ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  69 วิจารณ์
  3,331 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ปิ่นตะวัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “สาม สอง หนึ่ง และคัท”  เสียงทุ้มจากชายร่างท้วมที่นั่งเก้าอี้ผู้กำกับอยู่หลังจอมอนิเตอร์ดังผ่านวิทยุสื่อสารที่คนในกองพกติดตัวเอาไว้ เมื่อสิ้นเสียงสั่งการทุกคนที่ทำงานในบริเวณนี้ต่างปรบมือดีใจที่งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนักแสดงและทีมงานต่างพากันเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับที่พักของตน

            ปิ่นตะวัน หญิงสาววัยยี่สิบสองปีกำลังง่วนอยู่กับการถอดเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ในตอนที่เป็นสตั๊นท์แมนให้กับกองถ่ายละครเรื่อง ‘ป่วนหัวใจสายลับสาว’ ปิ่นตะวันเริ่มทำอาชีพเป็นสตั๊นท์ให้กองถ่ายตั้งแต่อายุได้สิบเจ็ดปีเพื่อหาเงินไปจุนเจือครอบครัวของเธอที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านชัย จึงทำให้ปิ่นตะวันมีฝีมือในการต่อสู้หลายแขนง  

            “ปิ่น”  เสียงเรียกที่คุ้นเคย ปรากฏให้เห็นเป็นหญิงวัยสามสิบปลายๆเดินเข้ามาหาปิ่นตะวันที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพร้อมกลับบ้าน

            “นี่จ๊ะ ค่าแรงของวันนี้พร้อมโบนัสปิดกองจ๊ะ”  ซองกระดาษสีขาวที่มีเงินอยู่ข้างในถูกยื่นมาให้ปิ่นตะวัน

            “ขอบคุณค่ะพี่ณิ” ปิ่นตะวันรับซองกระดาษมาพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณหญิงใจดีตรงหน้า 

ณิชากานต์ หรือพี่ณิ ชื่อในวงการที่คนในกองละครเรียกกัน เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ที่ชื่อปิ่นตะวันนี่เหลือเกินทั้งหน้าตาดีและทำงานเก่งไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำยิ่งมารู้ภูมิหลังว่าเติบโตมาจากที่ใดเธอก็ยิ่งรักและเอ็นดูหญิงสาวตัวน้อยที่แข็งแกร่งคนนี้ ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวแต่เป็นคนทั้งกองเลยต่างหาก

            “พี่ณิคะ ถ้าเกิดมีละครเรื่องใหม่แล้วต้องการสตั๊นท์แมนล่ะก็ติดต่อหนูมาได้เลยนะคะ หนูพร้อมเสมอค่ะ” 

            “จ๊ะ ถ้ามีเรื่องหน้าพี่จะติดต่อเราเป็นคนแรกเลย  เออนี่ เราสนใจจะเป็นนางเอกไหมผู้กำกับเขาชอบฝีมือการแสดงของเรามากนะ ถ้าสนใจพี่จะคุยให้ เป็นนางเอกสายบู๊ไง เอาไหม”

            “ขอบคุณค่ะ แต่หน้าตาอย่างหนูนี่จะเป็นนางเอกได้เหรอคะ สงสัยพระเอกของหนูต้องทนลูกเตะลูกถีบแล้วล่ะค่ะ”  ปิ่นตะวันพูดไปพลางเขินไป นึกภาพที่ตัวเองเป็นนางเอกไม่ออก ขอมุ่งแต่เป็นสตั๊นแมนดีกว่า งานเตะ ต่อย ถีบคงจะเหมาะกับเธอมากกว่าเป็นนางเอกหน้ากล้อง 

            “โอ๊ย เรานี่ก็ช่างพูด พี่ไม่คุยด้วยแล้วขอตัวไปจัดการธุระฝั่งนู้นก่อนนะ ถ้าจะกลับบ้านก็ขับรถดีๆล่ะถนนเส้นนี้มีแต่ทางโค้งยิ่งตอนมืดๆแบบนี้ พี่เป็นห่วงกลัวจะเกิดุบัติเหตุ” 

            “ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง ทางโค้งแค่นี้เองจิ๊บๆ หนูของตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” 

   ปิ่นตะวันขอตัวลากลับบ้าน หญิงสาวเดินไปหาวิหคดำรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดไว้ตรงใต้ต้นไม้ หญิงสาวสะพายกระเป๋าเป้ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงเสื้อผ้าสำรองที่เตรียมมาไว้ข้างหลังก่อนจะสวมหมวกกันน็อคและสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับออกไป   ระหว่างทางที่ขับไปถึงโค้งแรก ปิ่นตะวันก็ได้ยินเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ไม่รู้จักแว่วขึ้นมา ท่วงทำนองไพเราะก้องกังวานแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า  ปิ่นตะวันตั้งสติแล้วขับรถต่อไปแต่ในใจก็รู้สึกหวั่นๆกลัวว่าตัวเองจะเจอดีเข้าให้แล้ว 

ใกล้ถึงโค้งสุดท้ายที่จะพาออกไปหาถนนสายใหญ่ ปิ่นตะวันรีบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ให้เร็วพอที่จะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อกลับกินอาหารฝีมือแม่ใหญ่กับเพื่อน พี่ น้อง ในบ้านเด็กกำพร้าให้ทัน 

            ‘ป่านนี้แม่ใหญ่คงเตรียมอาหารไว้รอแล้วมั้ง’ ปิ่นตะวันคิดในใจ สองข้างทางที่ขับรถมาถูกเรียงรายไปด้วยต้นหญ้าที่สูงเลยข้อเท้าไปนิดหน่อย แสงไฟข้างทางสลัวๆยาวตามถนนได้ปรากฏเป็นร่างผู้หญิงสวมเสื้อโบราณแถวภาคเหนือผมถูกเกล้ามวยสูงมีดอกไม้ปักแซมข้างๆ ร่างปริศนายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง เมื่อปิ่นตะวันได้สบตากับผู้หญิงร่างนั้น ความรู้สึกเหมือนโดนสะกดให้จ้องมองดูใบหน้าสะสวยแต่มีแววตาที่เศร้าสร้อยโดยไม่ละสายตาจนกระทั่ง

                                                                                       โครม

เสียงรถมอเตอร์ไซค์ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมทางโค้งพอดี ปิ่นตะวันล้มลงไปกับพื้นตามรถมอเตอร์ไซค์

            “โอ๊ย ทำไมถึงซวยขนาดนี้นะ”  ปิ่นตะวันสบถกับตัวเองก่อนที่จะพยุงตัวให้ลุกขึ้น แม้ว่าจะปวดไปทั้งตัวจากอุบัติเหตุครั้งนี้ ตามตัวมีแค่แผลถลอกตรงฝ่ามือนิดเดียว ในขณะที่ปิ่นตะวันพยายามยกรถมอเตอร์ไซค์ของเธอให้ตั้งตรงจู่ ๆ ก็มีมือปริศนายื่นมาหาเธอ หญิงสาวตกใจรีบหันไปหาเจ้าของมือที่ยื่นมา เป็นหญิงสาวที่โผล่มายืนอยู่ตรงใต้ต้นไม้คนนั้น แถมร่างกายของเธอก็ซีดเผือกราวกับว่าไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง ปิ่นตะวันรีบถอยหนีด้วยความกลัวไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอผีตัวเป็นๆ  เพียงอึดใจเดียวร่างบางที่สั่นเทาด้วยความกลัวตอนนี้กลับมีท่าทีที่สงบเสงี่ยม สีหน้าเรียบเฉย แววตาดูไร้ความรู้สึก ค่อยๆยื่นมือมาจับมือที่ซีดเผือกตรงหน้าดั่งต้องมนต์ หญิงร่างซีดจ้องมองมาที่ร่างไร้วิญญาณของปิ่นตะวันก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญ หญิงสาวพยักหน้าตอบกลับช้าๆ ร่างทั้งสองจับมือกันแล้วเดินหายลับไปท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมร่างทั้งสองเอาไว้

 

            บรรยากาศยามค่ำคืนอันเงียบสงบ ลมพัดโชยอ่อนๆให้พอเย็นสบาย เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องพอฟังรื่นหู คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงจันทร์ส่องสว่างสีเหลืองนวลตา เรือนไม้สักยกพื้นสูงตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขวางมีระเบียงยื่นออกมาจากตัวเรือน ต้นกาสะลองที่ปลูกไว้หน้าเรือนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว คบเพลิงจากสานไม้ไผ่ถูกปักไว้รอบๆเพื่อเป็นแสงสว่าง ผู้คนในเรือนต่างหลับใหลไปตามห้วงรัตติกาลแต่จะมีใครสักคนไหมที่รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางเรือนนี้  

เสียงฝีเท้าเล็กๆก้าวขึ้นมายังเรือนหลังใหญ่ ผู้บุกรุกยามวิกาลคือร่างบางของหญิงสาวที่แต่งตัวประหลาดผิดแปลกไปจากยุคสมัย แววตาที่ไร้ความรู้สึกและสีหน้าเรียบเฉยขาทั้งสองข้างเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่งก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตูแต่ยังไม่ทันได้ผลักออกไป ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกมาจากด้านในเผยให้เห็นเจ้าของห้องที่เป็นชายฉกรรจ์วัยยี่สิบกว่าผมยาวประบ่านุ่งกางเกงสะดอสีเปลือกไม้ เปลือยท่อนบนให้เห็นมัดกล้ามชัดเจน ใบหน้าคมจ้องมองมาที่ผู้บุกรุกคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันครุ่นคิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า

           

 

                ร่างหนายืนพิจารณาคนตรงหน้า แม่หญิงผู้นี้เป็นใครกันทำไมถึงแต่งตัวผิดแปลกไปจากแม่หญิงอื่น จะมาจากต่างเมืองรึก็ไม่แน่ นอกจากเชียงเงินและเชียงยอแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นแม่หญิงผู้ใดแต่งตัวแบบนี้ ผมเผ้ายาวแต่ก็ไม่ได้เกล้าผมเหมือนแม่หญิงทั่วไป ชุดที่สวมใส่ก็ประหลาดท่อนบนสวมเสื้อสั้นสีดำทำให้เห็นเอวบางแล้วถูกทับด้วยเสื้อคลุมแข็งๆสีน้ำเงินมีกระดุมโลหะและยังแบกอะไรไม่รู้ที่หลัง ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสีเดียวกับชุดคลุมแต่แปลกที่กางเกงตัวนั้นมันไม่ใช่รูปทรงอย่างที่เขาเคยเห็นและเคยใส่เป็นกางเกงที่ทำให้เห็นสัดส่วนขาเรียวของหญิงสาวชัดเจน รองเท้าที่สวมอยู่ก็แปลกแทนที่จะเป็นรองเท้าแบบหูคีบแต่นี่กลับเป็นรองเท้าที่มีเชือกสีขาวผูกอยู่ตรงกลางคลุมไปจนถึงข้อเท้า 

               “มา หา” เสียงเล็กเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ใบหน้าเรียบเฉยแววตาดูเลื่อนลอยยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยกับท่าทีของเจ้าหล่อน 

               “เจ้ามาหาใคร” เสียงเข้มถามต่อด้วยความสงสัยใบหน้าคมโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อจะได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดได้ชัดๆ

               “มา หา” ยังไม่ทันขาดคำร่างบางที่ไร้จิตวิญญาณก็ฟุบกลางอากาศใบหน้างามโน้มลงแนบชิดกับอกแกร่ง ใบหน้าของคนถูกซบตกตะลึงตาค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้แต่ยืนแข็งทื่อคิดอะไรไม่ออกแต่แขนทั้งสองข้างกลับโอบร่างบางของหญิงสาวเพื่อประคองไม่ให้ล้มอย่างอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองปีตั้งแต่ที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวสตรี และดูตอนนี้สิมีแม่หญิงที่ไหนไม่รู้มาซบอกและตัวเขาเองก็เป็นคนกอดร่างบางนี้ไว้อีกต่างหาก หัวใจที่เต้นรัวราวกับคนตีกลองดังลั่นฟังเสียงได้ชัดเจน เขาควรทำอย่างไรดี 

 แสงแดดยามเช้าของวันใหม่สาดส่องลงมายังเรือนไม้สัก ปิ่นตะวันค่อยๆลืมตาตื่นร่างกายบิดไปซ้ายขวาเพื่อไล่ตัวขี้เกียจและพร้อมตื่นรับวันใหม่ 

              “เฮ้ย” เสียงอุทานดังลั่น ปิ่นตะวันสะดุ้งฮวบรีบลุกขึ้นจากเตียงไม้สักสายตาจ้องมองไปที่บุคคลปริศนาที่จับจ้องมาที่ตัวเธอด้วยทีตื่นตระหนก

              “แม่หญิงตื่นแล้ว” เสียงนุ่มของหญิงมีอายุเอ่ยทักทาย

              “ป้าเป็นใครคะ แล้วที่นี่มันที่ไหน” ปิ่นตะวันถามคนตรงหน้าด้วยความมึนงงไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแถมป้าคนนี้ก็แต่งตัวอย่างกับคนโบราณด้วยผ้าคาดอกสีน้ำตาลอ่อนนุ่งซิ่นยาวหรือว่าเธอหลงเข้ามาในกองถ่ายละครย้อนยุคซักกองหนึ่ง

              “ที่นี่เฮือนแก้วเจ้า” หญิงสูงวัยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกอย่างชัดถ้อยชัดคำสายตาพลันมองไปที่หญิงสาวที่แต่งตัวประหลาดราวกับจะตั้งคำถามว่าแม่หญิงผู้นี้เป็นใครและมาจากไหนก่อนที่จะเอ่ยถามไป

              “แล้วแม่หญิงเป็นใคร มาจากเมืองไหนเจ้า”

ปิ่นตะวันขมวดคิ้วเข้าหากันทำหน้าเหมือนคนสงสัยในประโยคที่ป้าคนนี้พูดกับเธอ ‘พูดอะไรดูโบราณจังสงสัยป้าแกคงอินกับบทละครถึงได้พูดแบบนี้กับเธอ’ ปิ่นตะวันครุ่นคิดในใจก่อนจะพูดออกมา

               “หนูชื่อปิ่นตะวันค่ะ ป้าจะเรียกว่าปิ่นเฉยๆก็ได้ หนูพึ่งถ่ายละครเสร็จว่าจะกลับอยุธยาค่ะ แล้วป้าเห็นรถมอเตอร์ไซค์หนูไหมค่ะ”  คนฟังทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด

               “เออ อยุธยา ป้าไม่รู้จักเจ้า รู้จักแต่เชียงเงิน เชียงยอและก็เชียงคำเจ้า”  

               “ป้าอย่ามาอำหนูเล่นนะ หรือว่ามีกล้องซ่อนอยู่ นี่กำลังถ่ายรายการแกล้งคนอยู่ใช่ไหมคะ” ปิ่นตะวันพูดพลางสอดส่องสายตาหากล้องตัวจิ๋วที่อาจซ่อนอยู่ไว้ตามมุมต่างๆของห้องนี้

               “แม่หญิงพูดกระไรป้าไม่เข้าใจเจ้า” หญิงสูงวัยทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะห้ามไม่ให้หญิงสาวรื้อข้าวของเพื่อหาบางอย่างที่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร อีกใจหนึ่งก็เริ่มปักใจเชื่อแล้วว่าแม่หญิงผู้นี้อาจเป็นคนเสียสติหลงเข้ามาทั้งคำพูด ท่าทางและการแต่งตัว ไม่เหมือนแม่หญิงคนใดเลย

 

                                                                                  “ไม่จบใช่ไหม ได้”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา