Heaven Earth Hell
-
เขียนโดย LuvifrancSLawLia
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 18.29 น.
13 chapter
11 วิจารณ์
4,922 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 18.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) อนาคตอีกเส้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ มนุษย์ถูกสอนให้เชื่อในนิทาน ตำนานและเรื่องเล่าขานว่าโลกเรานั้นแบนเป็นจานและมีหุบเหวดำมืดที่พาน้ำลงสู่นรกอันเย็นยะเยือก สุดขอบโลก จะเชื่อลงได้เช่นไรหากไม่ได้ตาบอดด้วยศรัทธาและความเชื่อ บ้างตั้งคำถามว่าเหตุใดกระแสน้ำที่ร่วงหล่นจึงไม่ลดปริมาณลง? มนุษย์ส่วนใหญ่โหยหาในสิ่งที่อธิบายไม่ได้ พร่ำสอนและเติมเต็มสิ่งสมมุติด้วยความว่างเปล่าที่ถูกสร้างขึ้นแทนและเรียกมันว่าพระเจ้า กระนั้นก็มิใช่สิ่งสมบูรณ์แบบเฉกเช่นพระเจ้าที่แท้จริง ชายผู้สร้างทุกสิ่งขึ้นในฐานะของผู้ออกแบบ ประทานดินแดนที่แตกต่างทั้งสามและโลกอันเป็นหนึ่งเดียว เรียกมันด้วยประโยคกระซิบอันแผ่วเบา ซาทาส ซาทาสประกอบด้วยน้ำ ดินและน้ำแข็ง สัดส่วนของผืนดินแบ่งออกเป็น 6 ส่วน มีเพียง 1 ทวีปเท่านั้นที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุด ถูกเรียกขานว่าเฟียลเรโร เฟียลเรโรประกอบไปด้วยกลุ่มมหาอำนาจทั้ง 9 และมีมหาอำนาจอย่างอินเพอริโอ ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของทวีป อุดมสมบูรณ์มากที่สุดจึงทำให้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน
เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าสีคราม กลุ่มก้อนเมฆจับตัวเป็นก้อนไม่ต่างจากผืนทวีปที่ลอยอยู่บนอากาศ คงมีเพียงเด็กน้อยเท่านั้นที่เชื่อว่าบนนั้นมีอัครเทวทูตและดินแดนแห่งแสงสว่าง เฮฟเว่น หากขุดดินลึกลงไปแล้วจะพบกับอาณาจักรที่รัตติกาลคงอยู่ชั่วนิรันดร์หรือไม่? ดินแดนที่ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าสักวันจะต้องดำดิ่งลงไป เฮล ไม่ว่าพวกมันจะมีจริงหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์เดินดินที่จะต้องยุ่งเกี่ยว ดังที่ผมชอบบอกกับตัวเองว่าพระเจ้าและปีศาจไม่มีจริงและโชคชะตาไม่ได้ถูกกำหนดโดยพวกเขา พวกเขาไม่ได้เป็นคนทอยลูกเต๋าแต่เป็นมนุษย์เราทุกคน พอมองกลับไปก็จึงรู้ว่าตัวเรานั้นชั่งไร้เดียงสา ยังทำตัวเป็นเด็กขวางโลกกับชุดความคิดสุดโต่งที่หลอกตัวเองมาตลอด ไร้สาระสิ้นดี ทำไมนะหรือ? ก็เพราะผมเคยไปมาหมดแล้วยังไงล่ะ ทั้งเฮฟเว่นและเฮล ทั้งพระเจ้าและปีศาจล้วนแต่มีอยู่จริง ผมคงบอกพวกคุณได้แค่นี้
ชายหนุ่มร่างหนานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ ร่มเงาช่วยบดบังแสงแดดในช่วงสายและช่วยให้เขาได้ใช้สายตาอันคมกริบ มองข้อความบนหนังสือที่ดูคล้ายสมุดบันทึกได้อย่างชัดเจน เพียงไม่นานหลังจากที่ปลายปากกาขนนกแต่งแต้มน้ำหมึกลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อน ชายหนุ่มได้ยินเสียงตะโกน มันดับความคิดสร้างสรรค์ของเขาไปในทันใด “เฮ้!! ได้เวลาเดินทางต่อแล้วนะ” ชายในชุดคลุมขาวยืนเปิดประตูรถม้า เชื้อเชิญให้คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เข้าไปนั่งภายใน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ใบหน้าแสดงออกอย่างเบื่อหน่ายกับการออกเดินทางต่อ บิดตัวไปมาอยู่หลายทีแล้วจึงเริ่มเดินไปข้างหน้าจนมาถึงที่ประตูรถม้า เหยียบบันไดไม้ของรถม้าในขณะที่ขาอีกข้างเหมือนถูกแช่แข็งให้ติดกับผืนดินเบื้องล่างจนชายในชุดคลุมสีขาวต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?” ชายหนุ่มที่ได้ยินคำถามของชายผ้าคลุมขาว หันหน้ากลับไปมองเส้นทางตรงกันข้ามกับตัวรถม้า มันเป็นถนนดินขรุขระที่ทอดยาว สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ดูสบายตา เมื่อเพ่งสายตาไปไกลกว่าเดิมจึงเห็นภาพรางรางของสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์พลันสายตาที่มั่นคงก็เกิดสั่นเครือจนราวกับจะสามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ “เปล่า” ชายหนุ่มสลัดความรู้สึกเมื่อสักครู่ทิ้ง เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างเบาบางก่อนจะยอมก้าวเท้าอีกข้างเข้าไปภายใน ชายในชุดคลุมสีขาวหลังจากปิดประตูรถม้าก็ได้กระโดดขึ้นไปนั่งบนคานรถม้า “ย่าห์!!” เขากระตุกบังเหียนเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป...
เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าสีคราม กลุ่มก้อนเมฆจับตัวเป็นก้อนไม่ต่างจากผืนทวีปที่ลอยอยู่บนอากาศ คงมีเพียงเด็กน้อยเท่านั้นที่เชื่อว่าบนนั้นมีอัครเทวทูตและดินแดนแห่งแสงสว่าง เฮฟเว่น หากขุดดินลึกลงไปแล้วจะพบกับอาณาจักรที่รัตติกาลคงอยู่ชั่วนิรันดร์หรือไม่? ดินแดนที่ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าสักวันจะต้องดำดิ่งลงไป เฮล ไม่ว่าพวกมันจะมีจริงหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์เดินดินที่จะต้องยุ่งเกี่ยว ดังที่ผมชอบบอกกับตัวเองว่าพระเจ้าและปีศาจไม่มีจริงและโชคชะตาไม่ได้ถูกกำหนดโดยพวกเขา พวกเขาไม่ได้เป็นคนทอยลูกเต๋าแต่เป็นมนุษย์เราทุกคน พอมองกลับไปก็จึงรู้ว่าตัวเรานั้นชั่งไร้เดียงสา ยังทำตัวเป็นเด็กขวางโลกกับชุดความคิดสุดโต่งที่หลอกตัวเองมาตลอด ไร้สาระสิ้นดี ทำไมนะหรือ? ก็เพราะผมเคยไปมาหมดแล้วยังไงล่ะ ทั้งเฮฟเว่นและเฮล ทั้งพระเจ้าและปีศาจล้วนแต่มีอยู่จริง ผมคงบอกพวกคุณได้แค่นี้
ชายหนุ่มร่างหนานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ ร่มเงาช่วยบดบังแสงแดดในช่วงสายและช่วยให้เขาได้ใช้สายตาอันคมกริบ มองข้อความบนหนังสือที่ดูคล้ายสมุดบันทึกได้อย่างชัดเจน เพียงไม่นานหลังจากที่ปลายปากกาขนนกแต่งแต้มน้ำหมึกลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อน ชายหนุ่มได้ยินเสียงตะโกน มันดับความคิดสร้างสรรค์ของเขาไปในทันใด “เฮ้!! ได้เวลาเดินทางต่อแล้วนะ” ชายในชุดคลุมขาวยืนเปิดประตูรถม้า เชื้อเชิญให้คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เข้าไปนั่งภายใน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ใบหน้าแสดงออกอย่างเบื่อหน่ายกับการออกเดินทางต่อ บิดตัวไปมาอยู่หลายทีแล้วจึงเริ่มเดินไปข้างหน้าจนมาถึงที่ประตูรถม้า เหยียบบันไดไม้ของรถม้าในขณะที่ขาอีกข้างเหมือนถูกแช่แข็งให้ติดกับผืนดินเบื้องล่างจนชายในชุดคลุมสีขาวต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?” ชายหนุ่มที่ได้ยินคำถามของชายผ้าคลุมขาว หันหน้ากลับไปมองเส้นทางตรงกันข้ามกับตัวรถม้า มันเป็นถนนดินขรุขระที่ทอดยาว สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ดูสบายตา เมื่อเพ่งสายตาไปไกลกว่าเดิมจึงเห็นภาพรางรางของสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์พลันสายตาที่มั่นคงก็เกิดสั่นเครือจนราวกับจะสามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ “เปล่า” ชายหนุ่มสลัดความรู้สึกเมื่อสักครู่ทิ้ง เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างเบาบางก่อนจะยอมก้าวเท้าอีกข้างเข้าไปภายใน ชายในชุดคลุมสีขาวหลังจากปิดประตูรถม้าก็ได้กระโดดขึ้นไปนั่งบนคานรถม้า “ย่าห์!!” เขากระตุกบังเหียนเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ