขตปีกขวาของโรงเรียน” ใบหน้าเคร่งขรึมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว!!” ซาคาเรียสอุทาน “ผมกลับมองว่ามันคือความเมตตาจากสภานักเรียนนะครับเพราะแต่เดิมแล้วเจ้าพวกนั้นมันตั้งใจจะถอนรากถอนโคนนักเรียนทุนให้หมดไปจากโรงเรียนด้วยซ้ำไป” วิลเลี่ยมกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วไม่มีกลุ่มไหนคิดจะล้มสภานักเรียนกลุ่มปัจจุบันเลยหรือครับ?” ซาคาเรียสถามอย่างสงสัย “ไม่มีหรอกครับ อำนาจของกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสได้ขยายไปทั่วอาณาเขตโรงเรียนแล้วครับ พวกคุณเคยสังเกตผ้าคลุมโรงเรียนของแต่ละคนในห้องเรียนไหมครับ? มันมีลายถักที่แตกต่างออกไป 5 แบบด้วยกัน ที่พวกเราใช้คือลายถักรูปมังกรห่อปีกใช่ไหมครับ?” ซาคาเรียสรีบสำรวจผ้าคลุมตนเองทันทีซึ่งก็เป็นจริงตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง
“นักเรียนที่ร่วมกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสจะมีอภิสิทธิ์มากกว่านักเรียนที่ไม่เข้าร่วม อย่างเช่นการได้รับประทานอาหารที่โรงอาหารตะวันออกหรือแม้แต่การเข้าใช้งานลานอเนกประสงค์ที่มักจะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมของโรงเรียนครับ” “หมายความว่าคุณวิลเลี่ยมและนักเรียนที่นั่งอยู่ในละแวกนี้คือคนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสอย่างงั้นหรือครับ?” ซาคาเรียสกล่าวขึ้นอย่างตกใจ “ใช่ครับ ในป่าก็มีนะครับ” อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างน่าประหลาด เพราะเสียงที่ดังอยู่เบื้องหลัง เสียงของผืนหญ้าที่เหยียบ โทมัสเป็นคนแรกที่หันไปมอง มันคือกลุ่มนักเรียนปริศนาที่เขาไม่คุ้นตา นำโดยนักเรียนชายตัวสูงผู้มีผมสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ
“นี่คุณ?!!” ปฏิกิริยาที่วิลเลี่ยมแสดงเมื่ออยู่ต่อหน้าของบุรุษรูปงามผู้นั้นกลายเป็นความสงสัยอย่างจับใจ โทมัสมองนักเรียนคนนั้น เครื่องแต่งกายก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เขากำลังใส่อยู่แต่ทำไมกันนะ? ทำไมริมฝีปากที่เรียบนิ่งถึงดูเหมือนกับว่ามันกำลังแสยะยิ้มอยู่ น่าคุกคามและน่าหวาดกลัว
“เจอกันจนได้นะครับ เจ้าชายฟรานซิสโก้” แฟรงก์ลินโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม สายตาก่อนที่จะถูกหลบซ่อนชัดเจนว่ากำลังจ้องหน้าซาคาเรียสอยู่ และมือที่กำลังยื่นออกไปข้างหน้านั้นคงอยากจะจับมือกับซาคาเรียสที่ได้แต่จ้องมองมือนั้นอย่างกดดัน เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าหากเผลอเหลือบตาไปมองโทมัสในตอนนี้จะทำให้ความจริงที่ว่าเขาคือตัวปลอมความแตกรึไม่? ถ้างั้นแล้วควรเล่นไปตามบรรยากาศหรือจะอยู่เฉยๆ เลียนแบบพฤติกรรมเย็นชาของโทมัสดี
“ถ้าไม่ว่าอะไร พวกเราขอตัวนะครับ” ซาคาเรียสเชิดหน้าเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังก้มแสดงความเคารพอย่างเยือกเย็น ตามด้วยโทมัสและวิลเลี่ยมที่แอบยิ้มอยู่ในใจกับการแสดงที่เหมือนกับเป็นตัวจริงมากๆ “จะรีบไปไหนหรือครับ?” เสียงที่ดังตามหลังทำเอาขาชะงักไปทันใด “ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณครับ” ซาคาเรียสหันกลับมามองด้วยหางตา เขารู้ดีว่านี่คือสิ่งที่โทมัสน่าจะทำในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะกล่าวออกไปอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้านั้นก็ยังคงไม่แสดงออกว่าสะทกสะท้านอะไรและยอมปล่อยให้พวกเขาเดินจากไปแต่โดยดี
“ผู้ชายคนนั้นคือใครหรือครับ?” คำถามแรกจากซาคาเรียสหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงห้องเรียนในยามบ่าย คำตอบที่ได้รับจากวิลเลี่ยมคือการถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “เขาคนนี้แหละครับ” เสียงผ่อนลมหายใจดังอีกครั้ง “โรบัสต้า แฟรงก์ลิน หัวหน้ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซส ชายผู้ทำลายความภาคภูมิใจของกลุ่มจัสติคของพวกเราครับ” วิลเลี่ยมกล่าว
ชั่วโมงเรียนวันนั้นซาคาเรียสเห็นอย่างชัดเจนว่าโทมัสมีสีหน้าผิดแปลกไปจากทุกครั้งในขณะที่นั่งฟังคำบรรยายของเดเมียนกับการจำแนกไอเทมพลังจิตในแต่ละระดับ มีบางอย่างที่ชายคนนั้นกำลังคิดและคงเป็นกังวล บางอย่างที่ทำให้ใบหน้าเย็นยะเยือกผันเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เป็นความหงุดหงิดที่เขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน
´โรบัสต้า แฟรงก์ลิน´ ไม่ใช่แค่โทมัสที่กำลังคิดถึงใบหน้านั้น เหมือน 2 จิตที่เชื่อมต่อกันอย่างผิดพลาด ใบหน้าที่แหงนมองตะแกรงไม้เลื้อย แสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านลดสีสันบนดวงตาสีม่วงคู่นั้นจนเจือจางลง
“มันเป็นยังไงบ้าง?” ซีสจ์กล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด จิตใจพุ่งออกจากร่างไปไกลแล้วแต่ร่างกายมันยังคงนั่งอยู่กับที่ที่ขอบลานน้ำพุมังกรภายในสวนพฤกษชาติ ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่ายซึ่งมันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “เฮ้ยได้ยินไหมว๊ะ?!!” เสียงตะคอกของซีสจ์สร้างความรำคาญให้เด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ปากเก่งเหมือนเดิมทั้งที่อยู่ในมนต์สะกดของเจ้าวินเซอร์ หมูพยศจริงๆ เลยนะ” วินเซนต์กล่าวขึ้นลอยๆ แต่ไม่วายคำกล่าวของเขาจะไปสะกิดต่อมหัวร้อนของซีสจ์จนได้ “แกว่าไงนะ?” ออกแรงจนสุดกำลังก็ไม่สามารถทำลายบ่วงแห่งอำนาจลึกลับของวินเซอร์ผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซีสจ์ได้
ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย เสียงหัวเราะดังขึ้นผ่ากลางทุกสิ่ง มันคือเสียงหัวเราะจากแฟรงก์ลิน “พวกแกนี่มันยังไงว๊ะ?” แฟรงก์ลินกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข “แกก็เลิกปากหนักแล้วพูดมาสิว่ามันเป็นยังไง? วันนี้แกไปหามันมาไม่ใช่รึ?!!” เสียงของซีสจ์ดังไม่แผ่ว “ใช่แล้วมันจะทำไมรึ?” แฟรงก์ลินตอบกลับอย่างเรียบๆ “ให้ฉันไปหามันบ้างสิ! ทำไมแกไปได้คนเดียว?! หรือว่าแกจงใจสั่งให้วินเซอร์ขัดขาฉัน?” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด คิดไปเอง คิดไปเรื่อยเปื่อย “ไร้สาระสิ้นดี” เสียงอันล่องลอยอย่างไร้จุดหมายนั้นจุดประกายไฟให้ลุกท่วมมากขึ้น กระนั้นแฟรงก์ลินกลับยังยิ้มออกมาได้อย่างชอบใจ “ไร้สาระกันจริงๆ นั่นแหละ” แฟรงก์ลินกล่าวอย่างชอบใจ ภาพจำในวันนี้ยังคงชัดเจนในสายตา ใบหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มผมดำคนนั้น ทำไมกันนะ ทำไมถึงดูน่าสนใจกว่าเจ้าชายฟรานซิสโก้อย่างน่าแปลกใจ
ท้องฟ้าเย็นย่ำ โทมัสเดินลงจากรถม้า ใบหน้าบูดบึ้งขมึงตึงราวกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ องครักษ์รักษาหน้าประตูแม้จะกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมแต่อีกฝ่ายกลับไม่ทักทายกลับเหมือนเคย ไม่มีแม้แต่การพยักหน้ารับ หน้าเชิดตลอดเวลาที่เดินเข้าไปภายในอย่างเงียบงัน
ณ ห้องบรรทมของพระราชินีฟรานซิสโก้ที่ 15 แจกันดอกไอริสขาว ผนังกำแพงสีเดียวกันตัดกับสีแดงของพรมเบื้องล่างอย่างลงตัว สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องเป็นของที่พบได้ในห้องนอนของโทมัสเว้นแต่โต๊ะเครื่องแป้งใกล้กับบานหน้าต่างขนาดใหญ่ มีหญิงสาวชุดขาวยืนรายล้อมอย่างเป็นระเบียบ สเตฟานี่ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวสลวยของเธอถูกสางด้วยหวีอย่างเบามือ แต่อยู่ๆ จังหวะอันน่าฉงนใจดังขึ้น ทำลายความสงบเงียบภายใน ปลายนิ้วเรียวยาวที่ยกขึ้นทำมุมกับดวงตาของเธอเป็นดั่งการออกเสียงที่มิอาจได้ยิน เหล่าผู้รับใช้สาวทั้งหมดต่างหยุดการกระทำ ถอยห่างออกมาและก้มตัวแสดงความเคารพร่างที่กำลังลุกขึ้นเดินอย่างนอบน้อม “ใครหรือจ๊ะ?” เสียงที่ตอบกลับมาจากอีกฟากของประตูทำให้หัวใจของหญิงชุดดำเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ดั่งลางบอกเหตุบางอย่าง
“คุณควรเริ่มพูดเกี่ยวกับผู้คุมประชาชนได้รึยังครับ?” วิลเลี่ยมถึงกับสะอึก หันไปมองใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างน่ายำเกรง “ได้ครับๆ ถ้างั้น…เอ่อ…เริ่มจากเท้าความก่อนนะครับ” เพราะอำนาจแห่งสายตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกว่าริมฝีปากมันไม่ขยับตามธรรมชาติ วิลเลี่ยมลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไป ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอย่างงุนงง เพียงไม่นาน ประตูบ้านก็เปิดออกอีกครั้ง วิลเลี่ยมกวักมือเรียกคนข้างในให้เดินออกไป ด้านนอกโทมัสมองเห็นแต่ไกลกิ่งไม้ 9 กิ่ง ถูกปักอยู่บนพื้นหญ้าด้านนอก
“ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายถึงโครงสร้างของโรงเรียนและการบริหารงานเพราะทั้ง 2 อย่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมประชาชนโดยตรงครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “ภายในอาณาเขตของโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้มีอาคารเรียนทั้งหมด 7 แห่ง โรงอาหาร 2 แห่งและหนึ่งลานอเนกประสงค์ อาคารเรียนที่พวกเราใช้เรียนมีชื่อว่าอาคารไวเวิร์น” โทมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ต่อไปก็แผนผังโรงเรียน” วิลเลี่ยมวาดเส้นเชื่อมโยงจนกลายเป็นรูปร่างของแผนที่ “กิ่งไม้ยาวแทนอาคารเรียน 7 แห่ง กิ่งไม้สั้นแทนโรงอาหาร 2 แห่ง วงกลมแทนลานน้ำพุมังกร สี่เหลี่ยมแทนลานอเนกประสงค์ส่วนขีดแทนเส้นถนน” โทมัสคิดตามทุกคำพูดอย่างละเอียด “ถ้าดูจากแผนผังจะเห็นว่ามี 6 อาคารที่ตั้งขนานทางปีกซ้ายและขวา แต่ละปีกมี 1 โรงอาหาร”
“ระบบการบริหารของโรงเรียนถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนได้แก่สภาโรงเรียนและสภานักเรียนที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนโรงเรียน เริ่มจากสภาโรงเรียนที่มีสมาชิกทั้งหมด 7 คน หนึ่งในนั้นคือพระราชินีแห่งราชวงศ์ฟรานซิสโก้ที่ 15 ครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “หน้าที่ของสภาโรงเรียนคือการบริหารทรัพยากรภายในโรงเรียนให้ได้ตามงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ส่วนสภานักเรียน สมาชิก 4 คนเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซส” วิลเลี่ยมเสริม “หน้าที่ของสภานักเรียนคือการควบคุมนักเรียนให้อยู่ในนโยบายที่ถูกสร้างขึ้นโดยสภานักเรียนจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงถูกเรียกอย่างติดปากว่าผู้คุมประชาชนครับ” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มสั่นเครือ มันหมายความว่ายังไง?
“1 ปีก่อนที่จะเกิดกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเป็นช่วงที่โรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้รุ่งเรืองไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของนักเรียน มีกลุ่มมากมายก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งสภานักเรียนแต่ไม่มีกลุ่มไหนเอาชนะกลุ่มที่มีประวัติเก่าแก่และยาวนานซึ่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างกลุ่มจัสติคได้” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มแผ่วลง “ท้ายที่สุดยุคทองของพวกเขาก็ยุติลงหลังจากการปรากฏตัวของนักเรียนปีหนึ่ง 4 คนผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสและใช้มันลงแข่งการเลือกตั้งสภานักเรียนกับกลุ่มจัสติค” โทนเสียงนั้นแฝงด้วยความหดหู่ “จากที่ผมได้ยินมา ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสที่มีสมาชิกเพียง 4 คนจะสามารถเรียกคะแนนเสียงของนักเรียนได้อย่างล้นหลามจนทำให้กลุ่มจัสติคแพ้ราบคาบ” สีหน้าของซาคาเรียสแสดงออกอย่างตกใจ กลับกันที่โทมัสยังมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร “หลังจากการขึ้นรับตำแหน่งสภานักเรียนของพวกเขา ทำให้เกิดการประท้วงขนาดย่อมของกลุ่มนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยและคิดว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเล่นตุกติกกับการเลือกตั้ง” สิ้นเสียงกล่าวไปเพียงเท่านั้น
เสียงผ่อนลมหายใจบ่งบอกการเริ่มใหม่ของนิทานที่ยังไม่จบดี “ผลลัพธ์ของการประท้วงจบลงที่ผู้ประท้วงทั้งหมดถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีข่าวลือว่าการอนุมัติไล่นักเรียนผู้ประท้วงการเลือกตั้งเป็นมติเสียงข้างมากจากสภาโรงเรียน...” “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ซาคาเรียสแย้งขึ้นทันใด “ทำไมสภาโรงเรียนถึงต้องไล่นักเรียนที่ประท้วงออกอย่างง่ายดายแบบนั้นล่ะครับทั้งที่หนึ่งในนั้นเป็นถึงพระราชินีผู้ทรงธรรม พระองค์ไม่มีทางเห็นด้วยกับมติที่ว่าอย่างแน่นอนครับ” ซาคาเรียสค้านชนฝา “เรื่องนั้นก็ใช่แต่ว่า....” วิลเลี่ยมเขยิบตัวเข้าใกล้พวกเขาก่อนจะยื่นหน้าออกไปใกล้ที่สุด “สมาชิกในสภาโรงเรียนไม่ได้จงรักภักดีต่อพระราชินีทุกคนนะครับ” คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของโทมัส ชัดเจนว่าเขาเริ่มจะให้ความสนใจกับวิลเลี่ยมมากขึ้นแล้ว
“หลังจากที่การประท้วงสงบลง สภานักเรียนออกนโยบายที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ ไม่ใช่ในทางที่ดีนะครับ มันคือนโยบายว่าด้วยการแบ่งอาณาเขตโรงเรียน แบ่งเป็น 2 ส่วน อาณาเขตปีกขวาที่มีอาคาร 4 หลังซึ่งรวมถึงอาคารที่พวกเราใช้เรียน โรงอาหารตะวันออกและลานกว้างอเนกประสงค์ ทั้งหมดนี้สำหรับนักเรียนหลวงหรือก็คือพวกนักเรียนที่จ่ายเงินค่าเล่าเรียน” “อาณาเขตปีกซ้ายมีอาคารเรียน 3 หลังและโรงอาหารตะวันตก เป็นอาณาเขตของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนหรือก็คือนักเรียนที่ไม่ต้องชำระเงินค่าเล่าเรียนแต่สามารถเรียนที่โรงเรียนได้เหมือนนักเรียนหลวงซึ่งถูกเรียกว่านักเรียนทุน”
“พวกเขาถูกนโยบายว่าด้วยเครื่องแต่งกายนักเรียนพิเศษ โดยบังคับให้นักเรียนทุนทุกคนต้องสวมเครื่องแบบชนิดพิเศษที่ทางสภานักเรียนเป็นผู้คัดสรรให้และนโยบายว่าด้วยการไม่อนุญาตให้นักเรียนทุนเหยียบในอาณาเขตปีกขวาของโรงเรียน” ใบหน้าเคร่งขรึมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว!!” ซาคาเรียสอุทาน “ผมกลับมองว่ามันคือความเมตตาจากสภานักเรียนนะครับเพราะแต่เดิมแล้วเจ้าพวกนั้นมันตั้งใจจะถอนรากถอนโคนนักเรียนทุนให้หมดไปจากโรงเรียนด้วยซ้ำไป” วิลเลี่ยมกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วไม่มีกลุ่มไหนคิดจะล้มสภานักเรียนกลุ่มปัจจุบันเลยหรือครับ?” ซาคาเรียสถามอย่างสงสัย “ไม่มีหรอกครับ อำนาจของกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสได้ขยายไปทั่วอาณาเขตโรงเรียนแล้วครับ พวกคุณเคยสังเกตผ้าคลุมโรงเรียนของแต่ละคนในห้องเรียนไหมครับ? มันมีลายถักที่แตกต่างออกไป 5 แบบด้วยกัน ที่พวกเราใช้คือลายถักรูปมังกรห่อปีกใช่ไหมครับ?” ซาคาเรียสรีบสำรวจผ้าคลุมตนเองทันทีซึ่งก็เป็นจริงตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง
“นักเรียนที่ร่วมกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสจะมีอภิสิทธิ์มากกว่านักเรียนที่ไม่เข้าร่วม อย่างเช่นการได้รับประทานอาหารที่โรงอาหารตะวันออกหรือแม้แต่การเข้าใช้งานลานอเนกประสงค์ที่มักจะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมของโรงเรียนครับ” “หมายความว่าคุณวิลเลี่ยมและนักเรียนที่นั่งอยู่ในละแวกนี้คือคนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสอย่างงั้นหรือครับ?” ซาคาเรียสกล่าวขึ้นอย่างตกใจ “ใช่ครับ ในป่าก็มีนะครับ” อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างน่าประหลาด เพราะเสียงที่ดังอยู่เบื้องหลัง เสียงของผืนหญ้าที่เหยียบ โทมัสเป็นคนแรกที่หันไปมอง มันคือกลุ่มนักเรียนปริศนาที่เขาไม่คุ้นตา นำโดยนักเรียนชายตัวสูงผู้มีผมสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ
“นี่คุณ?!!” ปฏิกิริยาที่วิลเลี่ยมแสดงเมื่ออยู่ต่อหน้าของบุรุษรูปงามผู้นั้นกลายเป็นความสงสัยอย่างจับใจ โทมัสมองนักเรียนคนนั้น เครื่องแต่งกายก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เขากำลังใส่อยู่แต่ทำไมกันนะ? ทำไมริมฝีปากที่เรียบนิ่งถึงดูเหมือนกับว่ามันกำลังแสยะยิ้มอยู่ น่าคุกคามและน่าหวาดกลัว
“เจอกันจนได้นะครับ เจ้าชายฟรานซิสโก้” แฟรงก์ลินโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม สายตาก่อนที่จะถูกหลบซ่อนชัดเจนว่ากำลังจ้องหน้าซาคาเรียสอยู่ และมือที่กำลังยื่นออกไปข้างหน้านั้นคงอยากจะจับมือกับซาคาเรียสที่ได้แต่จ้องมองมือนั้นอย่างกดดัน เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าหากเผลอเหลือบตาไปมองโทมัสในตอนนี้จะทำให้ความจริงที่ว่าเขาคือตัวปลอมความแตกรึไม่? ถ้างั้นแล้วควรเล่นไปตามบรรยากาศหรือจะอยู่เฉยๆ เลียนแบบพฤติกรรมเย็นชาของโทมัสดี
“ถ้าไม่ว่าอะไร พวกเราขอตัวนะครับ” ซาคาเรียสเชิดหน้าเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังก้มแสดงความเคารพอย่างเยือกเย็น ตามด้วยโทมัสและวิลเลี่ยมที่แอบยิ้มอยู่ในใจกับการแสดงที่เหมือนกับเป็นตัวจริงมากๆ “จะรีบไปไหนหรือครับ?” เสียงที่ดังตามหลังทำเอาขาชะงักไปทันใด “ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณครับ” ซาคาเรียสหันกลับมามองด้วยหางตา เขารู้ดีว่านี่คือสิ่งที่โทมัสน่าจะทำในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะกล่าวออกไปอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้านั้นก็ยังคงไม่แสดงออกว่าสะทกสะท้านอะไรและยอมปล่อยให้พวกเขาเดินจากไปแต่โดยดี
“ผู้ชายคนนั้นคือใครหรือครับ?” คำถามแรกจากซาคาเรียสหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงห้องเรียนในยามบ่าย คำตอบที่ได้รับจากวิลเลี่ยมคือการถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “เขาคนนี้แหละครับ” เสียงผ่อนลมหายใจดังอีกครั้ง “โรบัสต้า แฟรงก์ลิน หัวหน้ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซส ชายผู้ทำลายความภาคภูมิใจของกลุ่มจัสติคของพวกเราครับ” วิลเลี่ยมกล่าว
ชั่วโมงเรียนวันนั้นซาคาเรียสเห็นอย่างชัดเจนว่าโทมัสมีสีหน้าผิดแปลกไปจากทุกครั้งในขณะที่นั่งฟังคำบรรยายของเดเมียนกับการจำแนกไอเทมพลังจิตในแต่ละระดับ มีบางอย่างที่ชายคนนั้นกำลังคิดและคงเป็นกังวล บางอย่างที่ทำให้ใบหน้าเย็นยะเยือกผันเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เป็นความหงุดหงิดที่เขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน
´โรบัสต้า แฟรงก์ลิน´ ไม่ใช่แค่โทมัสที่กำลังคิดถึงใบหน้านั้น เหมือน 2 จิตที่เชื่อมต่อกันอย่างผิดพลาด ใบหน้าที่แหงนมองตะแกรงไม้เลื้อย แสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านลดสีสันบนดวงตาสีม่วงคู่นั้นจนเจือจางลง
“มันเป็นยังไงบ้าง?” ซีสจ์กล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด จิตใจพุ่งออกจากร่างไปไกลแล้วแต่ร่างกายมันยังคงนั่งอยู่กับที่ที่ขอบลานน้ำพุมังกรภายในสวนพฤกษชาติ ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่ายซึ่งมันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “เฮ้ยได้ยินไหมว๊ะ?!!” เสียงตะคอกของซีสจ์สร้างความรำคาญให้เด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ปากเก่งเหมือนเดิมทั้งที่อยู่ในมนต์สะกดของเจ้าวินเซอร์ หมูพยศจริงๆ เลยนะ” วินเซนต์กล่าวขึ้นลอยๆ แต่ไม่วายคำกล่าวของเขาจะไปสะกิดต่อมหัวร้อนของซีสจ์จนได้ “แกว่าไงนะ?” ออกแรงจนสุดกำลังก็ไม่สามารถทำลายบ่วงแห่งอำนาจลึกลับของวินเซอร์ผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซีสจ์ได้
ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย เสียงหัวเราะดังขึ้นผ่ากลางทุกสิ่ง มันคือเสียงหัวเราะจากแฟรงก์ลิน “พวกแกนี่มันยังไงว๊ะ?” แฟรงก์ลินกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข “แกก็เลิกปากหนักแล้วพูดมาสิว่ามันเป็นยังไง? วันนี้แกไปหามันมาไม่ใช่รึ?!!” เสียงของซีสจ์ดังไม่แผ่ว “ใช่แล้วมันจะทำไมรึ?” แฟรงก์ลินตอบกลับอย่างเรียบๆ “ให้ฉันไปหามันบ้างสิ! ทำไมแกไปได้คนเดียว?! หรือว่าแกจงใจสั่งให้วินเซอร์ขัดขาฉัน?” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด คิดไปเอง คิดไปเรื่อยเปื่อย “ไร้สาระสิ้นดี” เสียงอันล่องลอยอย่างไร้จุดหมายนั้นจุดประกายไฟให้ลุกท่วมมากขึ้น กระนั้นแฟรงก์ลินกลับยังยิ้มออกมาได้อย่างชอบใจ “ไร้สาระกันจริงๆ นั่นแหละ” แฟรงก์ลินกล่าวอย่างชอบใจ ภาพจำในวันนี้ยังคงชัดเจนในสายตา ใบหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มผมดำคนนั้น ทำไมกันนะ ทำไมถึงดูน่าสนใจกว่าเจ้าชายฟรานซิสโก้อย่างน่าแปลกใจ
ท้องฟ้าเย็นย่ำ โทมัสเดินลงจากรถม้า ใบหน้าบูดบึ้งขมึงตึงราวกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ องครักษ์รักษาหน้าประตูแม้จะกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมแต่อีกฝ่ายกลับไม่ทักทายกลับเหมือนเคย ไม่มีแม้แต่การพยักหน้ารับ หน้าเชิดตลอดเวลาที่เดินเข้าไปภายในอย่างเงียบงัน
ณ ห้องบรรทมของพระราชินีฟรานซิสโก้ที่ 15 แจกันดอกไอริสขาว ผนังกำแพงสีเดียวกันตัดกับสีแดงของพรมเบื้องล่างอย่างลงตัว สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องเป็นของที่พบได้ในห้องนอนของโทมัสเว้นแต่โต๊ะเครื่องแป้งใกล้กับบานหน้าต่างขนาดใหญ่ มีหญิงสาวชุดขาวยืนรายล้อมอย่างเป็นระเบียบ สเตฟานี่ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวสลวยของเธอถูกสางด้วยหวีอย่างเบามือ แต่อยู่ๆ จังหวะอันน่าฉงนใจดังขึ้น ทำลายความสงบเงียบภายใน ปลายนิ้วเรียวยาวที่ยกขึ้นทำมุมกับดวงตาของเธอเป็นดั่งการออกเสียงที่มิอาจได้ยิน เหล่าผู้รับใช้สาวทั้งหมดต่างหยุดการกระทำ ถอยห่างออกมาและก้มตัวแสดงความเคารพร่างที่กำลังลุกขึ้นเดินอย่างนอบน้อม “ใครหรือจ๊ะ?” เสียงที่ตอบกลับมาจากอีกฟากของประตูทำให้หัวใจของหญิงชุดดำเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ดั่งลางบอกเหตุบางอย่าง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ