ปิ่นตะวัน
เขียนโดย พราวรุ้ง
วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.
แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) อดีตที่ฝังใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แม่ล่ะเจ็บใจจริงๆ” สตรีวัยกลางคนในชุดเจ้านางล้านนาแขนกระบอกสีแดงนุ่งซิ่นไหมคำจากราชสำนักไทเขิน เครื่องประดับสีทองตามฐานะสนมเอกของเจ้าหลวงแห่งเชียงคำ
“ใครบังอาจทำท่านแม่ขุ่นเคืองพระทัยเช่นนี้เจ้าค่า” อินทร์แปงที่กำลังซ่อมยิงธนูอยู่ไม่ไกลกล่าวกับมารดาของตนที่เดินเข้ามาในตำหนักกลางแจ้งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“จะใครกัน ก็นางเกตุแก้วกับไอ้อินทร์คำสองแม่ลูกยังไงล่ะ” เจ้าจันทร์ดาราตอบกลับด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเมื่อพูดถึงสองแม่ลูกที่ตนเกลียดนักหนา ตั้งแต่เจ้าหลวงคำยศยกย่องให้เป็นแม่เมืองแทนที่จะเป็นตนทั้ง ๆที่ตามยศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นถึงลูกของเจ้าหลวงแห่งเชียงเงิน ผิดกับอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกอำมาตย์ที่รับใช้เจ้าหลวงองค์ก่อนแต่กลับได้เป็นแม่เมือง อีกทั้งเจ้าอินทร์คำยังเป็นลูกรักของเจ้าหลวงคำยศมากกว่าอินทร์แปงลูกของตน
“สองแม่ลูกนั่นเข้าไปประจบเจ้าพ่ออีกตามเคยรึขอรับ”
“ก็ใช่หน่ะสิ เจ้าอินทร์แปง ลูกต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะถ้าขืนชักช้าอยู่อย่างนี้เจ้าหลวงคงต้องยกตำแหน่งพระมหาอุปราชให้เจ้าอินทร์คำแน่นอน” เจ้าจันทร์ดาราหันมาพูดกับลูกตนเองที่ซ้อมยิงธนูอยู่
“ลูกทำแน่ขอรับ ขอแค่รอจังหวะเหมาะๆลูกไม่พลาดแน่”
“จะทำอะไรก็รีบทำ แม่ไม่ยอมให้พวกมันเสวยสุขจนเฒ่าตายหรอก”
“ลูกก็ไม่ยอมเจ้าค่า” ลูกธนูพุ่งตรงไปปักตรงกลางเป้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว อินทร์แปงเตรียมง้างคันธนูยิงอีกครั้งแต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินผ่านไปยังตำหนักท้ายวัง
“ไอ้ไกร” อินทร์แปงสบถกับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
“ลูกล่ะเกลียดมันจริงๆ ออกจากข้าหลวงไปเป็นปีๆยังมีหน้ามาเดินในคุ้มหลวงอยู่ได้ทั้ง ๆที่คนนอกอย่างมันไม่มีสิทธิ์เข้ามาเสียด้วยซ้ำ”
“จะใครกันล่ะ ก็ไอ้อินทร์คำนั่นไงที่ให้ป้ายหยกกับมันเป็นใบผ่านทางเข้ามาในคุ้มหลวงได้อย่างอิสระไม่รู้ว่าพวกมันกำลังวางแผนกระไรกันอยู่”
“ลูกอยากจะฆ่ามันให้ตายตอนนี้นัก” อินทร์แปงกดเสียงต่ำลง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาต คันธนูในมือถูกง้างขึ้นปลายลูกธนูเล็งไปยังเป้าหมายที่เปลี่ยนจากหุ่นฟางเป็นร่างที่กำลังเดินอยู่ไม่ไกลแทน
“เจ้าน้อยเรียกข้าน้อยมามีเรื่องอันใดเจ้าค่า” หนานไกรคุกเข่าลงพนมมือไว้กลางอกแสดงความเคารพต่อหน้าเจ้าอินทร์คำโอรสองค์โตของเจ้าหลวงคำยศแห่งเชียงคำ ร่างของบุรุษที่สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับตามบรรดาศักดิ์นั่งลงบนแท่นไม้สักอย่างดีแกะสลักลวดลายด้วยความประณีตประดับด้วยทองคำและอัญมณีหลากชิ้น
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำสำเร็จลุล่วงหรือไม่” อินทร์คำเอ่ยปากถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรื่องนั้นข้าน้อยเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่า” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ดีแล้ว อ้อ! ข้ามีอีกเรื่องจะถามเจ้า”
“เรื่องกระไรเจ้าค่า”
“ข้าได้ยินมาว่ามีแม่หญิงมาอยู่ที่เฮือนแก้วเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่า” หนานไกรพูดอึกอักคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่แม่หญิงปิ่นมาอาศัยบนเฮือนแก้วจะแพร่กระจายได้รวดเร็วขนาดนี้ ป่านนี้ใครต่อใครคงพูดเรื่องนี้อย่างสนุกปากไปทั่ว
อินทร์คำที่ได้ยินคำตอบถึงกับตบเข่าดังฉาดพร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ
“ต้องให้ได้แบบนี้สิไอ้ไกร”
“นางแค่มาขออยู่อาศัยชั่วคราวเจ้าค่า” ชายหนุ่มรีบพูดแก้ตัว
ทั้งหนานไกรและเจ้าอินทร์คำต่างพูดคุยปรึกษาเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันตามประสาคนสนิทกันจวบจนใกล้เวลาที่คุ้มหลวงจะปิดไม่ให้ใครเข้าออก ชายหนุ่มจึงขอเจ้าอินทร์คำลากลับเฮือนแก้ว แต่ในระหว่างทางเดินกลับก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อไล่หลัง
“เอ็งจะกลับแล้วเหรอวะไอ้ไกร” อินทร์แปงเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีต้องการหาเรื่อง
“เจ้าอินทร์แปงมีกระไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือเจ้าค่า” ชายหนุ่มลงไปคุกเข่ากับพื้น
“ไม่มีกระไร ข้าแค่แวะมาทักทายเห็นว่าช่วงนี้เอ็งเข้านอกออกในคุ้มหลวงบ่อยๆ มีเรื่องกระไรรึบอกข้าได้หรือไม่”
“ก็แค่คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเจ้าค่าไม่มีกระไรน่าสนใจ” หนานไกรรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าอินทร์แปงอาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบตนเท่าไหร่ที่เลือกอยู่ฝ่ายเจ้าอินทร์คำผู้เป็นศัตรูในการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าอุปราชกับเจ้าอินทร์แปง
“เอ็งนี่มันซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนายเอ็งเหมือนหมาเลยว่ะ” อินทร์แปงหัวเราะเยาะเย้ยคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาตนเหมือนเมื่อก่อนอย่างหนานไกร อดีตข้าหลวงกินตำแหน่งคุณพระผู้หยิ่งยโสกล้าต่อปากต่อคำกับข้าหลวงขั้นสูงโดยไม่เกรงกลัวอำนาจใดแต่ดูตอนนี้สิกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปเสียได้
“ถ้าเจ้าอินทร์แปงไม่มีกระไรแล้วข้าน้อยขอตัวเจ้าค่า”
“เออ เอ็งก็ไปสิ ข้าขอให้เอ็งเดินทางกลับเฮือนแก้วอย่างปลอดภัย และฝากบอกไอ้อินทร์ผาน้องชายสุดที่รักของข้าด้วยว่าเวลาลักลอบออกจากคุ้มหลวงอย่าให้ข้าจับได้เด็ดขาดไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องเจ้าพ่อให้ลงโทษมันอย่างสาสมกับที่บังอาจละเมิดคำสั่งของเจ้าหลวง”
“เจ้าค่า”
หนานไกรรับคำสั่งรีบเดินออกจากคุ้มหลวงก่อนที่ทหารจะสั่งปิดไม่ให้ใครเข้าออก สายตาที่อินทร์แปงมองชายหนุ่มที่รีบเดินจากไปอย่างแค้นเคือง ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนทำอะไรอยู่ เขาต้องรู้ให้ได้เผื่อว่าจะหาทางขัดขวางแผนการของพวกนั้นไม่ให้ทำสำเร็จเพราะตำแหน่งพระมหาอุปราชจะเป็นบันไดขั้นแรกที่จะช่วยให้เขามีอำนาจเหนือเจ้าอินทร์คำในทุกๆด้าน
สายลมพัดโชยหอบกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกาสะลองผสมกลิ่นดอกแก้วจางๆให้มาเตะจมูกผู้คนยามราตรี คืนนี้ปิ่นตะวันนอนไม่หลับใบหน้าดูเศร้าสร้อยไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนเช้า
หญิงสาวถือโอกาสที่ชุ่มกับแช่มนอนหลับสนิทแอบย่องออกจากห้องนอนมายืนรับลมเย็นบริเวณชานพักเรือน สายลมอ่อนๆพัดเย็นสบายยามค่ำคืนชวนให้หญิงสาวคิดถึงผู้คนและบ้านที่จากมาไม่รู้ว่าคนทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียใจแค่ไหนที่ตามหาตัวเธอไม่เจอโดยเฉพาะแม่ใหญ่ ยิ่งคิดปิ่นตะวันยิ่งเศร้าใจถ้าตอนนี้มันคือความฝันเธอก็อยากจะตื่นเสียที หญิงสาวยืนเหม่อมองพระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าพลางภาวนาในใจขอให้เธอได้กลับบ้านโดยเร็ว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างบุรุษร่างหนึ่งเดินผ่านหญิงสาวไป
“พี่หนาน” ปิ่นตะวันเรียกชื่อชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่
“แม่ปิ่น ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ทำไมเจ้ายังไม่เข้านอน”
“พอดีฉันนอนไม่หลับเจ้าค่ะก็เลยออกมาเดินเล่น แล้วพี่หนานล่ะคะนอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ” หญิงสาวเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้
“ข้าจะไปนอนที่เรือนหลังเล็กน่ะ แล้วแม่ปิ่นมีเรื่องกระไรในใจรึถึงทำให้นอนไม่หลับรึ”
“ฉันคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนๆน้อง ๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ” ปิ่นตะวันพูดพลางถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าคล้ายจะร้องไห้ หนานไกรหยุดนิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่าง
“แม่หญิงไม่ต้องกังวลข้าสัญญาว่าจะพาแม่หญิงกลับไปให้ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย หญิงสาวนิ่งไปสักครู่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเป็นการตอบกลับ
“แม่หญิง!! ถ้าแม่หญิงกำลังคุยกับข้าอยู่ แม่หญิงก็ควรมองหน้าข้าไม่ใช่มอง….” สายตาอันเฉี่ยวคมของชายหนุ่มมองต่ำลงมาเรื่อย ๆจนประสานกับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างไม่ละสายตาจนกระทั่งหญิงสาวได้สติจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่น ปิ่นตะวันใบหน้าร้อนผ่าวด้วยอาการเขินอายที่เผลอไปจ้องกล้ามหน้าท้องที่เป็นมัดๆของชายหนุ่มจนลืมตัว ยิ่งคนตรงหน้าสวมแค่กางเกงสะดอ เปลือยท่อนบนและปล่อยผมยาวถึงไหล่โดยไม่มีผ้าโพกหัวดูแล้วก็ดูดีใช้ได้ ถ้าในปัจจุบันก็ขอนิยามว่าเป็นผู้ชายเซอร์ๆ
ปิ่นตะวันแสร้งทำเป็นง่วงเหงาหาวนอนกลบเกลื่อนเพื่อหาทางกลับเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวแอบย่องขึ้นบนเตียงนอนพลันนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเผลอทำเมื่อสักครู่ ใบหน้าเริ่มมีสีแดงระเรื่อลำตัวบิดไปมาด้วยความเขินอาย
“แม่หญิงเป็นกระไรเจ้าหรือว่าถูกผีบ้าเข้าสิงถึงได้พูดคนเดียวเช่นนี้” ชุ่มตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงหญิงสาวพึมพำคุยกับตัวเองอีกทั้งยังเอามือตบแก้มทั้งสองข้างเบาๆ แล้วยังบิดตัวไปมา
“พี่ชุ่มนอนเถอะจ้ะนี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันง่วง” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักก่อนจะหลับตาลงนอน ชุ่มจึงยื่นมือไปดับไฟในตะเกียงไม้ตรงหัวนอนทันที
แสงไฟจากตะเกียงถูกจุดให้แสงสว่างภายในเรือนไม้สักหลังเล็กที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจนแทบมองไม่เห็นแสงไฟจากเรือนหลังใหญ่ ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนอนที่ถูกปัดกวาดเช็ดถูมาแล้วอย่างดี พลันในหัวนึกย้อนถึงอดีตของเจ้าของเรือนไม้สักหลังนี้ ใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่แววตากลับดูเศร้าสร้อย ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องจดจำทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรือนไม้และใครคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อน
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนเหตุการณ์ที่เขาไม่มีวันลืมชายหนุ่มควบม้าวิ่งฝ่าความมืดมีเพียงแสงจันทร์ที่นำทางพอให้มองเห็นหัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวราวกลองรบมีสิ่งเดียวที่เขาต้องทำก็คือตามหาคนรักให้เจอและภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงกับแม่หญิงผู้เป็นที่รักของตน ชายหนุ่มตั้งสติพยามมองไปรอบๆป่าเผื่อเจอเบาะแสทันใดนั้นผีพรายที่เลี้ยงไว้ได้กระซิบที่ข้างหูบอกตำแหน่งที่พบเจอแม่หญิง หนานไกรรีบควบม้าไปตามทางที่ผีพรายได้บอกเอาไว้ พอมาถึงสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นตรงหน้าคือร่างของหญิงคนรักนอนซมอยู่กับพื้นร่างกายเปลือยเปล่ามีผ้าซิ่นปกปิดร่างบางเอาไว้หัวใจของเขาตกวูบไปที่ตาตุ่ม ตามตัวมีรอยฟกซ้ำที่เกิดจากการต่อสู้ขัดขืนจึงถูกทำร้าย หนานไกรรีบลงจากหลังม้าตรงปรี่เข้าไปหาร่างบางที่นอนกับพื้นแล้วประคองร่างนั้นให้นอนบนตัก
“แสงหล้า พี่มาแล้ว พี่มาช่วยเจ้าแล้ว” หนานไกรพูดกับร่างบางที่หายใจรวยรินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่ไกร พี่ไปอยู่ไหนมา” หญิงสาวมองหน้าคนรักน้ำเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะกลืนไปกับสายลม เป็นเพราะร่างกายบาดเจ็บและช้ำในไปทั้งตัวหยดน้ำตาเริ่มไหลรินมาอาบแก้มนวล เปลือกตาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งสายตาพร่ามัวสติเริ่มเลือนราง ภาพสุดท้ายที่หญิงสาวเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับลงคือใบหน้าของชายผู้เป็นคนรักกำลังร่ำไห้ หยดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเต็มไปด้วยความเสียใจเธออยากจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตานั้น ชายหนุ่มผู้ทระนงในศักดิ์ศรี กล้าหาญและเข้มแข็งไม่ควรร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นแบบนี้แต่อนิจจาหญิงสาวไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะยกแขนขึ้นหญิงสาวหลับตาลงและสิ้นใจไปอย่างสงบในอ้อมกอดของคนรัก
“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มกอดร่างหญิงสาวไว้แน่นไม่ห่างกายน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า ปากพึมพำพูดขอโทษซ้ำๆด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้ เสียงร่ำไห้โหยหวนดังก้องทั่วป่าราวกับคนเสียสติ ชายหนุ่มปาดน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้มของตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจนำร่างของคนรักกลับไปยังเฮือนแก้วด้วยหัวใจที่แตกสลาย และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนานไกรเลือกที่จะออกจากข้าราชการ ตั้งใจจะหาเบาะแสของคนร้ายที่มันทำเรื่องเลว ระยำไว้กับคนรักของเขาและจะต้องชำระแค้นให้สาสมแต่ถ้าเขายังอยู่ในตำแหน่งคุณพระมันจะทำให้ชายหนุ่มทำการบางอย่างไม่สะดวกนักด้วยข้อติดราชการที่จะทำให้ไม่สามารถสืบหาได้เต็มที่ ชายหนุ่มต้องการทำให้เป็นความลับเพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ด้วยความรักใจมั่นคงกับแม่หญิงแสงหล้า หนานไกรจึงปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ขอแตะต้องตัวหรือคิดจะออกเรือนกับแม่หญิงใดในเชียงคำแม้แต่คนเดียว
อีกด้านหนึ่งของป่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว เงาตะคุ่มข้างต้นไม้ค่อยๆก้าวออกมาจากความมืดเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านทั่วไปมีผ้าคลุมสีดำปิดบังใบหน้ายืนอยู่กลางป่าสายตาคอยสอดส่องหาอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า จู่ ๆก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินมาเกาะบนมือที่ยื่นออกไป มีกระดาษมวนเล็กๆที่ผูกติดกับขาของนกตัวนี้ ชายหนุ่มแกะกระดาษออกมาคลี่อ่าน ผ้าคลุมที่เคยอำพลางใบหน้าถูกคลายออก อินทร์แปงแสยะยิ้มมุมปากด้วยความดีใจหลังจากอ่านข้อความในมวนกระดาษก่อนที่จะปล่อยให้นกพิราบตัวนั้นบินกลับไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ