ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  69 วิจารณ์
  3,322 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เข้าวังครั้งแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “แม่หญิงเข้าไปแล้วต้องทำตัวดีๆนะเจ้า” แช่มบอกกล่าวกับปิ่นตะวันด้วยความเป็นห่วง

‘พูดเหมือนเราจะไปก่อความวุ่นวายในคุ้มหลวงยังไงยังนั้นแหละ’  หญิงสาวพูดในใจก่อนจะยิ้มตอบกลับ

            “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันสัญญาว่าจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่ทำอะไรแผลงๆหรอก” หญิงสาวชูสามนิ้วกล่าวสาบานตน สายตาของทุกคนจับจ้องมายังพฤติกรรมแปลกๆที่ปิ่นตะวันทำเป็นตาเดียว หญิงสาวยิ้มแห้งก่อนจะค่อยๆลดมือลง

            “เรารีบเข้าไปในคุ้มหลวงเถอะแม่หญิงปล่อยให้แม่เมืองกับเจ้าอินทร์คำรอนานมันไม่งาม” ดาหลาพูดแทรกขึ้นมา หญิงสาวทั้งสองเดินเข้าไปในเขตคุ้มหลวงที่มีข้าราชบริพารมากมายอยู่ในนั้น ปิ่นตะวันพึ่งได้รู้จากดาหลามาว่าคนภายนอกที่จะเข้ามาในเขตคุ้มหลวงได้ต้องมีแผ่นป้ายที่เจ้าหลวงประทานมาให้เสมือนเป็นบัตรผ่านเข้าสถานที่ส่วนบุคคล แผ่นป้ายไม้เป็นแผ่นป้ายของบ่าวที่ติดตามเจ้านายเข้ามาในคุ้มหลวงแต่ถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่แต่บริเวณชั้นนอกไม่สามารถตามเข้าไปในเขตชั้นในที่ประทับของเจ้าหลวงและบรรดาเครือญาติได้  แผ่นป้ายเงินอนุญาตเฉพาะนางกำนัน ช่างฟ้อน ช่างศิลป์รวมไปถึงแม่หญิงที่ถูกเรียกตัวเข้ามาในคุ้มหลวง และแผ่นป้ายหยกจัดทำพิเศษไว้สำหรับบุคคลที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเจ้าหลวงและชนชั้นเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถเข้านอกออกในคุ้มหลวงได้ตามสะดวกดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่ได้รับพระราชทานแผ่นป้ายนี้ ส่วนข้าหลวงที่กินตำแหน่งต่างๆสามารถเข้าออกในคุ้มหลวงได้ตามสะดวกนอกเสียจากว่าเจ้าหลวงจะทรงไม่อนุญาตให้เข้ามา  

ระหว่างทางที่ปิ่นตะวันและดาหลาเดินเข้ามาในเขตคุ้มหลวง หญิงสาวตรงหน้ามักมีท่าทีกระวนกระวายชะเง้อคอมองอะไรบางอย่าง

            “ดาหลาหยุดก่อน จะรีบเดินไปไหนเนี่ย” ปิ่นตะวันเอ่ยทักท้วงหลังจากเดินตามไม่ทันเพราะซิ่นเจ้าปัญหาทำให้ก้าวขาไม่ถนัด

ดาหลาหันซ้ายหันขวาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวๆนี้ก่อนจะหันมาพูดกับปิ่นตะวัน

            “แม่หญิง รอข้าเจ้าอยู่ตรงนี้ก่อนได้ก่อเจ้า ข้าขอไปหอคัมภีร์สักประเดี๋ยวแล้วข้าจะรีบกลับมา” ปิ่นตะวันพยักหน้าตอบตกลง ดาหลาจึงรีบเดินมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์ที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของคุ้มหลวง  

เสียงคนพูดซุบซิบลอยมาตามลมหญิงสาวเดินตามเสียงนั้นไปจนพบกับคนกลุ่มหนึ่งยืนรายล้อมชายอีกคนที่กำลังเล็งเป้าธนู บางคนก็ถือกระบอกใส่ลูกธนูบางคนก็นั่งชันเข่า ปิ่นตะวันเดินเข้าไปดูใกล้ๆแต่แล้วก็มีบางอย่างพุ่งเฉี่ยวมาที่ใบหน้าของเธอไปเพียงเสี้ยววิ หัวใจแทบหยุดเต้นมือและเท้าเย็นเฉียบ ปิ่นตะวันหันกลับไปดูพบว่ามีธนูดอกหนึ่งปักตรงต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของเธอ

            “เกือบจะได้กลับบ้านเก่าไปแล้วไหมล่ะ” ปิ่นตะวันยืนตาค้างใบหน้าเหยเกกลืนน้ำลายตัวเองไม่อยากจะคิดว่าถ้ายังอยู่ที่เดิมคงเป็นตัวเธอเองที่ถูกธนูดอกนี้ปักบนตัวแทนต้นไม้

            “ผู้ใดกัน ออกมาเดี๋ยวนี้ไม่ต้องซ่อน” เสียงเข้มตะโกนกร้าว พลันเห็นร่างหญิงนางหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ค่อยๆเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีเคอะเขิน อินทร์แปงยืนพิจารณาแม่หญิงตรงหน้าพร้อมกับมีคำถามในใจว่าเหตุใดแม่หญิงผู้นี้ถึงได้มาแอบซุ่มดูตนยิงธนู บรรยากาศอึมครึมที่ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศแต่เป็นเพราะสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่างจับจ้องมายังหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นนักโทษทำให้ปิ่นตะวันรู้สึกอึดอัดอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด 

            ดาหลากลับมาจากหอคัมภีร์พร้อมห่อผ้าลวดลายวิจิตรงดงามหญิงสาวมองไปรอบๆไม่มีแม้แต่เงาของปิ่นตะวัน หญิงสาวกระวนกระวายไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนแต่แล้วก็มีเสียงคนพูดคุยกันปนเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังแว่วมาแต่ไกลหญิงสาวจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไปจนได้เห็นภาพของปิ่นตะวันและเจ้าอินทร์แปงกำลังพูดคุยเสวนากันอย่างสนิทสนม ดาหลาประหลาดใจไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนเย่อหยิ่งในบรรดาศักดิ์อย่างเจ้าอินทร์แปงจะมานั่งพูดคุยกับแม่หญิงแปลกหน้าได้ง่ายๆหรือว่าเจ้าอินทร์แปงกำลังหวังอะไรบางอย่างจากหญิงสาวตรงหน้า ไม่ได้การแล้วเธอต้องรีบไปขัดขวาง

ดาหลาเดินเข้ามาหาท่ามกลางวงสนทนาก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเรียบร้อย

            “อ้าว ข้าก็นึกว่าใครที่แท้ก็ลูกสาวท่านพระโหราธิบดีคำยศนี่เอง ลมกระไรหอบแม่หญิงมาที่นี่ล่ะ” อินทร์แปงหันไปทักทายดาหลา

            “เจ้านางเกตุแก้วให้ข้าเจ้าพาแม่ปิ่นมาเข้าเฝ้าเจ้า”  

อินทร์แปงหัวเราะในลำคอเป็นอย่างที่ตนคิดไม่มีผิดป้ายเงินที่เหน็บอยู่ข้างเอวก็พอคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ประมาณหนึ่ง

            “เฮ้อ นางกำนันในคุ้มหลวงมีไม่พอแล้วรึถึงต้องเรียกแม่หญิงนอกคุ้มมาทำเมีย” 

            “ไม่ใช่นะเจ้า เจ้านางเกตุแก้วแค่อยากทำความรู้จักแม่หญิงปิ่นก็แค่นั้นเจ้า” ดาหลาอธิบายเหตุผลให้คนตรงหน้าฟัง อินทร์แปงมองหญิงสาวที่กล้าต่อปากต่อคำกับตนแววตาที่ไม่ยอมใครเผยออกมาให้เห็นบนใบหน้าหวาน

            “เอาเถอะข้าจะเชื่อที่เจ้าพูดก็แล้วกัน” อินทร์แปงแสร้งทำเป็นเชื่อคำพูดของดาหลาแม้ในใจจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของสองแม่ลูกตำหนักนั้นก็ตาม ดาหลาและปิ่นตะวันกราบทูลลาแต่ระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้นยืนอินทร์แปงรีบทักท้วงในทันที

            “เดี๋ยวก่อนแม่หญิง” ทั้งดาหลาและปิ่นตะวันต่างหยุดชะงักหันมามองหน้ากันอย่างงุนงง อินทร์แปงยื่นมือไปเอื้อมหีบใบเล็กข้างๆตัวก่อนจะหยิบของบางอย่างออกจากหีบแล้วยื่นให้ปิ่นตะวัน

            “ข้าให้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยๆของข้าที่มีแม่หญิงเป็นสหาย” ปิ่นตะวันยื่นมือไปรับกำไลทองจากเจ้าอินทร์แปง แล้วมาดูใกล้ๆลวดลายบนกำไลสวยแปลกตามีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนและประณีตมาก ช่างที่ทำขึ้นมาต้องเป็นถึงชั้นครูขึ้นไปถึงจะทำให้กำไลทองวงนี้มีความวิจิตรหาใครเทียบไม่ได้ หลังจากที่กราบทูลลาเจ้าอินทร์แปงเรียบร้อยแล้วดาหลาและปิ่นตะวันรีบเดินเท้าไปเข้าเฝ้าเจ้านางเกตุแก้วและเจ้าอินทร์คำทันที อินทร์แปงมองปิ่นตะวันที่เดินจากไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันกลับไปซ้อมยิงธนูต่อ

            “งามสมคำร่ำลือเสียจริง” เจ้านางเกตุแก้วเอ่ยชมปิ่นตะวันหลังจากพิจารณารูปร่างหน้าตาของหญิงสาว ใบหน้าที่ดูสวยคมแปลกตาไม่เหมือนแม่หญิงในเชียงคำที่ออกไปทางสวยหวาน ละมุนมากกว่า ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นคนฉลาดไม่น้อยเพราะคำพูดคำจาดูฉะฉานไม่นอบน้อมพิรี้พิไร มีทักษะในการพูดโน้มน้าวให้คนฟังสนใจเรื่องที่เล่ามาได้ดีเยี่ยม ทั้งเจ้านางเกตุแก้วและเจ้าอินทร์แปงต่างคุยกับปิ่นตะวันอย่างถูกคอแต่แล้วสายตาของเจ้านางเกตุแก้วก็ไปสะดุดตรงกำไรทองวงหนึ่งที่สวมอยู่บนข้อมือเล็กของหญิงสาว

            “แม่ปิ่น ข้าขอดูกำไลทองวงนั้นของเจ้าได้หรือไม่ ปิ่นตะวันรีบถอดกำไรวงนี้ออกแล้วยื่นไปให้เจ้านางเกตุแก้วทันที พลันได้กำไรทองอยู่ในมือเจ้านางเกตุแก้วจึงนำมันมาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนพลางนึกในใจว่าเคยเห็นกำไรทองวงนี้จากที่ไหน ทั้งเจ้าอินทร์คำ ปิ่นตะวันและดาหลาต่างก็จับจ้องไปที่กำไรทองในมือของเจ้านางเกตุแก้ว

            “ข้านึกออกแล้ว นี่มันกำไรจากหีบรางวัลของเจ้าอินทร์แปง แม่ปิ่นได้มันมาได้เยี่ยงไรรึ” เจ้านางเกตุแก้วถามคาดคั้นคำตอบจากหญิงสาว

 

            “เออ..เจ้าอินทร์แปงเป็นคนให้เพคะ” เจ้านางเกตุแก้วและเจ้าอินทร์คำต่างหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังคำตอบจากปิ่นตะวันเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ เจ้านางเกตุแก้วยื่นกำไรทองคืนปิ่นตะวันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม

            “เจ้าเก็บรักษาให้ดีล่ะ แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าไว้ใจเจ้าอินทร์แปงให้มากนัก” เจ้านางเกตุแก้วมองปิ่นตะวันด้วยสีหน้าจริงจัง ดาหลาหันมามองเธอแล้วพยักหน้าเบาๆเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้านางพูด 

เสียงฝีเท้าเร่งก้าวเข้ามาในตำหนักปรากฏร่างทหารนายหนึ่งเมื่อเห็นเจ้านางเกตุแก้วและเจ้าอินทร์คำนั่งอยู่ตรงหน้าจึงรีบกราบบังคมทูล

            “เอ็งมีเรื่องกระไรถึงมาที่นี่” อินทร์คำสอบถามนายทหารตรงหน้า

            “เจ้าหลวงสั่งให้ข้าน้อยพาเจ้าอินทร์คำไปยังท้องพระโรงเจ้าค่า”  

สองแม่ลูกมองหน้ากันก่อนที่เจ้านางเกตุแก้วจะให้ลูกชายทำตามคำสั่งของเจ้าหลวงทำให้ทั้งปิ่นตะวันและดาหลามีโอกาศทูลลากลับเฮือน ในท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรดาข้าหลวงชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นอำมาตย์คูน อำมาตย์ธุยะ พระโหราธิบดีมิ่งหล้า พระยาวินตาและพระยาเจียง 

            “ท่านพ่อมีเรื่องกระไรหรือเจ้าค่าถึงให้ทหารพาลูกมาที่นี้” เจ้าอินทร์แปงถามด้วยความสงสัย 

            “มีคนพบศพแม่หญิงถูกฝังไว้ที่เขตป่าชานเมืองทิศตะวันออกติดเชียงเงินคาดว่าวันก่อนมีฝนตกหนักดินก็เลยถูกชะล้างทำให้บางส่วนของศพโผล่ขึ้นมา พ่อค้าที่ไปติดต่อค้าขายระหว่างเชียงเงินกับเชียงคำเห็นเข้าก็เลยรีบมาแจ้งกับทหารลาดตระเวน” เจ้าหลวงคำยศอธิบายเรื่องราวที่ได้รับรู้มาด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียด

            “คงเป็นชาวบ้านที่เอาศพมาฝังไว้เจ้าค่า” เจ้าหลวงส่ายหน้าเบาๆหันมาพูดกับอินทร์คำที่พึ่งออกความคิดเห็น

            “มันไม่ใช่เยี่ยงนั้น ถ้าพบศพเดียวพ่อก็จะเข้าใจเยี่ยงที่เจ้าพูดแต่นี่ ทหารของเราเจอตั้งยี่สิบศพถูกฝังข้างๆกันและแต่ละศพก็ถูกฆ่าปาดคอเหมือนกันทั้งนั้น พ่อกลัวว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเชียงคำ” ทุกคนในท้องพระโรงต่างตกใจไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเชียงคำ ผู้ใดหนอกล้าก่อเหตุเช่นนี้ ทุกคนต่างปรึกษาหาสาเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้ บ้างก็คิดว่าเป็นเหตุฆาตกรรม บ้างก็คิดเป็นเรื่องพิธีกรรม ไสยศาสตร์ มนต์ดำของพวกหมอผีที่ต้องการทำอะไรบางอย่างแต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เสียงพูดคุยโต้เถียงกันไปมาทำให้บริเวณรอบๆท้องพระโรงไม่มีใครกล้าเข้ามาเข้าเฝ้าแม้แต่เจ้านางเกตุแก้วที่มีตำแหน่งเป็นแม่เมืองก็ตาม

 

            “โอ้โห อะเมซิ่งมาก” น้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงถึงความตื้นเต้นของปิ่นตะวันเมื่อได้เห็นภาพคนเดินตลาดแบบวิถีชีวิตของคนสมัยโบราณการจับจ่ายซื้อของที่มีสินค้าเป็นเครื่องทองเหลือง เหล็ก โลหะ ของป่าที่เอามาจากสิบสองปันนา บ้างก็ขายเกลือ บ้างก็ขายครั่ง กำยาน มีปลาร้าและยาส้มจากพ่อค้าหลวงพระบางและเวียงจันทร์ มีทองคำที่ถูกแปรรูปเป็นกำไร สร้อยคอและต่างหูที่นำมาจากอินเดียก็มี บางร้านก็เป็นกลุ่มพ่อค้ามอญ พ่อค้าอยุธยาที่จะขายผ้า กระจกเงาเพื่อแลกเปลี่ยนกับของป่าไม่ว่าจะเป็นหนังสัตว์ กำยาน ไม้ฝาง ชะมดเรียง น้ำผึ้งและสีแสด และยังมีพ่อค้าจากเชียงเงินที่ใช้วัวต่างบรรทุกสินค้าอย่างข้าว พริกแห้ง ยาสูบ น้ำอ้อย เนื้อเก้ง เนื้อกวางที่ตากแห้งนำมาแลกกับเกลือ สินค้าในกาดแท่นคำมีมากมายหลายชนิดละลานตาสมกับที่เชียงคำเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า ปิ่นตะวันเดินดูสินค้าเหล่านี้อย่างสนอกสนใจก่อนจะหยุดอยู่ที่แผงขายผ้าจากอยุธยาโดยพ่อค้าพึ่งมาค้าขายที่นี่เป็นครั้งแรก หญิงสาวเลือกดูผ้าไหมตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

            “ผ้าผืนนี้ของข้า” ปิ่นตะวันหันไปตามแรงที่ดึงผ้า พลันประหลาดใจเมื่อผู้หญิงที่กล้ามาแย่งของในมือเธอคือแม่หญิงคำเอื้อยคนที่มีเรื่องกับเธอเมื่อครั้งไปยังเฮือนจันทร์และยังทำให้เธอถูกหนานไกรบ่นตั้งแต่เช้ายันเย็นจนหูชา ปิ่นตะวันมองหน้าคำเอื้อยอย่างคนเอาเรื่องมือก็กำผ้าผืนนั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ทั้งสองต่างยื้อยุดกันไปมาโดยไม่มีใครยอมใคร

            “ข้าจะเอาผ้าผืนนี้เจ้าปล่อยมือไปซะ” คำเอื้อยถลึงตาใส่ มือก็ดึงเอาผ้ามาเป็นของตนให้ได้

            “ฉันหยิบก่อนผ้ามันก็ต้องเป็นของฉัน ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทรึไงถึงมาแย่งของคนอื่นแบบนี้” 

            “พอเถอะเจ้าคนทั้งกาดมองมาที่พวกเรากันหมดแล้วแม่ปิ่นไม่อายหรือเจ้า” ดาหลาพยายามเข้ามาห้ามทั้งพูดเกลี้ยกล่อมให้ยอมความ ทั้งดึงตัวปิ่นตะวันให้ออกมาจากแผงขายผ้าเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจ 

ปิ่นตะวันยอมปล่อยมือจากผ้าไหมผืนงามเพราะเห็นว่าคนเริ่มเข้ามามุงดูเธอมากขึ้นและไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนเอาแต่ใจตรงหน้า คำเอื้อยยิ้มเยาะเมื่อตนเป็นฝ่ายชนะได้เป็นเจ้าของผ้าไหมผืนนี้ พลางใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม มือหนึ่งก็ทำเป็นลูบผ้าไหมอย่างแผ่วเบาเป็นการเย้ยหยัน

            “ก็คนมันมีวาสนามากกว่าอยากได้กระไรก็ต้องได้ไม่เหมือนคนบางคนบุญไม่มีแลยังไร้วาสนาอีก” คำเอื้อยตั้งใจพูดส่อเสียดให้ปิ่นตะวันได้ยินหลังจากที่ตนจ่ายเงินค่าผ้าไหมเสร็จแล้วและกำลังจะเดินกลับเฮือน

            “นั่นสินะคนอย่างฉันมันไม่ค่อยมีวาสนาอะไรกับเขาหรอกแต่พอดีทางบ้านสอนเอาไว้ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” หญิงสาวจงใจเน้นคำในประโยคสุดท้ายทำเอาคำเอื้อยต้องหันกลับมาด้วยสีหน้าที่โกรธสุดขีดพร้อมที่จะกรีดร้องออกมา

            “นี่เจ้าหาว่าข้าเป็นมารรึ”  

            “อ้าว พูดลอย ๆ หมาน้อยได้ยิน”  ปิ่นตะวันเข้าไปพูดใกล้พร้อมทำสีหน้าระรื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาว

            “หาว่าข้าเป็นหมาน้อยรึ” คำเอื้อยแทบอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียง ร่างกายเต้นเร่า ๆ อยากจะเข้าไปจิกหัวและตัวหน้า แต่ติดตรงที่ว่ามีคนมองเยอะจึงเข้าไปทำอะไรไม่ได้ ปิ่นตะวันเห็นท่าทางของคำเอื้อยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็อดขำไม่ได้ก่อนจะขอตัวกลับเฮือนปล่อยให้คำเอื้อยกระทืบเท้าไม่พอใจเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจอยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเธอนั้นก็ยิ้มแบบผู้ชนะ

 

            “ไปเข้าเฝ้าเจ้าเกตุแก้วกับเจ้าอินทร์คำเป็นเยี่ยงไรบ้าง” หนานไกรถามไถ่หญิงสาวเมื่อเห็นว่าพึ่งกลับมาจากคุ้มหลวง

            “ก็ดีนะคะ ได้ของแถมมาด้วย” ปิ่นตะวันยื่นมือข้างที่สวมกำไรทองให้หนานไกรดูแบบเต็มตาทำเอาชายหนุ่มต้องก้าวถอยหลังเพราะมือนั้นใกล้ใบหน้าเขาจนเกินไป 

            “ใครให้แม่หญิงมารึ” 

            “เจ้าอินทร์แปงให้มาค่ะ” หญิงสาวตอบคำถามอย่างฉะฉาน หนานไกรกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงตะโกนเรียกหญิงสาวมาแต่ไกล ยอดรีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาปิ่นตะวันก่อนจะนั่งลงคุกเข่าด้วยความเหนื่อยหอบ

            “ไอ้ยอดเอ็งจะตะโกนแหกปากทำไม กลัวคนอื่นไม่ได้ยินรึ” หนานไกรดุยอดที่ทำตัวไม่เหมาะสมที่ตะโกนเสียงดังทำเอาบ่าวคนอื่นที่ใกล้ต่างหันมามองแต่ดูแล้วคนโดนดุกลับไม่รู้สึกผิดอะไรยังยิ้มออกมาได้เสมอ

            “บ่าวขอสุมาขอรับ แม่หญิงขอรับไม้ไผ่ที่แม่หญิงให้บ่าวตัดออกมาสองท่อนบ่าวทำมาให้แล้วขอรับ” ยอดหยิบของที่อยู่ในย่ามออกมาเป็นกระบอกไม้ไผ่ถูกตัดให้สั้นเป็นทั้งสองท่อนยื่นไปให้หญิงสาวตรงหน้า

            “ขอบใจมากนะยอด” ปิ่นตะวันยิ้มดีใจหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกส่งมาให้ถือไว้ในมือ

            “เจ้าจะเอามันมาทำกระไรรึ” หนานไกรถามด้วยความสงสัย

            “เดี๋ยวพี่หนานก็รู้ค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ปิ่นตะวันหันหลังและรีบเดินไปยังโรงครัวปล่อยให้ผู้ชายทั้งสองคนยืนมองตามตาปริบ  

 

เสียงกุกกักในโรงครัวทำเอาคนที่อยู่ในนั้นต่างมองมาที่ปิ่นตะวันที่กำลังทำอะไรบางอย่างกับกระบอกไม้ไผ่ตรงหน้า ชุ่มนั่งดูหญิงสาวอย่างตั้งใจอยากจะเห็นตอนที่ทำเสร็จถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรก็ตาม

            “เสร็จแล้ว” หญิงสาวชูสิ่งที่เธอพึ่งทำเสร็จให้ชุ่มดูด้วยความดีใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มภูมิใจกับตนเองที่มีความอุตสาหะและมุ่งมั่นไม่เสียแรงที่ตั้งใจทำ 

            “มันคือกระไรเจ้าแม่หญิง หน้าตาแปลกพิลึก” ชุ่มมองสิ่งที่อยู่ในมือหญิงสาวด้วยความสงสัย กระบอกไม้ไผ่ที่ถูกตัดกลางลำต้นออกมาเป็นสองท่อนขนาดเล็กกะทัดรัดจับถนัดมือ ปลายด้านหนึ่งติดด้วยกระดาษสาสีขาวตัดเป็นวงกลมาพอดีกับปลายกระบอก ทำแบบนี้หมือนกันทั้งสองกระบอก ด้านในเจาะรูเล็กๆแล้วเอาเส้นฝ้ายยาวร้อยตรงรูตรงกลางผูกกับไม้กลัดไม่ให้ฝ้ายหลุดออกมา

            “เดี๋ยวพี่ก็รู้” ปิ่นตะวันยักคิ้วให้ชุ่มที่นั่งมองก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วรีบวิ่งไปที่หลังเฮือนจันทร์ ชุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปพลางตะโกนไล่หลังให้หญิงสาวหยุดวิ่งแล้วเดินไปอย่างช้าๆเหมือนแม่หญิงทั่วไป แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที 

            “พี่หนาน พี่หนาน” เสียงใสตะโกนเรียกชื่อมาแต่ไกล ชายหนุ่มหยุดชะงักแล้วหันไปทางต้นเสียง ภาพที่เห็นคือแม่หญิงปิ่นกำลังวิ่งมาทางตนในมือถือของอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้จักและชุ่มที่วิ่งตามนายของตนมาติดๆ หนานไกรหยุดซ้อมฟันดาบกับไอ้ยอดแล้วเดินไปนั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นจามจุรี

            “แม่หญิงมาหาข้ามีเรื่องกระไรรึ”  

ปิ่นตะวันถลาเข้าไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ทำให้ทั้งสองคนนั่งใกล้กันชายหนุ่มจึงรีบถอยออกมาทันทีโดยเกรงว่าชายหญิงอยู่ใกล้กันนั้นย่อมไม่เหมาะไม่ควร

            “แหม ฉันแค่จะแวะมาบอกพี่หนานว่า ฉันทำเสร็จแล้ว” ปิ่นตะวันมองการกระทำของชายหนุ่มที่ดูเป็นคนหวงเนื้อหวงตัวไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าใกล้แม้แต่น้อยช่างเป็นผู้ชายที่มีโลกส่วนตัวสูงเสียจริง ก่อนจะหันมาพูดด้วยความดีใจ ชูสิ่งที่อยู่ในมือให้ชายหนุ่มได้เห็น หนานไกรมองไปยังของชิ้นนั้นด้วยความสงสัย

            “มันคือกระบอกไม้ไผ่สื่อสาร” ปิ่นตะวันนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่เธอพึ่งทำเสร็จให้ทุกคนในนี้ได้ฟังด้วยวาจาฉะฉานราวกับว่ากำลังสวมบทเป็นพนักงานขายของ 

            “ข้าไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ” หนานไกรลุกขึ้นยืนส่ายหัวเบาๆหลังจากฟังหญิงสาวพร่ำเพ้อบรรยายถึงสิ่งที่เรียกว่ากระบอกไม้ไผ่สื่อสารที่ดูเหมือนจะเป็นของเล่นเสียมากกว่า

            “โธ่ แม่หญิงขอรับที่แม่หญิงสั่งให้บ่าวไปตัดต้นไผ่มาก็เพื่อมาทำของเด็กเล่นหรือขอรับ บ่าวก็อุตส่าห์บุกฝ่าดงไผ่เลือกลำต้นที่ดีที่สุด ปล้องใหญ่ที่สุดเพื่อเอามาให้แม่หญิงโดยเฉพาะ ถ้าบ่าวรู้ว่าแม่หญิงจะเอามาทำเช่นนี้บ่าวคงไม่เสียแรงไปตัดด้วยตัวเองหรอกขอรับ” ยอดโอดครวญถึงความยากลำบากที่ตนได้พบเจอมา ปิ่นตะวันนั่งที่นั่งฟังอยู่ก็อดหมั่นไส้ในความเล่นใหญ่ของยอดไม่ได้

            “เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่ถึงวัยออกเรือนแล้วนะจะมาเล่นเป็นเด็กๆแบบนี้ไม่ได้ หัดใช้เวลาให้เป็นประโยชน์บ้าง ไปช่วยนางแช่มตากพริก ตากปลาก็ได้ หรือจะไปช่วยอุ้ยคำทำกับข้าวกับปลาก็ดี แต่ถ้าเจ้ายังมีเวลามากพอก็ไปหัดทอผ้าเสียเถิดจะได้เป็นเหมือนแม่หญิงทั่วไปบ้าง”  

ปิ่นตะวันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดถึงเธอมันให้ความรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองสั่งสอนโดยที่ทำได้แค่นั่งฟังไม่สามารถโต้เถียงได้เลยสักคำ หนานไกรกลับไปฝึกซ้อมดาบต่อกับยอดปล่อยให้ปิ่นตะวันนั่งหน้ามุ่ย หญิงสาวหันไปสบตากับชุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะลุกขึ้นยืน

            “ป้อนายขอรับ ป้อนาย” ทัพวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยสีหน้าแตกตื่น

            “ไอ้ทัพเอ็งมีกระไรถึงวิ่งหน้าตาตื่นเยี่ยงนี้” 

            “มีคนถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสขอรับ ตอนนี้อยู่ที่เรือนบ่าว ป้อนายรีบไปดูให้หน่อยขอรับ ไม่รู้ว่าตายหรือยัง” ทัพรายงานให้ผู้เป็นนายฟังด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ ชายหนุ่มที่ได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปยังเรือนบ่าวโดยมีทัพนำทางไป เมื่อไปถึงภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างของชายคนหนึ่งนอนไม่ได้สติบนแคร่ไม้ไผ่ ตามตัวมีรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย มีรอยถูกแทงบริเวณหน้าท้องเลือดไหลไม่หยุด ดูจากเสื้อผ้าและการแต่งกายแล้วคงจะเป็นพวกจีนฮ่อที่เดินทางมาค้าขายในเชียงคำ สภาพร่างกายถูกซ้อมจนยับเยินไม่รู้ว่าไปถูกใครทำร้ายมาแค่ยังมีลมหายใจอยู่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว หนานไกรใช้ให้บ่าวพาร่างของคนป่วยไปรักษายังเรือนพักฟื้นใกล้เรือนบ่าว และให้ยอดคอยเอายาสมุนไพรมารักษาไม่ให้ขาด เขาต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้ 

           

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา