แด่เธอ...สุดที่รัก
10.0
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
21 ตอน
1 วิจารณ์
10.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) หวั่นไหว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพอทั้งห้องตั้งสติกันได้ก็เริ่มมีเสียงแซวจากหลังห้อง
“ฮิ้ว~ เอาแล้วเว้ยย จีบกันไม่สนใจพวกกูเลยย” เสียง ฮือฮา เริ่มดังขึ้น
“มึงพูดอะไรวะ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“นี่ไง มึงก็เลิกดึงหูกูละ ว้าย~”
มันพูดเสร็จก็วิ่งออกนอกห้องไป โดนมันหลอกแล้วไง
“ไอ้กาย!!! กลับมาเลยนะมึง นี่มึงจะโดดเรียนอีกแล้วเหรอวะ”
“มันก็เรื่องของกู”
ไอ้นี่ เป็นภาระกูจริงๆ กายกับฉันกัดกันแบบนี้อยู่เป็นประจำ ซึ่งเราสองคนรู้ดีว่าถึงปากเราจะร้ายใส่กันตลอดแต่ลึกๆ ในใจต่างก็เป็นห่วงกัน ในสายตาคนนอกที่มองเข้ามามันเป็นคนเกเรที่ไร้อนาคตคนหนึ่ง ขนาดพ่อกับแม่มันยังพากันเอือมระอา ก็คงจะมีแต่ฉันคนเดียวที่เข้าใจมันและเชื่อว่าเนื้อแท้มันเป็นคนดีคนหนึ่ง เพียงแต่มันแค่อยากให้พ่อแม่สนใจบ้าง เลยสร้างแต่เรื่องให้พ่อแม่มาที่โรงเรียน สำหรับกายที่ใครพูดก็ไม่ฟังแต่ฉันรู้สึกว่ามันฟังและทำตามฉันเสมอ ก็แค่ไม่อยากเสียหน้าเลยชอบทำตัวขวางโลกไว้ก่อนแต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่ฉันบอกอยู่ดี
“คุณประธานนักเรียน จัดการกายได้ไหม”
“ไม่ได้ค่ะครู มันโดดเรียนไปแล้ว”
“ขนาดแพรวยังจัดการไม่ได้ เฮ้อ~ ใครก็เอือมระอา ไม่รู้อนาคตมันจะเป็นยังไงเลยนะ” ฉันยิ้มเจื่อน ไปยังครูคณิตศาสตร์ที่กำลังจะเริ่มสอนคาบแรก เอาจริงๆ ฉันก็แอบห่วงมัน ไม่เห็นมันจะสนใจเรียนหรือพูดถึงการสอบเข้ามหาลัยเลยสักครั้ง
แต่ว่าเหมือนฉันลืมอะไรไปเลยแฮะ
“ฟ้า กูลืมอะไรไปปะวะ”
“มึงลืมเจมส์”
เออ จริงด้วยว่าจะอธิบายเรื่องรักการอ่าน
“มึงทำเอาเทพบุตรของกู ยืนตาค้างไปไม่เป็นเลยนะ”
“แหะๆ กูไม่ได้ลืม แต่กูลืมจริงๆ”
"มึงไปเรียงประโยคใหม่ก่อนไหมเพื่อน"
ฉันหันไปมองเจมส์ แต่ก็ไม่อยู่ซะแล้ว สงสัยไปเข้าห้องน้ำมั้ง ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเลยไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เจมส์ถามอีก อีกอย่างฝ่ายนั้นดูก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องงานที่ต้องทำขนาดนั้นไม่งั้นคงมาถามซ้ำแล้วแหละ
หลังจากเปิดเรียนมาไม่นาน ความแคลงใจของฉันที่มีต่อเจมส์ด้วยสาเหตุที่เข้ามากลางเทอมก็หมดไป เพราะเจมส์ดูแสนดีจริงๆ ตอนนี้เจมส์เริ่มเป็นที่รักของครูอาจารย์ และรุ่นน้อง (แน่ละก็หล่อปานเทพบุตรซะขนาดนั้น) ยังไงก็คงไม่มีพิษมีภัยแน่ แต่นับวันฉันยิ่งรู้สึกว่าเจมส์พยายามที่จะเข้าใกล้ฉันมากขึ้น แถมมองมาที่ฉันตลอดเวลา เรื่องของเรื่องก็คือฉันเองก็สงสัยในพฤติกรรมของเจมส์ เลยแอบมองไปทางเจมส์บ่อยๆ (ว่าง่ายๆ คือฉันก็แอบส่องเขาเหมือนกัน) และทุกครั้งที่มองไป หรือแม้ว่าจะมองผ่านกระจก เจมส์ก็สบตากับฉันอยู่ตลอด ถ้าสัญชาตญาณหญิงของฉันมันยังใช้งานได้อยู่ ฉันว่าเจมส์สนใจบางอย่างในตัวฉัน แต่ฉันเองก็ยังไม่กล้าคุยกับเจมส์มากนัก อาจเป็นเพราะความสุภาพและความหล่อปานเทพบุตร ทำให้เวลาจ้องหน้าเจมส์พานจะทำให้แก้มขาวๆ ของฉันขึ้นริ้วแดง จนไอ้ฟ้ามันต้องแซวทุกครั้งไป เวลาเจมส์คุยด้วยเลยค่อนข้างอึดอัดจะพูดโผงผางแบบที่คุยกับกายกับฟ้าก็ไม่ได้ ฉันเลยกลายเป็นคนเรียบร้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเจมส์ แต่ที่น่าเบื่อก็คือทุกครั้งที่เจมส์เดินมาหาต้องมาในสภาพที่ทำให้ฉันตกใจอยู่ตลอดเวลา
“ทำอะไรครับ”
เหมือนตอนนี้เป็นต้น พูดยังไม่ทันขาดคำก็เอาอีกแล้ว จริงๆ ฉันก็เริ่มชินกับการเข้าหาของเจมส์แล้วแหละ บางทีฉันก็รู้สึกว่าฉันอาจจะไปสร้างความน่าอิจฉาให้ใครหลายๆ คนก็ได้ เพราะเจมส์เป็นคนที่พูดน้อยแต่กลับเข้ามาคุยกับฉันก่อนเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องหยิบจับช่วยเพื่อนทำกิจกรรมหรือช่วยครูหยิบยกของรายนี้ทำได้ไม่เกี่ยง ผิดกับอีกคนราวฟ้ากับเหว "ไม่เอาล่ะครูห้องคณิตมีตุ๊กตานางรำ เข้าไปตอนนี้ผีหลอกแย่เลย เอาแพรวไปเป็นเพื่อนด้วยนะ เนี่ยผมยกคนเดียวไม่ไหว" นั่นแหละถ้าเป็นไอ้กายมันก็คงจะพูดแบบนี้แล้วลากฉันให้ไปเป็นเพื่อนแน่ๆ แต่กับเจมส์ไม่เป็นแบบนั้น เจมส์ว่านอนสอนง่ายกว่ามากครูเลยเอ็นดูเป็นพิเศษ ติดแค่ว่าเวลาเพื่อนในห้องชวนคุยด้วยก็ไม่ค่อยคุยถามคำตอบคำ เอะอะเอาแต่นอน แต่กับฉันเขาปฏิบัติต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“ก็ทำการบ้านคณิตศาสตร์”
“เราขอลอกหน่อยได้ไหม”
ที่ชื่นชมมาก็มีข้อเสียนะ เจมส์ ไม่ตั้งใจเรียนเอาเลย วันๆ เอาแต่นอน ไม่นอนก็หันมามองฉัน ตั้งแต่มาอยู่โรงเรียนนี้ เจมส์เคยมองกระดานบ้างไหมนะ
“ดะ…”
“แพรว การบ้านนี่กูขอลอกนะ” กายพูดจบก็ดึงสมุดไปจากโต๊ะฉันแบบเด็กเอาแต่ใจ
“ไอ้กาย เอามาก่อนกูยังขีดเส้นบรรทัดสุดท้ายไม่เสร็จเลย”
“เดี๋ยวกูขีดให้ แล้วกูส่งให้ด้วย”
วันนี้ฉันไม่มีแรงจะสู้กับกายจริงๆ ปวดหัวหนักมาก เหมือนไมเกรนจะขึ้นสงสัยเพราะเพ่งกับการส่องสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในคาบชีวะ มากจนเกินไป ไม่ชอบตัวเองเวลาปวดไมเกรนเลย ทรมานสุดๆ แต่ก็ต้องฝืนว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
ฉันเลยได้แค่หันมามองเจมส์ตาปริบๆ และยิ้มเจื่อนให้ไปหนึ่งที
“ไม่เป็นไรครับ” เจมส์ยิ้มหวานให้อีกตามเคย
ช่วงพักกลางวันที่เพื่อนไปกินข้าวกัน ฉันแอบฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ คนเดียว แค่บอกฟ้าไปว่า "ไม่กินข้าวนะวันนี้กูง่วงเมื่อคืนอ่านหนังสือดึกขอนอนตอนกลางวันก่อน"
10 นาที ผ่านไป “เป็นอะไรหรือเปล่า” จะเรียกว่าเสียงนรกหรือเสียงสวรรค์ ดีนะ
ฉันเงยหน้ามองไปตามเสียง เห็นเจมส์นอนอยู่หลังห้อง (เสียงสวรรค์ก็ได้เอ้า) ใจก็คิดว่า ตานี่ นอนในคาบไม่พอ กลางวันก็ยังมานอนอยู่ตรงนี้อีกเนี่ยนะ แล้วทำไมต้องมาอยู่ในห้องช่วงพักเที่ยงเอาวันนี้ วันที่ฉันไม่อยากคุยกับใครเลย ฉันอยากนอนพัก
“ไม่เป็นอะไร แค่ง่วง”
ปากบอกแค่ง่วง แต่ร่างกายตอนนี้ปวดหัวจนสะท้านไปทั้งตัวแล้ว
“บอกหน่อยได้ไหมว่าป่วยตรงไหน”
คนพูด พูดพลางคุกเข่าเพื่อก้มมาดูฉันที่เอาหน้าฟุบอยู่ที่โต๊ะ เฮ้อ~ให้ตายพูดไม่ฟังเลยหรือไง บอกว่าง่วง
“แค่ง่วง ขอนอนก่อนนะ”
อย่ามากวนฉันตอนนี้เลยเจมส์ คาบบ่ายเหลืออีกตั้งหลายคาบถ้าไม่นอนสักนิดให้ดีขึ้นมีหวังได้ไปนอนเล่นที่ห้องพยาบาลแน่ กลิ่นในห้องพยาบาล เป็นกลิ่นที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันไม่อยากไปนอนดมกลิ่นยาที่นั่นนะ
“ถ้าไม่บอกเราจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้”
งั้นก็เรื่องของเจมส์เลยแล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันเลยฟุบหลับตาไปโดยไม่รู้เลยว่าสายตาคู่นั้นมองมาอย่างเป็นห่วง
เสียงจ้อกแจ้ก จอแจของนักเรียนเริ่มเดินกลับเข้ามาในห้องหลังช่วงเวลาพักเที่ยง แต่อาการปวดหัวของฉันเหมือนไม่ทุเลาเลยสักนิดมีแต่จะปวดมากกว่าเดิม เห็นอะไรก็เวียนหัวคลื่นไส้ไปหมด (ฉันไม่ได้ท้องนะคะคุณผู้อ่าน แต่เวลาเป็นไมเกรนมันจะทำให้ปวดหัวพร้อมคลื่นไส้อยู่แล้ว) ฉันลืมตาขึ้นมาช้าๆ แบบฝืนตัวเอง แล้วก็เห็น ขนมปังหนึ่งชิ้นกับนมหนึ่งกล่อง พร้อมยาแก้ปวดหัวไมเกรน 1 แผง วางที่โต๊ะ พร้อมกระดาษโน้ตเล็กๆ บอกว่า
-ต้องกินนะครับ ต่อให้ไม่บอกว่าเป็นอะไร ผมก็รู้ว่าคุณไม่สบาย-
ที่น่าแปลกใจคือ รู้ได้ไงว่าฉันกินยี่ห้อนี้มีแต่กายที่รู้ว่าฉันเป็นไมเกรนและต้องกินยาตัวไหนหรือบังเอิญร้านขายยามียี่ห้อเดียว แล้วรู้ได้ไงว่าเราเป็นไมเกรน
และแปลกใจกว่าอันข้างบนก็คือ คำพูดแทนตัวเองกับผู้อื่น ใช้คุณกับผมเหรอ อะไรเนี่ย ฉันผู้ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุณกับผม บอกเลยว่าปวดหัวหนักกว่าเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงมาก เพราะเจมส์ใส่ใจฉันจริงๆ เราไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ฉันมองไปหาเจมส์ แล้วเจมส์ก็ชี้ไปที่ของที่โต๊ะ ทำท่ากินขนมปังใส่ฉัน มีเสน่ห์สุดๆ เรียกได้ว่าฉันคือคนที่โชคดีที่สุดเลยก็ได้มั้ง ยิ่งพักหลังๆ เจมส์เริ่มเป็นที่หมายปองของสาวๆ เกือบทั้งโรงเรียนเลยก็ว่าได้ อกสาวๆ พวกนั้นต้องแตกตายแน่ถ้ารู้ว่าเจมส์แสนดีขนาดไหน ฉันได้มองตาปริบๆ และขยับปากบอกว่าขอบคุณนะโดยไม่ส่งเสียงให้คนรอบข้างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากได้ยาแก้ปวดของเจมส์ไป อาการก็พอจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้หายสนิทเพราะอาการไมเกรนกว่าตัวยาจะออกฤทธิ์ต้องใช้เวลา ที่จริงอาการแบบนี้ก็ไม่ได้มากวนใจฉันหลายเดือนแล้วฉันเลยเลิกพกยาไป
ช่วงที่ฉันจะกลับบ้าน เจมส์วิ่งมาหาฉันตรงประตูหน้าโรงเรียน
“กลับไปพักผ่อนนะครับ อย่าให้ป่วยอีกนะ”
แสนดีไปอีก พ่อคุณ
“ค่ะ” ฉันพูดเพราะในรอบกี่ปีเนี่ย ก็บรรยากาศ และคนพูดด้วยมันพาไป
“นึกว่าจะตอบว่า 'เออ' แบบที่ชอบคุยกับกายซะอีก”
“ทำมาแซว เจมส์พูดดีกับเรา เราก็พูดดีตอบไอ้พวกนั้นมันกวนประสาท ให้ไปพูดดีด้วยพวกมันก็ได้ใจตาย”
“จะคุยแบบที่คุยกับกายก็ได้นะ ดูสนิทกันดี”
“เจมส์อยากสนิทกับเราเหรอ”
“ครับ ถ้าแพรวยอมให้สนิทด้วยนะ”
“อืม... เราก็ไม่ได้ติดอะไรนี่”
“ไอ้ แพรว วันนี้แม่กูชวนมึงกลับไปกินข้าวบ้าน” เรื่องขัดจังหวะ นี่เก่งนัก
“วันนี้ไม่ไหวว่ะ กูมึนหัว อยากกลับไปพัก”
“แม่กูทำของโปรดมึงรอเลยนะเว้ย เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว” นั่นของที่มึงชอบไม่ใช่ของชอบกูละ กวนประสาทได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานี้ มึงก็ไม่ดูสภาพกูเลย เคยสนใจคนรอบข้างบ้างไหมเนี่ย
“โอ๊ย กูไม่ไหวกูจะกลับบ้าน”
“กาย ให้แพรวไปพักเถอะ” ใช่เจมส์ช่วยเอาไอ้กายออกไปที
“ไอ้นี่มันใครวะ สั่งกูได้ด้วยเหรอ”
“กายกูขอล่ะ มึงเห็นสภาพกูไหม”
“โอเค มึงไม่ต้องไปกินข้าวบ้านกู แต่มึงต้องไปกับกู”
“กาย แพรวไม่สบาย พอเถอะเดี๋ยวเราจะไปส่งแพรวเอง”
“มึงนี่ชอบสั่งคนนะ ทำไม นี่เพื่อนกู กูดูแลเอง มึง! เลิก! ยุ่ง!”
เสียงกายแบบนี้ ปะทะแน่ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไอ้กายหาเรื่องเจมส์แน่
“ไอ้กาย หยุด มึงเคยห่วงกูบ้างไหม หรือห่วงแต่จะเอาชนะ มึงบอกเป็นเพื่อนกู กูไม่สบายมึงยังไม่หยุดอีกเหรอ”
“มึงไปกับกู ก็จบแล้วปะ”
“กู! จะ! กลับ! บ้าน!!!!”
พูดแล้วฉันก็เดินทิ้งห่างออกไป แต่ไม่วายไอ้กายคนเอาแต่ใจ ก็มาคว้าแขนชั้นแล้วลากฉันให้ไปกับมัน
“ไอ้กาย!!! วันนี้มึงเป็นอะไร” เสียงฉันดังพอสมควรด้วยความโมโห
ผลัวะ!!! ตัวของกาย เซไปด้านหลังอย่างแรง
“เฮ้ย!!! กาย”
ฉันรีบวิ่งไปหากาย แล้วหันไปทางต้นทางของหมัดเมื่อกี้
“เจมส์!!!”
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ฉันอึ้งไปสักพัก ก่อนที่กายจะลุกขึ้นมา สวนหมัดตอบกลับไป
“กาย!!! เจมส์!!! หยุด!!”
ผลัวะ… ผลัวะ… ทุกคนต่อยกันแบบเชื่อฟังในคำสั่งของฉันมาก เฮ้ย! ไม่ใช่สิ กูสั่งให้หยุด ไม่ได้สั่งให้ต่อยกัน โหย~ ไอ้พวกนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!!!!”
ฝ่ายปกครองจอมโหดเดินเข้ามาห้ามทัพ ตายหมู่กันแน่ งานนี้ไม่รอดแม้กระทั่งฉัน เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ แล้วฉันผู้อยู่ในเหตุการณ์ 100% แทนที่จะได้กลับไปนอนพักที่บ้าน คราวนี้ฉันเลยได้กลับไปห้องฝ่ายปกครองแทน
“เกิดอะไรขึ้น แพรว”
“เอ่อ…คือ…”
“มันต่อยผมก่อน”
“ฉันถามใคร”
ครูฝ่ายปกครองสวนกลับทันที ตอนนี้ห้องปกครองแอร์เย็นมาก ฉันจะตอบยังไงดีนะ ให้ทั้งคู่ไม่โดนโทษหนัก
“คือ…”
“แพรวไม่สบายครับอาจารย์ แล้วกายไม่ยอมฟังยืนยันจะให้แพรวกลับบ้านกับตัวเอง จนลากแพรวที่ป่วยอยู่ให้ไปด้วย ผมทนไม่ไหวเลย..”
“ใช้กำลัง แทนที่จะแก้โดยวิธีอื่น”
“ครับ เรื่องนี้ผมผิด แต่กับบางคนผมคิดว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่อง”
เฉียบ... เจมส์ นายเป็นคนเฉียบมาก ระหว่างที่ฉันหันไปมองที่เจมส์ ก็มีอีกฝ่ายเดือดดาลอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากฉัน
“หน็อย… เอาอีกสักทีไหมมึง”
“ต่อหน้าฉันแกยังไม่กลัวอีกเหรอ ฮะ!!!”
ฝ่ายปกครองตวาดขึ้นพร้อมกับเอาแฟ้มรายงานพฤติกรรมเขกหัวกาย ฉันเลยรีบเข้าไปห้ามไอ้กาย กระซิบให้มันหยุด เพราะวีรกรรมของมันที่มีเรื่องเตะต่อยไปทั่ว จนตอนนี้ บอกเลยว่าแต้มบุญมันน่าจะไม่เหลือแล้ว
ฉันกระซิบเบา “มึง ถ้าไม่หยุด กูจะโทรหาพ่อมึงแล้วนะ”
คงจะเป็นคนเดียวละมั้งที่มันพอจะกลัวอยู่บ้าง วันนี้กายแปลกๆ นะ เป็นอะไรของมัน งอแงเป็นเด็กไปได้
“เอาล่ะ ถือว่าสร้างความวุ่นวายกันทั้งคู่ ครูจะลงโทษเธอให้อยู่ทำความสะอาดโรงยิม ด้วยกัน 1 สัปดาห์”
กาย ฉัน เจมส์ มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก 1 สัปดาห์ โรงเรียนเราต้องถึงจุดจบแน่
ฉันกระซิบเบา “มึง 1 สัปดาห์อย่าให้ถึงขั้นเผาโรงเรียนเลยนะ ให้กูจบ ม.6 ก่อน”
กายกระซิบเบา “วันเดียวเท่านั้นแหละ”
ฉันกระซิบเบา “ฮะ!! มึงจะเผาโรงเรียนตั้งแต่วันแรกเลย”
กายกระซิบเบา “มึงจะบ้าหรือไง กูจะโดดตั้งแต่วันแรกต่างหาก ทำความสะอาดบ้าอะไร กูคนสกปรก”
แล้วมันใช่เวลามาพูดเล่นไหมไอ้กาย
“กระซิบอะไรกัน แพรวครูขอเตือนนะ อย่าไปให้ท้ายมันมากนักนะ”
ฉันรีบหยุดพูดและยืนก้มหน้า ใครๆ ก็รู้ว่า ฉันแอบให้ท้ายกายอยู่ลึกๆ ถึงคนภายนอกจะดูว่ากัดกันอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
“ไป ไป ทำความสะอาดโรงยิมได้ละ แพรว ถ้าเป็นห่วงไอ้กายมัน ครูทำโทษทั้ง 3 คนเลยก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้หนูไม่ห่วงใครเลยค่ะ”
ตอนนี้ต่อมอะดรีนาลีนของฉันคงทำงานได้ดีมาก เหมือนยาแก้ปวดของเจมส์ที่กินไปออกฤทธิ์เต็มที่ อาการปวดหัวแทบหายไปหมดแล้ว ต้องขอบคุณเจมส์ที่ช่างสังเกตอาการ แถมซื้อยาได้อย่างถูกต้อง ซื้อยา ซื้อยาเนี่ยนะ! แล้วเจมส์จะออกไปซื้อยาได้ยังไง (หรือบังเอิญเป็นโรคเดียวกัน และบังเอิญกินยาตัวเดียวกันด้วย บังเอิญพกยามา มันจะบังเอิญเกินไปไหม) แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะก็โรงเรียนนี้มีกฎห้ามนักเรียนออกจากโรงเรียนในช่วงเวลาที่มีการเรียนการสอน แม้ช่วงพักกลางวันนักเรียนก็ต้องอยู่ภายในรั้วโรงเรียนเท่านั้น นอกจากฉันแล้วจะมีก็แค่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ทางออกจากโรงเรียนนี้โดยไม่มีใครเห็นแม้กระทั่งกล้องวงจรปิดก็จับไม่ได้นั่นก็คือ....กาย
“ฮิ้ว~ เอาแล้วเว้ยย จีบกันไม่สนใจพวกกูเลยย” เสียง ฮือฮา เริ่มดังขึ้น
“มึงพูดอะไรวะ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“นี่ไง มึงก็เลิกดึงหูกูละ ว้าย~”
มันพูดเสร็จก็วิ่งออกนอกห้องไป โดนมันหลอกแล้วไง
“ไอ้กาย!!! กลับมาเลยนะมึง นี่มึงจะโดดเรียนอีกแล้วเหรอวะ”
“มันก็เรื่องของกู”
ไอ้นี่ เป็นภาระกูจริงๆ กายกับฉันกัดกันแบบนี้อยู่เป็นประจำ ซึ่งเราสองคนรู้ดีว่าถึงปากเราจะร้ายใส่กันตลอดแต่ลึกๆ ในใจต่างก็เป็นห่วงกัน ในสายตาคนนอกที่มองเข้ามามันเป็นคนเกเรที่ไร้อนาคตคนหนึ่ง ขนาดพ่อกับแม่มันยังพากันเอือมระอา ก็คงจะมีแต่ฉันคนเดียวที่เข้าใจมันและเชื่อว่าเนื้อแท้มันเป็นคนดีคนหนึ่ง เพียงแต่มันแค่อยากให้พ่อแม่สนใจบ้าง เลยสร้างแต่เรื่องให้พ่อแม่มาที่โรงเรียน สำหรับกายที่ใครพูดก็ไม่ฟังแต่ฉันรู้สึกว่ามันฟังและทำตามฉันเสมอ ก็แค่ไม่อยากเสียหน้าเลยชอบทำตัวขวางโลกไว้ก่อนแต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่ฉันบอกอยู่ดี
“คุณประธานนักเรียน จัดการกายได้ไหม”
“ไม่ได้ค่ะครู มันโดดเรียนไปแล้ว”
“ขนาดแพรวยังจัดการไม่ได้ เฮ้อ~ ใครก็เอือมระอา ไม่รู้อนาคตมันจะเป็นยังไงเลยนะ” ฉันยิ้มเจื่อน ไปยังครูคณิตศาสตร์ที่กำลังจะเริ่มสอนคาบแรก เอาจริงๆ ฉันก็แอบห่วงมัน ไม่เห็นมันจะสนใจเรียนหรือพูดถึงการสอบเข้ามหาลัยเลยสักครั้ง
แต่ว่าเหมือนฉันลืมอะไรไปเลยแฮะ
“ฟ้า กูลืมอะไรไปปะวะ”
“มึงลืมเจมส์”
เออ จริงด้วยว่าจะอธิบายเรื่องรักการอ่าน
“มึงทำเอาเทพบุตรของกู ยืนตาค้างไปไม่เป็นเลยนะ”
“แหะๆ กูไม่ได้ลืม แต่กูลืมจริงๆ”
"มึงไปเรียงประโยคใหม่ก่อนไหมเพื่อน"
ฉันหันไปมองเจมส์ แต่ก็ไม่อยู่ซะแล้ว สงสัยไปเข้าห้องน้ำมั้ง ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเลยไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เจมส์ถามอีก อีกอย่างฝ่ายนั้นดูก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องงานที่ต้องทำขนาดนั้นไม่งั้นคงมาถามซ้ำแล้วแหละ
หลังจากเปิดเรียนมาไม่นาน ความแคลงใจของฉันที่มีต่อเจมส์ด้วยสาเหตุที่เข้ามากลางเทอมก็หมดไป เพราะเจมส์ดูแสนดีจริงๆ ตอนนี้เจมส์เริ่มเป็นที่รักของครูอาจารย์ และรุ่นน้อง (แน่ละก็หล่อปานเทพบุตรซะขนาดนั้น) ยังไงก็คงไม่มีพิษมีภัยแน่ แต่นับวันฉันยิ่งรู้สึกว่าเจมส์พยายามที่จะเข้าใกล้ฉันมากขึ้น แถมมองมาที่ฉันตลอดเวลา เรื่องของเรื่องก็คือฉันเองก็สงสัยในพฤติกรรมของเจมส์ เลยแอบมองไปทางเจมส์บ่อยๆ (ว่าง่ายๆ คือฉันก็แอบส่องเขาเหมือนกัน) และทุกครั้งที่มองไป หรือแม้ว่าจะมองผ่านกระจก เจมส์ก็สบตากับฉันอยู่ตลอด ถ้าสัญชาตญาณหญิงของฉันมันยังใช้งานได้อยู่ ฉันว่าเจมส์สนใจบางอย่างในตัวฉัน แต่ฉันเองก็ยังไม่กล้าคุยกับเจมส์มากนัก อาจเป็นเพราะความสุภาพและความหล่อปานเทพบุตร ทำให้เวลาจ้องหน้าเจมส์พานจะทำให้แก้มขาวๆ ของฉันขึ้นริ้วแดง จนไอ้ฟ้ามันต้องแซวทุกครั้งไป เวลาเจมส์คุยด้วยเลยค่อนข้างอึดอัดจะพูดโผงผางแบบที่คุยกับกายกับฟ้าก็ไม่ได้ ฉันเลยกลายเป็นคนเรียบร้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเจมส์ แต่ที่น่าเบื่อก็คือทุกครั้งที่เจมส์เดินมาหาต้องมาในสภาพที่ทำให้ฉันตกใจอยู่ตลอดเวลา
“ทำอะไรครับ”
เหมือนตอนนี้เป็นต้น พูดยังไม่ทันขาดคำก็เอาอีกแล้ว จริงๆ ฉันก็เริ่มชินกับการเข้าหาของเจมส์แล้วแหละ บางทีฉันก็รู้สึกว่าฉันอาจจะไปสร้างความน่าอิจฉาให้ใครหลายๆ คนก็ได้ เพราะเจมส์เป็นคนที่พูดน้อยแต่กลับเข้ามาคุยกับฉันก่อนเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องหยิบจับช่วยเพื่อนทำกิจกรรมหรือช่วยครูหยิบยกของรายนี้ทำได้ไม่เกี่ยง ผิดกับอีกคนราวฟ้ากับเหว "ไม่เอาล่ะครูห้องคณิตมีตุ๊กตานางรำ เข้าไปตอนนี้ผีหลอกแย่เลย เอาแพรวไปเป็นเพื่อนด้วยนะ เนี่ยผมยกคนเดียวไม่ไหว" นั่นแหละถ้าเป็นไอ้กายมันก็คงจะพูดแบบนี้แล้วลากฉันให้ไปเป็นเพื่อนแน่ๆ แต่กับเจมส์ไม่เป็นแบบนั้น เจมส์ว่านอนสอนง่ายกว่ามากครูเลยเอ็นดูเป็นพิเศษ ติดแค่ว่าเวลาเพื่อนในห้องชวนคุยด้วยก็ไม่ค่อยคุยถามคำตอบคำ เอะอะเอาแต่นอน แต่กับฉันเขาปฏิบัติต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“ก็ทำการบ้านคณิตศาสตร์”
“เราขอลอกหน่อยได้ไหม”
ที่ชื่นชมมาก็มีข้อเสียนะ เจมส์ ไม่ตั้งใจเรียนเอาเลย วันๆ เอาแต่นอน ไม่นอนก็หันมามองฉัน ตั้งแต่มาอยู่โรงเรียนนี้ เจมส์เคยมองกระดานบ้างไหมนะ
“ดะ…”
“แพรว การบ้านนี่กูขอลอกนะ” กายพูดจบก็ดึงสมุดไปจากโต๊ะฉันแบบเด็กเอาแต่ใจ
“ไอ้กาย เอามาก่อนกูยังขีดเส้นบรรทัดสุดท้ายไม่เสร็จเลย”
“เดี๋ยวกูขีดให้ แล้วกูส่งให้ด้วย”
วันนี้ฉันไม่มีแรงจะสู้กับกายจริงๆ ปวดหัวหนักมาก เหมือนไมเกรนจะขึ้นสงสัยเพราะเพ่งกับการส่องสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในคาบชีวะ มากจนเกินไป ไม่ชอบตัวเองเวลาปวดไมเกรนเลย ทรมานสุดๆ แต่ก็ต้องฝืนว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
ฉันเลยได้แค่หันมามองเจมส์ตาปริบๆ และยิ้มเจื่อนให้ไปหนึ่งที
“ไม่เป็นไรครับ” เจมส์ยิ้มหวานให้อีกตามเคย
ช่วงพักกลางวันที่เพื่อนไปกินข้าวกัน ฉันแอบฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ คนเดียว แค่บอกฟ้าไปว่า "ไม่กินข้าวนะวันนี้กูง่วงเมื่อคืนอ่านหนังสือดึกขอนอนตอนกลางวันก่อน"
10 นาที ผ่านไป “เป็นอะไรหรือเปล่า” จะเรียกว่าเสียงนรกหรือเสียงสวรรค์ ดีนะ
ฉันเงยหน้ามองไปตามเสียง เห็นเจมส์นอนอยู่หลังห้อง (เสียงสวรรค์ก็ได้เอ้า) ใจก็คิดว่า ตานี่ นอนในคาบไม่พอ กลางวันก็ยังมานอนอยู่ตรงนี้อีกเนี่ยนะ แล้วทำไมต้องมาอยู่ในห้องช่วงพักเที่ยงเอาวันนี้ วันที่ฉันไม่อยากคุยกับใครเลย ฉันอยากนอนพัก
“ไม่เป็นอะไร แค่ง่วง”
ปากบอกแค่ง่วง แต่ร่างกายตอนนี้ปวดหัวจนสะท้านไปทั้งตัวแล้ว
“บอกหน่อยได้ไหมว่าป่วยตรงไหน”
คนพูด พูดพลางคุกเข่าเพื่อก้มมาดูฉันที่เอาหน้าฟุบอยู่ที่โต๊ะ เฮ้อ~ให้ตายพูดไม่ฟังเลยหรือไง บอกว่าง่วง
“แค่ง่วง ขอนอนก่อนนะ”
อย่ามากวนฉันตอนนี้เลยเจมส์ คาบบ่ายเหลืออีกตั้งหลายคาบถ้าไม่นอนสักนิดให้ดีขึ้นมีหวังได้ไปนอนเล่นที่ห้องพยาบาลแน่ กลิ่นในห้องพยาบาล เป็นกลิ่นที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันไม่อยากไปนอนดมกลิ่นยาที่นั่นนะ
“ถ้าไม่บอกเราจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้”
งั้นก็เรื่องของเจมส์เลยแล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันเลยฟุบหลับตาไปโดยไม่รู้เลยว่าสายตาคู่นั้นมองมาอย่างเป็นห่วง
เสียงจ้อกแจ้ก จอแจของนักเรียนเริ่มเดินกลับเข้ามาในห้องหลังช่วงเวลาพักเที่ยง แต่อาการปวดหัวของฉันเหมือนไม่ทุเลาเลยสักนิดมีแต่จะปวดมากกว่าเดิม เห็นอะไรก็เวียนหัวคลื่นไส้ไปหมด (ฉันไม่ได้ท้องนะคะคุณผู้อ่าน แต่เวลาเป็นไมเกรนมันจะทำให้ปวดหัวพร้อมคลื่นไส้อยู่แล้ว) ฉันลืมตาขึ้นมาช้าๆ แบบฝืนตัวเอง แล้วก็เห็น ขนมปังหนึ่งชิ้นกับนมหนึ่งกล่อง พร้อมยาแก้ปวดหัวไมเกรน 1 แผง วางที่โต๊ะ พร้อมกระดาษโน้ตเล็กๆ บอกว่า
-ต้องกินนะครับ ต่อให้ไม่บอกว่าเป็นอะไร ผมก็รู้ว่าคุณไม่สบาย-
ที่น่าแปลกใจคือ รู้ได้ไงว่าฉันกินยี่ห้อนี้มีแต่กายที่รู้ว่าฉันเป็นไมเกรนและต้องกินยาตัวไหนหรือบังเอิญร้านขายยามียี่ห้อเดียว แล้วรู้ได้ไงว่าเราเป็นไมเกรน
และแปลกใจกว่าอันข้างบนก็คือ คำพูดแทนตัวเองกับผู้อื่น ใช้คุณกับผมเหรอ อะไรเนี่ย ฉันผู้ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุณกับผม บอกเลยว่าปวดหัวหนักกว่าเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงมาก เพราะเจมส์ใส่ใจฉันจริงๆ เราไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ฉันมองไปหาเจมส์ แล้วเจมส์ก็ชี้ไปที่ของที่โต๊ะ ทำท่ากินขนมปังใส่ฉัน มีเสน่ห์สุดๆ เรียกได้ว่าฉันคือคนที่โชคดีที่สุดเลยก็ได้มั้ง ยิ่งพักหลังๆ เจมส์เริ่มเป็นที่หมายปองของสาวๆ เกือบทั้งโรงเรียนเลยก็ว่าได้ อกสาวๆ พวกนั้นต้องแตกตายแน่ถ้ารู้ว่าเจมส์แสนดีขนาดไหน ฉันได้มองตาปริบๆ และขยับปากบอกว่าขอบคุณนะโดยไม่ส่งเสียงให้คนรอบข้างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากได้ยาแก้ปวดของเจมส์ไป อาการก็พอจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้หายสนิทเพราะอาการไมเกรนกว่าตัวยาจะออกฤทธิ์ต้องใช้เวลา ที่จริงอาการแบบนี้ก็ไม่ได้มากวนใจฉันหลายเดือนแล้วฉันเลยเลิกพกยาไป
ช่วงที่ฉันจะกลับบ้าน เจมส์วิ่งมาหาฉันตรงประตูหน้าโรงเรียน
“กลับไปพักผ่อนนะครับ อย่าให้ป่วยอีกนะ”
แสนดีไปอีก พ่อคุณ
“ค่ะ” ฉันพูดเพราะในรอบกี่ปีเนี่ย ก็บรรยากาศ และคนพูดด้วยมันพาไป
“นึกว่าจะตอบว่า 'เออ' แบบที่ชอบคุยกับกายซะอีก”
“ทำมาแซว เจมส์พูดดีกับเรา เราก็พูดดีตอบไอ้พวกนั้นมันกวนประสาท ให้ไปพูดดีด้วยพวกมันก็ได้ใจตาย”
“จะคุยแบบที่คุยกับกายก็ได้นะ ดูสนิทกันดี”
“เจมส์อยากสนิทกับเราเหรอ”
“ครับ ถ้าแพรวยอมให้สนิทด้วยนะ”
“อืม... เราก็ไม่ได้ติดอะไรนี่”
“ไอ้ แพรว วันนี้แม่กูชวนมึงกลับไปกินข้าวบ้าน” เรื่องขัดจังหวะ นี่เก่งนัก
“วันนี้ไม่ไหวว่ะ กูมึนหัว อยากกลับไปพัก”
“แม่กูทำของโปรดมึงรอเลยนะเว้ย เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว” นั่นของที่มึงชอบไม่ใช่ของชอบกูละ กวนประสาทได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานี้ มึงก็ไม่ดูสภาพกูเลย เคยสนใจคนรอบข้างบ้างไหมเนี่ย
“โอ๊ย กูไม่ไหวกูจะกลับบ้าน”
“กาย ให้แพรวไปพักเถอะ” ใช่เจมส์ช่วยเอาไอ้กายออกไปที
“ไอ้นี่มันใครวะ สั่งกูได้ด้วยเหรอ”
“กายกูขอล่ะ มึงเห็นสภาพกูไหม”
“โอเค มึงไม่ต้องไปกินข้าวบ้านกู แต่มึงต้องไปกับกู”
“กาย แพรวไม่สบาย พอเถอะเดี๋ยวเราจะไปส่งแพรวเอง”
“มึงนี่ชอบสั่งคนนะ ทำไม นี่เพื่อนกู กูดูแลเอง มึง! เลิก! ยุ่ง!”
เสียงกายแบบนี้ ปะทะแน่ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไอ้กายหาเรื่องเจมส์แน่
“ไอ้กาย หยุด มึงเคยห่วงกูบ้างไหม หรือห่วงแต่จะเอาชนะ มึงบอกเป็นเพื่อนกู กูไม่สบายมึงยังไม่หยุดอีกเหรอ”
“มึงไปกับกู ก็จบแล้วปะ”
“กู! จะ! กลับ! บ้าน!!!!”
พูดแล้วฉันก็เดินทิ้งห่างออกไป แต่ไม่วายไอ้กายคนเอาแต่ใจ ก็มาคว้าแขนชั้นแล้วลากฉันให้ไปกับมัน
“ไอ้กาย!!! วันนี้มึงเป็นอะไร” เสียงฉันดังพอสมควรด้วยความโมโห
ผลัวะ!!! ตัวของกาย เซไปด้านหลังอย่างแรง
“เฮ้ย!!! กาย”
ฉันรีบวิ่งไปหากาย แล้วหันไปทางต้นทางของหมัดเมื่อกี้
“เจมส์!!!”
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ฉันอึ้งไปสักพัก ก่อนที่กายจะลุกขึ้นมา สวนหมัดตอบกลับไป
“กาย!!! เจมส์!!! หยุด!!”
ผลัวะ… ผลัวะ… ทุกคนต่อยกันแบบเชื่อฟังในคำสั่งของฉันมาก เฮ้ย! ไม่ใช่สิ กูสั่งให้หยุด ไม่ได้สั่งให้ต่อยกัน โหย~ ไอ้พวกนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!!!!”
ฝ่ายปกครองจอมโหดเดินเข้ามาห้ามทัพ ตายหมู่กันแน่ งานนี้ไม่รอดแม้กระทั่งฉัน เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ แล้วฉันผู้อยู่ในเหตุการณ์ 100% แทนที่จะได้กลับไปนอนพักที่บ้าน คราวนี้ฉันเลยได้กลับไปห้องฝ่ายปกครองแทน
“เกิดอะไรขึ้น แพรว”
“เอ่อ…คือ…”
“มันต่อยผมก่อน”
“ฉันถามใคร”
ครูฝ่ายปกครองสวนกลับทันที ตอนนี้ห้องปกครองแอร์เย็นมาก ฉันจะตอบยังไงดีนะ ให้ทั้งคู่ไม่โดนโทษหนัก
“คือ…”
“แพรวไม่สบายครับอาจารย์ แล้วกายไม่ยอมฟังยืนยันจะให้แพรวกลับบ้านกับตัวเอง จนลากแพรวที่ป่วยอยู่ให้ไปด้วย ผมทนไม่ไหวเลย..”
“ใช้กำลัง แทนที่จะแก้โดยวิธีอื่น”
“ครับ เรื่องนี้ผมผิด แต่กับบางคนผมคิดว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่อง”
เฉียบ... เจมส์ นายเป็นคนเฉียบมาก ระหว่างที่ฉันหันไปมองที่เจมส์ ก็มีอีกฝ่ายเดือดดาลอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากฉัน
“หน็อย… เอาอีกสักทีไหมมึง”
“ต่อหน้าฉันแกยังไม่กลัวอีกเหรอ ฮะ!!!”
ฝ่ายปกครองตวาดขึ้นพร้อมกับเอาแฟ้มรายงานพฤติกรรมเขกหัวกาย ฉันเลยรีบเข้าไปห้ามไอ้กาย กระซิบให้มันหยุด เพราะวีรกรรมของมันที่มีเรื่องเตะต่อยไปทั่ว จนตอนนี้ บอกเลยว่าแต้มบุญมันน่าจะไม่เหลือแล้ว
ฉันกระซิบเบา “มึง ถ้าไม่หยุด กูจะโทรหาพ่อมึงแล้วนะ”
คงจะเป็นคนเดียวละมั้งที่มันพอจะกลัวอยู่บ้าง วันนี้กายแปลกๆ นะ เป็นอะไรของมัน งอแงเป็นเด็กไปได้
“เอาล่ะ ถือว่าสร้างความวุ่นวายกันทั้งคู่ ครูจะลงโทษเธอให้อยู่ทำความสะอาดโรงยิม ด้วยกัน 1 สัปดาห์”
กาย ฉัน เจมส์ มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก 1 สัปดาห์ โรงเรียนเราต้องถึงจุดจบแน่
ฉันกระซิบเบา “มึง 1 สัปดาห์อย่าให้ถึงขั้นเผาโรงเรียนเลยนะ ให้กูจบ ม.6 ก่อน”
กายกระซิบเบา “วันเดียวเท่านั้นแหละ”
ฉันกระซิบเบา “ฮะ!! มึงจะเผาโรงเรียนตั้งแต่วันแรกเลย”
กายกระซิบเบา “มึงจะบ้าหรือไง กูจะโดดตั้งแต่วันแรกต่างหาก ทำความสะอาดบ้าอะไร กูคนสกปรก”
แล้วมันใช่เวลามาพูดเล่นไหมไอ้กาย
“กระซิบอะไรกัน แพรวครูขอเตือนนะ อย่าไปให้ท้ายมันมากนักนะ”
ฉันรีบหยุดพูดและยืนก้มหน้า ใครๆ ก็รู้ว่า ฉันแอบให้ท้ายกายอยู่ลึกๆ ถึงคนภายนอกจะดูว่ากัดกันอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
“ไป ไป ทำความสะอาดโรงยิมได้ละ แพรว ถ้าเป็นห่วงไอ้กายมัน ครูทำโทษทั้ง 3 คนเลยก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้หนูไม่ห่วงใครเลยค่ะ”
ตอนนี้ต่อมอะดรีนาลีนของฉันคงทำงานได้ดีมาก เหมือนยาแก้ปวดของเจมส์ที่กินไปออกฤทธิ์เต็มที่ อาการปวดหัวแทบหายไปหมดแล้ว ต้องขอบคุณเจมส์ที่ช่างสังเกตอาการ แถมซื้อยาได้อย่างถูกต้อง ซื้อยา ซื้อยาเนี่ยนะ! แล้วเจมส์จะออกไปซื้อยาได้ยังไง (หรือบังเอิญเป็นโรคเดียวกัน และบังเอิญกินยาตัวเดียวกันด้วย บังเอิญพกยามา มันจะบังเอิญเกินไปไหม) แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะก็โรงเรียนนี้มีกฎห้ามนักเรียนออกจากโรงเรียนในช่วงเวลาที่มีการเรียนการสอน แม้ช่วงพักกลางวันนักเรียนก็ต้องอยู่ภายในรั้วโรงเรียนเท่านั้น นอกจากฉันแล้วจะมีก็แค่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ทางออกจากโรงเรียนนี้โดยไม่มีใครเห็นแม้กระทั่งกล้องวงจรปิดก็จับไม่ได้นั่นก็คือ....กาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ