หน่วยลับมังกรทมิฬ (The black Dragon Team)

-

เขียนโดย Yuanjinxia

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 19.26 น.

  18 ตอน
  3 วิจารณ์
  5,637 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 20.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทนำ

 

คะแนน.......10.......

 

ผู้ตรวจ...... Master Carlos........

 

สรุปประวัติศาสตร์มนุษย์ทั้งสี่เผ่าพันธุ์โดยสังเขป

 

ในอดีตกาลเนิ่นนานหลายหมื่นปีก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ท่ามกลางสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายและดำรงอยู่เรื่อยมา แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทั้งหมด ความหลากหลายและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะนี้ ทำให้มนุษย์ถูกแบ่งออกได้เป็นสี่เผ่าพันธุ์หลัก คือ มนุษย์ไพร มนุษย์รู ทับทิมมานและสุริยเทพ

 

มนุษย์ไพรมีรูปร่างลักษณะสันทัด ผิวมีหลากหลายพรรณ เช่น ขาวเหลือง ขาวซีด ดำแดงและผิวแทน เป็นต้น ดวงตาและสีผมมีทั้งดำเข้ม ดำน้ำตาล น้ำตาลเข้มไล่ระดับไปจนถึงน้ำตาลอ่อนและน้ำตาลประกายทอง

 

ในอดีตมักจะอาศัยอยู่ในป่าเป็นหลัก ก่อนจะค่อยๆ วิวัฒนาการตนเองออกมาใช้ชีวิตตามทุ่งหญ้ากว้างและสร้างหมู่บ้านเกิดเป็นชุมชนเล็กๆ ขึ้น ภายหลังจึงเริ่มมีภาษาเขียน สร้างเงินตราและการค้าขาย นับได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเจริญเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าพันปี

 

แตกต่างจากมนุษย์รูที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ไพรมากแต่ร่างกายค่อนข้างเล็กกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ยังคงใช้ชีวิตในถ้ำเป็นหลักหรือขุดโพรงตามเนินเขาใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวเล็กๆ มักไม่ค่อยรวมกลุ่มกันเป็นชุมชน ยังคงหาอาหารด้วยวิธีการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่าเป็นหลัก

 

เวลาผ่านไปมนุษย์รูเริ่มถูกรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยมากขึ้น ถูกขับไล่และทำร้ายเพื่อแย่งชิงเขตแดน ในปัจจุบันนี้ไม่มีใครพบเห็นมานานกว่าพันปีคาดว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

 

เผ่าพันธุ์สุริยเทพ เป็นการตั้งชื่อเรียกให้โดยมนุษย์ไพรที่สรรเสริญพวกเขาเหล่านี้ประดุจเทพเจ้า ด้วยความพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้ที่มีผิวกายขาวเหลืองและเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนมีรัศมีโดยรอบเมื่อต้องแสงอาทิตย์ เส้นผมสีทองเป็นเงาวาว ดวงตามีทั้งสีฟ้า น้ำเงิน เขียวและอำพัน มีพละกำลังมหาศาล ว่ากันว่าพวกเขากำเนิดมาบนโลกใบนี้ก่อนที่จะมีมนุษย์กลุ่มใดเกิดขึ้น มีอายุยืนนานกว่าทุกเผ่าพันธุ์ เทียบกับสายน้ำที่เหือดแห้งไปนับร้อยครั้งพวกเขาก็ยังคงไม่แก่ บ้างก็ว่าพวกเขามีพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ตามใจ

 

แม้จะมีความพิเศษเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบ แต่เผ่าพันธุ์นี้กลับรักสันโดษและชอบปลีกตัวเองไปอาศัยอยู่ตามหุบเขาสูงทำให้พบเห็นตัวได้ยาก มีแค่บางส่วนที่ยังทำการค้าแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ไพร เป็นที่น่าเสียดายนักที่ในปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเผ่าพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าใกล้เคียงเทพเจ้าที่สุดอีกแล้ว

 

กลุ่มชนสุดท้ายที่เคยยิ่งใหญ่มากในอดีตและมีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าใคร คือเผ่าพันธุ์มณีมานที่มีวิวัฒนาการรวดเร็ว มีรูปร่างที่สะโอดสะองงดงามทั้งชายหญิง ผิวกายสีทองแดงอมชมพู เส้นผมและดวงตามีสีแดงเป็นเอกลักษณ์

 

มณีมานมีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมและร่ำรวยอัญมณีเงินทอง พวกเขาสร้างสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่มากมาย รวมถึงสร้างพระราชวังทองคำให้เป็นที่พำนักแก่กษัตริย์ มีการกักตุนเสบียงอาหารจนล้นยุ้งฉาง ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีแม้ในยามที่ภัยพิบัติมาเยือน

 

ครั้งหนึ่งเกิดเหตุน้ำท่วมหนักในพื้นที่ลุ่มตอนกลาง มนุษย์ไพรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจึงได้ส่งคำร้องขอไปยังผู้นำของมณีมานให้ช่วยเหลือเรื่องเสบียง แต่ทว่าพวกเขากลับเพิกเฉยต่อคำขอทำให้มีมนุษย์ไพรตายจากอุทกภัยครั้งนั้นนับแสนคน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างสองเผ่าพันธุ์นี้ แต่เหล่ามนุษย์ไพรไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมณีมานมีสิ่งที่เป็นดั่งพรจากพระเจ้านั่นคือ ‘เวทมนตร์’

 

เมื่อความศิวิไลซ์แผ่ขยายและความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด มณีมานเริ่มรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของมนุษย์ไพรจนเกิดการสู้รบขึ้น แน่นอนว่าเหล่ามนุษย์ไพรพ่ายแพ้ พวกเขาไม่สามารถเอาชนะพลังและกองทัพที่เกรียงไกรของมณีมานได้

 

เวลาต่อมาผู้นำของมนุษย์ไพรได้ส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากสุริยเทพ ที่มีกำลังมากพอจะต่อต้าน ในตอนแรกพวกเขาเลือกที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งในสงครามนี้ แต่แล้วก็มีอันต้องเปลี่ยนใจ เมื่อมณีมานได้เข้ามารุกรานในดินแดนของสุริยเทพ ทำให้มีคนตายจากเหตุนี้จำนวนมาก

 

ผู้นำของสุริยเทพไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าร่วมสู้ จนก่อเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยเผชิญมา เรียกสงครามใหญ่ในครั้งนั้นว่า ‘สงครามเทพพิโรธ’ เนื่องจากเผ่าพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่สุดสองเผ่าพันธุ์เข้าห้ำหั่นกันจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ โดยมีมนุษย์ไพรคอยให้การช่วยเหลืออยู่ฝั่งสุริยเทพ

 

สงครามกินเวลายาวนานกว่าหนึ่งร้อยปีโดยที่มณีมานใกล้จะชนะ เพราะมีทั้งจำนวนคนและทรัพยากรที่มากกว่า แต่ในที่สุดก็เกิดจุดพลิกผันใหญ่ขึ้น

 

มนุษย์ไพรได้สืบจนล่วงรู้ความลับที่สำคัญเกี่ยวกับอัญมณีสีแดงบนอกของมณีมาน หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘ทับทิมเลือด’ ที่เป็นต้นกำเนิดพลังเวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์นี้

 

จุดเปลี่ยนของสงครามใหญ่ในครั้งนั้นคือ มนุษย์ไพรช่วยกันนำร่างไร้วิญญาณของมณีมานมาและผ่าเอาทับทิมเลือดเพื่อใช้สำหรับการต่อสู้ ผลลัพธ์จึงเปลี่ยนกลับมาทางฝั่งของสุริยเทพและมนุษย์ไพรที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง

 

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีตัวแปรที่สำคัญอย่างเวทมนตร์เข้าช่วย แต่ฝ่ายสุริยเทพที่มีพละกำลังมหาศาลและความทนทานในการสู้รบมากกว่า ทำให้สงครามที่กินระยะเวลายาวนานกว่าร้อยปีนี้ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายมณีมาน

 

ควันหลงจากสงคราม มนุษย์ไพรที่ยังเหลืออยู่มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นโกรธแค้นอย่างหนักและได้ไล่สังหารมณีมานจนหมดสิ้นไปในที่สุด ส่วนสุริยเทพที่แต่เดิมก็มีคนน้อยมากอยู่แล้วในเผ่าพันธุ์นี้ก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก

 

เวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์สุริยเทพค่อยๆ ล้มตายอย่างไม่มีเหตุผล บ้างก็ว่าเป็นเพราะความโศกเศร้าที่ต้องเสียคนรักจากสงครามและเพราะอายุขัยที่ยืนนานเกินไป ทำให้พวกเขาตัดสินใจจบชีวิตที่น่าเศร้านี้ลง

 

หลังสิ้นสุดเหตุการณ์สงครามเทพพิโรธในครั้งนั้นได้ผ่านมากว่าห้าร้อยปีแล้ว มนุษย์ไพรกลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ยังคงดำรงอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะไร้ซึ่งพันธมิตรที่คอยเกื้อหนุนกันมาตลอดอย่างสุริยเทพ แต่พวกเขาก็สามารถสร้างอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาใหม่และกระจายความยิ่งใหญ่ออกไปจนครอบคลุมทั้งทวีป ‘อนาเซีย’ ภายใต้ราชวงศ์ ‘อนันตรา’ ที่ก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากสงครามใหญ่ยุติลง

 

 

วันที่12 เดือน12 อ.ศ.528

ผู้บันทึก เจ้าหน้าที่มายา

ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝึกหัด สังกัดหน่วยเต่าแห่งปราชญ์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา