สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)
-
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.
45 chapter
53 วิจารณ์
21.42K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
45) พลังงานบริสุทธิ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนี่เป็นกฎเกณฑ์อันสำคัญที่ผู้เคารพต่อพระเจ้าอลานซาโรเน่พึงยึดถือปฏิบัติ และแน่นอนนั่นหมายรวมถึงลูกหลานของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ทุกคน ก็ยินยอมพร้อมใจทำตามๆ กันมาโดยไม่ปริปากบ่นมานับสามสิบปี
บางทีความศรัทธาและความงมงายก็อยู่ใกล้กันจนเราแยกแยะไม่ออก
เพียงแต่ว่าเพื่อนของฉันอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ก็เท่านั้น
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
แก้วถึงกับมีท่าทีอึ้งกิมกี่เมื่อตอนที่เธอเดินไปกดสวิตช์ไฟที่ผนังห้อง แล้วน้าสายทิพย์ก็ปรี่เข้ามาปิดมันทันควันพร้อมกับปริปากร่ายยาวราวกับอัดอั้นตันใจมาแต่ชาติปางไหนว่า
“อ้อ…ต้องขอโทษด้วยนะจ้ะที่น้าไม่ได้บอกหนูไว้ก่อน” เธอพูดพลางเอามือทาบอก
“น้าคิดว่าเราควรอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะดีกว่า คนที่นี่น่ะต่างเชื่อกันว่าการใช้ไอ้เจ้าไฟจอมปลอมพวกนี้มากๆ มันจะทำให้จิตใจของเรามีมลทินนะ” เธอชี้แจงด้วยรอยยิ้มละไม
“สิ่งพวกนี้เป็นพลังงานที่ไม่บริสุทธิ์ ยิ่งเราใช้มันมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมันยิ่งขึ้นเท่านั้น…พวกทีวีก็เหมือนกันวันๆ เสนอแต่เรื่องไร้สาระ ยัดเยียดวัตถุสิ่งของ คำโฆษณาชวนเชื่อ ค่านิยมผิดๆ ทำให้เรามีแต่ความละโมบโลภมากไม่รู้จักจบจักสิ้น มนุษย์เราห่างไกลจากธรรมชาติเข้าไปทุกทีทุกที ก็เพราะไอ้เจ้าพวกนี้นี่แหละ”
จากนั้นเธอจึงเดินนวยนาดไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตามเดิม ขณะที่ปากก็พูดไป มือก็หยิบทัพพีตักข้าวไม้พยุงจากโถสีขาวลายดอกชบาสีชมพูหวานใส่จานตนเองไปด้วย
“ที่นี่น่ะพอหลังทุ่มหนึ่งไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยเปิดไฟกันแล้วล่ะจะ น้าอยากให้พวกหนูรู้เอาไว้ พวกเราใช้มันเพื่อการดำรงชีวิต ใช้เพราะต้องใช้ แต่ไม่เคยชื่นชมหลงใหลมันหรือปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเรา”
หลังจากที่ตักข้าวใส่จานไปสองทัพพี คุณน้าก็บรรจงวางมันใส่โถตามเดิม แล้วค่อยเอื้อมมือไปยกเหยือกแก้วใสเนื้อดีซึ่งวางตั้งอยู่กลางโต๊ะขึ้นรินน้ำเย็นใส่แก้วเปล่าของเธอ กลุ่มก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มภาชนะกรูลงมาที่ปากซึ่งเป็นจะงอยก่อนจะหล่นตุ๋ม ตุ๋ม ลงแก้วทีละน้อยๆ
“เพราะฉะนั้นเราควรใช้พวกดวงไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้อย่างระมัดระวังนะจ๊ะ แต่ถ้าหนูอยากจะดูละคงละครก็เชิญตามสบายเลยนะ…น้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก็แล้วกัน”
คุณน้าสรุปจบบทของเธอได้อย่างน่าฟังจนฉันเองก็แอบเคลิ้มตามไปด้วยเหมือนกัน
“อ๋อ..ค่ะ ค่ะ ค่ะ คนที่นี่คงชอบอยู่กันแบบเงียบๆ” เพื่อนสาวที่ยืนรับข้อมูลเสียจนเต็มหัวได้แต่พยักหน้ารับคำหงึกหงัก แล้วเดินทำสีหน้างงงวยพลางเกาศีรษะแกรกๆ มานั่งลงตรงเก้าอี้ทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของฉันด้วยอาการงงงัน แต่ก็มิวายแอบป้องปากเมาท์ระยะเผาขนให้ฉันฟัง
“นี่แม่เลี้ยงของเธอกลัวว่าฉันจะใช้ไฟเปลืองขนาดนั้นเลยเหรอยะ มิเตอร์ขึ้นเท่าไหร่เดี๋ยวฉันใช้บัตรรูดให้ล่วงหน้าสามเดือนเลยเอ้า…ชิ” เธอบ่นอุบอิบ มีอาการชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่บางๆ
ฉันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยนึกขันกับวาจาเสียดสีของเธอก่อนจะแก้ต่างว่า
“วิถีชุมชนของที่นี่น่ะไม่เหมือนกับที่อื่นหรอกนะ เท่าที่ฉันจำได้ คนในหมู่บ้านทุกครัวเรือนจะต้องจ่ายเงินส่วนกลางไปที่โบสถ์ เพื่อให้ทางนั้นบริหารจัดการ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะทุกๆ หกเดือนละมั้ง พวกค่าน้ำค่าไฟ พวกเขาก็เป็นคนไปจ่ายให้ ข้าวของต่างๆ ก็ต้องฝากซื้อผ่านทางโบสถ์นั้นเหมือนกัน จะมีขบวนรถกระบะออกไปทำธุระและจับจ่ายซื้อของในทุกอาทิตย์ คนที่นี่ไม่ค่อยออกไปข้างนอกหมู่บ้านกันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นกฏเกณฑ์ของที่นี่เพื่อลดความวุ่นวายจากภายนอกก็ได้มั้ง” ฉันอธิบายตามความเข้าใจในสิ่งที่เห็นเมื่อตอนยังเป็นเด็ก “ส่วนเรื่องการเปิดปิดไฟพ่อกับแม่ก็ไม่เคยห้ามฉันแบบนี้นะ…ก็คิดซะว่าคุณน้าเค้ากลัวว่าพวกแมลงเม่าจะบินเข้ามาก็แล้วกัน”
แต่ถึงอย่างไรแสงพลอยก็ยังคงข้องใจอยู่ดี
“บ้าไปแล้ว แม่เลี้ยงเธอเป็นเอามากนะยัยริณ” เพื่อนสาวตัวดีกระซิบบอกพร้อมกับทำหน้าทำตาปะหลับปะเหลือกชวนให้ขำขันในความเชื่อแปลกๆ ของคนในหมู่บ้านนี้
ฉันเองก็ได้แต่แหงนหน้ามองหลอดไฟดวงน้อยๆ ที่มีฝุ่นตะกอนสีดำเกรอะกรังอยู่ข้างในด้วยนึกเสียดายที่มันคงเป็นได้แค่เพียงร่องรอยความเจริญที่ถูกผู้คนในหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้หลงลืม และเมินค่าไปอย่างน่าสงสาร
ดูท่างานนี้ยัยแก้วคงจะจดจำคำพูดพิลึกพิลั่น เหล่านี้ไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียวล่ะ
______________________________
บางทีความศรัทธาและความงมงายก็อยู่ใกล้กันจนเราแยกแยะไม่ออก
เพียงแต่ว่าเพื่อนของฉันอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ก็เท่านั้น
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
แก้วถึงกับมีท่าทีอึ้งกิมกี่เมื่อตอนที่เธอเดินไปกดสวิตช์ไฟที่ผนังห้อง แล้วน้าสายทิพย์ก็ปรี่เข้ามาปิดมันทันควันพร้อมกับปริปากร่ายยาวราวกับอัดอั้นตันใจมาแต่ชาติปางไหนว่า
“อ้อ…ต้องขอโทษด้วยนะจ้ะที่น้าไม่ได้บอกหนูไว้ก่อน” เธอพูดพลางเอามือทาบอก
“น้าคิดว่าเราควรอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะดีกว่า คนที่นี่น่ะต่างเชื่อกันว่าการใช้ไอ้เจ้าไฟจอมปลอมพวกนี้มากๆ มันจะทำให้จิตใจของเรามีมลทินนะ” เธอชี้แจงด้วยรอยยิ้มละไม
“สิ่งพวกนี้เป็นพลังงานที่ไม่บริสุทธิ์ ยิ่งเราใช้มันมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมันยิ่งขึ้นเท่านั้น…พวกทีวีก็เหมือนกันวันๆ เสนอแต่เรื่องไร้สาระ ยัดเยียดวัตถุสิ่งของ คำโฆษณาชวนเชื่อ ค่านิยมผิดๆ ทำให้เรามีแต่ความละโมบโลภมากไม่รู้จักจบจักสิ้น มนุษย์เราห่างไกลจากธรรมชาติเข้าไปทุกทีทุกที ก็เพราะไอ้เจ้าพวกนี้นี่แหละ”
จากนั้นเธอจึงเดินนวยนาดไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตามเดิม ขณะที่ปากก็พูดไป มือก็หยิบทัพพีตักข้าวไม้พยุงจากโถสีขาวลายดอกชบาสีชมพูหวานใส่จานตนเองไปด้วย
“ที่นี่น่ะพอหลังทุ่มหนึ่งไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยเปิดไฟกันแล้วล่ะจะ น้าอยากให้พวกหนูรู้เอาไว้ พวกเราใช้มันเพื่อการดำรงชีวิต ใช้เพราะต้องใช้ แต่ไม่เคยชื่นชมหลงใหลมันหรือปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเรา”
หลังจากที่ตักข้าวใส่จานไปสองทัพพี คุณน้าก็บรรจงวางมันใส่โถตามเดิม แล้วค่อยเอื้อมมือไปยกเหยือกแก้วใสเนื้อดีซึ่งวางตั้งอยู่กลางโต๊ะขึ้นรินน้ำเย็นใส่แก้วเปล่าของเธอ กลุ่มก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มภาชนะกรูลงมาที่ปากซึ่งเป็นจะงอยก่อนจะหล่นตุ๋ม ตุ๋ม ลงแก้วทีละน้อยๆ
“เพราะฉะนั้นเราควรใช้พวกดวงไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้อย่างระมัดระวังนะจ๊ะ แต่ถ้าหนูอยากจะดูละคงละครก็เชิญตามสบายเลยนะ…น้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก็แล้วกัน”
คุณน้าสรุปจบบทของเธอได้อย่างน่าฟังจนฉันเองก็แอบเคลิ้มตามไปด้วยเหมือนกัน
“อ๋อ..ค่ะ ค่ะ ค่ะ คนที่นี่คงชอบอยู่กันแบบเงียบๆ” เพื่อนสาวที่ยืนรับข้อมูลเสียจนเต็มหัวได้แต่พยักหน้ารับคำหงึกหงัก แล้วเดินทำสีหน้างงงวยพลางเกาศีรษะแกรกๆ มานั่งลงตรงเก้าอี้ทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของฉันด้วยอาการงงงัน แต่ก็มิวายแอบป้องปากเมาท์ระยะเผาขนให้ฉันฟัง
“นี่แม่เลี้ยงของเธอกลัวว่าฉันจะใช้ไฟเปลืองขนาดนั้นเลยเหรอยะ มิเตอร์ขึ้นเท่าไหร่เดี๋ยวฉันใช้บัตรรูดให้ล่วงหน้าสามเดือนเลยเอ้า…ชิ” เธอบ่นอุบอิบ มีอาการชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่บางๆ
ฉันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยนึกขันกับวาจาเสียดสีของเธอก่อนจะแก้ต่างว่า
“วิถีชุมชนของที่นี่น่ะไม่เหมือนกับที่อื่นหรอกนะ เท่าที่ฉันจำได้ คนในหมู่บ้านทุกครัวเรือนจะต้องจ่ายเงินส่วนกลางไปที่โบสถ์ เพื่อให้ทางนั้นบริหารจัดการ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะทุกๆ หกเดือนละมั้ง พวกค่าน้ำค่าไฟ พวกเขาก็เป็นคนไปจ่ายให้ ข้าวของต่างๆ ก็ต้องฝากซื้อผ่านทางโบสถ์นั้นเหมือนกัน จะมีขบวนรถกระบะออกไปทำธุระและจับจ่ายซื้อของในทุกอาทิตย์ คนที่นี่ไม่ค่อยออกไปข้างนอกหมู่บ้านกันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นกฏเกณฑ์ของที่นี่เพื่อลดความวุ่นวายจากภายนอกก็ได้มั้ง” ฉันอธิบายตามความเข้าใจในสิ่งที่เห็นเมื่อตอนยังเป็นเด็ก “ส่วนเรื่องการเปิดปิดไฟพ่อกับแม่ก็ไม่เคยห้ามฉันแบบนี้นะ…ก็คิดซะว่าคุณน้าเค้ากลัวว่าพวกแมลงเม่าจะบินเข้ามาก็แล้วกัน”
แต่ถึงอย่างไรแสงพลอยก็ยังคงข้องใจอยู่ดี
“บ้าไปแล้ว แม่เลี้ยงเธอเป็นเอามากนะยัยริณ” เพื่อนสาวตัวดีกระซิบบอกพร้อมกับทำหน้าทำตาปะหลับปะเหลือกชวนให้ขำขันในความเชื่อแปลกๆ ของคนในหมู่บ้านนี้
ฉันเองก็ได้แต่แหงนหน้ามองหลอดไฟดวงน้อยๆ ที่มีฝุ่นตะกอนสีดำเกรอะกรังอยู่ข้างในด้วยนึกเสียดายที่มันคงเป็นได้แค่เพียงร่องรอยความเจริญที่ถูกผู้คนในหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้หลงลืม และเมินค่าไปอย่างน่าสงสาร
ดูท่างานนี้ยัยแก้วคงจะจดจำคำพูดพิลึกพิลั่น เหล่านี้ไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียวล่ะ
______________________________
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ