ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  69 วิจารณ์
  3,325 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) อดีตที่ฝังใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           “แม่ล่ะเจ็บใจจริงๆ” สตรีวัยกลางคนในชุดเจ้านางล้านนาแขนกระบอกสีแดงนุ่งซิ่นไหมคำจากราชสำนักไทเขิน เครื่องประดับสีทองตามฐานะสนมเอกของเจ้าหลวงแห่งเชียงคำ

            “ใครบังอาจทำท่านแม่ขุ่นเคืองพระทัยเช่นนี้เจ้าค่า” อินทร์แปงที่กำลังซ่อมยิงธนูอยู่ไม่ไกลกล่าวกับมารดาของตนที่เดินเข้ามาในตำหนักกลางแจ้งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

            “จะใครกัน ก็นางเกตุแก้วกับไอ้อินทร์คำสองแม่ลูกยังไงล่ะ” เจ้าจันทร์ดาราตอบกลับด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเมื่อพูดถึงสองแม่ลูกที่ตนเกลียดนักหนา ตั้งแต่เจ้าหลวงคำยศยกย่องให้เป็นแม่เมืองแทนที่จะเป็นตนทั้ง ๆที่ตามยศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นถึงลูกของเจ้าหลวงแห่งเชียงเงิน ผิดกับอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกอำมาตย์ที่รับใช้เจ้าหลวงองค์ก่อนแต่กลับได้เป็นแม่เมือง อีกทั้งเจ้าอินทร์คำยังเป็นลูกรักของเจ้าหลวงคำยศมากกว่าอินทร์แปงลูกของตน 

            “สองแม่ลูกนั่นเข้าไปประจบเจ้าพ่ออีกตามเคยรึขอรับ” 

            “ก็ใช่หน่ะสิ เจ้าอินทร์แปง ลูกต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะถ้าขืนชักช้าอยู่อย่างนี้เจ้าหลวงคงต้องยกตำแหน่งพระมหาอุปราชให้เจ้าอินทร์คำแน่นอน” เจ้าจันทร์ดาราหันมาพูดกับลูกตนเองที่ซ้อมยิงธนูอยู่

            “ลูกทำแน่ขอรับ ขอแค่รอจังหวะเหมาะๆลูกไม่พลาดแน่”  

            “จะทำอะไรก็รีบทำ แม่ไม่ยอมให้พวกมันเสวยสุขจนเฒ่าตายหรอก”    

            “ลูกก็ไม่ยอมเจ้าค่า” ลูกธนูพุ่งตรงไปปักตรงกลางเป้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว อินทร์แปงเตรียมง้างคันธนูยิงอีกครั้งแต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินผ่านไปยังตำหนักท้ายวัง

            “ไอ้ไกร” อินทร์แปงสบถกับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย  

            “ลูกล่ะเกลียดมันจริงๆ ออกจากข้าหลวงไปเป็นปีๆยังมีหน้ามาเดินในคุ้มหลวงอยู่ได้ทั้ง ๆที่คนนอกอย่างมันไม่มีสิทธิ์เข้ามาเสียด้วยซ้ำ” 

            “จะใครกันล่ะ ก็ไอ้อินทร์คำนั่นไงที่ให้ป้ายหยกกับมันเป็นใบผ่านทางเข้ามาในคุ้มหลวงได้อย่างอิสระไม่รู้ว่าพวกมันกำลังวางแผนกระไรกันอยู่”   

            “ลูกอยากจะฆ่ามันให้ตายตอนนี้นัก” อินทร์แปงกดเสียงต่ำลง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาต คันธนูในมือถูกง้างขึ้นปลายลูกธนูเล็งไปยังเป้าหมายที่เปลี่ยนจากหุ่นฟางเป็นร่างที่กำลังเดินอยู่ไม่ไกลแทน

           

            “เจ้าน้อยเรียกข้าน้อยมามีเรื่องอันใดเจ้าค่า” หนานไกรคุกเข่าลงพนมมือไว้กลางอกแสดงความเคารพต่อหน้าเจ้าอินทร์คำโอรสองค์โตของเจ้าหลวงคำยศแห่งเชียงคำ ร่างของบุรุษที่สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับตามบรรดาศักดิ์นั่งลงบนแท่นไม้สักอย่างดีแกะสลักลวดลายด้วยความประณีตประดับด้วยทองคำและอัญมณีหลากชิ้น  

            “เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำสำเร็จลุล่วงหรือไม่” อินทร์คำเอ่ยปากถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            “เรื่องนั้นข้าน้อยเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่า” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างมั่นใจ

            “ดีแล้ว อ้อ! ข้ามีอีกเรื่องจะถามเจ้า”  

            “เรื่องกระไรเจ้าค่า”

            “ข้าได้ยินมาว่ามีแม่หญิงมาอยู่ที่เฮือนแก้วเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่”

            “ใช่เจ้าค่า” หนานไกรพูดอึกอักคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่แม่หญิงปิ่นมาอาศัยบนเฮือนแก้วจะแพร่กระจายได้รวดเร็วขนาดนี้ ป่านนี้ใครต่อใครคงพูดเรื่องนี้อย่างสนุกปากไปทั่ว

อินทร์คำที่ได้ยินคำตอบถึงกับตบเข่าดังฉาดพร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ

            “ต้องให้ได้แบบนี้สิไอ้ไกร”

            “นางแค่มาขออยู่อาศัยชั่วคราวเจ้าค่า” ชายหนุ่มรีบพูดแก้ตัว

ทั้งหนานไกรและเจ้าอินทร์คำต่างพูดคุยปรึกษาเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันตามประสาคนสนิทกันจวบจนใกล้เวลาที่คุ้มหลวงจะปิดไม่ให้ใครเข้าออก ชายหนุ่มจึงขอเจ้าอินทร์คำลากลับเฮือนแก้ว แต่ในระหว่างทางเดินกลับก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อไล่หลัง

            “เอ็งจะกลับแล้วเหรอวะไอ้ไกร” อินทร์แปงเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีต้องการหาเรื่อง

            “เจ้าอินทร์แปงมีกระไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือเจ้าค่า” ชายหนุ่มลงไปคุกเข่ากับพื้น

            “ไม่มีกระไร ข้าแค่แวะมาทักทายเห็นว่าช่วงนี้เอ็งเข้านอกออกในคุ้มหลวงบ่อยๆ มีเรื่องกระไรรึบอกข้าได้หรือไม่” 

            “ก็แค่คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเจ้าค่าไม่มีกระไรน่าสนใจ” หนานไกรรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าอินทร์แปงอาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบตนเท่าไหร่ที่เลือกอยู่ฝ่ายเจ้าอินทร์คำผู้เป็นศัตรูในการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าอุปราชกับเจ้าอินทร์แปง

            “เอ็งนี่มันซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนายเอ็งเหมือนหมาเลยว่ะ” อินทร์แปงหัวเราะเยาะเย้ยคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาตนเหมือนเมื่อก่อนอย่างหนานไกร อดีตข้าหลวงกินตำแหน่งคุณพระผู้หยิ่งยโสกล้าต่อปากต่อคำกับข้าหลวงขั้นสูงโดยไม่เกรงกลัวอำนาจใดแต่ดูตอนนี้สิกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปเสียได้

            “ถ้าเจ้าอินทร์แปงไม่มีกระไรแล้วข้าน้อยขอตัวเจ้าค่า”   

            “เออ เอ็งก็ไปสิ ข้าขอให้เอ็งเดินทางกลับเฮือนแก้วอย่างปลอดภัย และฝากบอกไอ้อินทร์ผาน้องชายสุดที่รักของข้าด้วยว่าเวลาลักลอบออกจากคุ้มหลวงอย่าให้ข้าจับได้เด็ดขาดไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องเจ้าพ่อให้ลงโทษมันอย่างสาสมกับที่บังอาจละเมิดคำสั่งของเจ้าหลวง”  

            “เจ้าค่า” 

หนานไกรรับคำสั่งรีบเดินออกจากคุ้มหลวงก่อนที่ทหารจะสั่งปิดไม่ให้ใครเข้าออก สายตาที่อินทร์แปงมองชายหนุ่มที่รีบเดินจากไปอย่างแค้นเคือง ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนทำอะไรอยู่ เขาต้องรู้ให้ได้เผื่อว่าจะหาทางขัดขวางแผนการของพวกนั้นไม่ให้ทำสำเร็จเพราะตำแหน่งพระมหาอุปราชจะเป็นบันไดขั้นแรกที่จะช่วยให้เขามีอำนาจเหนือเจ้าอินทร์คำในทุกๆด้าน  

 

สายลมพัดโชยหอบกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกาสะลองผสมกลิ่นดอกแก้วจางๆให้มาเตะจมูกผู้คนยามราตรี คืนนี้ปิ่นตะวันนอนไม่หลับใบหน้าดูเศร้าสร้อยไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนเช้า

หญิงสาวถือโอกาสที่ชุ่มกับแช่มนอนหลับสนิทแอบย่องออกจากห้องนอนมายืนรับลมเย็นบริเวณชานพักเรือน สายลมอ่อนๆพัดเย็นสบายยามค่ำคืนชวนให้หญิงสาวคิดถึงผู้คนและบ้านที่จากมาไม่รู้ว่าคนทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียใจแค่ไหนที่ตามหาตัวเธอไม่เจอโดยเฉพาะแม่ใหญ่ ยิ่งคิดปิ่นตะวันยิ่งเศร้าใจถ้าตอนนี้มันคือความฝันเธอก็อยากจะตื่นเสียที หญิงสาวยืนเหม่อมองพระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าพลางภาวนาในใจขอให้เธอได้กลับบ้านโดยเร็ว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างบุรุษร่างหนึ่งเดินผ่านหญิงสาวไป

            “พี่หนาน” ปิ่นตะวันเรียกชื่อชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่

            “แม่ปิ่น ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ทำไมเจ้ายังไม่เข้านอน” 

            “พอดีฉันนอนไม่หลับเจ้าค่ะก็เลยออกมาเดินเล่น แล้วพี่หนานล่ะคะนอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ” หญิงสาวเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้

            “ข้าจะไปนอนที่เรือนหลังเล็กน่ะ แล้วแม่ปิ่นมีเรื่องกระไรในใจรึถึงทำให้นอนไม่หลับรึ”

            “ฉันคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนๆน้อง ๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ” ปิ่นตะวันพูดพลางถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าคล้ายจะร้องไห้ หนานไกรหยุดนิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่าง

            “แม่หญิงไม่ต้องกังวลข้าสัญญาว่าจะพาแม่หญิงกลับไปให้ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย หญิงสาวนิ่งไปสักครู่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเป็นการตอบกลับ

            “แม่หญิง!! ถ้าแม่หญิงกำลังคุยกับข้าอยู่ แม่หญิงก็ควรมองหน้าข้าไม่ใช่มอง….” สายตาอันเฉี่ยวคมของชายหนุ่มมองต่ำลงมาเรื่อย ๆจนประสานกับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างไม่ละสายตาจนกระทั่งหญิงสาวได้สติจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่น ปิ่นตะวันใบหน้าร้อนผ่าวด้วยอาการเขินอายที่เผลอไปจ้องกล้ามหน้าท้องที่เป็นมัดๆของชายหนุ่มจนลืมตัว ยิ่งคนตรงหน้าสวมแค่กางเกงสะดอ เปลือยท่อนบนและปล่อยผมยาวถึงไหล่โดยไม่มีผ้าโพกหัวดูแล้วก็ดูดีใช้ได้ ถ้าในปัจจุบันก็ขอนิยามว่าเป็นผู้ชายเซอร์ๆ

            ปิ่นตะวันแสร้งทำเป็นง่วงเหงาหาวนอนกลบเกลื่อนเพื่อหาทางกลับเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวแอบย่องขึ้นบนเตียงนอนพลันนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเผลอทำเมื่อสักครู่ ใบหน้าเริ่มมีสีแดงระเรื่อลำตัวบิดไปมาด้วยความเขินอาย  

            “แม่หญิงเป็นกระไรเจ้าหรือว่าถูกผีบ้าเข้าสิงถึงได้พูดคนเดียวเช่นนี้” ชุ่มตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงหญิงสาวพึมพำคุยกับตัวเองอีกทั้งยังเอามือตบแก้มทั้งสองข้างเบาๆ แล้วยังบิดตัวไปมา

            “พี่ชุ่มนอนเถอะจ้ะนี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันง่วง” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักก่อนจะหลับตาลงนอน ชุ่มจึงยื่นมือไปดับไฟในตะเกียงไม้ตรงหัวนอนทันที 

 

แสงไฟจากตะเกียงถูกจุดให้แสงสว่างภายในเรือนไม้สักหลังเล็กที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจนแทบมองไม่เห็นแสงไฟจากเรือนหลังใหญ่ ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนอนที่ถูกปัดกวาดเช็ดถูมาแล้วอย่างดี พลันในหัวนึกย้อนถึงอดีตของเจ้าของเรือนไม้สักหลังนี้ ใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่แววตากลับดูเศร้าสร้อย ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องจดจำทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรือนไม้และใครคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อน 

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนเหตุการณ์ที่เขาไม่มีวันลืมชายหนุ่มควบม้าวิ่งฝ่าความมืดมีเพียงแสงจันทร์ที่นำทางพอให้มองเห็นหัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวราวกลองรบมีสิ่งเดียวที่เขาต้องทำก็คือตามหาคนรักให้เจอและภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงกับแม่หญิงผู้เป็นที่รักของตน ชายหนุ่มตั้งสติพยามมองไปรอบๆป่าเผื่อเจอเบาะแสทันใดนั้นผีพรายที่เลี้ยงไว้ได้กระซิบที่ข้างหูบอกตำแหน่งที่พบเจอแม่หญิง หนานไกรรีบควบม้าไปตามทางที่ผีพรายได้บอกเอาไว้ พอมาถึงสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นตรงหน้าคือร่างของหญิงคนรักนอนซมอยู่กับพื้นร่างกายเปลือยเปล่ามีผ้าซิ่นปกปิดร่างบางเอาไว้หัวใจของเขาตกวูบไปที่ตาตุ่ม ตามตัวมีรอยฟกซ้ำที่เกิดจากการต่อสู้ขัดขืนจึงถูกทำร้าย หนานไกรรีบลงจากหลังม้าตรงปรี่เข้าไปหาร่างบางที่นอนกับพื้นแล้วประคองร่างนั้นให้นอนบนตัก

            “แสงหล้า พี่มาแล้ว พี่มาช่วยเจ้าแล้ว” หนานไกรพูดกับร่างบางที่หายใจรวยรินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  

            “พี่ไกร พี่ไปอยู่ไหนมา” หญิงสาวมองหน้าคนรักน้ำเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะกลืนไปกับสายลม เป็นเพราะร่างกายบาดเจ็บและช้ำในไปทั้งตัวหยดน้ำตาเริ่มไหลรินมาอาบแก้มนวล เปลือกตาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งสายตาพร่ามัวสติเริ่มเลือนราง ภาพสุดท้ายที่หญิงสาวเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับลงคือใบหน้าของชายผู้เป็นคนรักกำลังร่ำไห้ หยดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเต็มไปด้วยความเสียใจเธออยากจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตานั้น ชายหนุ่มผู้ทระนงในศักดิ์ศรี กล้าหาญและเข้มแข็งไม่ควรร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นแบบนี้แต่อนิจจาหญิงสาวไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะยกแขนขึ้นหญิงสาวหลับตาลงและสิ้นใจไปอย่างสงบในอ้อมกอดของคนรัก 

            “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มกอดร่างหญิงสาวไว้แน่นไม่ห่างกายน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า ปากพึมพำพูดขอโทษซ้ำๆด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้ เสียงร่ำไห้โหยหวนดังก้องทั่วป่าราวกับคนเสียสติ ชายหนุ่มปาดน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้มของตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจนำร่างของคนรักกลับไปยังเฮือนแก้วด้วยหัวใจที่แตกสลาย และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนานไกรเลือกที่จะออกจากข้าราชการ ตั้งใจจะหาเบาะแสของคนร้ายที่มันทำเรื่องเลว ระยำไว้กับคนรักของเขาและจะต้องชำระแค้นให้สาสมแต่ถ้าเขายังอยู่ในตำแหน่งคุณพระมันจะทำให้ชายหนุ่มทำการบางอย่างไม่สะดวกนักด้วยข้อติดราชการที่จะทำให้ไม่สามารถสืบหาได้เต็มที่ ชายหนุ่มต้องการทำให้เป็นความลับเพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ด้วยความรักใจมั่นคงกับแม่หญิงแสงหล้า หนานไกรจึงปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ขอแตะต้องตัวหรือคิดจะออกเรือนกับแม่หญิงใดในเชียงคำแม้แต่คนเดียว  

 

            อีกด้านหนึ่งของป่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว เงาตะคุ่มข้างต้นไม้ค่อยๆก้าวออกมาจากความมืดเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านทั่วไปมีผ้าคลุมสีดำปิดบังใบหน้ายืนอยู่กลางป่าสายตาคอยสอดส่องหาอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า จู่ ๆก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินมาเกาะบนมือที่ยื่นออกไป มีกระดาษมวนเล็กๆที่ผูกติดกับขาของนกตัวนี้ ชายหนุ่มแกะกระดาษออกมาคลี่อ่าน ผ้าคลุมที่เคยอำพลางใบหน้าถูกคลายออก อินทร์แปงแสยะยิ้มมุมปากด้วยความดีใจหลังจากอ่านข้อความในมวนกระดาษก่อนที่จะปล่อยให้นกพิราบตัวนั้นบินกลับไป            

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา