นิล

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.16 น.

  11 ตอน
  66 วิจารณ์
  4,400 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่หนึ่ง เมื่อชั้นกลับไปเป็นเด็กสาวอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิล

ปริศนาโรงเรียนอาถรรพ์

บทที่หนึ่ง  เมื่อชั้นกลับไปเป็นเด็กสาวอีกครั้ง

 

    

 

   เมื่อยามเช้ามาเยือน  เหล่านกกาต่างออกจากรัง  เพื่อหาอาหารยามเช้า  มาประทังชีวิตของพวกมัน  ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของคนเรา  ที่ในยามเช้าพวกเขาต่างเร่งรีบ  เพื่อต่างคนต่างไปปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเอง  เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งก็เช่นกัน  ที่ในยามนี้  พวกเขามีหน้าที่ที่ต้องให้หญิงชราวัยแปดสิบห้าปี  ช่วยเหลือพวกเขา

บ้านหลังหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ(พ.ศ.2566)

          “สรุป  ผู้ชายคนนี้” ตำรวจนายหนึ่ง  พูดขึ้น “คือคนร้ายใช่ไหมครับ  คุณผู้หญิง”

          “อืม” หญิงชราคนหนึ่ง  กล่าวขึ้นพลางส่งรูปภาพ  คืนให้กับเจ้าหน้าที่ “ไม่ผิดแน่  ชายคนนี้แหล่ะ  คนร้าย”

          “งั้น” เจ้าหน้าที่เก็บรูปภาพกลับมา  พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ขอบคุณมากครับ  คุณผู้หญิง  ยังไงผมขอตัวไปจับคนร้ายก่อนนะครับ”

   หญิงชรายิ้มส่งเจ้าหน้าที่คนนั้น  ก่อนที่เธอจะอวยพรชายคนนั้น

          “โชคดีนะ  ขอให้จับคนร้ายให้ได้อย่างที่หวัง”

   เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งดูย่าของเขาช่วยเจ้าหน้าที่จับคนร้าย  ตัวของเด็กหนุ่ม  ถึงกับทึ่งในความสามารถของย่าของเขา

          “ย่าเรานิน้า” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง “อายุขนาดนี้แล้ว  แต่ความสามรถในการสืบคดี  ยังน่าเหลือเชือไม่เปลี่ยนเลย”

   สวัสดีครับผม มายด์ นะครับ  หน้าตาผมก็ปกติไม่หล่อเท่าไหร่ส่วนสูง170ซม.ผิวสีน้ำผึ้ง  ผมก็คือหลานของย่าครับ  ย่าของผมท่านชื่อ นิล ครอบครัวของผมก็มี ย่า พ่อ แม่ ผม อ้อและยังมีน้องสาวผมชื่อ มิ้น อีกคนที่ตอนนี้อายุ 12 ปี

   ต้องบอกก่อนว่าครอบครัวของผม  ที่จริงก็เป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไปนิแหล่ะ  พ่อผมก็ทำงานเกี่ยวกับการรถไฟแม่ผมก็เป็นพยาบาล  อยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

   ส่วนที่ทุกคนเห็นย่ามาช่วยตำรวจ  สืบคดีน่ะก็เพราะว่า  สมัยสาวๆย่าผม  ทำงานเป็นนักสืบอยู่กรมตำรวจแห่งหนึ่ง  จนเกษียณตอนนี้  ก็ยังมีตำรวจมากมาย  มาให้คุณย่าช่วยสืบคดีให้  โดยบางครั้งถ้ามีตำรวจมาให้ช่วยสืบให้  ก็จะได้เงินจำนวนมหาศาลเลยล่ะ   ผมก็แอบคิดนะครับ  ว่าถ้าวันนึงย่าผมหายไป  พวกตำรวจจะทำยังไงกันนะ   แต่เอาเข้าจริงๆผมก็อยากให้ย่าผม  พักได้แล้วนะอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วยังมาทำอะไรแบบนี้อีก  มันอันตรายเหมือนกันนะ

          “ไปกันรึยังล่ะ” ย่าหันมาถาม “มายด์  มิ้น”

          “ครับ ค่ะ ย่า”

   วันนี้ผมกับมิ้นและย่ากำลังจะออกไปซื้ออุปกรณ์  ในการทำรายงานวิชาภาษาไทย  ที่จริงผมไปกับมิ้นสองคนก็ได้แหล่ะ  แต่ก็ติดตรงที่ตัวผมก็ดันเงินไม่พอเลยต้องไปขอพ่อแม่  พ่อก็ดันให้เงินไว้กับย่า  ย่าก็เลยต้องพาพวกผมไปแทน  แต่ท่านก็บอกว่าต้องให้ท่านเสร็จภารกิจสืบคดีซะก่อนน่ะนะ  แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความใจดีของท่านจะทำให้คนแถวนี้ลำบากรึเปล่า  ถ้าในอนาคตท่านเป็นอะไรไปขึ้นมาเวลาที่มีคดีอะไร  พวกตำรวจจะทำยัไงกันนะ  แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตน่ะนะ  ตอนนี้ผมขอตัวไปซื้อของกับย่ากับมิ้นก่อนแล้วกัน  ล่ะหว่างที่กำลังเดินกันไปย่าก็เอ่ยถามมิ้นขึ้นมา

         “ซื้ออะไรมั้งล่ะมิ้นเอ้ย”

          “ก็ซื้อฟิวเจอร์บอร์ด ซื้อกาว ซื้อกระดาษ อ่ะค่ะย่า”

          “ที่จริงย่าไม่ต้องมาด้วยก็ได้นะครับ  ผมมากับมิ้นสองคนก็ได้”

          “ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรหรอกย่าอยากออกมาเดินเล่นบ้าง  อยู่ในบ้านบ่อยๆก็เบื่อเหมือนกันนั้นแหล่ะ”

          “เอ้านิถึงร้านแล้ว” มายด์พูดออกมา

          “งั้นหนูขอรีบไปเลือกของก่อนนะค๊ะ”

          “เร็วๆนะพี่รีบกลับไปดูหนัง”

          “จ้า”

   เด็กสาวเดินเข้าร้านไปเลือกของ  ที่เธอต้องใช้ในการเรียน  ส่วนผู้เป็นย่ากับพี่ชายของเธอ  ทำได้เพียงยื่นรอ  ให้หลานสาวเลือกของให้เสร็จเพียงเท่านั้น

          “เสร็จแล้วพี่”

          “ได้ของครบแล้วเหรอ”

          “ครบแล้วจ้า”

          “ครบแล้ว” ย่าเอ่ยขึ้น  พลางหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา  เพื่อจ่ายเงิน “งั้นย่าคิดเงินแล้วนะ”

          “มา” มายด์กล่าวขึ้นต่อ “พี่ถือให้”

          “ขอบคุณค่ะพี่”

          “ปะ  งั้นเรากลับกันเถอะ”

   ทั้งสามคนต่างเดินออกมาจากร้าน  และต่างคุยกันสลวนเสเฮฮากันตามภาษาย่าหลาน  ก่อนที่มายด์จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  เพื่อเช็คโลกโซเชียลของเขา  แต่ในขณะที่เขาคลาดสายตาจากย่าและน้องของเขาเพียงแค่คู่เดียว  เขาก็ต้องตกใจ  เพราะเสียงร้องของน้องสาวเขา

          “กรี๊ดดดดดดดดด” 

   โคร้มมมมม

   มายด์ตกใจรีบเงยหน้าขึ้นมาดูน้อง  ที่ตอนนี้ท่าทางช็อคสุดขีด

          “อะไรมิ้น  เป็นอะไร”

          “ย่า  พี่  ย่า” 

  มายด์หันไปดูย่าตามที่น้องชี้

  ตอนนั้นภาพที่ผมเห็น  ทำให้ตัวผมเองก็ช็อคไม่แพ้มิ้นเหมือนกัน  ผมได้แต่โทษตัวเองว่านี่เป็นความผิดของผมใช่ไหม  ที่ไม่สนใจทั้งสองคน  เอาแต่เล่นโทรศัพท์  จนทำให้ย่าผม......  ต้องมาโดนรถชนแบบนี้

          “มิ้นทำไมย่าถึงออกไปโดนรถชนได้”

   สิ่งที่ผมถามมิ้นไปในตอนนี้  คงจะไม่มีประโยชน์อะไร  เพราะน้องยังคงอยู่ในอาการสั่นเคลือ  และช็อคกับสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้า  และภาพตรงหน้า  ที่ผมเห็นตอนนี้คือร่างของย่าที่  นอนจมกองเลือด  ย่าหายใจรวยระรินมาก  ตัวผมได้แต่ภาวนาอย่าให้ย่าเป็นอะไรไปนะ

          “ย่า ย่า” มายด์ร้องขึ้น  เขาเอามือไปกุมมือของย่าไว้ “เป็นยังไงบ้างย่า”

          “ด...  เด็ก” ย่ากล่าวขึ้นมา  ด้วยลมหายใจที่รวยระริน “เด็กเป็นยังไงบ้าง” 

          “เด็ก” มายด์ถามขึ้น  ด้วยสีหน้าที่อาการงงๆ “เด็กไหนย่า”

   ในขณะที่มายด์ได้แต่อ้อนวอน  ขออย่าให้ย่าเป็นอะไรอยู่นั้น  ที่ด้านหลังของมายด์  ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามา

          “เอ้า” เจ้าหน้าที่พยาบาลกล่าว  พร้อมเอามือมาจับไหล่มายด์ “ออกมาก่อนนะไอ้หนู”  เจ้าหน้าที่พยาบาลพูดพร้อมเอามือมาจับมายด์

          “แต่ผม” มายด์กล่าว  พร้อมน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า  กับน้ำเสียงที่สั่นเคลือ “จะอยู่กับย่าผม”

          “ไม่ต้องห่วง” พยาบาลกล่าว  ด้วยรอยยิ้ม  ที่เชื่อในความหวัง “ถึงมือพวกพี่แล้วย่าหนูหายแน่”

   พยาบาลพูดพร้อมพาร่างของมายด์ออกมา  มายด์ที่ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ร้องเรียกย่า

          “ย่า!!!!!!!!!”

   หลังจากนั้นพวกคุณหมอ  ก็พาย่าของผมไปส่งโรงพยาบาล  ส่วนผมที่ตอนนั้นพอได้สติ  พอมองดูดีๆก็พบว่าโรงพยาบาลที่มาพาย่าไป  คือโรงพยาบาลที่แม่ทำอยู่  แล้วก็โชคดีที่พี่พยาบาลที่พาผมออกมา  รู้จักกับครอบครัวผมจึงช่วยติดต่อกับแม่ให้แล้ว  ส่วนผมก็โทรหาพ่อแล้วก็รีบเข้าไปดูอาการของน้อง  ที่กำลังช็อคเอาแต่ร้องไห้  ผมก็ทำได้แค่กอดน้องไว้

          “ไม่เป็นไรนะมิ้น” มายด์กล่าวขึ้น  ด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย “ย่าเราจะต้องปลอดภัย”.

ที่ไหนสักที่หนึ่ง

   หญิงชราตื่นขึ้นมา  ที่ไหนสักแห่ง  ที่ตัวเธอเองก็ไม่ทราบได้  แต่จากที่เธอมองจากสายตาของเธอ  มันเหมือนกับตลาดสักแห่งนึง  ที่เมื่อครั้นวัยที่เธอยังคงเป็นเด็ก  และได้มาวิ่งเล่นในตลาดแห่งนี้  เธอมองไปรอบๆด้วยความงุนงง  ผู้คนมากมายต่างเดินกันควักไขว่ไปมา  บ้างก็เดินดูของ  บ้างก็เลือกซื้อของอยู่ที่แผงขายของ  แต่น่าแปลกก็คือ  ผู้คนที่เลือกซื้อของ  ไม่แม้แต่จะคุยกับคนขาย  เพื่อไถ่ถามราคาแม้สักคำเดียว  และที่เธอสักเกตุได้อีกอย่าง  ผู้คนเหล่านั้น  ต่างมีสีหน้าที่เลือนลอย  ดั่งคนที่ไร้วิญาณ  ไม่มองหน้ากัน  เดินสวนกัน  ก็แค่สวนกันไป 

   เมื่อเธอเริ่มตั้งสติได้  เธอจึงลุกจากจุดที่เธอนั่งอยู่  และเริ่มเดินสำรวจตลาดแห่งนั้น  มันเหมือนตลาดของงานวัด  ที่ไร้ที่สิ้นสุด  มันทอดยาวไปอย่างไร้จุดหมาย  ไม่มีใครบอกได้  ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน  จนกระทั้ง  เธอเดินผ่านหน้าร้านถ่ายรูปแห่งหนึ่ง  ที่แห่งนั้น  เจ้าของร้านได้กล่าวทักทายเธอขึ้นมา

          “กำลังรออยู่เลย  คุณผู้หญิง”

   นิลมองไปที่ชายเจ้าของร้านถ่ายภาพ  เป็นชายสูงอายุ  ที่ใบหน้าของเขาดูเป็นชายใจดี  ยิ้มแย้มแจ่มใส  ในมือของเขาถือกล้องตัวหนึ่งอยู่  นิลเห็นดังนั้น  จึงเอ่ยถามเขาไป

          “รอชั้นเหรอคะ?”

          “ใช่แล้วล่ะครับ” ชายสูงอายุเดินนำเข้าร้านถ่ายรูปไป “ตามผมมาสิครับ”

   นิลเหมือนคนที่โดนมนตร์สะกด  เดินตามเจ้าของร้านถ่ายรูปไปแต่โดยดี  แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย  กับเรื่องทั้งหมดแต่อย่างใด  เธอเอ่ยถามชายเจ้าของร้านไป

          “ที่นี่มันที่ไหนกันค๊ะ  แล้วทำไมชั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

   ชายเจ้าของร้านหันมายิ้มด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร  ก่อนที่เขาจะตอบนิลกลับมา

          “คุณไม่ต้องสนใจหรอก” เขาเตรียมจัดมุมกล้องต่างๆ  เพื่อถ่ายรูปให้กับนิล “รู้แค่ว่า  ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาของคุณ  เท่านั้นก็พอแล้ว”

          “เดี๋ยวสิค๊ะ  มันหมายความว่ายังไงกัน  ช่วยอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ชั้นฟังทีสิ”

   เจ้าของร้านถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หนึ่งที  ก่อนที่เขาจะกลับไปสนใจที่กล้องของเขาอีกครั้ง

          “ขี้สงสัยสมเป็นอดีตนักสืบมือหนึ่งเลยนะ  แต่ก็ดีไม่ผิดหวังที่ผมไว้ใจ” เจ้าของร้านเตรียมกดชัตเตอร์  ก่อนที่เขาจะพูดประโยคสุดท้ายออกมา “เรื่องบางเรื่อง  คุณไม่จำเป็นต้องสนใจมันหรอก  แต่เรื่องต่อจากนี้ต่างหาก  ที่คุณจะต้องสนใจมันน่ะคุณนิล”

    หลังจากนั้นแสงของชัตเตอร์  ก็สว่างวาบออกมา  ทำให้นิลถึงกับต้องหลับตาอีกครั้ง    แล้วทุกอย่างก็ดำมืดไป  เมื่อแสงของชัตเตอร์  ดับลง

          “อ๊ะ!” เสียงของมาย์เริ่มกล่าวขึ้น “ย่าขยับตัวแล้ว” 

   ,มายด์ที่เห็นดังนั้น  จึงเดินไปที่ปุ่มกด  ที่เอาไว้เรียกหมอให้เข้ามา  และกล่าวขึ้น

          “คุณหมอครับ  ย่าผมรู้สึกตัวแล้ว  คุณหมอออ”

          “งั้น” มิ้นกล่าวขึ้น  พลางหยิบโทรศัพท์ออกมา “เดี๋ยวหนูโทรบอกพ่อกับแม่ก่อนนะ” 

          “พี่ฝากด้วยนะ”

     แล้วย่าก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

          “ย่าเป็นยังไงมั้ง”

     มายด์ถามด้วยสีหน้าที่ร้อนรน

          “นี่ย่าอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย”

   นิลถึงกับต้องหยุดชะงักอีกครั้ง  เมื่อเขาสังเกตว่า  เสียงที่เปร่งออกมาของเขา  มันดูแปลกไป  แต่ในใจของเขา  กลับคิดว่า  อาขเป็นเพราะเขาไม่สบายก็ได้   

          “เอออออ  ย่าอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะครับ  ย่าโดนรถชนไงจำได้รึเปล่า”

   สิ้นเสียงหลานชาย  ภาพที่เธอออกไปช่วยเด็กชายที่กลางถนน  มันได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอทั้งหมด

          “อ้อจริงด้วยสินะ  แล้วเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

          “เขาปลอดภัยดีนะย่า”

   นิลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

          “อ้อแล้วพวกเขายังฝากของมาเยี่ยมย่าด้วยนะ” มายด์ก็ชี้ไปที่ของที่เขาฝากมาให้ “พอเขารู้ว่าย่าช่วยลูกเขาจนย่าโดนรถชน  พวกเขาก็ตกใจกันมากเลยล่ะ”

          “เฮอะๆ  ย่าเองก็ตกใจตัวเองเหมือนกันนะ  ฝันอะไรแปลกๆตั้งหลายอย่างแน่ะ”

   หลังจากนั้น  มายด์กับนิลจึงคุยเรื่องต่างๆนาๆ  ทั้งตอนที่นิลหลับไป  และระหว่างนั้น  เกิดอะไรขึ้นบ้าง  จนกระทั้งลูกชายของนิลรีบวื่งเข้ามาดู

          “แม่!!” 

   นิลที่ได้ยินลูกชายของตนตะโกนเข้ามา  เธอก็ถึงกับตกใจสะดุ้งโหย่งยกใหญ่  ก่อนที่ลูกชายของเธอ  จะกล่าวขึ้นมาต่อ  

          “เป็นยังไงบ้างแม่  แล้วทำไมทำอะไรแบบนั้นเล่าฮะ  เป็นอะไรไปขึ้นมาพวกหนูไม่เหลือใครแล้วนะแม่”

          “เออเออ  แม่ขอโทษด้วย  แต่เห็นเด็กอยู่กลางถนนแบบนั้นแม่ก็อดไม่ได้นิ  ชีวิตคนทั้งชีวิตนะไอ้หนูเอ้ย”

          “เฮ้อแม่นิน้า  ผมล่ะเชื่อเลย”

          “มายด์” แม่วิ่งเข้ามาด้วยอาการที่ดูเร่งรีบ “แม่ได้ยินว่าย่าฟื้นแล้ว” 

          “ใช่คุณ” พ่อกล่าวขึ้น “แม่ฟื้นแล้ว”

          “ไหนขอชั้นดูอาการแม่หน่อยสิ”      

   จากนั้นลูกสะใภ้  จึงเข้ามาดูอาการของนิล

          “พ่อพ่อ” มายด์พูด  พลางสะกิดพ่อ “มาคุยกันหน่อยสิ” 

   หลังจากนั้นพ่อกับมายด์ก็เดินออกไปข้างนอกกัน  ปล่อยให้แม่ที่เป็นพยาบาลดูอาการของย่าอยู่

          “เรื่องนั้นเราจะบอกย่ากันยังไงดีพ่อ”

          “เออออ  นั้นสิเราจะบอกยังไงดีนะ”

  ลูกชายเอามือกุมหัว  พลางคิดไปด้วย 

          “เรื่องนี้มันบอกยากนะ  คงต้องให้ย่าเขารู้เองแล้วหล่ะมั้ง”

          “แต่ถ้าย่าเขารู้เองจะไม่ช็อคเอาเหรอพ่อ”

          “เฮ้อนั้นสิ  เอาเป็นว่าช่วงนี้พยายามอย่าให่ย่าส่องกระจก  หรืออะไรก่อนก็แล้วกัน”

          “อืมมมมม  จะทำได้มั้ยล่ะน่ะพ่อ”

          “ทำไม่ได้ก็ต้องทำนั้นแหล่ะ”

   สักพักเสียงย่าตะโกนมา

          “หนุ่มๆเอ้ย  ไปแอบคุยอะไรกันข้างนอกฮะ”

   พ่อกับมายด์ถึงกับสะดุ้งกันยกใหญ่  ก่อนจะเดินกลับเข้ามา  ด้วยท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน  ลูกสะใภ้ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ทั้งคู่

          “คุณแล้วแม่รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

          “แม่ก็ปกติดีนะ  จะมีก็แค่รอยฟกช้ำจากการกระแทกของรถ  ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ย่าก็เอามือมาจับที่คาง  พลางกล่าวต่อ “ก็แปลกนะ  พอตื่นมาไออาการปวดตามร่างกายก็หายไปเลย  ว่าแต่แม่หลับไปนานเท่าไหร่เหรอ”

          “ห้าวันแหน่ะแม่”

          “ฮะ!!  ห้าวันเลยหรอ”

          “อย่าเสียงดังสิแม่นี่โรงพยาบาลนะ”

          “โทษๆ”

          “ไม่ต้องห่วงนะแม่” ลูกสาวเริ่มกล่าวต่อ  ด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ถ้าอาการดีขึ้นแบบนี้เร็วๆนี้ก็คงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ” 

          “ฝากด้วยนะลูก  แม่คิดถึงพวกตำรวจแย่แล้วเนี่ย  ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง” ย่าพูดพลางยักไหล่  และผายมือทั้งสองข้าง  ออกจากกัน “ไม่มีแม่ล่ะพวกนั้น  สืบคดีกันไม่ได้แน่”

          “เออออ  งั้นผมว่าตอนนี้ย่านอนพักซะหน่อยดีกว่าเนอะ  แม่เขาจะได้ไปทำงานด้วย”

          “อืมก็ดีเหมือนกัน”

          “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะแม่” ลูกสะใภ้กล่าวขึ้น  ก่อนจะเดินไปที่ประตู “ถ้าว่างหนูจะมาดูนะค๊ะ”       

          “จ้ะไปทำงานให้เต็มที่เถอะเดี๋ยวมีอะไร  แม่จะให้เจ้าลูกชายตัวดีไปเรียกนะ”

   หลังจากนั้นมายด์  ลูกชาย  มิ้น  ลูกสะใภ้  ก็ผลัดกันมาเฝ้านิลในเวลาที่ใครสักคนว่าง  อาการของนิลเองก็ดีวันดีคืนดีขึ้นแบบปุ้ปปับมาก  จนหายห่วงและก็พร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาล

          “เฮ้ออออ  ได้ออกจากโรงพยาบาลซะที” ย่าถอนหายใจ  และเริ่มกล่าวขึ้น “คิดถึงบ้านอยากกลับบ้าน  จะแย่แล้วเนี่ย”

          “เอาไงดีพ่อ  แม่” มายด์เริ่มกระซิบพ่อกับแม่ “ต้องบอกย่าแล้วนะ”

          “นั้นสิคุณชั้นว่าเราต้องบอกแม่แกแล้วนะ”

   ทั้งสามคนทำท่าคิดกันอยู่พักใหญ่  ก่อนที่พ่อจะถอนหายใจ  และเริ่มกล่าวออกมา

          “เฮ้อ  มาๆเดี๋ยวพ่อจัดการเอง  แต่ขอทำใจแปปนึง”

          “นี่!!” ย่าตะโกนมา  ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ตรงนั้นน่ะยืนกระซิบอะไรกันตั้งนานแล้วฮะ” 

          “ไม่ได้แล้วนะพ่อ” มายด์กล่าวขึ้น  เพื่อเร่งพ่อ “ต้องรีบไปบอกย่าแล้ว”

          “เออเออ  พ่อกำลังจะไปนี่แหล่ะ”

   และพ่อก็เริ่มกล่าวกับย่า  ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน  เหมือนคนที่ปิดบังอะไรเอาไว้อยู่

          “เออๆๆๆๆ  แม่คืออออ”

          “อ้ำอึ้งอะไรของแกนักหนาฮะ” ย่าเริ่มกล่าวขึ้น  ด้วยท่าทางที่สงสัยในตัวของพ่อ “แปลกๆกันนะพวกแก  เอ้ามีเรื่องอะไรก็ว่ามา  ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพยาบาลรึไงฮะ”

          “ไม่ใช่แบบนั้น”

          “ถ้าไม่ใช่งั้นอะไรล่ะ”

          “คือแม่อย่าตกใจนะ”

          “คงไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่า  การที่ชั้นโดนรถชนแล้วรอดตายมาแล้วล่ะ”

          “หรองั้นเอางี้ดีกว่า  คุณขอกระจกหน่อยสิ”

   ลูกสะใภ้จึงเดินไปหยิบกระจกบานใหญ่มาให้ลูกชาย

          “แม่ลองดูที่กระจกนะ”

          “เออไวๆเถอะจะได้กลับบ้าน”

   จากนั้นลูกชายจึงเปิดกระจกให้นิลดู  นิลส่องไปมาอยู่สักพัก

          “หือ  ทำไมหรอให้แม่ดูรูปเด็กผู้หญิงทำไม”

          “เออออ  แม่ไม่คุ้นหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้บ้างหรอ”

          “คุ้นหน้า  คุ้นหน้ายังไง”

          “ก็เด็กสาวคนนี้ก็ๆๆๆๆ  ตัวแม่เองไง”

   นิลที่ได้ยินดังนั้น  ถึงกับนิ่งเงียบไปสักพัก  แต่สีหน้าของเธอ  กลับดูไม่เชื่อในสิ่งที่ลูกชายของเขาพูดเท่าไหร่นัก  เธอจึงเอ่ยถามลูกชายของเธอไป  

          “นี่แกมาล้อเล่นอะไรกับแม่นิฮึ” นิลพูดขึ้นมา  ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เชื่อ  ในสิ่งที่ลูกชายพูด “แม่แก่จนอายุแปดสิบกว่าแล้ว  จะให้มาเป็นเด็กแบบนี้ได้ไงฮะ”

          “แต่ๆๆๆ  นี่คือตัวแม่ในตอนนี้จริงๆนะ”

          “งั้นเอางี้” ลูกสะใภ้พูดขึ้นมาพร้อมเดินไปที่นิล “ไหมคะแม่  แม่ก็ลองขยับตัวดูถ้าเด็กสาวในรูป  ขยับตามแม่แปลว่านั้นแหล่ะคือตัวแม่”

          “ใช่ๆจริงด้วยแม่  พูดอย่างเดียวคงเชื่อยาก  งั้นลองดูตามนี้แหล่ะ”  ลูกพูดเสริมขึ้นมา  ตามลูกสะใภ้

          “เออก็ได้วะ  ไอ้พวกนี้นิหลอกคนแก่”

          “งั้นแม่ลองชูแขนขวาขึ้นนะแม่”  ลูกชายบอกให้นิลชูแขนขวา

   จากนั้นนิลก็ยอมชูแขนขวาตามที่ลูกชายบอก  และเด็กสาวในกระจกก็ชูตาม

          “เห็นไหมแม่  คนในกระจกก็ทำตามแม่ด้วย”

   นิลถึงกับทำหน้าตกใจ  เหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้

          “เดี๋ยวๆพวกแกอาจเตี๊ยมกันมาก็ได้  ข้าขอขยับเอง”

          “ตามใจแม่ขยับให้เต็มที่เลย” ลูกชายพูดพลางกอดอก

   จากนั้นนิลจึงขยับตัวตามที่เธออยากขยับ  แต่ต่อให้เธอขยับยังไง  หญิงสาวในกระจก  ก็ขยับตามที่เธอทำไปซะทั้งหมด  ทั้งสีหน้าท่าทาง  ทุกอย่างที่แสดงออกมาก็มิปาน 

          “คราวนี้เชื่อรึยังแม่”

          “มันเป็นไปได้เหรอเรื่องแบบนี้”

          “เออออ  เรื่องนั้นพวกผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

          “ตอนที่พวกเราพาแม่มาโรงพยาบาล  ตอนแรกแม่ก็ยังเป็นคนแก่อยู่ปกติ” แม่กล่าวขึ้นต่อ “แต่พอเช้าวันต่อมาแม่ก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว”

          “ตอนแรกพวกหนูเองก็ตกใจเหมือนกันนะที่เห็นแม่เป็นแบบนี้” พ่อกล่าวขึ้นต่อจากแม่ “ตอนแรกนึกว่าเข้าห้องผิดด้วยซ้ำ  แต่พอดูดีๆก็เห็นเป็นแม่นั้นแหล่ะ  มองยังไงก็แม่สมัยสาวๆ  ก็เลยต้องตามนั้นไป”     

   สิ้นเสียงลูกชาย  หญิงสาวถึงกับเป็นลม  ล้มพับไปอีกรอบ  ก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  และหันไปกล่าวกับมายด์  หลานชายของเธอ

          “มายด์มิ้น  เมื่อกี้ย่าฝันแปลกๆด้วยล่ะ  ย่าฝันว่าย่ากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง”

          “เอออออ  ย่าไม่ได้ฝันหรอกย่า” มายด์พูด  พลางชี้นิ้วไปที่กระจก “นั้นน่ะกระจกยังอยู่นั้นอยู่เลย”

   นิลหันไปมองตามนิ้วของหลานชายของเธอ

          “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!”

   นิลกรี๊ดลั่นโรงพยาบาล  ทำเอาเหล่าพยาบาล  และหมอที่เดินควักไขว่ไปมา  ต่างตกใจไปตามๆกัน  เมื่อเดินผ่านห้องของเธอ  แต่สุดท้าย  เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว  ตัวเธอเอง  ก็มีแต่ต้องยอมรับมัน  และยอมออกมาจากโรงพยาบาล  ตามที่หมอสั่ง  เมื่อเธอลองสอบถามอาการของเธอจากหมอ  ตัวของหมอเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน  ว่าสิ่งที่เธอเป็นในตอนนี้  มันเกิดจากอะไร  เพราะมันเป็นเรื่อง  ที่เหนือความคาดหมายของทางการแพทย์ไปมากเช่นกัน

บ้าน

          “เออออ” ลูกชายเริ่มพูด  กับพวกตำรวจ  ที่มาขอความเชื่อเหลือ  ด้วยใบหน้าที่ดูยังไง  ก็โกหกไม่เนียนเอาเสียเลย “พอดีแม่ไม่ค่อยสบาย  เลยไปรักษาตัวที่ต่างจังหวัดน่ะครับ”

          “เหรอครับ” เจ้าหน้าที่ถึงกับเอามือมากุมขมับ  ก่อนจะบ่นพึมพำคนเดียว “แล้วแบบนี้จะเอาไงดีน้า”

          “ถ้าท่านกลับมายังไงบอกด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่เริ่มกล่าวต่อ “คดีนี้มันสำคัญมาเลย  ถ้าไม่ได้ท่านช่วย  คงแย่น่าดู”

   สิ่งที่มายด์เคยคิดเอาไว้  ว่าถ้าวันไหนที่ไม่มีย่าของเขาอยู่แล้ว  พวกตำรวจคงลำบากกันไม่ใช่น้อย  ในตอนนี้สิ่งนั้น  มันเริ่มที่จะเกิดขึ้นแล้ว  เมื่อไม่มีนิล  คดีต่างๆที่ถาโถมเข้ามา  ก็ไม่มีใครที่จะสามารถไขคดีได้อีก

          “เฮ้อ” พ่อทำสีหน้าเหนื่อย  ก่อนจะบ่นออกมา “นี่หนูต้องคอยโกหกคนแถวบ้านไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย”

          “ชั้นก็ไม่อยากโกหกสักเท่าไหร่หรอกน่า”

          “แล้วแม่พอจะจำ  ได้ไหมล่ะว่าก่อนที่แม่จะโดนรถชน  แม่ไปทำอะไรมา”

          “ไปทำอะไรน่ะเหรอ  ก็พายัยมิ้นไปซื้อของไง”

   ก่อนที่ลูกชายกับนิลจะคุยกันต่อ   มายด์มองที่นาฬิกา  และกล่าวขึ้นมา

          “พ่อครับผมต้องไปเรียนแล้วครับ”

          “งั้นผมไปส่งมายด์ก่อนนะแม่  เอาเป็นว่า  แม่ลองค่อยๆคิดหาคำตอบไปก่อนนะแม่”

          “เออไปเถอะ”

   หลังจากวันนั้น  นิลก็เอาแต่ครุ่นคิด  เพื่อที่จะหาทาง  ให้ตัวเธอเอง  กลับไปเหมือนเดิมให้ได้  แต่ยื่งคิดเท่าไหร่  มันกับคิดอะไรไม่ออกเลย  จนกระทั้งเวลาผ่านไปสองวัน

สองวันต่อมา 

   นิลยังคงคิดอะไรไม่ออก  เธอเอาแต่ถอนหายใจ  เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากไปวันๆ  จนกระทั้งลูกสะใภ้ทักขึ้นมา  

          “ฮ่าฮ่าฮ่า” ลูกสาวพูดขึ้นมา  ด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้ม “เบื่อหรอค๊ะแม่”

          “อืม ใช่ ปกติมีอะไรให้ทำทั้งวัน”

          “งั้นหาอะไรทำกันไหมล่ะค๊ะ  จะได้แก้เครียด”

          “ทำอะไรดีล่ะ  ไหนลองเสนอให้แม่ฟังซิ้”

          “อืมมมมม  นั้นสิไหนๆก็ได้กลับมาเป็นเด็กสาวแล้วงั้นนน”

   ลูกสะใภ้ทำท่าคิดอยู่ครู่ใหญ่  ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาอีกครั้ง

          “อ๊ะหนูนึกออกแล้ว”

   นิลมองหน้าลูกสะใภ้อย่างสนใจ

          “แม่เก่งเรื่องสืบสวนคดีอยู่แล้วนิคะ  งั้นใช้บ้านเรา  เปิดเป็นสำนักงานนักสืบดีไหมคะ  อีกอย่าง  พอแม่ออกไปสืบคดี  แม่อาจจะได้เบาะแส  ที่จะทำให้แม่กับคืนร่างเดิมด้วยก็ได้”

   นิลที่ได้ยินดังนั้น  ใบหน้าของเธอจึงมีรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

          “จริงด้วย  เรื่องง่ายๆแค่นี้  ทำไมชั้นถึงคิดไม่ได้นะ  งั้นเย็นนี้ลองคุยกับทุกคนในบ้านกันเลย”

ตอนเย็น

          “ฮะ” ลูกชายร้องออกมาด้วยความตกใจ “แม่จะใช้ที่นี่  เป็นสำนักงานนักสืบเหรอ?”

   นิลพยักหน้าตอบรับ  เมื่อเห็นดังนั้น  ลูกชาย  มายด์และมิ้น  จึงมองหน้ากัน  ด้วยความประหลาดใจ  เมื่อลูกสะใภ้เห็นดังนั้น  เธอจึงพูดแทนนิล

          “เผื่อว่าคุณแม่จะเจอเบาะแส  ที่จะทำให้คุณแม่กลับคืนร่างเดิมด้วยไงค๊ะ”

   ลูกชายที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  พลางหันมาพูดกับแม่ของเขา

          “ก็ถ้าแม่ตัดสินใจแบบนั้น  พวกผมเองก็คงห้ามอะไรไม่ได้”

   นิลยิ้มออกมาที่มุมปาก  ก่อนที่เธอจะลุกจากโซฟา  และกล่าวออกมา

          “งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป  ที่นี่จะเปิดเป็นสำนักงานนักสืบ  อย่างเต็มรูปแบบล่ะนะ”

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา