หัวใจรักเร้นวิญญาณ
เขียนโดย ไอรินรดาดาว
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 14.36 น.
แก้ไขเมื่อ 29 กันยายน พ.ศ. 2565 19.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่ 7 หญิงสาวในภาพถ่าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชาลิสาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าตัวเธอยังนอนอยู่บนพื้นเย็นๆ ของคฤหาสน์เหมือนเดิม ขณะเดียวกันเธอเองก็พบว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวได้เปลี่ยนไป
“นี่มันเวลาไหนแล้วนะ?” ชาลิสาพยุงตัวลุกขึ้น ความรู้สึกไม่สบายเหมือนแต่ก่อนหายเป็นปลิดทิ้ง เธอนึกแปลกใจที่ทำไมถึงไม่มีคนมาช่วยปลุกหรือพยุงเธอลุกขึ้นจากที่ที่ไม่สมควรจะนอน อย่างเช่นทางขึ้นบันไดที่เธอพลัดตกลงมาตรงนี้
ชาลิสาเดินไปห้องครัวเพื่อชงกาแฟและหานมร้อนดื่มเหมือนตามปกติที่เคยทำ ทันทีที่เธอสัมผัสกับสิ่งของก็ต้องตกใจ
“ไม่ขยับ!!!”
สิ่งของเหล่านั้นแข็งติดอยู่กับที่ ทั้งแก้วใบโปรดของเธอ ปุ่มกดกาน้ำร้อน มือจับตู้เย็น และทุกๆ อย่าง เธอตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง
“ตึก ตึก ตึก…”
ใครสักคนหนึ่งกำลังรีบเดินเข้ามาภายในห้องครัว คุณป้าแม่บ้านนั่นเอง เธออยู่ในชุดสีดำดูรีบร้อนพรุ่งมาตรงที่เธอยืนอยู่
“ฟุ่บ….”
คุณแม่บ้านผ่านร่างของเธอไปอย่างง่ายดาย รอบตัวเธอมีละอองเรืองแสงกระจายออกแล้วค่อยๆ ปลิวกลับเข้ามายังร่างของเธอ ชาลิสายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูละอองแสงเหล่านั้นกลับเข้ามาที่มือของเธอด้วยแววตาที่สับสน
คุณป้าแม่บ้านถือกระเป๋าเงินที่ลืมไว้ตรงข้างเตาไมโครเวฟ พลางมองซ้ายแลขวา มือข้างหนึ่งของเธอจับและลูบไปที่ต้นแขนอีกข้างอย่างหนาวเหน็บ สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวยิ่งนัก
ชาลิสาเริ่มจับต้นชนปลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆได้ …”เธอตายแล้ว…ใช่หรือเปล่า? ชาลิสา”
ถึงแม้จะรับรู้ความจริงในเวลานี้ แต่เธอก็ไม่เข้าใจนักว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหน
ชาลิสาตามคุณป้าแม่บ้านไปขึ้นรถ ที่มีลุงคนขับรถของบ้านรัตนบดินทร์จอดรออยู่ภายนอกคฤหาสน์ ด้วยที่เธอเกรงว่าคุณป้าแม่บ้านจะมีอาการขนลุกอีก เธอจึงแอบไปนั่งที่เบาะหลัง ด้วยความเคยชินชาลิสาจับมือดึงของประตูรถ แต่อนิจจา…ไอ้เจ้ามือดึงมันไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย เธอตั้งสติและพยายามคิดว่า ฉันต้องเปิดให้ได้…. และก็ได้ผล เธอสามารถเปิดประตูรถและเข้ามานั่งได้สำเร็จ
“เรียบร้อยแล้วนะยาย ไม่ลืมอะไรแล้วนะ”
ลุงสุขคนขับรถของบ้านรัตนบดินทร์พูดพลางหันหลังมาดูเมื่อเสียงประตูรถปิด แต่ก็พบว่าเบาะหลังมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของป้าแม่บ้านที่ลุงเข้าใจว่าขึ้นมาบนรถ ลุงสุขถึงกับหน้าถอดสี
“ป่ะแก ไปกันเถอะ”
ป้าแม่บ้านเปิดประตูรถพร้อมเข้ามานั่งด้านหน้าคู่คนขับ เล่นเอาลุงสุขร้องจ๊ากด้วยความตกใจ
“โอ้ย…หัวใจจะวายนะแม่”
ลุงสุขเอามือกุมไว้ที่หน้าอกเสื้อ และถอนหายใจไปพลาง
“อะไรของแกห๊ะ รีบไปวัดกันเถอะ ยิ่งอยู่ยิ่งวังเวงยังไงไม่รู้นะบ้านหลังนี้”
ป้าแม่บ้านบอกให้คนขับรีบออกรถ ทั้งสองคุยกันเบาๆ ไปตลอดทาง
“ฉันจะตายได้ยังไง ในเมื่อฉันยังมีความรู้สึกไม่ต่างกับตอนที่มีชีวิตอยู่”
ชาลิสานึกค้านอยู่ในใจ สายตาของเธอมองไปนอกหน้าต่างรถ ทิวทัศน์ต่างๆ ข้างทางในย่านที่เธออาศัยอยู่ ก็ยังเหมือนเดิมจนถึงตอนนี้เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเธอได้ตายกลายเป็นผีไปแล้ว
เพราะในเวลานี้ เธอไม่ได้รู้สึกต่างอะไรกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย เพียงแค่สัมผัสไม่ได้ และไม่มีใครมองเห็นเท่านั้นเอง
รถของบ้านรัตนบดินทร์เคลื่อนตัวเข้ามายังลานจอดรถของบริเวณวัดอย่างช้าๆ คราวนี้ชาลิสารีบมุดออกทางประตูหน้า เพราะแรงอธิษฐานในการจับสิ่งของของเธอมันไม่เป็นผลเหมือนตอนจับมือดึงประตูรถอีกแล้ว
ชาลิสารีบออกจากประตูรถอย่างทุลักทุเล ไม่ต่างอะไรกับตอนที่มีชีวิตอยู่เลย ความสามารถหนึ่งเดียวของเธอตอนนี้คือการที่สามารถผ่านทะลุตัวคนได้ แต่ไม่สามารถหยิบจับอะไรได้อย่างใจ หรือแม้แต่ทะลุสิ่งของหรือกำแพงก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกได้ และนั่นทำให้เธอเชื่อว่า
“ฉันต้องยังไม่ตาย…”
เธอเดินไปยังศาลาวัดช้าๆ สถานที่ที่มีการจัดงานขาวดำที่น่าจะเป็นงานของเธอ บรรยากาศตอนนี้ช่างเงียบเหงา อาจจะเป็นช่วงบ่ายที่ยังไม่มีพิธีการใดๆ ในศาลาแห่งนี้
“เราต้องเข้าไปอยู่ในงาน จะได้รู้สักที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่”
เธอคิดได้ดังนั้น ก็เดินขึ้นไปยังบันไดทางเข้า ที่ๆ มีรูปใบหนึ่งตั้งอยู่ รูปที่ประดับด้วยดอกไม้ และหญิงสาวในภาพก็คือเธอ
“ไม่จริง…นี่มันรูปฉันนี่!!!”
ชาลิสาใช้มือเรียวของเธอลูบไปที่กรอบรูป และใบหน้าของหญิงสาวภายในภาพด้วยนัยน์ตาที่เบิกกว้าง ภายในหัวของเธอนั้นสับสนจนคิดอะไรแทบไม่ออก เวลานี้เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว ราวกับว่าเธอยังมีร่างกายและมีชีวิต
ภายในศาลาวัดมีชาวบ้าน 2-3 คนกำลังเตรียมข้าวของสำหรับคืนนี้ ตรงที่นั่งด้านหลังมีผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันเบาๆ เธอมองไปรอบๆ ก็รู้ได้ว่าทุกคนไม่ได้สนใจหญิงสาวในชุดนอนแขนยาวสีขาวคนนี้แม้แต่น้อย
เมื่อเธอเดินดูสิ่งของภายในงาน ป้ายชื่อ คำไว้อาลัยต่างๆ ที่ระบุชื่อของเธอ ทำให้เธอแทบจะอ่อนยวบ ทรุดลงไปนั่งอยู่เสียตรงนั้น ในเวลานี้เธอมั่นใจแล้วว่าเธอได้อยู่ในสภาพของผีหรือวิญญาณที่ใครๆ ต่างเอาไว้ใช้เรียกชื่อของชีวิตหลังความตาย แต่เธอรู้ดีว่าในตอนนี้โศกเศร้าไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ห้วงความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับเรื่องเดียว นั่นคือสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เธอต้องเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรนี้
ชาลิสาเดินไปรอบๆ ตามผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในศาลาแห่งนี้ น่าเสียดายที่แต่ละกลุ่มสนทนากลับไม่พูดคุยสิ่งที่เธอต้องการจะรู้เอาเสียเลย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจัดงานและขั้นตอนพิธีทางศาสนา เธอมองไปยังโลงที่แกะสลักลวดลายสวยงาม
“หน้าตาเรา สภาพร่างกายของเราตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ?”
ชาลิสานึกสงสัย เพราะมันอาจจะเป็นเบาะแสอีกอย่างหนึ่งถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอที่ตอนนี้เธออยากจะรู้มากๆ ทันใดนั้นเธอรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่ หญิงสาวรีบหันไปทางต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้กับศาลา ช่างเป็นต้นไม้ใหญ่ที่วังเวงแต่น่าเกรงขามเสียเหลือเกิน เธอไม่รีรอที่จะเดินไปตามหาสายตาคู่นั้น
“คุณเป็นใครคะ แล้ว…คุณมองเห็นฉันด้วยเหรอ?”
ชาลิสายิงคำถามกับร่างหนึ่งที่นั่งหันหลังให้เธอ ณ ต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ น่าแปลกที่เธอสามารถสัมผัสถึงสายลมที่พัดมา ทำให้ผมนุ่มยาวสยายของเธอปลิวไปตามริ้วลม ร่างของคนผู้นี้ค่อยๆ หันมาช้าๆ ตามเสียงของเธอ
………………………..
ถึงช่วงสอบปลายภาคก็จะมีลงๆ หยุดๆ นะคะ ตอนต่อไปนางเอกของเราก็พอจะมีเพื่อนกับเขาบ้างละค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ