แด่เธอ...สุดที่รัก
10.0
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
21 ตอน
1 วิจารณ์
10.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) รู้ทุกอย่าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"วางของทิ้งไว้ทั่วนึกว่าที่นี่เป็นบ้านหรือครับ" คนพูดบ่นพร้อมยื่นของมาให้ฉัน เจมส์แยกประสาทยังไงนะ คุยกับฉันก็พูดสุภาพ พอคุยกับกายก็หยาบตามประสาผู้ชาย
"ขอบคุณค่ะ เมื่อกี้มีเรื่องตกใจก็เลยลืม" ไม่น่าสงสัยในตัวเจมส์เพราะขนาดฉันยังแยกประสาทออกเลย คุยกับกายก็แบบหนึ่ง หันมาคุยกับเจมส์ก็อีกแบบหนึ่ง
"บอกแล้วไงให้มีสติ"
"มึงยังไม่กลับอีกเหรอ" กายพูดด้วยน้ำเสียง (เกือบ) ปกติ "มาได้จังหวะทุกทีเลยนะ"
"เปล่า กูกลับมาอีกรอบ"
"พ่อกูโทรไปบอกหรอ" กายพูดแปลกๆ เหมือนมีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเปล่า
"อืม"
"เฮ้อ..." กายพ่นลมหายใจออกจากปากก่อนจะเอามือประสานที่คอแล้วเอนหลังนอนลงไป
"ช่วยทำเหมือนว่าฉันยังอยู่ในห้องนี้หน่อยได้ไหม คืออะไร... ทำไมพ่อกายถึงต้องโทรไปบอกเจมส์ แล้วทำไมเจมส์ถึงรู้จักกับพ่อกาย"
"อ้อ...ขอโทษครับ พอดีพ่อกายเป็นผู้ปกครองของเรา"
"ฮะ!! นี่เป็นญาติกันเหรอ"
"เปล่า"
"แล้วคุณลุงจะเป็นผู้ปกครองเจมส์ได้ไง ไม่เห็นเคยบอกเลย"
"ก็แพรวไม่เคยถาม" มันก็จริงฉันไม่เคยสงสัยเลย อีกอย่างเจมส์กับกายก็ไม่เคยแสดงอาการว่ารู้จักกัน แต่ฉันสนิทกับกายมาตั้ง 10 ปี ไม่เคยเห็นเจมส์ที่บ้านกายเลยสักครั้งเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย "อึ้งอะไรครับ เรื่องมันยาว จะยืนคุยกันแบบนี้จริงเหรอ"
"อ้อ... นั่งๆ นั่งสิคะ"
"เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อกลางปีที่แล้วพ่อกับแม่เราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เราไม่มีญาติที่ไหนแล้วพ่อของกายก็เป็นเพื่อนรักกับพ่อเราดังนั้นพ่อกายเลยทำเรื่องเป็นผู้ปกครองให้เรา จบแล้วครับ" สรุปความได้ดีมากเจมส์ ว่าแต่นี่คือเรื่องยาวที่ต้องหาที่นั่งเพื่อคุยแน่นะ
"แบบนี้ทั้งคู่ก็รู้จักกันมาก่อนเหรอ" ฉันถามต่อด้วยความสงสัย
"ก็พึ่งมารู้เอาเมื่อไม่นานมานี้แหละ น่าจะช่วงก่อนกายจะหลบหน้าพวกเราไม่กี่สัปดาห์"
"ไม่ได้หลบโว้ย แค่ไม่ได้มาให้เห็นเฉยๆ"
เจมส์ส่ายหัวให้กับความคิดกาย "นั่นแหละเขาเรียกว่าหลบ"
"ไม่เห็นมึงเล่าให้กูฟังเลยกาย"
"ด้วยสภาพกูมีเวลาสนใจใครที่ไหนเล่า" เออกายมันก็พูดถูกของมัน
"อาละวาดอะไรล่ะ"
"ขอโทษนะ กูยังไม่พร้อมเล่า"
"งั้นก็ไม่ต้องเล่า"
"อ่าวเฮ้ย!! ไม่ยื้อกูหน่อยเหรอ"
"ก็มึงไม่อยากเล่าเอง"
"เอองั้นกูก็ไม่เล่า ไหนๆ มึงมาแล้วพาแพรวไม่หาอะไรกินอร่อยๆ ทีดิ ช่วงนี้กูกินอะไรไม่ได้" ดูมันดีแต่ผลักไสฉันให้คนอื่น
เจมส์ส่ายหน้า "อยู่ๆ มาเยี่ยมมึงแล้วให้กูกับแพรวไปหาของอร่อยกินกันสองคน ทิ้งมึงอยู่ห้องคนเดียว เป็นมึง มึงจะทำแบบนั้นเหรอ"
"เออ ถ้าเป็นกู กูทำ ก็กูไม่ได้แสนดีแบบมึงนี่"
"ถ้าไม่ติดว่าป่วย โดนอีกซักหมัดน่าจะดี"
หลังจากนั้นผู้ชายเขาก็คุยกันอย่าง (น่าจะ) สนุกสนาน ส่วนฉันที่เมื่อสักครู่นี้ยังเข้ามาปลอบคนบนเตียงเสมือนว่าฉันนั้นสำคัญกับกายหนักหนาตอนนี้ฉันเหมือนเป็นคนนอกซะอย่างนั้น ฉันนั่งฟังหนุ่มๆ เขาคุยเรื่องสัพเพเหระซึ่งตอนนี้มีทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของกาย ถ้าใจกายมีความสุขแบบที่กำลังแสดงออก ณ ตอนนี้คงจะดี แต่เห็นทีคงไม่ใช่ถึงจะยิ้มหรือหัวเราะดังแค่ไหน แววตาของกายมันปกปิดความเจ็บปวดไม่ได้เลย เจมส์ก็คงเห็นไม่ต่างซึ่งทั้งสามคนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
"แล้วมึงอย่าลืมสอบย้อนหลังด้วยล่ะ ถ้าสอบไหวนะ" สอบอะไร ก็กายลาออกแล้วนิ
"กายลาออกแล้ว คงหมดสิทธิ์สอบแล้วล่ะ"
"นี่มึงยังไม่พูดความจริงอีกเหรอ"
กายทำท่าเลิ่กลั่ก จนฉันพอจะเดาได้ว่า เรื่องลาออกก็โกหกสินะ
"กาย มีอะไรที่มึงยังไม่บอกกูอีกไหม"
"ถ้าที่กูจำได้ก็น่าจะหมดแล้ว แต่ถ้ามีมาอีกก็คงเป็นเรื่องที่กูจำไม่ได้" มันยอกย้อน
"เราสามคนต้องไปตามสอบย้อนหลัง สัปดาห์หน้า แต่สำหรับมึงครูเขาให้สอบออนไลน์ได้"
"ดีเลย คราวนี้กูจะสอนมึงเอง และมึงต้องสอบผ่านด้วย" ที่ผ่านมาพอบอกจะติวให้ ไม่ปวดหัวก็ตัวร้อนพาลเอาหิวข้าวท้องเสีย จนไม่ได้ติวหนังสือสักที ตานี้เจ้าตัวไปไหนไม่ได้คงหมดข้ออ้างซ่ะที
"งั้นสองคนก็ติวหนังสือกันที่นี่ไป เราค่อยมาติวด้วยก่อนสอบ 1 วันก็แล้วกัน" เจมส์มองหน้าฉันแบบไร้ความรู้สึกจนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บแบบบอกไม่ถูก
เปลี่ยนไปหมดเลยแฮะ ก่อนหน้านี้ฉันยังใจเต้นกับเจมส์อยู่แท้ๆ ส่วนเจมส์ก็เข้าหาฉันแบบไม่แคร์สายตาใคร ตอนนี้คนตรงหน้าถอยห่างออกไปอย่างชัดเจน หรือว่าเพราะคุณลุงเล่าให้ฟังแล้วว่ากายคิดอย่างไรกับเราก็เลยถอยห่างแบบนี้หรอ
ช่วงที่เราหมดเรื่องคุยทั้งสามคนต่างก็นั่งกันนิ่งๆ ไม่นานนักคนบนเตียงก็ผล็อยหลับไป คงเหนื่อยน่าดูงั้นปล่อยให้นอนไปเถอะ ฉันกับเจมส์เลยย่องออกมาคุยกันต่อนอกห้องแบบเงียบๆ
"หายดีแล้วใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ" ยังไงก็อดประหม่าเวลาคุยกับเจมส์ไม่ได้จริงๆ
"งั้น ถ้ากายสงบลงแล้วเราก็ขอตัวกลับก่อนนะครับ"
"เดี๋ยวสิ..." เจมส์หยุดเดินและมองมาที่ฉัน
"เจมส์รู้อะไรเกี่ยวกับกายบ้าง"
"รู้ไม่เท่าที่แพรวรู้หรอกครับ ไม่มีอะไรที่เราจะช่วยแพรวหาคำตอบได้"
"ค่ะ"
เหมือนฝ่ายถูกถามเมื่อสักครู่นี้จะรู้ว่าฝ่ายที่ถามมาอยากได้คำตอบที่ชัดเจน "แค่คุณลุงบอกว่าลูกชายอาละวาด และแพรวอยู่ในห้องกับลูกชายเขา เราก็เลยรีบมา" ฉันได้แต่พยักหน้าเพราะใจจริงอยากรู้เรื่องแม่ของกายมากกว่า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงกายก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
"งั้นผมกลับแล้วนะครับ อย่าคิดเยอะจนเกินไป อยู่กับปัจจุบันก็พอ อย่าให้ป่วยได้อีกนะ"
"ค่ะ"
"รู้ตัวไหมว่าสำคัญมากขนาดไหน"
"คะ?" เจมส์อยากจะพูดอะไรกันแน่
"ก็เป็นคนสำคัญของกายไง"
"ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ"
เจมส์ยืนหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ "ไม่เชื่อก็เปิดประตูตอนนี้เลย มีคนลุกจากเตียงมาแอบฟังแน่" เจมส์พูดยังไม่ขาดคำก็เปิดประตูในทันที
ผลัวะ.... ประตูเปิดออกพร้อมกับกายที่ยืนติดประตู ทำท่าละล่ำ ละ ลัก ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนดี
"ทำเป็นใจกว้างให้แพรวมากับกู สุดท้ายก็แอบฟัง"
"เปล่าสักหน่อย กูเดินมาเข้าห้องน้ำ ก็ห้องน้ำอยู่นี่ เนี่ยใกล้ประตูเลยเห็นไหม" ว่าแล้วคนพูดก็รีบเอามือชี้ที่ประตูห้องน้ำ
ฉันกับเจมส์อมยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่เจมส์จะกลับบ้าน เหลือก็แค่ฉันกับกายที่มองหน้ากัน
"ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้ว"
"กูไม่ง่วง"
"ไปลองนอนก่อนเดี๋ยวก็หลับ คืนนี้กูอยู่เป็นเพื่อนมึง เอง" คนฟังมีสีหน้าและแววตาที่ดีใจออกมาจริงๆ และเดินไปนอนที่เตียงของตัวเองแบบว่าง่าย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็คือฉันเอาข้าวของออกมานั่งทำงานข้างๆ เตียงกายเหมือนว่านี่คือโต๊ะทำงานที่บ้านตัวเอง โดยมีกายที่ปล่อยให้ทีวีดูตัวเองส่วนตัวเองหันมาดูฉันอยู่ตลอดเวลา
"ถ้าทีวีมันเปิดแล้วไม่มีประโยชน์ มึงก็ปิดแล้วนั่งดูกูทำงานอย่างเดียวดีไหม"
"มึง..."
"ว่าไง"
"กูง่วงแล้ว"
"ก็นอนสิ"
กายก็ล้มตัวนอนลง ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะต้องรีบปั่นงานต่อ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จหมดแล้ว การทำอาชีพสรุปเอกสารขายมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือฉันแทบจะไม่ต้องอ่านหนังสือสอบเลยเพราะยังไงก็ต้องอ่านมันทุกวันอยู่แล้วแถมเป็นการอ่านที่ได้เงินด้วย
"แพรว"
"ว่า" ฉันตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไม่มองฝ่ายที่กำลังพูดด้วย
"วันนี้..."
ฉันหยุดเขียนทันที แล้วหันไปมองหน้ากาย พร้อมที่จะคุยเรื่องวันนี้แล้วเหรอ
"พ่อกับ...แม่ ไม่สิ ผู้หญิงคนนั้น เขามาหากู"
ฉันหันกลับไปตั้งใจฟัง คงอยากเล่าแล้วสินะ
"เขา...บอกว่ากูต้องปลูกถ่ายไขกระดูก แต่กูไม่มีพี่น้อง ส่วนพ่อกูร่างกายไม่แข็งแรงพอจะบริจาคไขกระดูก"
"อื้อ แล้วไงต่อ" ฉันวางทุกอย่างลงแล้วหันไปตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ
"กู...ไม่รู้ว่ากูจะหายไหม" แววตากังวลปรากฏบนใบหน้ากายชัดเจนขึ้น
"เฮ้ย...มันรับบริจาคได้ หรือใช้ร่างกายเราเองปลูกถ่ายไขกระดูกก็ได้เหมือนกัน กูหาข้อมูลมาแล้ว"
"อืม แต่พิษเศรษฐกิจตอนนี้ สภาพคล่องของพ่อกูไม่ดีแบบเมื่อก่อน ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่ากูเป็นตัวปัญหา เขาบอกว่ายังไงก็จะไม่ช่วยกู" กายพูดพลางก้มหน้า
"แล้วคนที่มึงบอกว่าเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ล่ะ ที่บอกว่าเป็นญาติมึงเขาช่วยได้ไหม"
กายส่ายศีรษะแทนคำพูด
"เขาไม่ยอมช่วยเหรอ"
กายพยักหน้า ถ้าตามธรรมชาติการที่กายเอาแต่ส่ายหัวกับพยักหน้าแทนที่จะเอ่ยคำพูดออกมานั่นแปลว่าตอนนี้ถ้าพูดไปจะทำให้ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม
"แล้วค่าห้องกูที่พ่อมึงดูแลให้ เขามีเงินพอจะมาออกค่าห้องให้กูหรอ"
"อืม อันนั้นจัดการไปแล้ว เพียงแต่พ่อกูเค้ากำลังจะหย่ากับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งทรัพย์สินเป็นของผู้หญิงคนนั้นทั้งหมดยกเว้นบ้านที่กูอยู่ตอนนี้ พ่อกูกับกูก็เลยเหลือแค่เงินเก็บไม่มากนัก"
ฉันพยักหน้าและตั้งอกตั้งใจฟังต่อ
"ค่ารักษาพยาบาลกูแพงมาก ที่ผ่านมาพ่อกูดึงเงินเก็บออกมาใช้จ่ายกับค่ารักษาพยาบาลไปเยอะแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้ออกค่ารักษาอะไรให้กูหรอก ก็แหงล่ะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันนี่"
"แสดงว่า...ที่ผ่านมามึงก็รู้ว่าเค้าไม่ใช่แม่มึงหรอ"
"รู้ แต่แค่หน้าตาทางสังคม เขาก็เลยฝืนดีกับกูก็เท่านั้น" ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเจมส์เองไว้ ให้คลายมือที่กำผ้าห่มบนเตียงเอาไว้แน่น "กูก็แค่...คิดว่าอยู่กันมานานก็น่าจะเห็นกูเหมือนลูกเหมือนหลานบ้าง"
"มึงก็เลยโกรธเขาและต่อต้านโดยทำตัวแบบนั้นเหรอ"
กายพยักหน้า "เขาเกลียดกูมาตลอด แค่ไม่มีใครรู้" มันก็จริงขนาดเรายังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่แท้ๆ แถมไม่ชอบขี้หน้าลูกเลี้ยงคนนี้ด้วย
"รู้ว่าไม่ใช่แม่ตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ปีที่แล้ว ตอนพวกเขาทะเลาะกัน กูนอนอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดพวกเขาคงคิดว่ากูไม่ได้อยู่ในห้อง กูเลยได้ยินพวกเขาคุยกัน"
"เขาว่ายังไงบ้าง เล่าได้ไหม" ฉันบีบมือกายเบาๆ
"คล้ายๆ กับที่มึงได้ยินตอนเขาทะเลาะหน้าห้องกูแหละ"
"..." เจอแบบนี้ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ฉันได้แต่บีบมือกายไว้ระหว่างที่กายพูด และตั้งใจฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนตรงหน้าจะได้รู้สึกอุ่นใจว่าข้างๆ ยังมีฉัน
"ถ้ากูรู้เร็วกว่านี้ว่าเขาไม่ใช่แม่กู กู จะไม่ทำตัวแบบนี้เลย"
ฉันขมวดคิ้วเพราะความสงสัยในคำพูดของกายและตั้งใจฟังต่อ
"เพราะกูคิดว่าคนคนนี้เป็นแม่ที่ไม่รักลูก กูเลยประชดโดยการทำตัวแย่ๆ เพื่อให้เขามารักกู มาสนใจกูบ้าง"
"กาย..."
"ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย กูเป็นลูกชู้ เค้าให้ที่อยู่ที่กิน ให้กูเรียนแถมทนกูมาได้ถึงวันนี้ มันก็หนักมากสำหรับเขาแล้วจริงๆ"
"กาย...มึงยังมีเวลา กูว่าคนเราทนกันมาได้จนถึงตอนนี้ลึกๆ เค้าไม่ได้เกลียดมึงขนาดนั้นหรอก"
"..."
"สิ่งที่คนแสดงออกภายนอกมันบอกข้างในคนเราไม่ได้นะกาย" ฉันพูดพลางปรับที่นอนให้กายนอนเอนหลังลงเพื่อบังคับให้คนบนเตียงเริ่มนอนได้แล้ว ฉันเปลี่ยนท่านั่นจากข้างเตียงมาเป็นขอบเตียง และจับมือกับคนที่นอนมองฉันอย่างตั้งใจ
"เทียบง่ายๆ ดูอย่างมึงสิ ข้างในมึงเป็นคนอ่อนไหวแค่ไหนมีใครรู้บ้างนอกจากกู จะมีใครรู้ไหมว่ามึงสามารถร้องไห้ได้กับการที่เห็นแมวที่เลี้ยงมาตาย จริงไหม"
"..." อีกฝ่ายฟังแบบเงียบเหมือนเด็กที่กำลังตั้งใจฟังครูสอน ฉันดึงเอาฝาห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงอก
"จริงๆ วันนี้กูโกรธผู้หญิงคนนี้มากๆ แต่พออารมณ์กูสงบลง กูก็คิดได้ว่าเขาอาจจะระเบิดอารมณ์เพราะเจอเรื่องอะไรไม่ดีมาด้วยหรือเปล่า ที่ผ่านมามึงเกเรแค่ไหน คนที่เข้าห้องปกครองมาเพื่อเคลียร์ปัญหาให้มีแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เหรอ"
"อืม"
"วันนี้มึงเหนื่อยมากแล้ว นอนเถอะนะ กูจะอยู่ตรงนี้รอจนมึงหลับสนิทเอง" ฉันเดินไปปิดไฟเพื่อให้คนบนเตียงได้นอนเสียที
"ลูบหัวให้หน่อยได้ไหม" กายคือคนที่ชอบถูกลูบหัวเมื่อจะฟุบหลับ ซึ่งปกติฉันจะขยี้หัวกายกลับไปทุกรอบ ให้ลูบหัวมันรู้สึกยังไงชอบกล แต่วันนี้ฉันจะไม่ทำแบบนั้น
"ภาระกูจริงๆ" ฉันลูบหัวเบาๆ แบบอ่อนโยนให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ไม่นานนัก กายก็หลับไป คงฝืนไม่ยอมนอนอยู่นานแล้วสินะ พอได้นอนก็หลับแทบจะทันที
"ขอบคุณค่ะ เมื่อกี้มีเรื่องตกใจก็เลยลืม" ไม่น่าสงสัยในตัวเจมส์เพราะขนาดฉันยังแยกประสาทออกเลย คุยกับกายก็แบบหนึ่ง หันมาคุยกับเจมส์ก็อีกแบบหนึ่ง
"บอกแล้วไงให้มีสติ"
"มึงยังไม่กลับอีกเหรอ" กายพูดด้วยน้ำเสียง (เกือบ) ปกติ "มาได้จังหวะทุกทีเลยนะ"
"เปล่า กูกลับมาอีกรอบ"
"พ่อกูโทรไปบอกหรอ" กายพูดแปลกๆ เหมือนมีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเปล่า
"อืม"
"เฮ้อ..." กายพ่นลมหายใจออกจากปากก่อนจะเอามือประสานที่คอแล้วเอนหลังนอนลงไป
"ช่วยทำเหมือนว่าฉันยังอยู่ในห้องนี้หน่อยได้ไหม คืออะไร... ทำไมพ่อกายถึงต้องโทรไปบอกเจมส์ แล้วทำไมเจมส์ถึงรู้จักกับพ่อกาย"
"อ้อ...ขอโทษครับ พอดีพ่อกายเป็นผู้ปกครองของเรา"
"ฮะ!! นี่เป็นญาติกันเหรอ"
"เปล่า"
"แล้วคุณลุงจะเป็นผู้ปกครองเจมส์ได้ไง ไม่เห็นเคยบอกเลย"
"ก็แพรวไม่เคยถาม" มันก็จริงฉันไม่เคยสงสัยเลย อีกอย่างเจมส์กับกายก็ไม่เคยแสดงอาการว่ารู้จักกัน แต่ฉันสนิทกับกายมาตั้ง 10 ปี ไม่เคยเห็นเจมส์ที่บ้านกายเลยสักครั้งเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย "อึ้งอะไรครับ เรื่องมันยาว จะยืนคุยกันแบบนี้จริงเหรอ"
"อ้อ... นั่งๆ นั่งสิคะ"
"เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อกลางปีที่แล้วพ่อกับแม่เราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เราไม่มีญาติที่ไหนแล้วพ่อของกายก็เป็นเพื่อนรักกับพ่อเราดังนั้นพ่อกายเลยทำเรื่องเป็นผู้ปกครองให้เรา จบแล้วครับ" สรุปความได้ดีมากเจมส์ ว่าแต่นี่คือเรื่องยาวที่ต้องหาที่นั่งเพื่อคุยแน่นะ
"แบบนี้ทั้งคู่ก็รู้จักกันมาก่อนเหรอ" ฉันถามต่อด้วยความสงสัย
"ก็พึ่งมารู้เอาเมื่อไม่นานมานี้แหละ น่าจะช่วงก่อนกายจะหลบหน้าพวกเราไม่กี่สัปดาห์"
"ไม่ได้หลบโว้ย แค่ไม่ได้มาให้เห็นเฉยๆ"
เจมส์ส่ายหัวให้กับความคิดกาย "นั่นแหละเขาเรียกว่าหลบ"
"ไม่เห็นมึงเล่าให้กูฟังเลยกาย"
"ด้วยสภาพกูมีเวลาสนใจใครที่ไหนเล่า" เออกายมันก็พูดถูกของมัน
"อาละวาดอะไรล่ะ"
"ขอโทษนะ กูยังไม่พร้อมเล่า"
"งั้นก็ไม่ต้องเล่า"
"อ่าวเฮ้ย!! ไม่ยื้อกูหน่อยเหรอ"
"ก็มึงไม่อยากเล่าเอง"
"เอองั้นกูก็ไม่เล่า ไหนๆ มึงมาแล้วพาแพรวไม่หาอะไรกินอร่อยๆ ทีดิ ช่วงนี้กูกินอะไรไม่ได้" ดูมันดีแต่ผลักไสฉันให้คนอื่น
เจมส์ส่ายหน้า "อยู่ๆ มาเยี่ยมมึงแล้วให้กูกับแพรวไปหาของอร่อยกินกันสองคน ทิ้งมึงอยู่ห้องคนเดียว เป็นมึง มึงจะทำแบบนั้นเหรอ"
"เออ ถ้าเป็นกู กูทำ ก็กูไม่ได้แสนดีแบบมึงนี่"
"ถ้าไม่ติดว่าป่วย โดนอีกซักหมัดน่าจะดี"
หลังจากนั้นผู้ชายเขาก็คุยกันอย่าง (น่าจะ) สนุกสนาน ส่วนฉันที่เมื่อสักครู่นี้ยังเข้ามาปลอบคนบนเตียงเสมือนว่าฉันนั้นสำคัญกับกายหนักหนาตอนนี้ฉันเหมือนเป็นคนนอกซะอย่างนั้น ฉันนั่งฟังหนุ่มๆ เขาคุยเรื่องสัพเพเหระซึ่งตอนนี้มีทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของกาย ถ้าใจกายมีความสุขแบบที่กำลังแสดงออก ณ ตอนนี้คงจะดี แต่เห็นทีคงไม่ใช่ถึงจะยิ้มหรือหัวเราะดังแค่ไหน แววตาของกายมันปกปิดความเจ็บปวดไม่ได้เลย เจมส์ก็คงเห็นไม่ต่างซึ่งทั้งสามคนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
"แล้วมึงอย่าลืมสอบย้อนหลังด้วยล่ะ ถ้าสอบไหวนะ" สอบอะไร ก็กายลาออกแล้วนิ
"กายลาออกแล้ว คงหมดสิทธิ์สอบแล้วล่ะ"
"นี่มึงยังไม่พูดความจริงอีกเหรอ"
กายทำท่าเลิ่กลั่ก จนฉันพอจะเดาได้ว่า เรื่องลาออกก็โกหกสินะ
"กาย มีอะไรที่มึงยังไม่บอกกูอีกไหม"
"ถ้าที่กูจำได้ก็น่าจะหมดแล้ว แต่ถ้ามีมาอีกก็คงเป็นเรื่องที่กูจำไม่ได้" มันยอกย้อน
"เราสามคนต้องไปตามสอบย้อนหลัง สัปดาห์หน้า แต่สำหรับมึงครูเขาให้สอบออนไลน์ได้"
"ดีเลย คราวนี้กูจะสอนมึงเอง และมึงต้องสอบผ่านด้วย" ที่ผ่านมาพอบอกจะติวให้ ไม่ปวดหัวก็ตัวร้อนพาลเอาหิวข้าวท้องเสีย จนไม่ได้ติวหนังสือสักที ตานี้เจ้าตัวไปไหนไม่ได้คงหมดข้ออ้างซ่ะที
"งั้นสองคนก็ติวหนังสือกันที่นี่ไป เราค่อยมาติวด้วยก่อนสอบ 1 วันก็แล้วกัน" เจมส์มองหน้าฉันแบบไร้ความรู้สึกจนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บแบบบอกไม่ถูก
เปลี่ยนไปหมดเลยแฮะ ก่อนหน้านี้ฉันยังใจเต้นกับเจมส์อยู่แท้ๆ ส่วนเจมส์ก็เข้าหาฉันแบบไม่แคร์สายตาใคร ตอนนี้คนตรงหน้าถอยห่างออกไปอย่างชัดเจน หรือว่าเพราะคุณลุงเล่าให้ฟังแล้วว่ากายคิดอย่างไรกับเราก็เลยถอยห่างแบบนี้หรอ
ช่วงที่เราหมดเรื่องคุยทั้งสามคนต่างก็นั่งกันนิ่งๆ ไม่นานนักคนบนเตียงก็ผล็อยหลับไป คงเหนื่อยน่าดูงั้นปล่อยให้นอนไปเถอะ ฉันกับเจมส์เลยย่องออกมาคุยกันต่อนอกห้องแบบเงียบๆ
"หายดีแล้วใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ" ยังไงก็อดประหม่าเวลาคุยกับเจมส์ไม่ได้จริงๆ
"งั้น ถ้ากายสงบลงแล้วเราก็ขอตัวกลับก่อนนะครับ"
"เดี๋ยวสิ..." เจมส์หยุดเดินและมองมาที่ฉัน
"เจมส์รู้อะไรเกี่ยวกับกายบ้าง"
"รู้ไม่เท่าที่แพรวรู้หรอกครับ ไม่มีอะไรที่เราจะช่วยแพรวหาคำตอบได้"
"ค่ะ"
เหมือนฝ่ายถูกถามเมื่อสักครู่นี้จะรู้ว่าฝ่ายที่ถามมาอยากได้คำตอบที่ชัดเจน "แค่คุณลุงบอกว่าลูกชายอาละวาด และแพรวอยู่ในห้องกับลูกชายเขา เราก็เลยรีบมา" ฉันได้แต่พยักหน้าเพราะใจจริงอยากรู้เรื่องแม่ของกายมากกว่า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงกายก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
"งั้นผมกลับแล้วนะครับ อย่าคิดเยอะจนเกินไป อยู่กับปัจจุบันก็พอ อย่าให้ป่วยได้อีกนะ"
"ค่ะ"
"รู้ตัวไหมว่าสำคัญมากขนาดไหน"
"คะ?" เจมส์อยากจะพูดอะไรกันแน่
"ก็เป็นคนสำคัญของกายไง"
"ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ"
เจมส์ยืนหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ "ไม่เชื่อก็เปิดประตูตอนนี้เลย มีคนลุกจากเตียงมาแอบฟังแน่" เจมส์พูดยังไม่ขาดคำก็เปิดประตูในทันที
ผลัวะ.... ประตูเปิดออกพร้อมกับกายที่ยืนติดประตู ทำท่าละล่ำ ละ ลัก ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนดี
"ทำเป็นใจกว้างให้แพรวมากับกู สุดท้ายก็แอบฟัง"
"เปล่าสักหน่อย กูเดินมาเข้าห้องน้ำ ก็ห้องน้ำอยู่นี่ เนี่ยใกล้ประตูเลยเห็นไหม" ว่าแล้วคนพูดก็รีบเอามือชี้ที่ประตูห้องน้ำ
ฉันกับเจมส์อมยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่เจมส์จะกลับบ้าน เหลือก็แค่ฉันกับกายที่มองหน้ากัน
"ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้ว"
"กูไม่ง่วง"
"ไปลองนอนก่อนเดี๋ยวก็หลับ คืนนี้กูอยู่เป็นเพื่อนมึง เอง" คนฟังมีสีหน้าและแววตาที่ดีใจออกมาจริงๆ และเดินไปนอนที่เตียงของตัวเองแบบว่าง่าย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็คือฉันเอาข้าวของออกมานั่งทำงานข้างๆ เตียงกายเหมือนว่านี่คือโต๊ะทำงานที่บ้านตัวเอง โดยมีกายที่ปล่อยให้ทีวีดูตัวเองส่วนตัวเองหันมาดูฉันอยู่ตลอดเวลา
"ถ้าทีวีมันเปิดแล้วไม่มีประโยชน์ มึงก็ปิดแล้วนั่งดูกูทำงานอย่างเดียวดีไหม"
"มึง..."
"ว่าไง"
"กูง่วงแล้ว"
"ก็นอนสิ"
กายก็ล้มตัวนอนลง ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะต้องรีบปั่นงานต่อ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จหมดแล้ว การทำอาชีพสรุปเอกสารขายมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือฉันแทบจะไม่ต้องอ่านหนังสือสอบเลยเพราะยังไงก็ต้องอ่านมันทุกวันอยู่แล้วแถมเป็นการอ่านที่ได้เงินด้วย
"แพรว"
"ว่า" ฉันตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไม่มองฝ่ายที่กำลังพูดด้วย
"วันนี้..."
ฉันหยุดเขียนทันที แล้วหันไปมองหน้ากาย พร้อมที่จะคุยเรื่องวันนี้แล้วเหรอ
"พ่อกับ...แม่ ไม่สิ ผู้หญิงคนนั้น เขามาหากู"
ฉันหันกลับไปตั้งใจฟัง คงอยากเล่าแล้วสินะ
"เขา...บอกว่ากูต้องปลูกถ่ายไขกระดูก แต่กูไม่มีพี่น้อง ส่วนพ่อกูร่างกายไม่แข็งแรงพอจะบริจาคไขกระดูก"
"อื้อ แล้วไงต่อ" ฉันวางทุกอย่างลงแล้วหันไปตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ
"กู...ไม่รู้ว่ากูจะหายไหม" แววตากังวลปรากฏบนใบหน้ากายชัดเจนขึ้น
"เฮ้ย...มันรับบริจาคได้ หรือใช้ร่างกายเราเองปลูกถ่ายไขกระดูกก็ได้เหมือนกัน กูหาข้อมูลมาแล้ว"
"อืม แต่พิษเศรษฐกิจตอนนี้ สภาพคล่องของพ่อกูไม่ดีแบบเมื่อก่อน ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่ากูเป็นตัวปัญหา เขาบอกว่ายังไงก็จะไม่ช่วยกู" กายพูดพลางก้มหน้า
"แล้วคนที่มึงบอกว่าเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ล่ะ ที่บอกว่าเป็นญาติมึงเขาช่วยได้ไหม"
กายส่ายศีรษะแทนคำพูด
"เขาไม่ยอมช่วยเหรอ"
กายพยักหน้า ถ้าตามธรรมชาติการที่กายเอาแต่ส่ายหัวกับพยักหน้าแทนที่จะเอ่ยคำพูดออกมานั่นแปลว่าตอนนี้ถ้าพูดไปจะทำให้ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม
"แล้วค่าห้องกูที่พ่อมึงดูแลให้ เขามีเงินพอจะมาออกค่าห้องให้กูหรอ"
"อืม อันนั้นจัดการไปแล้ว เพียงแต่พ่อกูเค้ากำลังจะหย่ากับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งทรัพย์สินเป็นของผู้หญิงคนนั้นทั้งหมดยกเว้นบ้านที่กูอยู่ตอนนี้ พ่อกูกับกูก็เลยเหลือแค่เงินเก็บไม่มากนัก"
ฉันพยักหน้าและตั้งอกตั้งใจฟังต่อ
"ค่ารักษาพยาบาลกูแพงมาก ที่ผ่านมาพ่อกูดึงเงินเก็บออกมาใช้จ่ายกับค่ารักษาพยาบาลไปเยอะแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้ออกค่ารักษาอะไรให้กูหรอก ก็แหงล่ะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันนี่"
"แสดงว่า...ที่ผ่านมามึงก็รู้ว่าเค้าไม่ใช่แม่มึงหรอ"
"รู้ แต่แค่หน้าตาทางสังคม เขาก็เลยฝืนดีกับกูก็เท่านั้น" ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเจมส์เองไว้ ให้คลายมือที่กำผ้าห่มบนเตียงเอาไว้แน่น "กูก็แค่...คิดว่าอยู่กันมานานก็น่าจะเห็นกูเหมือนลูกเหมือนหลานบ้าง"
"มึงก็เลยโกรธเขาและต่อต้านโดยทำตัวแบบนั้นเหรอ"
กายพยักหน้า "เขาเกลียดกูมาตลอด แค่ไม่มีใครรู้" มันก็จริงขนาดเรายังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่แท้ๆ แถมไม่ชอบขี้หน้าลูกเลี้ยงคนนี้ด้วย
"รู้ว่าไม่ใช่แม่ตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ปีที่แล้ว ตอนพวกเขาทะเลาะกัน กูนอนอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดพวกเขาคงคิดว่ากูไม่ได้อยู่ในห้อง กูเลยได้ยินพวกเขาคุยกัน"
"เขาว่ายังไงบ้าง เล่าได้ไหม" ฉันบีบมือกายเบาๆ
"คล้ายๆ กับที่มึงได้ยินตอนเขาทะเลาะหน้าห้องกูแหละ"
"..." เจอแบบนี้ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ฉันได้แต่บีบมือกายไว้ระหว่างที่กายพูด และตั้งใจฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนตรงหน้าจะได้รู้สึกอุ่นใจว่าข้างๆ ยังมีฉัน
"ถ้ากูรู้เร็วกว่านี้ว่าเขาไม่ใช่แม่กู กู จะไม่ทำตัวแบบนี้เลย"
ฉันขมวดคิ้วเพราะความสงสัยในคำพูดของกายและตั้งใจฟังต่อ
"เพราะกูคิดว่าคนคนนี้เป็นแม่ที่ไม่รักลูก กูเลยประชดโดยการทำตัวแย่ๆ เพื่อให้เขามารักกู มาสนใจกูบ้าง"
"กาย..."
"ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย กูเป็นลูกชู้ เค้าให้ที่อยู่ที่กิน ให้กูเรียนแถมทนกูมาได้ถึงวันนี้ มันก็หนักมากสำหรับเขาแล้วจริงๆ"
"กาย...มึงยังมีเวลา กูว่าคนเราทนกันมาได้จนถึงตอนนี้ลึกๆ เค้าไม่ได้เกลียดมึงขนาดนั้นหรอก"
"..."
"สิ่งที่คนแสดงออกภายนอกมันบอกข้างในคนเราไม่ได้นะกาย" ฉันพูดพลางปรับที่นอนให้กายนอนเอนหลังลงเพื่อบังคับให้คนบนเตียงเริ่มนอนได้แล้ว ฉันเปลี่ยนท่านั่นจากข้างเตียงมาเป็นขอบเตียง และจับมือกับคนที่นอนมองฉันอย่างตั้งใจ
"เทียบง่ายๆ ดูอย่างมึงสิ ข้างในมึงเป็นคนอ่อนไหวแค่ไหนมีใครรู้บ้างนอกจากกู จะมีใครรู้ไหมว่ามึงสามารถร้องไห้ได้กับการที่เห็นแมวที่เลี้ยงมาตาย จริงไหม"
"..." อีกฝ่ายฟังแบบเงียบเหมือนเด็กที่กำลังตั้งใจฟังครูสอน ฉันดึงเอาฝาห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงอก
"จริงๆ วันนี้กูโกรธผู้หญิงคนนี้มากๆ แต่พออารมณ์กูสงบลง กูก็คิดได้ว่าเขาอาจจะระเบิดอารมณ์เพราะเจอเรื่องอะไรไม่ดีมาด้วยหรือเปล่า ที่ผ่านมามึงเกเรแค่ไหน คนที่เข้าห้องปกครองมาเพื่อเคลียร์ปัญหาให้มีแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เหรอ"
"อืม"
"วันนี้มึงเหนื่อยมากแล้ว นอนเถอะนะ กูจะอยู่ตรงนี้รอจนมึงหลับสนิทเอง" ฉันเดินไปปิดไฟเพื่อให้คนบนเตียงได้นอนเสียที
"ลูบหัวให้หน่อยได้ไหม" กายคือคนที่ชอบถูกลูบหัวเมื่อจะฟุบหลับ ซึ่งปกติฉันจะขยี้หัวกายกลับไปทุกรอบ ให้ลูบหัวมันรู้สึกยังไงชอบกล แต่วันนี้ฉันจะไม่ทำแบบนั้น
"ภาระกูจริงๆ" ฉันลูบหัวเบาๆ แบบอ่อนโยนให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ไม่นานนัก กายก็หลับไป คงฝืนไม่ยอมนอนอยู่นานแล้วสินะ พอได้นอนก็หลับแทบจะทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ