นทีสีรุ้ง (NC 25 ++)
-
เขียนโดย Porzor
วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 21.40 น.
7 บท
54 วิจารณ์
5,147 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 21.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) แสงสว่างในยามที่มืดมิดที่สุด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
แสงสว่างในยามที่มืดมิดที่สุด
ในวันฝนตกหนักเมื่อ 8 ปีก่อน
ครอบครัวชัยจินดากุล ที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ และเด็กหญิงตัวเล็กกำลังเดินทางกลับจากการฉลองวันเกิดครบรอบ 15 ปีของลูกสาวเพียงคนเดียวจากเชียงใหม่ โดยคนเป็นพ่อประจำตำแหน่งคนขับ มีคนเป็นแม่นั่งข้างๆ และเจ้าของวันเกิดที่นั่งด้านหลังฝั่งคนขับ เด็กหญิงกำลังฮัมเพลงเบาๆ มองบรรยากาศรอบๆ ตัวรถอย่างอารมณ์ดี
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เนื่องจากต้องขับฝ่าฝนที่กำลังตกหนัก ถนนลื่นจนคนเป็นพ่อประครองรถเอาไว้ไม่อยู่ รถที่กำลังเข้าโค้งเสียหลักหมุนคว้างหลังจากที่คนขับพยายามเบรก ทำให้รถเสียหลักไปชนไหล่ทางแล้วพลิกคว่ำทันที
เอี๊ยด ตึ่งงง โครมมมมมม!!!!!!!!
รถ Alphard ที่ขับตามหลังมาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ลุงชัยคนขับรถ คุณนับดาว และคุณปราชญ์รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยผู้ประสบเหตุทันที สภาพรถพังยับ หน้ารถยุบเข้ามาจนถึงห้องโดยสารฝั่งหน้า ทำให้ผู้โดยสารทั้งสองที่นั่งด้านหน้าเสียชีวิตคาที่ในที่เกิดเหตุทันที
ครื้นน น น เปรี้ยงงงง งง!!!!
ฝนมากมายกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักเหมือนตกลงมาเพื่อชะล้างคราบเลือดในที่เกิดเหตุ คุณท่านทั้งสองสลดใจเป็นอย่างมากกับภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ก็ต้องตัดใจหันหลังเดินกลับมาที่รถของตนหลังจากที่รู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
เพราะถ้าอยู่ต่อตนอาจจะขัดขวางการเข้าช่วยเหลือของกู้ภัย คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ยังไม่ทันเดินถึงตัวรถดี ก็สวนทางเข้ากับลูกชายที่กำลังวิ่งไปที่รถคันที่ประสบเหตุ
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปฝั่งด้านหลังคนขับ พยายามงัดประตูเพื่อนำอีกร่างออกมาจากรถ
“ช่วยด้วยครับ! ตรงนี้ยังมีเด็กติดอยู่อีกคน!” ร่างสูงตะเบ็งเสียงเรียก จนเจ้าหน้าที่ทุกท่านในที่เกิดเหตุต้องวางมือจากทุกอย่างแล้วรีบรุดเข้ามาช่วยชายหนุ่ม
ทุกคนต่างก็แปลกใจเพราะไม่มีใครมองเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยเลยตั้งแต่แรก แต่ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้มองเห็นเธอทั้งที่เขานั่งอยู่บนรถด้านหลังอีกคัน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณห้าร้อยเมตรได้
หลังจากที่พยายามงัดอยู่สักพัก ประตูรถก็เปิดออก เด็กหญิงที่ได้รับบาดเจ็บจนแทบครองสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แต่กลับจำใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตเธอได้อย่างแม่นยำ เขาเปรียบเสมือนแสงสว่างในยามที่มืดมิดที่สุดในเวลานี้
“ได้โปรด ช่วย ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วย ชะ ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วย” ร่างเล็กบีบมือร่างสูงแน่น เสียงแผ่วเบาที่พยายามเปล่งคำพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ออกมาก่อนที่จะหมดสติไป ชายหนุ่มกำชับมือเธอแล้วเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เลือดมากมายเริ่มไหลจากศีรษะลงมาจนเปราะเปื้อนใบหน้าขาวซีด
ชายหนุ่มตัดสินใจอุ้มเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน สองขายาวเดินกึ่งวิ่งพาร่างเล็กไปที่รถโรงพยาบาลที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก หากแต่ร่างเล็กที่หมดสติไปแล้ว ไม่ได้ปล่อยมือร่างสูงเลยแม้แต่นิด ราวกับว่าเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเธอแค่เพียงคนเดียวในยามนี้ ไม่มีเวลาเหลือพอให้ร่างสูงตัดสินใจแล้ว หากช้ากว่านี้เด็กคนนี้ไม่รอดแน่!
“คุณแม่คุณพ่อครับ ผมจะไปโรงพยายาบาลกับน้อง ขับตามมานะครับ” เสียงทุ้มของร่างสูงกล่าวขึ้น ก่อนที่ประตูหลังรถจะถูกปิดลง ตัวรถวิ่งออกไปจุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในละแวกนั้น
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดึงสติร่างบางที่กำลังยืนคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวให้กลับมา
“คุณรุ้งคะ คุณท่านให้ขึ้นมาตามไปทานอาหารค่ะ” เสียงเรียกของเด็กรับใช้ในบ้านดังขึ้นหน้าประตู
“เดี๋ยวรุ้งรีบลงไปค่า” ร่างบางตอบรับ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วรีบตามลงไป
หลังจากลงมาถึงโต๊ะอาหาร ทอรุ้งรับรู้ได้ถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตรมากนักจากร่างสูง แต่ก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจอะไร รีบเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง แล้วก้มหน้างุดทันทีเพราะกลัวใครจะสังเกตเห็นรอยช้ำบนดวงตาของตน รวมไปถึงไม่อยากให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารนี้ต้องคอยนาน
“หนูรุ้งมาแล้ว ถ้างั้นตักข้าวได้เลยจ้ะ” คุณนับดาวหันไปบอกกับเด็กรับใช้ในบ้านที่ยืนถือโถใส่ข้าวอยู่ไม่ห่าง
“แหม ดีจังเลยนะคะวันนี้ตาทีกลับมา ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที” คุณหญิงพูดขึ้น หลังจากความเงียบเริ่มครอบคลุมทั่วโต๊ะอาหาร
“ดีครับ แต่จะดีกว่านี้นะครับ ถ้าระตีนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ แทนที่จะเป็นคนอื่น” ร่างสูงพูดตอบกลับมาพร้อมกับสายตาคมที่จ้องเขม็งไปยังบุคคลที่ตนต้องการจะสื่อว่าเป็น “คนอื่น” ทุกคนได้ยินอย่างนั้นต่างก็ขยับตัวเล็กน้อยอย่างลำบากใจ โดยเฉพาะทอรุ้งที่นั่งอยู่ด้วยตรงนั้น
“ตาที! อย่าเสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร” คุณปราชญ์ปรามลูกชายเสียงดุ “ทานข้าวกันได้แล้ว อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระอยู่เลย” จากนั้นทุกคนจึงลงมือทานอาหารกันได้ตามปกติ
“อื้มมมม ปลาราดพริก กับแกงส้มยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับนม นมเนี่ยฝีมือไม่ตกเลยนะครับ” นทีกล่าวชมออกมาตามที่รู้สึกจริงๆ ไม่ได้คิดจะเอาใจนมแจ่มแต่อย่างใด เพียงเท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มจางๆ จากมุมปากบางของทอรุ้งได้ทันที เพราะอาหารทุกจานบนโต๊ะวันนี้ ล้วนเป็นฝีมือของร่างบางที่ตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือตลอดบ่ายที่ผ่านมา
“เอ่อ คือจริงๆ คุณทอ”
“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะคะคุณที นมแจ่มตั้งใจทำตลอดทั้งบ่ายเลยค่ะ” ทอรุ้งรีบพูดขึ้นก่อนที่นมแจ่มจะบอกร่างสูงว่าใครเป็นคนทำอาหารบนโต๊ะนี้ เธอกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าใครเป็นคนทำพาลจะทำให้ร่างสูงไม่เจริญอาหาร
“ใครถามเธอ? ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องทานเยอะๆ ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันหรอก!” ร่างสูงกล่าววาจาเชือดเฉือนออกมาอีกรอบ
ร่างบางทำได้แค่ซ่อนความเสียใจไว้บนใบหน้าเรียบเฉย แล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นอะไร ในใจนึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อตอนเย็นได้ร้องไห้ระบายออกไปแล้วบ้าง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะร้องไห้บนโต๊ะตอนนี้เลยก็เป็นได้
“รุ้งกินเยอะๆ นะ ทำไมผอมแบบนี้เนี่ย” นุดีที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ ตักปลาราดพริกไปวางบนจานของร่างบางแทนคำปลอบใจหลังจากเห็นการกระทำของพี่ชายตนเอง แล้วเท่าที่สังเกตดีๆ เธอก็พอเห็นร่องรอยความเสียใจที่ปรากฎบนใต้ตาช้ำแดงก่ำของทอรุ้งในตอนนี้ ‘แอบร้องไห้สินะยัยรุ้ง’ นุดีคิดในใจ
“พี่ชายก็เหมือนกันนะคะ ถ้าพูดจากันดีๆ ไม่ได้ น้องขอได้ไหมคะ? ไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกเลยจะดีกว่า” นุดีหันไปพูดกับร่างสูงที่ตั้งหน้าตั้งตาทานอย่างไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ตนกล่าวออกไปเมื่อสักครู่
“น้องไปบอกอีกคนเถอะ เพราะพี่ไม่ได้พูดกับเขาสักหน่อย แต่เขามาตอบพี่เองทำไม” นุดีถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอากับคำตอบที่ได้รับจากพี่ชายตัวดี
“เห้อ พูดกับพี่ชายไปก็เท่านั้น ระวังนะคะ วันไหนที่รู้ความจริงพี่ชายจะเสียใจ แล้วมันจะสายเกินไปจนแก้อะไรไม่ทัน” คนเป็นน้องพูดเตือนออกมาอย่างเป็นห่วงพี่ชายของตน
“เรื่องจริงเรื่องเดียวเลยคือผู้หญิงคนนั้นฆ่าระตี!” ร่างสูงตะหวาดเสียงดังแล้วชี้ไปที่ทอรุ้ง
“ขอตัวก่อนนะครับ ผมทานอะไรไม่ลง!” ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวพรวดขึ้นห้องตัวเองทันทีหลังจากพูดจบ
------------------------------------
ไอ้พี่ทีคนเอาแต่ใจเอ้ย! พอซอให้พี่เขาได้ใจไปก่อนนะคะ เดี๋ยวรอน้องรุ้งของเราเอาคืนให้สาสม! ฝากติดตามนทีสีรุ้งด้วยนะคะ
แสงสว่างในยามที่มืดมิดที่สุด
ในวันฝนตกหนักเมื่อ 8 ปีก่อน
ครอบครัวชัยจินดากุล ที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ และเด็กหญิงตัวเล็กกำลังเดินทางกลับจากการฉลองวันเกิดครบรอบ 15 ปีของลูกสาวเพียงคนเดียวจากเชียงใหม่ โดยคนเป็นพ่อประจำตำแหน่งคนขับ มีคนเป็นแม่นั่งข้างๆ และเจ้าของวันเกิดที่นั่งด้านหลังฝั่งคนขับ เด็กหญิงกำลังฮัมเพลงเบาๆ มองบรรยากาศรอบๆ ตัวรถอย่างอารมณ์ดี
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เนื่องจากต้องขับฝ่าฝนที่กำลังตกหนัก ถนนลื่นจนคนเป็นพ่อประครองรถเอาไว้ไม่อยู่ รถที่กำลังเข้าโค้งเสียหลักหมุนคว้างหลังจากที่คนขับพยายามเบรก ทำให้รถเสียหลักไปชนไหล่ทางแล้วพลิกคว่ำทันที
เอี๊ยด ตึ่งงง โครมมมมมม!!!!!!!!
รถ Alphard ที่ขับตามหลังมาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ลุงชัยคนขับรถ คุณนับดาว และคุณปราชญ์รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยผู้ประสบเหตุทันที สภาพรถพังยับ หน้ารถยุบเข้ามาจนถึงห้องโดยสารฝั่งหน้า ทำให้ผู้โดยสารทั้งสองที่นั่งด้านหน้าเสียชีวิตคาที่ในที่เกิดเหตุทันที
ครื้นน น น เปรี้ยงงงง งง!!!!
ฝนมากมายกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักเหมือนตกลงมาเพื่อชะล้างคราบเลือดในที่เกิดเหตุ คุณท่านทั้งสองสลดใจเป็นอย่างมากกับภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ก็ต้องตัดใจหันหลังเดินกลับมาที่รถของตนหลังจากที่รู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
เพราะถ้าอยู่ต่อตนอาจจะขัดขวางการเข้าช่วยเหลือของกู้ภัย คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ยังไม่ทันเดินถึงตัวรถดี ก็สวนทางเข้ากับลูกชายที่กำลังวิ่งไปที่รถคันที่ประสบเหตุ
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปฝั่งด้านหลังคนขับ พยายามงัดประตูเพื่อนำอีกร่างออกมาจากรถ
“ช่วยด้วยครับ! ตรงนี้ยังมีเด็กติดอยู่อีกคน!” ร่างสูงตะเบ็งเสียงเรียก จนเจ้าหน้าที่ทุกท่านในที่เกิดเหตุต้องวางมือจากทุกอย่างแล้วรีบรุดเข้ามาช่วยชายหนุ่ม
ทุกคนต่างก็แปลกใจเพราะไม่มีใครมองเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยเลยตั้งแต่แรก แต่ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้มองเห็นเธอทั้งที่เขานั่งอยู่บนรถด้านหลังอีกคัน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณห้าร้อยเมตรได้
หลังจากที่พยายามงัดอยู่สักพัก ประตูรถก็เปิดออก เด็กหญิงที่ได้รับบาดเจ็บจนแทบครองสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แต่กลับจำใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตเธอได้อย่างแม่นยำ เขาเปรียบเสมือนแสงสว่างในยามที่มืดมิดที่สุดในเวลานี้
“ได้โปรด ช่วย ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วย ชะ ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วย” ร่างเล็กบีบมือร่างสูงแน่น เสียงแผ่วเบาที่พยายามเปล่งคำพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ออกมาก่อนที่จะหมดสติไป ชายหนุ่มกำชับมือเธอแล้วเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เลือดมากมายเริ่มไหลจากศีรษะลงมาจนเปราะเปื้อนใบหน้าขาวซีด
ชายหนุ่มตัดสินใจอุ้มเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน สองขายาวเดินกึ่งวิ่งพาร่างเล็กไปที่รถโรงพยาบาลที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก หากแต่ร่างเล็กที่หมดสติไปแล้ว ไม่ได้ปล่อยมือร่างสูงเลยแม้แต่นิด ราวกับว่าเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเธอแค่เพียงคนเดียวในยามนี้ ไม่มีเวลาเหลือพอให้ร่างสูงตัดสินใจแล้ว หากช้ากว่านี้เด็กคนนี้ไม่รอดแน่!
“คุณแม่คุณพ่อครับ ผมจะไปโรงพยายาบาลกับน้อง ขับตามมานะครับ” เสียงทุ้มของร่างสูงกล่าวขึ้น ก่อนที่ประตูหลังรถจะถูกปิดลง ตัวรถวิ่งออกไปจุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในละแวกนั้น
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดึงสติร่างบางที่กำลังยืนคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวให้กลับมา
“คุณรุ้งคะ คุณท่านให้ขึ้นมาตามไปทานอาหารค่ะ” เสียงเรียกของเด็กรับใช้ในบ้านดังขึ้นหน้าประตู
“เดี๋ยวรุ้งรีบลงไปค่า” ร่างบางตอบรับ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วรีบตามลงไป
หลังจากลงมาถึงโต๊ะอาหาร ทอรุ้งรับรู้ได้ถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตรมากนักจากร่างสูง แต่ก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจอะไร รีบเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง แล้วก้มหน้างุดทันทีเพราะกลัวใครจะสังเกตเห็นรอยช้ำบนดวงตาของตน รวมไปถึงไม่อยากให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารนี้ต้องคอยนาน
“หนูรุ้งมาแล้ว ถ้างั้นตักข้าวได้เลยจ้ะ” คุณนับดาวหันไปบอกกับเด็กรับใช้ในบ้านที่ยืนถือโถใส่ข้าวอยู่ไม่ห่าง
“แหม ดีจังเลยนะคะวันนี้ตาทีกลับมา ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที” คุณหญิงพูดขึ้น หลังจากความเงียบเริ่มครอบคลุมทั่วโต๊ะอาหาร
“ดีครับ แต่จะดีกว่านี้นะครับ ถ้าระตีนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ แทนที่จะเป็นคนอื่น” ร่างสูงพูดตอบกลับมาพร้อมกับสายตาคมที่จ้องเขม็งไปยังบุคคลที่ตนต้องการจะสื่อว่าเป็น “คนอื่น” ทุกคนได้ยินอย่างนั้นต่างก็ขยับตัวเล็กน้อยอย่างลำบากใจ โดยเฉพาะทอรุ้งที่นั่งอยู่ด้วยตรงนั้น
“ตาที! อย่าเสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร” คุณปราชญ์ปรามลูกชายเสียงดุ “ทานข้าวกันได้แล้ว อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระอยู่เลย” จากนั้นทุกคนจึงลงมือทานอาหารกันได้ตามปกติ
“อื้มมมม ปลาราดพริก กับแกงส้มยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับนม นมเนี่ยฝีมือไม่ตกเลยนะครับ” นทีกล่าวชมออกมาตามที่รู้สึกจริงๆ ไม่ได้คิดจะเอาใจนมแจ่มแต่อย่างใด เพียงเท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มจางๆ จากมุมปากบางของทอรุ้งได้ทันที เพราะอาหารทุกจานบนโต๊ะวันนี้ ล้วนเป็นฝีมือของร่างบางที่ตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือตลอดบ่ายที่ผ่านมา
“เอ่อ คือจริงๆ คุณทอ”
“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะคะคุณที นมแจ่มตั้งใจทำตลอดทั้งบ่ายเลยค่ะ” ทอรุ้งรีบพูดขึ้นก่อนที่นมแจ่มจะบอกร่างสูงว่าใครเป็นคนทำอาหารบนโต๊ะนี้ เธอกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าใครเป็นคนทำพาลจะทำให้ร่างสูงไม่เจริญอาหาร
“ใครถามเธอ? ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องทานเยอะๆ ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันหรอก!” ร่างสูงกล่าววาจาเชือดเฉือนออกมาอีกรอบ
ร่างบางทำได้แค่ซ่อนความเสียใจไว้บนใบหน้าเรียบเฉย แล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นอะไร ในใจนึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อตอนเย็นได้ร้องไห้ระบายออกไปแล้วบ้าง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะร้องไห้บนโต๊ะตอนนี้เลยก็เป็นได้
“รุ้งกินเยอะๆ นะ ทำไมผอมแบบนี้เนี่ย” นุดีที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ ตักปลาราดพริกไปวางบนจานของร่างบางแทนคำปลอบใจหลังจากเห็นการกระทำของพี่ชายตนเอง แล้วเท่าที่สังเกตดีๆ เธอก็พอเห็นร่องรอยความเสียใจที่ปรากฎบนใต้ตาช้ำแดงก่ำของทอรุ้งในตอนนี้ ‘แอบร้องไห้สินะยัยรุ้ง’ นุดีคิดในใจ
“พี่ชายก็เหมือนกันนะคะ ถ้าพูดจากันดีๆ ไม่ได้ น้องขอได้ไหมคะ? ไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกเลยจะดีกว่า” นุดีหันไปพูดกับร่างสูงที่ตั้งหน้าตั้งตาทานอย่างไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ตนกล่าวออกไปเมื่อสักครู่
“น้องไปบอกอีกคนเถอะ เพราะพี่ไม่ได้พูดกับเขาสักหน่อย แต่เขามาตอบพี่เองทำไม” นุดีถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอากับคำตอบที่ได้รับจากพี่ชายตัวดี
“เห้อ พูดกับพี่ชายไปก็เท่านั้น ระวังนะคะ วันไหนที่รู้ความจริงพี่ชายจะเสียใจ แล้วมันจะสายเกินไปจนแก้อะไรไม่ทัน” คนเป็นน้องพูดเตือนออกมาอย่างเป็นห่วงพี่ชายของตน
“เรื่องจริงเรื่องเดียวเลยคือผู้หญิงคนนั้นฆ่าระตี!” ร่างสูงตะหวาดเสียงดังแล้วชี้ไปที่ทอรุ้ง
“ขอตัวก่อนนะครับ ผมทานอะไรไม่ลง!” ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวพรวดขึ้นห้องตัวเองทันทีหลังจากพูดจบ
------------------------------------
ไอ้พี่ทีคนเอาแต่ใจเอ้ย! พอซอให้พี่เขาได้ใจไปก่อนนะคะ เดี๋ยวรอน้องรุ้งของเราเอาคืนให้สาสม! ฝากติดตามนทีสีรุ้งด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ