ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  92 วิจารณ์
  3,670 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ปิ่นตะวัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
            “สาม สอง หนึ่ง และคัท”  เสียงทุ้มจากชายร่างท้วมที่นั่งเก้าอี้ผู้กำกับอยู่หลังจอมอนิเตอร์ดังผ่านวิทยุสื่อสารที่คนในกองพกติดตัวเอาไว้ เมื่อสิ้นเสียงสั่งการทุกคนที่ทำงานในบริเวณนี้ต่างปรบมือดีใจที่งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนักแสดงและทีมงานต่างพากันเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับที่พักของตน
            ปิ่นตะวัน หญิงสาววัยยี่สิบสองปีกำลังง่วนอยู่กับการถอดเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ในตอนที่เป็นสตั๊นท์แมนให้กับกองถ่ายละครเรื่อง ‘ป่วนหัวใจสายลับสาว’ ปิ่นตะวันเริ่มทำอาชีพเป็นสตั๊นท์ให้กองถ่ายตั้งแต่อายุได้สิบเจ็ดปีเพื่อหาเงินไปจุนเจือครอบครัวของเธอที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านชัย จึงทำให้ปิ่นตะวันมีฝีมือในการต่อสู้หลายแขนง  
            “ปิ่น”  เสียงเรียกที่คุ้นเคย ปรากฏให้เห็นเป็นหญิงวัยสามสิบปลายๆเดินเข้ามาหาปิ่นตะวันที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพร้อมกลับบ้าน
            “นี่จ๊ะ ค่าแรงของวันนี้พร้อมโบนัสปิดกองจ๊ะ”  ซองกระดาษสีขาวที่มีเงินอยู่ข้างในถูกยื่นมาให้ปิ่นตะวัน
            “ขอบคุณค่ะพี่ณิ” ปิ่นตะวันรับซองกระดาษมาพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณหญิงใจดีตรงหน้า 
ณิชากานต์ หรือพี่ณิ ชื่อในวงการที่คนในกองละครเรียกกัน เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ที่ชื่อปิ่นตะวันนี่เหลือเกินทั้งหน้าตาดีและทำงานเก่งไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำยิ่งมารู้ภูมิหลังว่าเติบโตมาจากที่ใดเธอก็ยิ่งรักและเอ็นดูหญิงสาวตัวน้อยที่แข็งแกร่งคนนี้ ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวแต่เป็นคนทั้งกองเลยต่างหาก
            “พี่ณิคะ ถ้าเกิดมีละครเรื่องใหม่แล้วต้องการสตั๊นท์แมนล่ะก็ติดต่อหนูมาได้เลยนะคะ หนูพร้อมเสมอค่ะ” 
            “จ๊ะ ถ้ามีเรื่องหน้าพี่จะติดต่อเราเป็นคนแรกเลย  เออนี่ เราสนใจจะเป็นนางเอกไหมผู้กำกับเขาชอบฝีมือการแสดงของเรามากนะ ถ้าสนใจพี่จะคุยให้ เป็นนางเอกสายบู๊ไง เอาไหม”
            “ขอบคุณค่ะ แต่หน้าตาอย่างหนูนี่จะเป็นนางเอกได้เหรอคะ สงสัยพระเอกของหนูต้องทนลูกเตะลูกถีบแล้วล่ะค่ะ”  ปิ่นตะวันพูดไปพลางเขินไป นึกภาพที่ตัวเองเป็นนางเอกไม่ออก ขอมุ่งแต่เป็นสตั๊นแมนดีกว่า งานเตะ ต่อย ถีบคงจะเหมาะกับเธอมากกว่าเป็นนางเอกหน้ากล้อง 
            “โอ๊ย เรานี่ก็ช่างพูด พี่ไม่คุยด้วยแล้วขอตัวไปจัดการธุระฝั่งนู้นก่อนนะ ถ้าจะกลับบ้านก็ขับรถดีๆล่ะถนนเส้นนี้มีแต่ทางโค้งยิ่งตอนมืดๆแบบนี้ พี่เป็นห่วงกลัวจะเกิดุบัติเหตุ” 
            “ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง ทางโค้งแค่นี้เองจิ๊บๆ หนูของตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” 
   ปิ่นตะวันขอตัวลากลับบ้าน หญิงสาวเดินไปหาวิหคดำรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดไว้ตรงใต้ต้นไม้ หญิงสาวสะพายกระเป๋าเป้ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงเสื้อผ้าสำรองที่เตรียมมาไว้ข้างหลังก่อนจะสวมหมวกกันน็อคและสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับออกไป   ระหว่างทางที่ขับไปถึงโค้งแรก ปิ่นตะวันก็ได้ยินเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ไม่รู้จักแว่วขึ้นมา ท่วงทำนองไพเราะก้องกังวานแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า  ปิ่นตะวันตั้งสติแล้วขับรถต่อไปแต่ในใจก็รู้สึกหวั่นๆกลัวว่าตัวเองจะเจอดีเข้าให้แล้ว 
ใกล้ถึงโค้งสุดท้ายที่จะพาออกไปหาถนนสายใหญ่ ปิ่นตะวันรีบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ให้เร็วพอที่จะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อกลับกินอาหารฝีมือแม่ใหญ่กับเพื่อน พี่ น้อง ในบ้านเด็กกำพร้าให้ทัน 
            ‘ป่านนี้แม่ใหญ่คงเตรียมอาหารไว้รอแล้วมั้ง’ ปิ่นตะวันคิดในใจ สองข้างทางที่ขับรถมาถูกเรียงรายไปด้วยต้นหญ้าที่สูงเลยข้อเท้าไปนิดหน่อย แสงไฟข้างทางสลัวๆยาวตามถนนได้ปรากฏเป็นร่างผู้หญิงสวมเสื้อโบราณแถวภาคเหนือผมถูกเกล้ามวยสูงมีดอกไม้ปักแซมข้างๆ ร่างปริศนายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง เมื่อปิ่นตะวันได้สบตากับผู้หญิงร่างนั้น ความรู้สึกเหมือนโดนสะกดให้จ้องมองดูใบหน้าสะสวยแต่มีแววตาที่เศร้าสร้อยโดยไม่ละสายตาจนกระทั่ง
                                                                                       โครม
เสียงรถมอเตอร์ไซค์ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมทางโค้งพอดี ปิ่นตะวันล้มลงไปกับพื้นตามรถมอเตอร์ไซค์
            “โอ๊ย ทำไมถึงซวยขนาดนี้นะ”  ปิ่นตะวันสบถกับตัวเองก่อนที่จะพยุงตัวให้ลุกขึ้น แม้ว่าจะปวดไปทั้งตัวจากอุบัติเหตุครั้งนี้ ตามตัวมีแค่แผลถลอกตรงฝ่ามือนิดเดียว ในขณะที่ปิ่นตะวันพยายามยกรถมอเตอร์ไซค์ของเธอให้ตั้งตรงจู่ ๆ ก็มีมือปริศนายื่นมาหาเธอ หญิงสาวตกใจรีบหันไปหาเจ้าของมือที่ยื่นมา เป็นหญิงสาวที่โผล่มายืนอยู่ตรงใต้ต้นไม้คนนั้น แถมร่างกายของเธอก็ซีดเผือกราวกับว่าไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง ปิ่นตะวันรีบถอยหนีด้วยความกลัวไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอผีตัวเป็นๆ  เพียงอึดใจเดียวร่างบางที่สั่นเทาด้วยความกลัวตอนนี้กลับมีท่าทีที่สงบเสงี่ยม สีหน้าเรียบเฉย แววตาดูไร้ความรู้สึก ค่อยๆยื่นมือมาจับมือที่ซีดเผือกตรงหน้าดั่งต้องมนต์ หญิงร่างซีดจ้องมองมาที่ร่างไร้วิญญาณของปิ่นตะวันก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญ หญิงสาวพยักหน้าตอบกลับช้าๆ ร่างทั้งสองจับมือกันแล้วเดินหายลับไปท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมร่างทั้งสองเอาไว้
 
            บรรยากาศยามค่ำคืนอันเงียบสงบ ลมพัดโชยอ่อนๆให้พอเย็นสบาย เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องพอฟังรื่นหู คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงจันทร์ส่องสว่างสีเหลืองนวลตา เรือนไม้สักยกพื้นสูงตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขวางมีระเบียงยื่นออกมาจากตัวเรือน ต้นกาสะลองที่ปลูกไว้หน้าเรือนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว คบเพลิงจากสานไม้ไผ่ถูกปักไว้รอบๆเพื่อเป็นแสงสว่าง ผู้คนในเรือนต่างหลับใหลไปตามห้วงรัตติกาลแต่จะมีใครสักคนไหมที่รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางเรือนนี้  
เสียงฝีเท้าเล็กๆก้าวขึ้นมายังเรือนหลังใหญ่ ผู้บุกรุกยามวิกาลคือร่างบางของหญิงสาวที่แต่งตัวประหลาดผิดแปลกไปจากยุคสมัย แววตาที่ไร้ความรู้สึกและสีหน้าเรียบเฉยขาทั้งสองข้างเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่งก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตูแต่ยังไม่ทันได้ผลักออกไป ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกมาจากด้านในเผยให้เห็นเจ้าของห้องที่เป็นชายฉกรรจ์วัยยี่สิบกว่าผมยาวประบ่านุ่งกางเกงสะดอสีเปลือกไม้ เปลือยท่อนบนให้เห็นมัดกล้ามชัดเจน ใบหน้าคมจ้องมองมาที่ผู้บุกรุกคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันครุ่นคิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
           
 
                ร่างหนายืนพิจารณาคนตรงหน้า แม่หญิงผู้นี้เป็นใครกันทำไมถึงแต่งตัวผิดแปลกไปจากแม่หญิงอื่น จะมาจากต่างเมืองรึก็ไม่แน่ นอกจากเชียงเงินและเชียงยอแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นแม่หญิงผู้ใดแต่งตัวแบบนี้ ผมเผ้ายาวแต่ก็ไม่ได้เกล้าผมเหมือนแม่หญิงทั่วไป ชุดที่สวมใส่ก็ประหลาดท่อนบนสวมเสื้อสั้นสีดำทำให้เห็นเอวบางแล้วถูกทับด้วยเสื้อคลุมแข็งๆสีน้ำเงินมีกระดุมโลหะและยังแบกอะไรไม่รู้ที่หลัง ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสีเดียวกับชุดคลุมแต่แปลกที่กางเกงตัวนั้นมันไม่ใช่รูปทรงอย่างที่เขาเคยเห็นและเคยใส่เป็นกางเกงที่ทำให้เห็นสัดส่วนขาเรียวของหญิงสาวชัดเจน รองเท้าที่สวมอยู่ก็แปลกแทนที่จะเป็นรองเท้าแบบหูคีบแต่นี่กลับเป็นรองเท้าที่มีเชือกสีขาวผูกอยู่ตรงกลางคลุมไปจนถึงข้อเท้า 
               “มา หา” เสียงเล็กเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ใบหน้าเรียบเฉยแววตาดูเลื่อนลอยยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยกับท่าทีของเจ้าหล่อน 
               “เจ้ามาหาใคร” เสียงเข้มถามต่อด้วยความสงสัยใบหน้าคมโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อจะได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดได้ชัดๆ
               “มา หา” ยังไม่ทันขาดคำร่างบางที่ไร้จิตวิญญาณก็ฟุบกลางอากาศใบหน้างามโน้มลงแนบชิดกับอกแกร่ง ใบหน้าของคนถูกซบตกตะลึงตาค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้แต่ยืนแข็งทื่อคิดอะไรไม่ออกแต่แขนทั้งสองข้างกลับโอบร่างบางของหญิงสาวเพื่อประคองไม่ให้ล้มอย่างอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองปีตั้งแต่ที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวสตรี และดูตอนนี้สิมีแม่หญิงที่ไหนไม่รู้มาซบอกและตัวเขาเองก็เป็นคนกอดร่างบางนี้ไว้อีกต่างหาก หัวใจที่เต้นรัวราวกับคนตีกลองดังลั่นฟังเสียงได้ชัดเจน เขาควรทำอย่างไรดี 
 แสงแดดยามเช้าของวันใหม่สาดส่องลงมายังเรือนไม้สัก ปิ่นตะวันค่อยๆลืมตาตื่นร่างกายบิดไปซ้ายขวาเพื่อไล่ตัวขี้เกียจและพร้อมตื่นรับวันใหม่ 
              “เฮ้ย” เสียงอุทานดังลั่น ปิ่นตะวันสะดุ้งฮวบรีบลุกขึ้นจากเตียงไม้สักสายตาจ้องมองไปที่บุคคลปริศนาที่จับจ้องมาที่ตัวเธอด้วยทีตื่นตระหนก
              “แม่หญิงตื่นแล้ว” เสียงนุ่มของหญิงมีอายุเอ่ยทักทาย
              “ป้าเป็นใครคะ แล้วที่นี่มันที่ไหน” ปิ่นตะวันถามคนตรงหน้าด้วยความมึนงงไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแถมป้าคนนี้ก็แต่งตัวอย่างกับคนโบราณด้วยผ้าคาดอกสีน้ำตาลอ่อนนุ่งซิ่นยาวหรือว่าเธอหลงเข้ามาในกองถ่ายละครย้อนยุคซักกองหนึ่ง
              “ที่นี่เฮือนแก้วเจ้า” หญิงสูงวัยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกอย่างชัดถ้อยชัดคำสายตาพลันมองไปที่หญิงสาวที่แต่งตัวประหลาดราวกับจะตั้งคำถามว่าแม่หญิงผู้นี้เป็นใครและมาจากไหนก่อนที่จะเอ่ยถามไป
              “แล้วแม่หญิงเป็นใคร มาจากเมืองไหนเจ้า”
ปิ่นตะวันขมวดคิ้วเข้าหากันทำหน้าเหมือนคนสงสัยในประโยคที่ป้าคนนี้พูดกับเธอ ‘พูดอะไรดูโบราณจังสงสัยป้าแกคงอินกับบทละครถึงได้พูดแบบนี้กับเธอ’ ปิ่นตะวันครุ่นคิดในใจก่อนจะพูดออกมา
               “หนูชื่อปิ่นตะวันค่ะ ป้าจะเรียกว่าปิ่นเฉยๆก็ได้ หนูพึ่งถ่ายละครเสร็จว่าจะกลับอยุธยาค่ะ แล้วป้าเห็นรถมอเตอร์ไซค์หนูไหมค่ะ”  คนฟังทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด
               “เออ อยุธยา ป้าไม่รู้จักเจ้า รู้จักแต่เชียงเงิน เชียงยอและก็เชียงคำเจ้า”  
               “ป้าอย่ามาอำหนูเล่นนะ หรือว่ามีกล้องซ่อนอยู่ นี่กำลังถ่ายรายการแกล้งคนอยู่ใช่ไหมคะ” ปิ่นตะวันพูดพลางสอดส่องสายตาหากล้องตัวจิ๋วที่อาจซ่อนอยู่ไว้ตามมุมต่างๆของห้องนี้
               “แม่หญิงพูดกระไรป้าไม่เข้าใจเจ้า” หญิงสูงวัยทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะห้ามไม่ให้หญิงสาวรื้อข้าวของเพื่อหาบางอย่างที่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร อีกใจหนึ่งก็เริ่มปักใจเชื่อแล้วว่าแม่หญิงผู้นี้อาจเป็นคนเสียสติหลงเข้ามาทั้งคำพูด ท่าทางและการแต่งตัว ไม่เหมือนแม่หญิงคนใดเลย
 
                                                                                  “ไม่จบใช่ไหม ได้”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา