แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  5 วิจารณ์
  2,567 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่12 บทสรุป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่12 บทสรุป

 

สิบปีต่อมา

   เวลาผ่านมาสิบปี  หลังจากเรื่องราวทั้งหมด  ชาติชายกับอลิซได้แต่งงานกัน  และด้วยหน้าที่การงานที่เติบโตขึ้น  ทำให้ตัวของชาติชาย  โดนโยกย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัดทางภาคอีสาน  ที่ไม่หากไกลจากตัวมืองมากนัก  แต่ที่นี่ก็เต็มไปด้วยอากาศที่เป็นธรรมชาติ  ทุ่งนาที่เขียวชอุ่ม  เสียงนักร้องเหมือนพวกมันพูดคุยกัน  สายลมที่พัดมาปะทะร่างกาย  ที่ในกรุงเทพหาไม่ได้  แสงอาทิตในยามเช้า  ที่ตื่นขึ้นมาทำให้ร่างกายสดใส  วิถึชีวิตที่แตกต่างออกไปจากเมื่อครั้งที่อยู่กรุงเทพ  ที่ตื่นเช้ามาไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก  เพียงแค่มีมอเตอร์ไซต์คันเดียว  ก็สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย  ทั้งคู่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สองปีแล้ว  โดยที่ทั้งคู่ได้มีลูกด้วยกันสองคน  ผู้ชายคน  ผู้หญิงคนนึง

   โดยลูกผู้ชายซี่งเป็นคนโตทำให้ทั้งคู่ต้องแปลกใจ  เมื่อใบหน้าของลูกผู้ชายนั้น  ดันละม้ายคล้ายกับมาวิน  เพื่อนสนิทของทั้งคู่  ทำให้ชาติชายตัดสินใจ  ตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า  มาวิน  อายุสิบขวบ

   ส่วนคนเล็กเป็นลูกสาว  ทั้งคู่ได้เอาชื่อเล่นของทั้งคู่  มาตั้ง  โดยได้เอาตัว อ. จากอลิซ กับ ย. ชาติชาย มาตั้งรวมกัน  เป็นชื่อ  ออย  อายุเก้าขวบ

   เด็กทั้งสองต่างมีความร่าเริงซุกซนตามภาษาเด็ก  เมื่อได้ย้ายมาต่างจังหวัด  ที่มีทุ่งกว้าง  ให้ทั้งคู่ได้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่  ทำให้เด็กทั้งสอง  สนุกสนานได้ทุกวัน  จนบางทีคนเป็นพ่อแม่  ต้องปวดหัว 

   ส่วนอลิซในตอนนี้  เธอไม่ได้ทำงานอะไร  เป็นแม่บ้าน  คอยเลี้ยงลูกอยู่บ้าน  แต่ในตอนนี้  เมื่อมีลูกแล้ว  ตัวเธอเองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย  จากที่เคยเป็นเด็กสาวที่ร่าเริง  พูดคุยสนุกสนาน  ยิ้มง่าย  เป็นคนอะไรก็ได้  แต่ในตอนนี้ เหมือนเธอมีความเป็นแม่คน  และมีความเป็นภรรยามากขึ้น  ทำให้ต้องคอยบ่น  และดุมากขึ้นในเวลาเดียวกัน  สามีและลูกๆต้องเชื่อฟังเธอ  ไม่อย่างนั้นอาจจะมีบ้านแตกได้  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  พวกเขาทั้งสี่คน  ต่างก็รักกันดี  เงินทุกบ้านทุกสตางค์ของชาติชายในตอนนี้  ต่างตกเป็นของอลิซหมด  เพราะอยู่บ้านนาแบบนี้  ทำให้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร  พกไปนิดหน่อยติดตัวก็พอแล้ว  และในวันนี้เป็นวันหยุด  พวกเธอจึงตัดสินใจที่จะทำความสะอาดบ้าน  อลิซได้เรียกให้พวกลูกๆและสามีตื่นแต่เช้า  ทั้งสามคนต่างตื่นมาด้วยความงุนงงและง่วงนอน

                      “ตื่นกันได้แล้ว  จะนอนอะไรนักหนา”

                      “นี่วันหยุดนะคุณ  จะตื่นมาทำไมแต่เช้า” ชาติชายพูดด้วยอาการของคนที่ง่วง

                      “วันหยุดทั้งที  ช่วงกันเก็บกวาดบ้านให้มันสะอาดสะอ้านหน่อยสิ”

                      “วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากจะ.....”

   ยังไม่ทันที่ชาติชายจะพูดจนจบ  เขาสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาต  ที่ออกมาจากตัวภรรยาของเขา  เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ  แต่ยอมทำตามที่ภรรยาบอกแต่โดยดี

                      “ไม้กวาดอยู่ไหนครับ  เดี๋ยวไปช่วยกวาดบ้าน”

   ชาติชายยอมทำตามแต่โดยดี  อลิซจึงยิ้มออกมาได้  เธอหันไปบอกกับพวกลูกๆของเธอ

                      “วิน  ออย  รีบไปล้างหน้า  แล้วมากินข้าว  แล้วเดี๋ยวมาช่วยแม่ทำงาน”

   เด็กทั้งสองทำตามที่แม่บอกแต่โดยดี  แต่เมื่อทั้งสองกินข้าวจนเสร็จสรรพ  แม่ของเธอจึงบอกให้พวกเขาเก็บของที่รกอยู่ในบ้าน  แต่เมื่ออลิซหันมาอีกที  ก็ไม่เห็นเด็กทั้งสองแล้ว  เธอเรียกชาติชาย

                      “คุณ  ลูกๆหายไปไหนก็ไม่รู้”

   มาวินได้ยินภรรยาของตนตะโกนเรียก  เขาจึงรีบออกมาหาลูก

                      “ออกไปเล่นหน้าบ้านรึเปล่าคุณ”

   สิ้นเสียงชาติชาย  อลิซรีบวิ่งออกไปดูหน้าบ้าน  เธอเห็นพวกลูกๆเธอ  กำลังวิ่งเล่นกันอยู่  เธอจึงโล่งใจ  แต่การละเล่นของเด็กๆ  ก็ต้องหยุดชะงัก  เมื่อมีรถกระบะคันหนึ่ง  ที่ขนของมาจนเต็มคันรถ  ได้ขับเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง  อลิซมองตามรถคันนั้นไป  ชาติชายที่เดินตามมาทีหลัง  เขาจึงพูดออกมา

                      “บ้านนั้นพึ่งย้ายมาใหม่สินะ”

                      “ใช่ค่ะ  ได้ข่าวมาหลายวันแล้ว  ว่าจะมีคนย้ายเข้ามา  ก็คงเป็นนั่นแหล่ะ”

                      “ไปทำความรู้จักกันไว้หน่อยไหม”

                      “ก็ดีนะ  เผื่อพวกเขามีอะไรให้เราช่วย”

   สิ้นเสียงอลิซ  ทั้งอลิซและชาติชายเดนิออกมาจากบ้าน  โดยที่อลิซเดินไปบอกกับพวกลูกๆของเธอ

                      “เล่นกันอยู่ตรงนี้นะ  อย่าไปไหน  เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับบ้านหลังนั้นหน่อย  เข้าใจไหมลูก”

   อลิซชี้ไปที่บ้านที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่  พวกลูกๆของเธอมองตามที่อลิซชี้ไป 

                      “ได้ครับแม่”

                      “วินดูแลน้องดีๆเข้าใจไหม”

                      “ครับแม่”

                      “เก่งมากลูก”

   สิ้นเสียงอลิซ  เธอได้ตามชาติชายไปที่บ้านหลังที่ย้ายเข้ามาใหม่  ชาติชายได้เข้าไปกล่าวทักทายคนในบ้านนั้น

                      “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

   ซึ่งคนในบ้านนั้น  ก็อัธยาศัยดีไม่แพ้กัน  คนผู้ชายหันมาตอบชาติชาย

                      “อ้อไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมากครับ”

   ชาติชายพยักหน้าตอบรับ  คนผ็ชายจึงพูดต่อ

                      “มีอะไรช่วยแน่ะนำผมด้วยนะครับ  พวกผมพึ่งย้ายมาใหม่  ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย”

                      “ได้เลยครับ  ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่ห่างไกลขนาดนี้กันครับ”

   คนผู้ชายได้ยินดังนั้น  เขาจึงยิ้มอ่อนๆออกมา

                      “ผมอยากให้ลูกกับภรรยาได้สัมผัสอากาศที่มันเป็นธรรมชาติน่ะครับ  พวกเขาเคยอยู่แต่ในเมืองกรุง  เคยใช้แต่ชีวิตที่วุ่นวายกันมาแล้ว  ในตอนนี้ผมอยากจะให้พวกเขา  ได้ใช้ชีวิตสบายๆ  ที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากมายดูบ้างน่ะครับ”

                      “จริงด้วยนะครับ  เมื่อก่อนตัวผมเอง  ก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมาก่อน  แต่เพราะงานของผม  ทำให้ผมต้องย้ายมาอยู่ที่นี่  แต่พอได้ลองมาสัมผัสกับชีวิตแบบนี้ดูแล้ว  มันก็ดีไปอีกแบบนะครับ  ผู้คนก็ใจดี  เป็นกันเอง  เช้ามาไม่ต้องรีบเร่งออกไปทำงาน  เผชิญหน้ากับรถที่ติด  อากาศที่มีแต่ฝุ่นควัน  เรียกว่ามันดีมากเลยล่ะครับ”

   สิ้นเสียงที่ทั้งคู่คุยกัน  เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่ง  วิ่งออกจากบ้านไป  คนเป็นพ่อผู้ชายจึงตะโกนถามลูกออกไป

                      “จะไปไหนลูก?”

   เด็กผู้หญิงหันมาตอบพ่อ  แต่เมื่อเธอหันมา  ทำให้ชาติชายกับอลิซต้องมองหน้ากัน  ด้วยความตะลึง  เพราะใบหน้าของเด็กคนนั้น  ช่างละม้ายคล้ายเอิญมาก  โดยที่อายุของเด็กคนนั้น  ไม่ห่างจากมาวินลูกของพวกเขาเท่าไหร่นัก

                      “ออกไปเล่นหน่อยค่ะ”

   เด็กผู้หญิงคนนั้นหันมาตอบ 

                      “ลูกสาวน่ะครับ  อายุสิบขวบ  พวกคุณมีลูกกันไหมครับ”

   ชาติชายที่ยืนตะลึงอยู่  เมื่อคนเป็นพ่อเรียก  เขาจึงได้สติ  และหันมาตอบคนเป็นพ่อ

                      “มีครับ  ลูกชายคนโตอายุสิบขวบเท่ากันเลยครับ  แล้วก็ลูกสาวอีกคนหนึ่ง  เล่นอยู่นู้นน่ะครับ”

   ชาติชายชี้ไปที่ลูกของพวกตนเอง  ก็เห็นเด็กสาวคนนั้น  วิ่งไปเล่นกับมาวิน  ลูกชายของตนเอง  พวกเขาที่เห็นดังนั้น  จึงยืนอึ้งไปพักหนึ่ง  ก่อนที่คนพ่อจะกล่าวถามต่อ

                      “เด็กๆนี่ดีนะครับ  แพลบเดียวก็สนิทกันแล้ว  ลูกผมชื่อเอิญครับ  ลูกคุณล่ะ”

   เขามองหน้ากับอลิซ  ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา

                      “คนโตชื่อมาวินครับ  คนเล็กชื่อออยครับ”

   ทั้งคู่ต่างคิดว่า  นี่คงเป็นพรหมลิขิตสินะ  หรือเป็นเพราะคำสาบานของมาวิน  ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจ  ที่ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง  เมื่อเสร็จภารกิจในการทำความรู้จักแล้ว  ชาติชายกับอลิซ  จึงขอตัวกลับบ้านของพวกเขาก่อน  โดยที่เมื่อเดินมาถึงเด็กทั้งสามคน  ชาติชายจึงเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสาม  มาวินกับออย  ที่เห็นพ่อของตนเดินเข้ามาหา  พวกเขาจึงวิ่งเข้ามาหาพ่อ  ทำให้เอิญต้องวิ่งตามมาด้วย  ชาติชายมองดูเด็กทั้งสามคนด้วยความเอ็นดู  ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือ  ไปลูบหัวของทั้งสามคนอย่างแผ่วเบา  พรางกล่าวกับทั้งสามคน

                      “สนิทกันไว้นะลูก”

   ทั้งสามคนยิ้มตอบรับ 

                      “ครับ,ค่ะ”

  เมื่อคุยกับลูกเสร็จ  พวกชาติชายกับอลิซจึงเดินกลับเข้าบ้านไป  พรางดูเด็กทั้งสามคนวิ่งเล่นกัน  เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับพวกเขา  และในเย็นนั้น  ทั้งสองบ้านต่างมากินข้าวร่วมกัน  เพื่อทำความรู้จักกันไว้  ด้วยเหตุนั้น  ทำให้ทั้งสองบ้าน  ต่างสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว  เด็กทั้งสามคนเองก็ออกมาเล่นด้วยกันทุกวัน  จนพวกเขาต่างเติบโตขึ้น  และสนิทสนมกัน  เรียนด้วยกัน  เล่นด้วยกัน  มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน  จากเด็กหญิงก็โตเป็นสาว  เด็กชายก็โตเป็นหนุ่ม  ในบางครั้ง  ด้วยความเป็นผู้ชาย  ทำให้มาวินอาจนอกลู่นอกทางไปบ้าง  แต่ก็ได้เอิญ  ที่ดึงมาวินกลับมา  ให้เป็นคนดี  เอิญคอยอยู่เคียงข้างมาวินตลอด  ทำให้ชาติชาย  นึกไปถึงเอิญกับมาวิน  เพื่อนของพวกเขา  ที่เวลามีปัญหาอะไร  เอิญเองจะค่อยอยู่เคียงข้างมาวินจนลมหายใจสุดท้าย  จนทั้งคู่เข้าสู่วัยมัธยมปลาย  ชาติชายกับอลิซมองดูเด็กทั้งสองคน  เห็นท่าทางของเด็กทั้งสองคบกัน  ทำให้เขาตัดสินใจ  คุยกับลูกชายของเขา

                      “ลูกรักหนูเอิญเขาจริงๆไหม?”

                      “พูดอะไรอย่างงั้นล่ะพ่อ  ถ้าไม่รักแล้วผมจะคบกับเขาไหม” มาวินตอบด้วยใบหน้าประหลาดใจ  เพราะปกติพ่อของเขาไม่เคยถามอะไรแบบนี้เลย

                      “แน่ใจนะ  ว่าลูกจะไม่คบกับหนูเอิญเล่นๆ  เพราะพ่อ” ชาติชายพูดด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด  อย่างกับว่า  ถ้าลูกชายเขาตอบไม่ถูกใจเมื่อไหร่  เขาก็พร้อมที่จะดุด่าลูกเขาอย่างเต็มที่

                      “จริงสิพ่อ  ผมก็ไม่ก็ไม่ร็นะ  แต่ถ้าไม่ใช่เอิญ  ผมก็ไม่รู้จะหาใครที่ดีกับผมได้แบบนี้อีกแล้ว”

   มาวินกล่าวด้วยใบหน้าของคนที่เขิลอาย  เมื่อชาติชายเห็นดังนั้น  เขาจึงวางใจในสิ่งที่ลูกชายเขาพูดได้  เมื่อคุยจบ  มาวินเขาจึงขอตัวออกไปข้างนอก  โดยที่เขาบอกว่า ‘ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ผมขอตัวนะ  นัดเอิญไว้ไปติวหนังสือ’ เมื่อเป็นแบบนั้น  ชาตายจึงปรึกษาเรื่องนี้กับอลิซอย่างถี่ถ้วน  ถึงเรื่องของพวกเขาสองคน

                      “คุณเองก็คิดเหมือนผมใช่ไหม”

   อลิซพยักหน้าตอบรับ  เมื่อได้ความเห็นที่ตรงกัน  ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าไปที่บ้านของเอิญ  และคุยกับพ่อของเอิญในทันที

                      “ถ้าลูกของพวกเราโต  ให้เด็กทั้งสองหมั้นหมายกันเอาไว้ไหม”

   พ่อของเอิญทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง

                      “จะดีเหรอคุณ  แบบนั้นเราจะกีกันโอกาสของเด็กมันรึเปล่า?”

                      “คุณลองดูเด็กทั้งสองสิ”

   พ่อของเอิญจึงลองมองดูเอิญกับมาวิน  เขาเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง  รักใคร่กัน  ดั่งชายหนุ่มหญิงสาว  ที่คบหากันมาเนิ่นนาน  และโหยหากันมานานแสนนาน  ทำให้พ่อของเอิญเอง  ตกลงปลงใจไปด้วย  เขาไม่ได้รังเกียจอะไรบ้านของชาติชาย  กลับเป็นการดีด้วยซ้ำ  ที่ถ้าหากว่า  ทั้งสองบ้านได้เป็นดองกัน 

                      “ถ้าเด็กทั้งสองรักกันจริง  ผมก็ไม่ติดใจอะไรหรอก”

   ชาติชายได้ยินดังนั้น  เขาจึงยิ้มออกมา

                      “งั้นผมถือว่าคุณตกลงแล้วนะครับ”

   พ่อของเอิญยิ้มออกมาบางๆ  และพยักหน้าในสิ่งที่ชาติชายถาม  ทั้งคู่จับมือกันเป็นการสัญญา  ชาติชายยิ้มออกมา  ด้วยความดีใจ  เขาเดินกลับบ้านกับอลิซหลังจากที่คุยกับพ่อของเอิญเสร็จสิ้น

                      “คิดอะไรอยู่เหรอคุณ?” อลิซกล่าวถาม

                      “คุณว่ามันบังเอิญไหม”

   อลิซได้ยินสามีของตนถาม  เธอจึงยิ้มออกมา  พรางเหม่อมองฟ้า  และจึงตอบสามีของเธอไป

                      “บางที  พวกเขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันจริงๆก็ได้”

                      “ผมหวังว่า  ในชาตินี้  พวกเขาจะได้คู่กันจริงๆนะ”

                      “ต้องได้คู่กันสิ  เราจัดการเรื่องของพวกเขาให้อย่างเต็มที่แล้วนิ”

                      “นั่นสินะ  ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว”

   สิ้นเสียงชาติชาย  อลิซเข้ามากอดแขนชาติชาย  และเอาหน้าซบที่แขนชาติชาย  ชาติชายที่เห็นดังนั้น  เขาจึงปล่อยแขนอลิซออก  และเอื้อมมือไปโอบกอดอลิซภรรยาของเขา  และเดินกลับบ้านไป  ชาติชายก็ได้แต่คิดในใจ

                      ‘กูทำในสิ่งที่กูทำได้  ให้มึงแล้วนะเพื่อน’

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา