สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)
-
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.
45 chapter
53 วิจารณ์
21.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
44) ความเชื่อประหลาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันเหม่อมองไปที่แก้วน้ำใบใสทรงกระบอกเล็กๆ ที่วางอยู่บนจานรองแก้วซึ่งตั้งเยื้องอยู่ทางด้านขวามือไปเล็กน้อย ระหว่างที่พวกเรากำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารเย็นซึ่งประกอบไปด้วยข้าวกระเพราไข่ดาว และแกงจืดตำลึงบนโต๊ะอาหารทรงกลมภายใต้บรรยากาศอันอึมครึม พลางใช้ความคิดสรรหาคำพูดที่ละมุนละม่อมเพื่อหวังว่าจะกล่อมคุณน้าให้เห็นด้วยและยินยอมให้ฉันพาพ่อไปโรงพยาบาลได้สำเร็จ
แต่ปัญหาก็คือ หลังจากที่กลับมาบ้าน แม่เลี้ยงก็ทำเป็นมึนตึงเฉยชากับฉันเสียยิ่งกว่าเก่า เธอไม่ปริปากพูดกับฉันเลยและคงเห็นฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ แม้แต่ตอนเรียกให้ทุกคนทานข้าวเธอยังมองผ่านเลยฉันไปทางแก้วแล้วบอกกับเพื่อนสาวฉันแทนว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้วจ้ะเด็กๆ” ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับแม่พระ
‘นี่เธอกำลังเล่นสงครามเย็นกับฉันอยู่รึไงเนี่ย!’
“แกรก” เสียงรวบช้อนส้อมของเอกและแก้วสะกิดให้ฉันตื่นจากภวังค์
“ริณเดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อนนะ” ชานนท์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ บอกแล้วจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“คุณน้านี่ทำอาหารอร่อยจังเลยนะคะ” แสงพลอยเอ่ยชม แต่เมื่อฉันลองมองไปบนจานของเธอก็พบว่ามีเศษข้าวและอาหารกองเหลืออยู่มุมจานดูขัดกับคำเยินยอที่เธอพึ่งจะพูดออกมายิ่งนัก
“ขอบใจจ้ะ แหมหนูนี่ปากหวานจริงเชียว” แม่เลี้ยงกล่าวก่อนจะยิ้มหวานด้วยความปลาบปลื้ม “แล้วทำไมไม่ทานให้หมดล่ะจ้ะเนี่ย อิ่มแล้วเหรอ?”
“อ๋อ…พอดีหนูกำลังไดเอ็ทอ่ะค่ะ ขอบคุณนะคะคุณน้า” ยัยแก้วตอบเสียงหวานไม่แพ้กัน ท่าทางเพื่อนรักของฉันคนนี้จะทันเกมมากกว่าฉันเสียอีกนะเนี่ย
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“เชิญจะคุณน้าบอกแล้วจึงส่งยิ้มให้
ว่าเสร็จแก้วกับเอกก็พร้อมใจกันลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงเก้าอี้ไม้ถอยครูดพื้นดังครืดก่อนที่พวกเขาจะถือจานข้าวของตนไปทางโซนห้องครัว
ตอนที่แก้วกำลังเดินอ้อมผ่านด้านหลังฉัน เธอก็หันมาขยิบตาให้ทีหนึ่งแล้วขยับปากอวยพรโดยไม่เปล่งเสียงออกมาว่า
“ถึงตาเธอแล้วโชคดีนะ”
ฉันยิ้มตอบเจื่อนๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มย้อมใจเสียอึกหนึ่ง ใจจริงฉันอยากจะรอให้พร้อมกว่านี้ก่อน แต่กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกว่านี้อาจจะไม่ทันกาลก็เลยนัดแนะกับแสงพลอยและชานนท์เพื่อให้ทั้งสองเปิดทางให้ฉันได้มีจังหวะปรึกษาหารือกับแม่เลี้ยงเพียงลำพังสองคน
“เดี๋ยวฉันจะคุยเรื่องนี้กับคุณน้าเองยังไงก็ต้องพาพ่อออกไปจากที่นี่ให้ได้” ฉันบอกพวกเขาไปแบบนั้นด้วยปณิธานอันแรงกล้าก่อนที่จะผละจากวงประชุมแล้วเดินนำเข้ามาสู่สนามรบ เอ้ย ร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับแม่เลี้ยงที่กำลังนั่งกอดอกคอยท่าอยู่บนบัลลังก์ของเธอ
นี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสทานข้าวภายใต้แสงเทียน ซึ่งคงจะโรแมนติกมากกว่านี้หลายเท่าหากคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามฉันจะเป็นผู้ชายที่ฉันรัก ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายที่ทำสีหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือน ณ ตอนนี้
เหตุผลบ้าบอที่ทำให้เราต้องย้อนสมัยกลับมาใช้เทียนไข หรือตะเกียงน้ำมัน (อย่างจำใจ) แทนการใช้แสงสว่างจากหลอดไฟในตอนกลางคืน ไม่ใช่เป็นเพราะไฟดับ หรือคุณน้าไม่มีสตางค์จ่ายค่าไฟหรอกนะ หากแต่เป็นเพราะความเชื่อแปลกๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในหัวของพวกชาวบ้านมาช้านานต่างหาก ที่ทำให้สรรพชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านสีหกรณ์แห่งนี้ถึงได้บิดเบี้ยวไม่สมประกอบเหมือนใครคนอื่นเขา
‘ท่านอลานฯ ไม่ปรารถนาแสงสว่างล่อลวงจอมปลอม ท่านโปรดแต่แสงอันบริสุทธิ์จากสุริยาและดวงดารา จันทรา , ท่านมิชอบเสียงอึกทึกครึกโครม อื้ออึง…และยึดความสงบเงียบเป็นสรณะ เพราะหากเราสงบเราจะไม่วุ่นวาย ไม่มีการติฉินนินทาว่าร้าย ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด หรือความริษยา ใดใด…เราควรพูดให้น้อย ถามให้น้อย และอย่าสงสัยให้มาก การคิดแย้งต่อพระองค์ ถือเป็นความชั่วช้า ผิดบาป พวกท่านต้องเชื่อเรา แล้วพวกท่านจักมีความสุข สุขกว่าผู้คนที่อยู่ภายนอกนั่น ที่ต่างแก่งแย่งชิงดี และมีจิตใจอันโสมมนั้นอีก
จงมีชีวิตอยู่เพื่อรอคำตัดสินอันเที่ยงธรรมจากพระผู้เป็นเจ้าเถิด ผู้ที่เชื่อในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านอลานฯ เท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่ ณ สุขพิมานในวาราสุดท้ายยามเปลวไฟดวงน้อยนั้นมอดแสงลง’
‘มันคือความจริงอันเที่ยงแท้ เราคือผู้นำสาสน์จากพระองค์…เชื่อเรา จงเชื่อเรา นบนอบต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยกายของท่าน วาจาของท่าน และใจของท่านเถิด’
คำพร่ำพูดของนักบวชชราผู้มีศักดิ์อันสูงส่งดังกึกก้องตามหลอกหลอนฉันมาตั้งแต่ยังเยาว์ราวกับเงาอดีตที่ไม่มีวันลบเลือน
แต่ปัญหาก็คือ หลังจากที่กลับมาบ้าน แม่เลี้ยงก็ทำเป็นมึนตึงเฉยชากับฉันเสียยิ่งกว่าเก่า เธอไม่ปริปากพูดกับฉันเลยและคงเห็นฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ แม้แต่ตอนเรียกให้ทุกคนทานข้าวเธอยังมองผ่านเลยฉันไปทางแก้วแล้วบอกกับเพื่อนสาวฉันแทนว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้วจ้ะเด็กๆ” ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับแม่พระ
‘นี่เธอกำลังเล่นสงครามเย็นกับฉันอยู่รึไงเนี่ย!’
“แกรก” เสียงรวบช้อนส้อมของเอกและแก้วสะกิดให้ฉันตื่นจากภวังค์
“ริณเดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อนนะ” ชานนท์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ บอกแล้วจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“คุณน้านี่ทำอาหารอร่อยจังเลยนะคะ” แสงพลอยเอ่ยชม แต่เมื่อฉันลองมองไปบนจานของเธอก็พบว่ามีเศษข้าวและอาหารกองเหลืออยู่มุมจานดูขัดกับคำเยินยอที่เธอพึ่งจะพูดออกมายิ่งนัก
“ขอบใจจ้ะ แหมหนูนี่ปากหวานจริงเชียว” แม่เลี้ยงกล่าวก่อนจะยิ้มหวานด้วยความปลาบปลื้ม “แล้วทำไมไม่ทานให้หมดล่ะจ้ะเนี่ย อิ่มแล้วเหรอ?”
“อ๋อ…พอดีหนูกำลังไดเอ็ทอ่ะค่ะ ขอบคุณนะคะคุณน้า” ยัยแก้วตอบเสียงหวานไม่แพ้กัน ท่าทางเพื่อนรักของฉันคนนี้จะทันเกมมากกว่าฉันเสียอีกนะเนี่ย
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“เชิญจะคุณน้าบอกแล้วจึงส่งยิ้มให้
ว่าเสร็จแก้วกับเอกก็พร้อมใจกันลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงเก้าอี้ไม้ถอยครูดพื้นดังครืดก่อนที่พวกเขาจะถือจานข้าวของตนไปทางโซนห้องครัว
ตอนที่แก้วกำลังเดินอ้อมผ่านด้านหลังฉัน เธอก็หันมาขยิบตาให้ทีหนึ่งแล้วขยับปากอวยพรโดยไม่เปล่งเสียงออกมาว่า
“ถึงตาเธอแล้วโชคดีนะ”
ฉันยิ้มตอบเจื่อนๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มย้อมใจเสียอึกหนึ่ง ใจจริงฉันอยากจะรอให้พร้อมกว่านี้ก่อน แต่กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกว่านี้อาจจะไม่ทันกาลก็เลยนัดแนะกับแสงพลอยและชานนท์เพื่อให้ทั้งสองเปิดทางให้ฉันได้มีจังหวะปรึกษาหารือกับแม่เลี้ยงเพียงลำพังสองคน
“เดี๋ยวฉันจะคุยเรื่องนี้กับคุณน้าเองยังไงก็ต้องพาพ่อออกไปจากที่นี่ให้ได้” ฉันบอกพวกเขาไปแบบนั้นด้วยปณิธานอันแรงกล้าก่อนที่จะผละจากวงประชุมแล้วเดินนำเข้ามาสู่สนามรบ เอ้ย ร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับแม่เลี้ยงที่กำลังนั่งกอดอกคอยท่าอยู่บนบัลลังก์ของเธอ
นี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสทานข้าวภายใต้แสงเทียน ซึ่งคงจะโรแมนติกมากกว่านี้หลายเท่าหากคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามฉันจะเป็นผู้ชายที่ฉันรัก ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายที่ทำสีหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือน ณ ตอนนี้
เหตุผลบ้าบอที่ทำให้เราต้องย้อนสมัยกลับมาใช้เทียนไข หรือตะเกียงน้ำมัน (อย่างจำใจ) แทนการใช้แสงสว่างจากหลอดไฟในตอนกลางคืน ไม่ใช่เป็นเพราะไฟดับ หรือคุณน้าไม่มีสตางค์จ่ายค่าไฟหรอกนะ หากแต่เป็นเพราะความเชื่อแปลกๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในหัวของพวกชาวบ้านมาช้านานต่างหาก ที่ทำให้สรรพชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านสีหกรณ์แห่งนี้ถึงได้บิดเบี้ยวไม่สมประกอบเหมือนใครคนอื่นเขา
‘ท่านอลานฯ ไม่ปรารถนาแสงสว่างล่อลวงจอมปลอม ท่านโปรดแต่แสงอันบริสุทธิ์จากสุริยาและดวงดารา จันทรา , ท่านมิชอบเสียงอึกทึกครึกโครม อื้ออึง…และยึดความสงบเงียบเป็นสรณะ เพราะหากเราสงบเราจะไม่วุ่นวาย ไม่มีการติฉินนินทาว่าร้าย ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด หรือความริษยา ใดใด…เราควรพูดให้น้อย ถามให้น้อย และอย่าสงสัยให้มาก การคิดแย้งต่อพระองค์ ถือเป็นความชั่วช้า ผิดบาป พวกท่านต้องเชื่อเรา แล้วพวกท่านจักมีความสุข สุขกว่าผู้คนที่อยู่ภายนอกนั่น ที่ต่างแก่งแย่งชิงดี และมีจิตใจอันโสมมนั้นอีก
จงมีชีวิตอยู่เพื่อรอคำตัดสินอันเที่ยงธรรมจากพระผู้เป็นเจ้าเถิด ผู้ที่เชื่อในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านอลานฯ เท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่ ณ สุขพิมานในวาราสุดท้ายยามเปลวไฟดวงน้อยนั้นมอดแสงลง’
‘มันคือความจริงอันเที่ยงแท้ เราคือผู้นำสาสน์จากพระองค์…เชื่อเรา จงเชื่อเรา นบนอบต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยกายของท่าน วาจาของท่าน และใจของท่านเถิด’
คำพร่ำพูดของนักบวชชราผู้มีศักดิ์อันสูงส่งดังกึกก้องตามหลอกหลอนฉันมาตั้งแต่ยังเยาว์ราวกับเงาอดีตที่ไม่มีวันลบเลือน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ