หน่วยลับมังกรทมิฬ (The black Dragon Team)

-

เขียนโดย Yuanjinxia

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 19.26 น.

  18 ตอน
  3 วิจารณ์
  5,644 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 20.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) การประชุม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก!

 

เสียงเคาะไม้บอกเวลาแปดโมงเช้าดังขึ้น ซึ่งเป็นเวลาเริ่มประชุม ชายวัยเกือบห้าสิบแต่ยังดูแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มสวมชุดสีแดงขลิบทองเต็มยศ บนอกข้างซ้ายมีรอยปักดิ้นทองของสัตว์สี่ชนิดอันเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยทั้งสี่ในสังกัดที่เขาดูแลอยู่

 

ผู้บัญชาการสูงสุดที่ควบคุมดูแลหน่วยลับทั้งสี่นามออตโต้มีท่าทางสุขุมและองอาจกว่าในยามปกติทั่วไป เขาเดินเข้ามาห้องประชุมใหญ่ที่ในตอนนี้มีเศษถ้วยแก้ว ของสะสม โต๊ะขัดมันและเก้าอี้ไม้แตกหักกระจายอยู่เต็มพื้นห้อง แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่ได้ใส่ใจสักนิดเหมือนกับว่านี่เป็นเพียงเรื่องปกติเท่านั้น

 

“ดูท่าข้าคงต้องหักเบี้ยเลี้ยงของหน่วยพยัคฆ์กร้าวอีกแล้วสินะ” ออตโต้กล่าวยิ้มๆ แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด

 

“ไปประชุมที่ห้องเล็กดีกว่า ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งแก่พวกเจ้าทุกคน” ว่าจบก็เดินนำทุกคนออกไป

 

 

 

ห้องประชุมสำรอง

 

“ต้องขอบคุณโลกิ ที่ช่วยสืบและรวบรวมข้อมูลของพวกกบฏให้กับเรา จนตอนนี้มีรายชื่อของผู้ร่วมขบวนการและผู้ที่หนุนหลังรายใหญ่เปิดเผยออกมาแล้วหลายคน” ออตโต้บอกข้อมูลที่สำคัญให้กับทุกคนฟัง

 

“แต่ตอนนี้มันมีมากซะจนหน่วยมังกรทมิฬรับมือต่อไม่ได้อีกแล้ว หน่วยเจ้าคนน้อยเกินไป ข้าจะให้หน่วยของอาเธอร์รับช่วงต่อ” เขาอธิบายพร้อมหันไปมองหญิงสาวคนเดียวในห้อง

 

“แล้วพวกโครมันที่รุกรานดินแดนเราทางเหนือล่ะ ใครจะจัดการ” โลกิ บุรุษปริศนาใต้ผ้าคลุมสีขาวเอ่ยถาม

 

“อันที่จริงพวกนี้ก็โดนเราเล่นงานไปไม่ใช่น้อย จนไม่กล้าเหยียบเข้ามาใกล้เราแล้วในตอนนี้ แถมยังมีทหารของอาณาจักรประจำการอยู่ที่ชายแดนอีกนับหมื่น จึงไม่ใช่เรื่องน่าห่วงเท่าไหร่” ผู้บัญชาการกวาดสายตามองไปยังลูกน้องของตน “ปัญหาภายในสำคัญกว่าปัญหาภายนอก เราต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดก่อนที่มันจะกัดกินพวกเรา”

 

“ข้ารับทราบแล้ว” อาเธอร์ยิ้มอย่างภาคภูมิที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจสำคัญ

 

“แล้วถ้าข้าเจอพวกกบฏ จะให้ทำอย่างไร” มายาถาม

 

“เจ้าไม่ต้องทำอะไรส่งตัวให้หน่วยพยัคฆ์กร้าวจัดการก็พอ” ออตโต้ตอบ “ที่ผ่านมาเราฆ่าพวกมันไปมากมายแต่ก็ยังขจัดไม่หมดสักที เห็นทีว่าคงต้องเปลี่ยนวิธีการกวาดล้าง”

 

มายาพยักหน้ารับคำสั่งแค่โดยดี แม้ในใจจะมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย แต่ก็เลือกที่จะเงียบ

 

“หน้าเจ้าดูเหมือนจะมีคำถามนะ” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างนึกรู้ว่าสาวเจ้าคิดอะไร

 

เมื่อผู้บัญชาการเอ่ยออกมาเช่นนั้น มายาจึงตัดสินใจเสนอความคิดของตนเองออกไป

 

“ตามที่ทุกคนรู้ คือหลังจากสิ้นสุดสงครามเทพพิโรธ แม่ทัพ ‘ดีมัน อนันตรา' ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายมนุษย์ไพรได้รวบรวมสี่ดินแดนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวกลายเป็นอาณาจักรอนันตรา หลังจากนั้นจึงสถาปนาราชวงศ์ขึ้น แล้วก็เริ่มเกิดกลุ่มผู้ต่อต้านหรือที่พวกเราเรียกกันในภายหลังว่า ‘กลุ่มกบฏ’ ” มายาเท้าความที่มาของกลุ่มกบฏตามที่เธอได้ร่ำเรียนมา

 

“เจ้าต้องการจะสื่ออะไร” ออตโต้ขมวดคิ้วสงสัย น้ำเสียงของเขาน่าเกรงขามเสียจนคนฟังไม่ควรพูดต่อ แต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกรู้สา

 

“พวกนั้นโจมตีราชวงศ์อย่างหนักและต่อต้านการรวมอาณาจักร หวังจะแยกดินแดนออกเป็นสี่ส่วนเช่นเดิม” หญิงสาวยังคงถามต่อ “ท่านเคยบอกข้าว่า เป็นเพราะคนพวกนั้นงมงายจึงเชื่อว่ามณีมานกับสุริยเทพเป็นลูกหลานของเทพเจ้า มนุษย์ไพรจึงไม่ควรลบหลู่สายเลือดของเทพ ด้วยการนั่งอยู่เหนือสิ่งที่พวกเขาสร้างไว้ใช่หรือไม่”

 

“นี่น่ะหรือ คือสิ่งที่เจ้าสงสัย ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กน้อยซะจริง” อาเธอร์หัวเราะขบขัน

 

มายานั่งนิ่งไม่ตอบกลับ ไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองคนที่ยั่วโมโหเธอทุกครั้งที่เจอกันด้วยซ้ำ

 

คนที่กลายเป็นอากาศธาตุในสายตาของหญิงสาวถึงกับกัดฟันกรอด ที่ไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากเธอได้และโดนเมินเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

“แล้วเจ้าอยากจากถามข้าเรื่องอะไรกันแน่” ออตโต้ยังไม่เข้าใจท่าทีของหญิงสาว

 

“ก็แค่อิจฉาที่โดนข้าแย่งงาน” อาเธอร์ยังไม่หยุดหาเรื่อง

 

“ข้าคิดว่ามันก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว พวกนั้นก็ไม่ใช่จะมีพิษสงเหมือนเช่นแต่ก่อน กองกำลังที่จะมาใช้ต่อสู้กับพวกเราก็ไม่มีอีกแล้ว ทำไมเราไม่ลองวิธีเจรจาดู ดูว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ส่งต่อลูกหลานมาเช่นนี้ บางที่พวกเราอาจจะไม่ต้อง…”

 

“อยู่ดีๆ ก็ไปเห็นใจพวกกบฏซะแล้ว งามหน้าจริงนะ หัวหน้าหน่วยมังกรทมิฬ” อาเธอร์หยิบง้าวมาถือไว้ในมือ พลางมองใบหน้าของหญิงสาวด้วยท่าทีเหยียดหยัน “กบฏคือเนื้อร้ายอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ดูท่าจะมีคนของเราไปติดเชื้อมาซะแล้ว ถ้าไม่รีบตัดมันคงลุกลามแน่!!!” ว่าจบก็ฟันง้าวลงที่กลางศีรษะของมายา

 

ฟั่บ!

 

เคร็ง!!

 

เป็นโลกิอีกครั้งที่ใช้ดาบยักษ์ของตนออกมารับมือกับง้าวใหญ่ของอาเธอร์ไว้ได้ทัน คราวนี้แววตาสีอำพันของบุรุษใต้ผ้าคลุมสีขาวแฝงความโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด

 

มายาที่นั่งนิ่งไม่กระดิกหันไปมองใบหน้าภายใต้หน้ากากสีขาวของโลกิอย่างนึกฉงนเล็กน้อยที่เขาโมโหถึงขนาดนี้ ทั้งที่รู้ว่ายังไงเธอก็ต้องเบี่ยงตัวหลบทันอยู่แล้ว

 

“ไปอยู่ชายแดนนานจนลืมมารยาทไปแล้วหรือไง” โลกิส่งน้ำเสียงดุดันไปทางอาเธอร์ “ท่านผู้บัญชาการยังอยู่ที่นี่นะ”

 

ชายร่างใหญ่ผมตั้งหันไปมองผู้เป็นเจ้านายใหญ่แล้วยอมลดง้าวลง แม้จะยังไม่ค่อยพอใจก็ตาม

 

“เรื่องแยกดินแดนข้าว่าฟังดูไม่ค่อยเข้าทีเท่าไหร่ พวกกบฏจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่อาณาจักรกลับไปเป็นดินแดนร้างบางส่วนเช่นเดิม ทั้งที่ทุกวันนี้ผู้คนก็อยู่กันอย่างสุขสบายในทุกภาค เวลาทำให้พวกเรากลมกลืนกันเป็นหนึ่งเสียจนลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว เว้นแต่ว่าจะมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้กลุ่มกบฏยังต้องเคลื่อนไหว” ข้อคิดเห็นของมายามีเหตุผลทำให้ทุกคนในห้องเงียบฟังจนได้

 

“เรื่องที่เจ้าคิดได้ คิดว่าพวกข้าจะคิดกันไม่ได้หรือ” ออตโต้ตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้วว่ามันมีหลายเหตุผล แถมยังฝังรากลึกเสียจนถอนไม่ขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องแยกดินแดนหรอกนะที่พวกนั้นต้องการ พวกบ้านั่นยังคิดอีกว่าสักวันหนึ่งเผ่าพันธุ์สุริยเทพกับมณีมานจะกลับมา ถึงได้คิดล้มล้างราชวงศ์ปัจจุบันไง”

 

“แต่มันเป็นไปไม่ได้ พวกนั้นสูญพันธุ์ไปหลายร้อยปีแล้ว” มายาเอ่ยเสียงเบา คิ้วของหญิงสาวขมวดกันจนเป็นปม

 

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าจะเอาความจริงกับความเชื่อมาปนกันไม่ได้ เพราะพวกงมงายมันแยกแยะไม่เป็น ไม่อย่างนั้นจะขโมยแผนที่วังหลวงไปทำไม”

 

เหตุผลของออตโต้ทำให้มายาเงียบไป หากกบฏไร้พิษสงจริงทำไมถึงยังเคลื่อนไหวมาจนทุกวันนี้ พวกนั้นไม่เคยหยุดคิดที่จะทำลายราชวงศ์อนันตรา แม้กลุ่มจะเสื่อมอำนาจ จำนวนคนและกองกำลังไปนานแล้วก็ตาม

 

“เพราะงั้นข้าถึงคิดว่าควรมีการเปลี่ยนแปลง ให้หน่วยพยัคฆ์กร้าวของอาเธอร์มารับช่วงแทน ส่วนเจ้าก็ไปพักซะ”

 

มายาพยักหน้ารับคำสั่ง ไม่มีคำพูดโต้ตอบหรือเหตุผลใดๆ มาแย้งได้อีก หรือเธอจะใจอ่อนให้กับพวกนั้นแล้วจริงๆ หรือเธอจะติดเชื้อร้ายอย่างที่อาเธอร์ว่า แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องกันนะ ความรู้สึกนี้มันคืออะไร

 

 

 

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง การประชุมยังคงเป็นหัวข้อเดิมแต่มายาไม่ได้อยู่ในเนื้อหาส่วนที่เหลืออีกแล้ว หญิงสาวได้รับแค่หน้าที่จิปาถะเล็กน้อย งานส่วนใหญ่เป็นเพียงการเก็บตกคดีของมือปราบที่ปิดไม่ลง

 

หน่วยพยัคฆ์กร้าวของอาเธอร์นั้นมีสมาชิกกว่าสองร้อยคน มากพอจะทำงานใหญ่ตามแผนที่ออตโต้วางไว้ได้ คราวนี้พวกเขาเปลี่ยนวิธีใหม่ตั้งใจจะขุดรากถอนโคนกบฏให้สิ้นซาก โดยจะใช้การทำงานสองรูปแบบ ทั้ง‘ทุบ’ ทั้ง‘ทำลาย’ เป็นคำพูดสื่อความที่ดูเหมือนจะมีแค่ออตโต้กับอาเธอร์เท่านั้นที่เข้าใจ

 

“เรื่องนี้ทำให้ข้าทะเลาะกับทางการบางหน่วยงานไปซะเยอะ แต่ในที่สุดเราก็ได้อภิสิทธิ์จัดการเรื่องนี้ได้ตามใจชอบ ขอเพียงกวาดล้างพวกมันได้”

 

“ก็ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอใช้วิธีการตามแบบฉบับของข้า” ชายตัวใหญ่ยักษ์กล่าวอย่างนึกสนุก

 

“แล้วแต่เจ้า”

 

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากปากของออตโต้แล้ว อาเธอร์ก็ยิ้มอย่างถูกใจ พลางเลียริ้มฝีปากแล้วหันไปจ้องหน้าของมายา

 

 

 

หน่วยอินทรีเงาของโลกิที่มีสมาชิกกว่าร้อยคน แต่ละคนมีสายข่าวที่เป็นเครือข่ายของตนเองแยกต่างหากอีก โครงสร้างหน่วยที่คล้ายกับรังแมงมุมนี้โยงใยอยู่ทั่วอาณาจักร ครอบคลุมทุกพื้นที่จนไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาโลกิไปได้ ด้วยจำนวนคนกว่าหมื่นคนทำให้หน่วยอินทรีเงาเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดของหน่วยลับทั้งสี่

 

“ถือว่าทำได้ดีมากโลกิ เจ้าเป็นแมงมุมที่ชักใยได้เก่งไม่เบา” คำชมจากออตโต้ ที่หากใครไม่รู้คงนึกว่าเป็นคำพูดแดกดัน

 

“ข้าเป็นอินทรี หาใช่แมงมุม” โลกิตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“หาข่าวต่อไป ครั้งนี้เล่นบุกหอสมุดหลวงชิงเอาแผนที่ไปดื้อๆ คงมีแผนใหญ่เตรียมจะทำอะไรเร็วๆ นี้แน่”

 

โลกิพยักหน้ารับคำสั่งอย่างว่าง่าย นับเป็นอีกคนที่ไม่เคยทำงานพลาด ทุกข่าวที่ออกมาจากปากชายผู้นี้ล้วนเชื่อถือได้ทั้งสิ้น

 

“ส่วนท่าน คาลอส” ออตโต้หันไปมองยังชายชราที่นั่งเงียบอยู่นาน ไม่พูดจาใดๆ เลยตั้งแต่เริ่มการประชุม “ดูเหมือนหน่วยของท่านจะทำหน้าที่ได้หละหลวมในช่วงที่ท่านไม่อยู่ ทำให้แผนที่วังหลวงถูกขโมยไปได้”

 

“เรื่องนั้นข้าทราบแล้ว และจะสืบหาตัวคนที่สมคบคิดกับพวกกบฏมาลงโทษให้ได้” ชายชราตอบด้วยท่าทีใจเย็น

 

“หน่วยของท่านสำคัญที่สุด หอสมุดหลวงมีหน้าที่จดบันทึกประวัติศาสตร์ของอาณาจักรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังต้องเก็บรักษาบันทึกโบราณเหล่านั้น ไม่ให้ถูกทำลายหรือถูกขโมยไป” น้ำเสียงดุดันที่เอื้อนเอ่ยเป็นการย้ำเตือนให้ผู้ฟังตระหนักถึงหน้าที่ของตน

 

คาลอสเพียงนั่งฟังอย่างสงบไม่มีท่าทีเคร่งเครียดใดๆ แม้หน่วยของตนจะเพิ่งถูกลูบคมไปครั้งใหญ่ก็ตาม

 

หน่วยเต่าแห่งปราชญ์เป็นหน่วยเดียวที่ไม่ต้องเน้นทักษะการต่อสู้ในการทำงาน ใช้เพียงมันสมองเท่านั้นในการเก็บรักษาประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่หาความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน เช่นการผ่าตัด การรักษา การใช้ยา การใช้สมุนไพร การผลิตอาวุธ การทอผ้า การประดิษฐ์ เครื่องจักร การต่อเรือ การปลูกพืช การประมง การสร้างเขื่อน เป็นต้น ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกบันทึกและเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดหลวง

 

หน่วยนี้จึงเป็นเพียงหน่วยเดียวที่ไม่อาจเรียกหน่วยลับได้เต็มปาก เพราะมีการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะอย่างปกติ หลายปีมานี้ได้ตั้งศูนย์การแพทย์เพื่อช่วยเหลือและให้ความรู้ผู้คนในด้านต่างๆ อีกด้วย

 

 

 

“ภารกิจต่อไปของแต่ละหน่วยอยู่ในซอง นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วพวกเจ้ากลับไปพักเถอะ” ออตโต้แจกซองภารกิจให้แล้วลุกขึ้นยืน

 

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมกันแล้วลุกขึ้นตาม ก่อนจะโค้งศีรษะเป็นการเคารพ แล้วแยกย้ายกันกลับ

 

“มายา เจ้าอยู่ก่อน” คำสั่งจากน้ำเสียงมีอำนาจ ทำให้เธอต้องรีบหยุดขาของตัวเอง

 

“ค่ะ ท่านผู้บัญชาการ”

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าสงสัย”

 

“ข้าเข้าใจดี หน่วยข้ามีกันแค่สิบสองคน เทียบกับหน่วยพยัคฆ์ที่มีคนมากกว่าสองร้อย ย่อมทำงานได้ประสิทธิภาพมากกว่า” มายากล่าวจากใจจริง

 

“เรื่องประสิทธิภาพข้ามั่นใจในตัวเจ้า ไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งเจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยตั้งแต่แรก” ชายวัยกลางคนขยับตัวเข้ามาใกล้ พลางยื่นมือมาจะลูบศีรษะของหญิงสาว “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

 

แต่มายากลับรีบถอยห่างพร้อมคุกเข่าลงกลับพื้นอย่างรวดเร็ว

 

“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยที่ท่านแต่งตั้งเองกับมือ ไม่ใช่เด็กห้าขวบอีกแล้ว โปรดอย่าห่วงข้าเลย” เธอก้มหน้ากล่าวกับบุรุษผู้เป็นทั้งผู้บัญชาการและมีศักดิ์เป็นอาจารย์ในวัยเด็กของตน

 

ชายตรงหน้าที่ยั้งมือของตนเองไว้ได้ทันก้มลงมองหญิงสาวอย่างพินิจ หรือเขาจะเข้มงวดกับเธอจนเกินไปจนทำให้เด็กน้อยที่ร่าเริงแจ่มใสในวันนั้น เติบโตขึ้นมาเย็นชาไร้ใจถึงเพียงนี้

 

“จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร ถึงยังไงเจ้าก็เป็นน้องสาวของนาง ไม่ว่าข้าจะเข้มงวดกับเจ้าแค่ไหนแต่ก็ยังต้องคอยสอดส่องความเป็นอยู่เจ้าเสมอ อะไรที่มันอันตรายเกินไป ข้าก็ทำใจให้เจ้าไปเสี่ยงไม่ได้” คำพูดที่สื่อถึงใครบางคนทำให้คนฟังชะงักไป

 

“หากท่านเจอนาง บอกนางด้วยว่าข้าสบายดี” น้ำเสียงไร้ความรู้สึกนี้บ่งบอกว่าผู้พูดไม่มี ‘ใจ’ ให้คนที่พวกเขากำลังพูดถึงเลยสักนิด

 

“เจ้าไม่ได้ไปเจอนางนานแค่ไหนแล้ว”

 

มายาเงียบไม่ตอบ เธอโตแล้วและมีชีวิตเป็นของตัวเองอย่างที่’ นาง’ ต้องการ เหตุใดถึงยังคอยตามรบกวนชีวิตเบื้องหลังของเธอเรื่อยมา

 

“หากท่านไม่มีเรื่องใดจะสั่งเพิ่มแล้ว ข้าขอตัวก่อน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา