สาปสายฝน (เดอะซีรีย์)

-

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.55 น.

  45 chapter
  62 วิจารณ์
  22.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 00.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ออกเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แสงพลอยมารับฉันตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น เธอให้คนขับรถพาไปยังสถานีขนส่งภายในตัวจังหวัด และเมื่อไปถึงฉันก็ต้องแปลกใจที่ได้พบว่า ชานนท์กำลังรอเราอยู่แล้วที่นั่น

 

“เธอนี่ร้ายจริงๆ นะลากเอกเค้าไปด้วยทำไมกัน” ฉันพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิกเอวเพื่อนด้วยความเก้อเขิน แต่แก้วก็เอี้ยวตัวหลบก่อนจะวิ่งหัวเราะคิกคักไปหาชานนท์

 

“เอกช่วยฉันด้วย ยัยริณจะแกล้งฉัน ว้ายๆ อย่านะ อย่านะ” เมื่อฉันวิ่งตามไปทัน ยัยเพื่อนตัวดีก็รีบผลุบไปอยู่ข้างหลังร่างสูงของเอกที่กำลังยืนทำหน้าเหรอหลาพลางร้องวี๊ดว้ายหลบซ้ายเบี่ยงขวามือของฉันเป็นพัลวัน

 

              “ไม่เอาน่าพอแล้ว พอแล้ว” ชานนท์หรือเอกซึ่งสวมชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ร้องเท้าผ้าใบคอนเวิรส์สีแดงขาวดูสบายๆ ยกสองมือขึ้นมาปรามเมื่อเห็นเราหยอกล้อกันเป็นเด็กๆ

 

“เอกนายมาได้ยังไง?”  ฉันเอ่ยถามพร้อมกับปาดเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมาตามใบหน้า ขณะที่แก้วแลบลิ้นปลิ้นตาล้อฉันอยู่ข้างหลังเขา สองมือเรียวเกาะอยู่บนบ่าอันแข็งแรงนั่นอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ประกายวิบวับจากแหวนทองหัวทับทิมล้อมเพชรที่เธอมักจะใส่ติดนิ้วนางข้างขวาอยู่ตลอดแยงเข้านัยน์ตาฉัน  จะว่าไปก็ดูสวยงามและเข้ากันดีกับทั้งชื่อเจ้าของและเสื้อยืดสีชมพูอ่อนคอกว้างแขนตุ๊กตากับกระโปรงยีนส์สั้นและรองเท้าบูทหนังยาวครึ่งน่องที่เธอสวมอยู่

 

‘ยัยแก้วนี่แสบจริงๆ’ ฉันนึกขัน พลางส่ายหัวระอิดระอา

 

“อย่าไปต่อว่าแก้วเค้าเลย...เราขอตามมาเองแหละ” ชานนท์ตอบ พอดีกับที่หางตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายรีบพยักหน้าหงึกหงัก ทำหน้าซื่อตาใส บ้องแบ๊วสุดฤทธิ์

 

ฉันเงยหน้ามองใบหน้าขาวของเขาตรงๆ คิ้วสีดำเข้มโค้งได้รูปเหนือดวงตาเล็กรีสะดุดให้ฉันพิศมอง แววตานิ่งภายใต้แว่นกรอบบางทรงสี่เหลี่ยมที่ยังคงมีเสน่ห์มิเคยเปลี่ยนแปรพลอยให้ฉันสะเทิ้นอายขึ้นมาก่อนที่เขาจะเอ่ยคำที่ทำให้ฉันใจเต้นตึกตัก

 

“เราเป็นห่วงริณนะ”

 

ฉันรีบหลุบสายตาเมื่อได้ฟังคำนั้น แอบเขินไปเหมือนกันกับวาจาซื่อๆ ของคนพูดซึ่งทำให้ฉันสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจดวงนี้อย่างประหลาด ‘เป็นห่วง’ อย่างนั้นหรือ คำๆ นี้ไม่ว่าจะได้ฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้รู้สึกดีทุกครั้งสินะ 

 

ฉันเก็บความซาบซึ้งนั้นไว้ภายในก่อนจะก้าวถอย  ซึ่งทำให้แลเห็นบางอย่างที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจเข้ามาแทน

 

“เอ่อ…คือ”

 

“เอกลืมรูดซิบน่ะ” ฉันบอกพลางชี้มือไปตรงจุดนั้น ผ้าเนื้อบางสีขาวโผล่แผลมออกมาแล้ว 

                      

“เอ้ย!” ชานนท์อุทานสะดุ้งโหยง หน้าเจื่อนเล็กน้อยก่อนจะรีบรูดซิบกางเกง ท่าทีลุกลนของเขาทำให้ฉันแอบยิ้ม

 

“พวกเราไปขึ้นรถกันเถอะ” แสงพลอยโพล่งขึ้นเมื่อเห็นรถโดยสารปรับอากาศที่เราจองที่นั่งไว้ เปิดประตูให้ผู้โดยสารทยอยกันขึ้นไป

 

พวกเราวิ่งผ่านแนวรถทัวร์ที่จอดเรียงรายอยู่หลายคันซึ่งส่งกลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์โชยคลุ้ง จากนั้นจึงกรูกันไปต่อแถว ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างหอบหิ้วกระเป๋าใบโต บ้างก็ถือถุงใบใหญ่ ไม่ก็ชะลอมสานที่ใส่ผลไม้เสียจนแน่นปริกันอย่างพะรุงพะรัง แต่สำหรับฉันและชานนท์แค่กระเป๋าและเป้ใบเล็กๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการค้างคืนสองสามวัน

 

ส่วนยัยแก้วนั้นนอกจากกระเป๋าสะพายข้างของDior แล้ว ก็ยังมีกระเป๋าถือหิ้วขนาดใหญ่ลายโมโนแกรมสกรีนทับด้วยตัวอักษรสีชมพูหวานของหลุยส์วิตตอง รวมถึงกระเป๋าเดินทางสีชมพูแบบล้อลากใบย่อมๆ ติดตัวมาด้วย

 

พนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอรม์สีน้ำเงินอ่อนกลัดโบว์สีชมพูที่หน้าอกขวายิ้มหวานและฉีกหางตั๋วรถทัวร์ชั้นพิเศษก่อนจะเชื้อเชิญเราขึ้นรถหลังจากลำเลียงสัมภาระต่างๆ ไว้ใต้ท้องรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

แสงพลอยจัดการให้ฉันนั่งข้างชานนท์เสร็จสรรพ เราสองได้หมายเลข 13 และ 14

 

“ริณอยากนั่งข้างในรึเปล่า?” เขาถามระหว่างที่เราเดินมาถึง

 

“ไม่เป็นไรอ่ะเอกนั่งเถอะ” ฉันตัดสินใจตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะเกะกะขวางทางคนอื่น

 

“อืมก็ดีเราจะได้ถ่ายวิวข้างทางไปด้วย”

 

“ไม่ได้มาเที่ยวนะยะคุณผู้ชาย” แสงพลอยพูดแซว ก่อนจะเบียดตัวเข้าไปนั่งที่นั่งเบอร์ 17 ที่อยู่ติดหน้าต่างข้างหลังชานนท์

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะไปเยี่ยมที่บ้านริณนะ ก็ขอเก็บภาพไว้สักนิดนึงดิ” เอกแย้ง “ว่าแต่ริณก็ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับที่บ้านให้เราฟังเลยนะ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันเองก็ได้แต่นั่งเงียบแทนคำตอบ บ้านเกิดของฉันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูลึกลับมืดมน ซ่อนเร้นกายอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร และชื้นแฉะไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาอยู่ตลอดทั้งปี หมู่บ้านของฉันไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีระบบสาธารณสุขที่ดี  ไม่มีความเจริญ คงจะมีเพียงความน่าเวทนาและความหวาดกลัวต่อความเชื่อเก่าๆ  คร่ำครึของผู้คนในหมู่บ้านหลงเหลืออยู่เพียงเท่านั้น

 

“อืม..เดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า” แก้วพูดพร้อมกับยื่นมือไปคว้ากล้องแคนนอนสีดำจากมือของชานนท์ไปดู “ไหนดูสิเก็บรูปกิ๊กไว้มั่งป่าวเนี่ย”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถือวิสาสะกดปุ่มคำสั่งต่างๆ บนกล้องอย่างคล่องแคล่ว

 

ชานนท์พลิกตัวและชันเข่าขึ้นบนเบาะ โน้มกายไปหาแก้วพร้อมกับอ้าปากทักท้วง

 

“โหยแก้ว...อย่าเลยเดี๋ยวพัง” เอกว่า

 

“ ต๊ายยย...พูดเยี่ยงนี้เดี๋ยวแม่ก็กดให้พังจริงๆ ซะหรอกเชอะ ฉันไม่ใช่คุณป้าที่นั่งข้างๆ เธอนะยะ” 

 

‘นั่นไงฉันโดนเพื่อนรักแขวะเข้าให้’

ตอนนี้คนทยอยขึ้นมาจนเกือบเต็มคันรถแล้ว เสียงผู้คนจอแจวุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง ฉันจึงล้วงหยิบมือถือเปิดแอพลิเคชั่นขึ้นมาเสียบหูฟัง เพลงบรรเลงเปียโนดังรื่นหูแต่ก็มิอาจทำให้ฉันผ่อนคลายหรือสบายใจได้เท่าไรนัก จิตใจยังคงกลัดกลุ้มและห่วงหาอาทรถึง ‘พ่อ’ ผู้อยู่แสนไกล

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา