แด่เธอ...สุดที่รัก
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ยอมรับ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"โอ๊ย... ส่องเป็นนกหงส์หยกเลย" ฉันที่เข้าไปเห็นสภาพผู้ชายที่ผอมแต่ยังคงมีโครงร่างใหญ่แบบผู้ชายอยู่ นั่งส่องมือถือตัวเอง ก็อดแซวไม่ได้ "กูว่าหล่อแล้วแหละ"
กายที่หันไปหาต้นเสียง เมื่อเห็นแพรวก็ดีใจจนแทบโดดลงจากเตียงเพื่อเดินเข้าไปหา แพรวเลยรีบวิ่งเข้ามารับกายไว้ก่อนที่กายจะลงจากเตียง
"มึงนี่ เขายิ่งบอกให้ช้าๆ มึงจะรีบไปไหน"
"ก็จะไปหามึง..." พอฉันได้ยินที่กายพูดฉันอดเอ็นดูผู้ชายตรงหน้าไม่ได้ คนที่ดีใจทุกครั้งที่เห็นฉัน หัวเราะทุกครั้งที่ได้แกล้งฉัน เป็นห่วงฉันทุกครั้งที่รู้ว่าฉันอยู่ในอันตราย "มึงดีขึ้นแล้วเหรอ" ฉันพยักหน้าแทนคำพูด ว่าแล้วกายก็ใช้สายตาสำรวจร่างกายฉันว่าฉันหายแล้วจริง พร้อมเอามือมาจับหน้าผากเพื่อดูว่ายังมีไข้อยู่ไหม "โอ๊ย กูหายแล้วเป็นไข้น่ะมึง ไม่หนักเท่ามึงหรอก" ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงฉันเบาลง
"มึงรู้หมดแล้วสิ ว่ากูป่วย" คนพูดก้มหน้า
"..." ตอนนี้ฉันได้แต่มองคนตรงหน้าแล้วปวดใจจนแทบร้องไห้ออกมาแต่ต้องกลั้นเอาไว้ เจ็บมากไหมนะกาย ทรมานมากไหมกับโรคที่เป็นอยู่ มีหลายอย่างที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ถ้าเป็นไปได้กูอยากแบ่งมันมาซักครึ่งหนึ่ง
"โกรธกูเหรอ ที่กูหลอกมึง"
"..." ฉันได้แต่มองเข้าไปในตาของผู้ชายที่กำลังพูดกับฉัน ฉันฟังอยู่นะกายแต่ถ้าพูดก็มีแต่ปล่อยโฮกันเท่านั้น
"กูขอโทษ..."
"จะขอโทษทำไม" อดทนไว้แพรวอย่าร้องออกมาตอนนี้นะ
"มึงป่วยก็เพราะกู"
"ดีสิ จะได้รู้ความจริงไง ถ้าไม่ป่วยคงไม่มีทางได้รู้ว่ามึงเป็นอะไร" ฉันพยายามควบคุมน้ำเสียงแต่ดูเหมือนน้ำเสียงที่เรียบเฉยของฉัน ไปทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าฉันโกรธเขาอยู่ กายเอามือมาจับมือฉัน แล้วเอาไปแนบหน้าตัวเอง ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และน้ำตาที่ไหลลงมาโดนมือของฉัน ความรู้สึกในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโดนเข็มนับพันเล่มแท่งมาที่หัวใจ ทำไมปวดใจแบบนี้นะ
"..." ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แพรวแกไม่ควรร้องไห้ต่อหน้าคนที่กำลังป่วยนะ กายนิ่งไปสักพักก่อนที่จะเริ่มสะอื้นออกมา
"กูกลัว..." กายปล่อยโฮออกมาก่อนฉันอีก โธ่ เด็กน้อยสามขวบของฉัน ตอนนี้น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้มฉันเหมือนกัน
"..."
"กูยังไม่อยากตาย" ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองเพดานเพื่อหวังให้น้ำตาไหลกลับลงไปแต่ก็ไม่เป็นผล กายยังคงกอดแขนฉันแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย ฉันเลยคว้าเอาตัวของกายมากอดไว้ ผอมมากจริงๆ ผอมจนเราโอบตัวกายไว้ได้เลย ฉันเอามือลูบหลังกายเบาๆ และกระซิบบอกว่า "กูอยู่นี่แล้ว มึงไม่ต้องกลัวนะ" น้ำตาไหลอาบแก้มของฉัน ฉันพยายามปาดน้ำตาและคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดของฉันในตอนนี้ต้องการกำลังใจเป็นที่สุด ฉันต้องลุกขึ้นมาเข้มแข็งและดูแลคนในอ้อมกอดนี้ให้ได้
กายเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับผละออกจากอกของฉัน "แล้วมึงหายดีแล้วแน่นะ" ฉันกลืนน้ำลายอยากยากลำบาก พยายามข่มตัวเองเต็มที่ไม่ให้กายรู้ว่าเราเองก็อยู่ในอารมณ์ที่อ่อนแอ เราเองก็กลัวว่ากายจะจากไปมากขนาดไหน
"อื้อ"
"วันนี้มึงพูดน้อยๆ นะ"
"แล้วสถานการณ์มันน่าพูดเยอะหรือไง" ฉันเริ่มต่อปากต่อคำ
กายขยับตัวนั่งให้ดีแล้วทำหน้าสงสัยก่อนจะถามว่า
"เมื่อกี้กูถามพยาบาลไปว่ากูหล่อไหม" อะไรของมันเนี่ย นี่คือเปลี่ยนเรื่องพูดแล้วเหรอ กูปรับอารมณ์ตามมึงไม่ทันแล้วนะ
"แล้วเขาว่ามึงหล่อไหมล่ะ"
กายส่ายหัว โธ่~ ยังจะมาห่วงหล่ออีกพ่อคุณ พยาบาลคนไหนมาว่ามึงไม่หล่อเดี๋ยวแม่เรียกมาปรับทัศนคติซะเลย
"คนไหนว่ามึงไม่หล่อ เดี๋ยวกูจัดการให้"
"เปล่า เขาแค่บอกว่า ถ้าตีกระจกให้แตกทุกบาน ก็คงหล่อค่ะ มันแปลว่าอะไรวะ"
"ห๊ะ!!! ฮ่าๆๆๆ มึงติดใจเรื่องนี้เนี่ยนะ" โอ้ย...เค้าว่ามึงอยู่ยังไม่รู้อีก
"มันแปลว่าอะไร"
"มึงอย่ารู้เลย"
"กูอยากรู้ มึงบอกกูหน่อยนะ" แล้วกายก็เขย่าตัวฉันเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องการคำตอบให้ได้
"ก็หมายความว่า ไม่หล่อไง ถ้าตีกระจกให้แตกทุกบาน ก็แสดงว่าถ้าไม่มีกระจกส่องมึงก็จะหล่อเพราะมึงไม่เห็นตัวเองไง ดังนั้นถ้ามีกระจกให้ส่องมึงก็จะไม่หล่อทันที" กายขมวดคิ้ว สถานการณ์ตอนนี้คลายความตึงเครียดได้เล็กน้อย "เอาเถอะเลิกสนใจคนอื่นได้แล้ว"
"วันนี้มึงจะกลับตอนไหน"
"หมอบอกให้อยู่ต่ออีก 2 วัน"
"ไม่ๆ หมายถึงตอนนี้ วันนี้มึงจะกลับห้องมึงตอนไหน" เอ้าก็มึงถามไม่เคลียร์
"ตอนมึงหลับ" กายทำหน้าสงสัย
"งง อีกละ ก็หมายถึงว่า กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงจนกว่ามึงจะง่วงจนหลับ จะอยู่คุยกับมึง ทุกวันทั้งวันตลอดที่ยังอยู่ที่นี่"
"จริงเหรอ"
"อื้อ"
"ไม่ได้มีใครบังคับมึงมาใช่ไหม"
"ไม่มีใครบังคับกูได้แม้แต่พ่อของมึง ถ้าที่นี่...ถูกห้ามไม่ให้เข้ามากูก็จะรออยู่หน้าห้องจนกว่าจะได้เข้ามา จบไหม"
"ไม่มีใครทำกับมึงแบบนั้นหรอก"
"ก็เผื่อมึงจะไม่อยากเจอกูแบบที่โกหกกูว่าไปต่างประเทศคราวที่แล้วไง"
"แค้นฝังหุ่นจังนะมึงอะ"
ก๊อกๆ พยาบาลเข้ามาพร้อมนำอาหารและยามาให้กาย พร้อมถอดสายที่เป็นตัวให้คีโมออก
"ถึงเวลาทานข้าวทานยาแล้วค่ะ"
"น่าเบื่อชะมัด ยานี่กินแทนข้าวได้แล้วมั้ง"
พยาบาลคนเดิมก็มองค้อนกาย 1 ที "บ่นทุกรอบ แต่สุดท้ายก็ต้องกิน ไม่กินก็ไม่ดีขึ้นนะ"
"โตแล้วนะมึง กินข้าวกินยาเร็ว" ฉันช่วยคุณพยาบาลสมทบ
"มึงก็กินด้วยสิ"
"มึงดูสิ ไหนละข้าวของกู ของกูอยู่ชั้นล่างนู่น"
"มีมาด้วยค่ะ พ่อคุณกายให้นำขึ้นมาให้คุณทั้ง 2 กินพร้อมกันที่นี่เลยค่ะ" โอโห นี่อยากให้เราอยู่กับกายขนาดนั้นเลย
"เห็นไหมๆ กินข้าวกับกูนะ"
"เออๆ รู้แล้ว"
"มีคนดูแลแทนแล้ว วันนี้ไม่ต้องเฝ้ากินยาแล้วนะ" กายโบกมือเชิงไล่ให้กับพยาบาล
"กาย ทำกิริยาแบบนั้นไม่ดีเลย พี่พยาบาลขอโทษนะคะ เดี๋ยวทางนี้หนูจัดการเรื่องกินข้าวกินยาให้แทนค่ะ"
"ชิ ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้"
"ในสายตากูมึงก็ไม่เคยเกินสามขวบสักกะที" ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เจมส์ก็พูดจาเหมือนลุงวัย 40 "เอาล่ะ เลิกเฉไฉ กินข้าวกินยาได้ละ"
กายนั่งมองอาหารตรงหน้าแบบสีหน้าบอกบุญไม่รับ
"เป็นอะไร"
"กูไม่อยากกิน"
'อาการข้างเคียงของคีโม อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดต้องมีความเข้าใจ' ข้อความที่ฉันจำได้จากการเสิร์จอากู๋ จะทำยังไงดีนะช่วงนี้ถ้าฉันกวนประสาทกลับไป หรือพูดไม่ดีกลับไปอาจจะทำให้กายยิ่งรู้สึกแย่ก็ได้
"งั้นมึงอยากกินอะไร"
"ไก่ทอดเกาหลี"
"สรรหากินนะมึง จะให้กูสั่งให้หรือจะให้กูออกไปซื้อคะคุณชาย" กายมองจ้องมาที่หน้าฉันแบบแทบจะทะลุเข้าไปถึงสมอง จ้องอะไรขนาดนั้นนะ
"มึงคุยกับกูแบบปกติเถอะ กูรู้ว่ามึงพยายามเอาใจกูเพราะกูป่วย แบบนี้ไงถึงไม่อยากจะบอกใคร" คนพูดทำท่างอน
"เฮ้อ~ มึงคิดมาก คิดมากจนเกินไป" ฉันนึกสนุกเลยจิ้มที่แก้มของกายไปเบาๆ หนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ จะดึงแก้ม หยิกแก้ม หรือตีกันแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนี่
"กูต้องคิด ถ้ากูไม่อยู่มึงจะเป็นยังไง ขนาดกูบอกว่าไปต่างประเทศมึงยังเป็นขนาดนั้น" กายก้มหน้าสำนึกผิด
"ถ้ามึงไม่อยู่มึงก็ไม่รับรู้แล้วว่ากูจะเป็นยังไง จะห่วงทำไม"
"ก็กูรักของกู" ฉันอดยิ้มกับคำตอบแบบนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้คำสารภาพจากพ่อกายมาก่อนว่ากายคิดยังไง ฉันคงไม่เข้าใจความหมายของคำว่ารักที่กายพูดออกมา
"อืม"
"มึงไม่ตกใจคำสารภาพรักของกูหน่อยหรอ"
"เนี่ยนะ สารภาพรัก กูนึกว่ามึงพูดลอยๆ" ฉันแหย่เล่นไปทีหนึ่ง จริงๆ ถึงแม้กับกายจะไม่รู้สึกเหมือนผีเสื้อนับพันบินวนที่ท้อง แต่พออยู่ด้วยกันแล้ว กลับเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องพะวงอะไรต่างกับเวลาที่อยู่กับเจมส์โดยสิ้นเชิง
"ถ้ามึงไม่อยู่ยังไงกูก็ต้องอยู่ได้" ฉันตอบแบบไม่เอาใจฝ่ายตรงข้าม ตอบแบบที่เจมส์ชอบสอนฉันว่าเราต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง "แต่กูเชื่อว่ามึงจะต้องหาย ทำไมมึงถึงคิดว่ามึงจะไม่หาย"
"กูเหนื่อย กูรู้สึกไม่สบายตลอดเวลา กูโคตรรำคาญตัวเอง" นี่เราดึงกลับมาเรื่องเศร้าอีกแล้วหรือเปล่าเนี่ย
"เอาแบบนี้เรามาสั่งไก่ทอดเกาหลีที่มึงอยากกินกัน" ฉันพาฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนเรื่องแบบหนังหักมุม
"เอาๆ" เออฝ่ายตรงข้ามมันก็ดันเปลี่ยนอารมณ์ง่ายตามเรา อันนี้ไม่ใช่เพราะอาการข้างเคียงละ ปกติมันก็อารมณ์เปลี่ยนง่ายแบบนี้อยู่แล้ว
'สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคลูคีเมีย ไม่มีอาหารที่ควรงดเว้น แต่ต้องระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร เพราะหากติดเชื้อจะเป็นอันตรายมาก' ก่อนมาเจอกายฉันแทบจะอ่านข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูคีเมีย เพื่อจะได้ระวังทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะเกิดอันตรายกับกาย
และฉันก็ไม่ลืมที่จะไปถามพี่พยาบาลข้างนอกว่ากายสามารถกินอาหารพวกนี้ได้ไหม คำตอบที่ได้รับก็เป็นอันว่ากินได้
"มาแล้วจ้า จัดเลยมึง กินเยอะๆ จะได้อ้วนๆ เหมือนกูเนี่ย"
"มึงผอมกว่ากูที่ป่วยอีกมั้งทำมาพูด"
"เอ้าสาวงามอย่างกูปล่อยอ้วนได้ไง"
กายกินไก่ไปได้เพียง 1 ชิ้น ก็มีอาการพะอืดพะอม จนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว แถมยังปิดห้องน้ำล็อกไม่ให้ฉันเข้าไปดูอีก
"กาย กาย มึงเป็นอะไร" ได้ยินเสียงอ้วกดังออกมาจากห้องน้ำ
อาการหลังการให้คีโมมันหนักแบบนี้เลยเหรอ มิน่าถึงได้ผอมเพราะกินอะไรก็อ้วกออกมาหมด
"กาย เปิดเถอะ"
"ไม่... ไม่เปิด มึงอย่าเข้ามานะ"
"ไม่มีอะไรต้องอายกูเลย ให้กูเข้าไปนะ" ประตูยังล็อกแน่นเหมือนเดิม
"ทำไมละมึง ถ้าเป็นกูที่อยู่ในนั้น มึงจะไม่อยากเข้าไปช่วยเหลือกูหรอ"
"มันสกปรก"
"เดี๋ยวกูเข้าไปทำความสะอาดให้ เปิดสิ ให้กูเข้าไปนะ"
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น ฉันก็เห็นคนตรงหน้านั่งอยู่หน้าชักโครกและยังอ้วกออกมาอีก ฉันเลยรีบเข้าไปลูบหลังให้ "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ อ้วกออกมาให้หมดจะได้ดีขึ้น" มือของฉันยังลูบหลังให้กายไม่หยุด และสังเกตเห็นคราบอ้วกที่อยู่บนเสื้อผ้า ขณะที่กายนิ่งไปเหมือนจะหยุดอ้วกแต่กลับได้ยินแต่เสียงสะอื้นแทน ความสงสารต่อคนตรงหน้ามันเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในกระดูกฉัน ฉันที่เป็นคนเห็นยังเจ็บปวดขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่ากายที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายโดยลำพังจะทรมานขนาดไหน ฉันพยายามรั้งกายให้ลุกขึ้น
"มันสกปรก" กายพูดออกมาเบาๆ
"มานี่มา" ฉันพยายามให้กายไม่ฟุบหน้าไปตรงโถชักโครก "ไม่ต้องอายกู ไม่ต้องกลัวกูจะรังเกียจมึง ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ในใจกูเลย"
กายนั่งกอดเข่าและฟุบหน้าลงกับเข่าตัวเอง ตอนนี้กายคงรู้สึกแย่กับตัวเองมากจนไม่อยากจะคุยกับใคร ฉันรีบออกมาเอาเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าไปให้กายเปลี่ยน แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะนั่งอยู่ท่านั้นไม่ยอมลุกขึ้นมาง่ายๆ
"กาย มานี่ ล้างตัวก่อนนะ" ฉันพยุงกายให้นั่งบนชักโครก "มึงนั่งตรงนี้ก่อนเดี๋ยวกูเปลี่ยนชุดให้" ฉันพูดแบบคนใจเย็นซึ่งกายก็ยอมฟังแต่โดยดี ฉันเอาทิชชูเช็ดบริเวณที่เปื้อนออกจากเสื้อให้ แล้วถอดเสื้อตัวนอกออกโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีอาการขัดขืนแต่อย่างใด มีแต่เราที่หน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่คิดจะห้ามกันหน่อยหรือไง ช่วยอายหน่อยได้ไหมแล้วเอาเสื้อไปใส่เองได้แล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะนิ่งมาก มากจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอาการของคนข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น
"กาย ไหวไหม" กายทำได้แค่พยักหน้า แต่ดูท่าทางอิดโรยจนน่าเป็นห่วง
"เดี๋ยวรีบเปลี่ยนเสื้อให้แล้วพาไปนอนพักนะ" กายพยักหน้ารับคำ ฉันเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นกายคงจะรู้สึกไม่สบายหนักมากจริงๆ ฉันเลยรีบเปลี่ยนเสื้อให้กายโดยลืมความเขินเมื่อครู่นี้ไปหมดสิ้น
"ค่อยๆ ลุกนะไหวไหม" ฉันประคองให้กายลุกขึ้นเดินไปที่เตียง พอกายนอนลงบนเตียงก็หลับตาลงทันที ฉันว่าฉันไปเรียกพยาบาลให้เข้ามาดูอาการก่อนดีกว่า
"อย่า..." กายคว้ามือฉันไว้
"จะไปตามพยาบาลให้มาดูอาการเฉยๆ เดี๋ยวมา"
"ไม่เอา มันรู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้แค่นั้น แค่อาการข้างเคียงจากคีโม อย่าพึ่งไปนะ"
"โอเค ไม่ไปก็ไม่ไป จะอยู่ข้างๆ มึงตลอดเลยดีไหม" กายได้แต่พยักหน้ารับคำของฉันและนอนหลับไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ