ผลัดกันเล่า
2) เรื่องเล่าที่ 2 : ใครอยู่ในบ้าน : ระดับ 2 กะโหลก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนตัวผู้เล่าว่า นิ้ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้านของนิ้ง เหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น มักจะเกิดภายในละแวกใกล้เคียงกับห้องแต่งตัว ซึ่งภายในห้องแต่งตัวนั้น คุณพ่อได้สร้างเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกลางๆ เริ่มแรกห้องแต่งตัวเป็นเพียงห้องเปล่าๆ หนึ่งห้อง แต่เพียงไม่นาน คุณพ่อและคุณแม่ก็ได้เริ่มซื้อตู้เสื้อผ้าเข้ามาเรียงไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าและแต่งตัว
มีวันหนึ่ง...คุณแม่ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมและได้นำตู้เก็บของไม้จันทร์ อันเป็นมรดกตกทอดจากคุณยายกลับบ้านมาด้วย
ซึ่งคุณแม่ก็เลือกที่จะนำตู้เก็บของไม้จันทร์หลังนี้ ไปเก็บไว้ที่ห้องแต่งตัว สำหรับจัดเก็บเครื่องนอนเช่นพวกผ้าห่มและหมอนเป็นต้น
อาจเพราะเป็นตู้ไม้ที่ทำจากไม้จันทร์ พวกผ้าห่มหรือหมอนที่เก็บไว้ภายในตู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของไม้จันทร์ติดมาด้วยทุกครั้ง ซึ่งคุณแม่เคยพูดกับนิ้งตอนขนผ้าห่มออกมาใช้ในฤดูหนาวว่า กลิ่นนี้คล้ายกับกลิ่นตัวของคุณยายที่เสียไปตั้งแต่นิ้งยังไม่เกิดเลย
เรื่องแปลกเรื่องแรกที่ตัวนิ้งพบเจอคือตอนที่นิ้งเข้าห้องแต่งตัวเพื่อจะเปลี่ยนชุดไปเตรียมไปวัดกับคุณแม่แต่เช้า เพื่อไปทำบุญให้กับคุณยายที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากว่าเป็นประเพณีปีใหม่ของไทย
ครอบครัวของนิ้งไม่มีใครสูบบุหรี่เลยสักคน และแน่นอนว่าบุหรี่ถือเป็นของต้องห้ามภายในบ้าน
แต่!!
ภายในห้องแต่งตัว บริเวณตรงข้ามกับตู้เก็บของไม้จันทร์นั้นเอง นิ้งได้กลิ่นฉุนของบุหรี่ กลิ่นมันแรงมาก คล้ายกับเพิ่งมีใครสูบบุหรี่ในห้องแต่งตัวเสร็จใหม่ๆ
นิ้งที่เกลียดกลิ่นของบุหรี่ เพราะเมื่อได้กลิ่นทีไร จะรู้สึกปวดหัวทุกที ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้น จนลืมตัว เผลอตะโกนถามออกไปดังๆ ว่า โอ้ย!!! ใครมาสูบบุหรี่ในนี้เนี้ย!!! เหม็นไปหมดแล้ว!!!
สิ้นเสียงของตน นิ้งก็นึกได้ว่า ในบ้านไม่มีใครสูบบุหรี่สักคน และตัวนิ้งเองก็เป็นคนแรกที่เข้ามาใช้ห้องแต่งตัววันนี้...
เช่นนี้แล้ว สิ่งที่ตะโกนถามออกไปนั้น...นิ้งตะโกนถามใคร?
และกลิ่นบุหรี่มาจากไหน...?
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังตะโกนออกไปอย่างลืมตัวเสร็จ สายตาของนิ้งก็ไปหยุดอยู่ที่ตู้เก็บของไม้จันทร์... ความรู้สึกคล้ายกับถูกบางอย่างจ้องกลับมา ทำเอานิ้งรีบเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกจากห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
คุณแม่ที่เห็นนิ้งรีบร้อนเดินออกมาก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “เมื่อกี้เราโวยวายเสียงดังอะไรลูก” พลางมองกลับไปยังประตูห้องแต่งตัว “เจอพวกหนูหรือแมลงหรอ”
เมื่อได้ยินคำถามของคุณแม่ นิ้งก็นึกย้อนไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้า ก่อนจะบ่นอุบอิบว่า “ก็นิ้งได้กลิ่นบุหรี่จากในห้องแต่งตัวนะสิ!”
คุณแม่มีสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดของนิ้ง “ในบ้านก็มีแค่พวกเรา แล้วในห้องนั้นจะมีกลิ่นได้ยังไงกัน” ชั่วขณะที่คุณแม่พูดประโยคนี้ นิ้งสังเกตเห็นว่าในแววตาของคุณแม่ไม่มีความแปลกใจหรือนึกสงสัยอะไรเลย คล้ายกับคนที่รู้เรื่องอยู่แล้ว...
คิดมากไปเอง คือคำพูดทิ้งท้ายของคุณแม่ ก่อนท่านจะเดินเลี่ยงออกไปเตรียมของทำบุญ
ด้วยเพราะหาคำอธิบายไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นิ้งจึงเริ่มคิดว่า บางทีตนอาจจะคิดมากไปเองจริงๆ กลิ่นบุหรี่ในตอนแรกอาจเป็นเพียงกลิ่นอับของห้องที่ไม่ได้รับการระบายอากาศเป็นเวลานานแล้วก็ได้ คิดได้ดั่งนี้ นิ้งก็เดินไปช่วยคุณแม่เตรียมของทันที
หลังจากที่ได้กลิ่นบุหรี่ในห้องแต่งตัวครั้งแรก บางช่วงเวลาที่นิ้งเข้ามาใช้ห้องนี้เพียงลำพัง นิ้งก็ยังคงได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ในห้องเป็นบางครั้ง
วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา คุณป้าศรี เพื่อนบ้านแสนใจดีได้เอ่ยชวนให้นิ้งและคุณแม่ไปเดินเวียนเทียนที่วัดหลังบ้านด้วยกันช่วงหัวค่ำ ซึ่งวัดหลังบ้าน... อยู่ไม่ไกลจากบ้านของนิ้ง เดินเท้าเพียงแค่สิบนาทีก็จะสามารถไปถึงได้แล้ว โดยทางที่เดิน ก็เป็นถนนลาดปูนสายเล็กที่เชื่อมกันกับซอยข้างบ้านของนิ้ง นิ้งที่เตรียมตัวเสร็จก่อนแล้ว ร้องบอกคุณแม่ที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จดีว่า “นิ้งออกไปรอหน้าบ้านนะ!”
มีเสียงแม่ตอบกลับมาสั้นๆ เพียงแค่ “อืม”
นิ้งจึงเดินออกไปรอคุณแม่กับคุณป้าศรีที่เดินมารออยู่หน้าบ้านแล้ว เวลาผ่านไปได้สักพัก คุณแม่ก็เดินออกมาด้วยท่าทีเกรงใจคุณป้าศรี พร้อมกับเริ่มออกเดินทางไปยังวัดหลังบ้าน ช่วงที่เดินออกจากโซนหน้าบ้านได้เล็กน้อย คุณแม่ก็โน้มตัวลงกระซิบบ่นนิ้งเบาๆ ว่า “ทำไมนิ้งออกมาก่อนไม่อยู่ช่วยแม่แบบนี้ละ แม่เสียเวลาเพราะต้องเตรียมของอยู่คนเดียวเลยเนี่ย”
นิ้งที่ถูกคุณแม่บ่นก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ยอมรับ พลางตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “อ้าว ก็เมื่อกี้นิ้งตะโกนบอกแม่แล้วไม่ใช่หรอ ว่าจะออกมารอที่หน้าบ้านอ่ะ แม่ยังตอบ ‘อืม’ กลับนิ้งมาอยู่เลย”
คุณแม่ส่ายหน้าเบาๆ และยังคงยืนยันในคำพูดของตนเองว่า “ไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย แม่ได้ยินแต่เสียงนิ้งเปิดประตูออกไปอย่างเดียว” พลางเอียงหน้าเล็กน้อยก่อนถามกลับ “นิ้งแน่ใจหรอว่าตะโกนบอกแม่แล้วน่ะ”
เมื่อถูกย้อนถามเช่นนี้ นิ้งก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ตอบกลับคุณแม่ไปอย่างมั่นใจ “แม่อย่ามาบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยสิ ตอนนิ้งตะโกนบอกแม่ยังตอบนิ้งกลับ...!!!” แต่แล้วนิ้งก็ต้องหยุดชะงักเกือบจะทันที คำพูดที่ตั้งใจว่าจะพูด กลับเปลี่ยนเป็นเพียงการตอบรับด้วยเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิมสั้นๆ ว่า “นิ้งผิดเอง นิ้งขอโทษนะแม่”
คุณแม่ที่เห็นนิ้งยอมรับผิดก็ไม่ได้ติดใจอะไร ทำเพียงแค่ลูบหัวนิ้งเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นหน้าเพื่อไปพูดคุยกับคุณป้าศรีต่อโดยไม่ได้เอะใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของนิ้งแม้แต่น้อย นิ้งเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสองที่เดินคุยกันไปเงียบๆ ด้วยใจที่เต้นแรงอย่างตื่นกลัว
เมื่อครู่นี้....
ชั่วขณะที่นิ้งกำลังพูดคุยกับคุณแม่อยู่นั้น มุมมองของนิ้งตรงกับบ้านพอดี ซึ่งจากมุมที่นิ้งมองเห็นนั้น สามารถมองเห็นทะลุไปยังหน้าต่างห้องแต่งตัวได้
ไฟในห้องแต่งตัวถูกเปิดทิ้งไว้ ซึ่งนิ้งยังพอจะหาเหตุผลได้ว่า อาจเป็นคุณแม่ที่เข้าใฝช้ห้องแล้วลืมปิดไฟตอนออกไป
แต่...
นอกจากไฟในห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้ว...
นิ้งยังเห็น…ร่างของหญิงสาวผมยาวคนนึงในห้องนั้นอีกด้วย!!!
บ้านของนิ้งมีสมาชิกครอบครัวเพียงแค่สามคน นั้นคือ คุณพ่อ คุณแม่ และนิ้ง
แล้ว....
ร่างผู้หญิงที่นิ้งเห็น....เป็นใคร?
แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เห็น จนอาจคิดว่าตนตาฝาดไปแน่ๆ แต่ในใจนิ้งกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นั้นคือเรื่องจริง
นิ้งยังจดจำรูปร่างและท่าทางของหญิงปริศนาที่เห็นภายในห้องแต่งตัวได้เป็นอย่างดี ผู้หญิงคนนั้นผมดำยุ่งเหยิงยาวปกหน้าปกตา รูปร่างผ่ายผอม ผิวซีดขาว ใส่ผ้าถุงสีเข้ม กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนลังเก็บเสื้อที่วางไว้ข้างๆ ตู้เสื้อผ้าของนิ้ง ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่นิ้งมักจะได้กลิ่นบุหรี่อยู่บ่อยๆ!!!
หลังกลับจากเวียนเทียน นิ้งตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นให้คุณแม่ฟัง เพราะแม้ว่าจะรู้สึกตื่นกลัวในครั้งแรกที่เห็น แต่นิ้งกลับไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคามใดๆ ไม่รู้สึกหวาดหวั่น หรือกลัวเหมือนผีที่เห็นในหนัง มันเป็นเพียงความรู้สึกเกรงๆ กลัวๆ แบบญาติผู้ใหญ่...?
ในตอนแรกนิ้งคิดว่าคุณแม่คงบอกว่านิ้งตาฝาดแน่ๆ แต่คำพูดของคุณแม่กลับทำให้นิ้งรู้สึกผิดคาด
“คงตามมากับตู้เก็บของไม้จันทร์แหละมั้ง” คุณแม่เพียงกล่าวสั้นๆ ซึ่งนั้นยิ่งทำให้นิ้งซักไซ้ถึงเรื่องความเป็นมาของผู้หญิงที่นิ้งเห็นและตู้เก็บของหลังนี้มากยิ่งขึ้น
ตามที่คุณแม่เล่าให้นิ้งฟัง คือเมื่อก่อน ที่บ้านเดิมของคุณแม่เป็นทรงเจ้า สมัยที่คุณยายยังเด็ก ที่บ้านเดิมจะมีการทำพิธีทรงเจ้าบรรพบุรุษกันเป็นประจำทุกปี ซึ่งผีที่เข้าทรงมาก็เป็นผีบรรพบุรุษในบ้านและผู้รับหน้าที่เป็นร่างทรงให้ก็เป็นลูกหลานในบ้าน จะไม่มีการนำคนนอกมาเป็นร่างทรงเด็ดขาด เหตุผลเพราะอะไรตรงนี้คุณแม่เองก็ไม่ทราบเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าในการเข้าทรงแต่ละปี ลูกหลานจะพากันมากราบไหว้เคารพ และเลี้ยงอาหารคนทรง
ทุกครั้งที่มีการเข้าทรง ผู้ที่เป็นร่างทรงให้จะมีท่าทีที่แปลกไปจากปกติมากๆ คุณแม่บอกว่าเพราะเขาไม่ใช่คนปกติเหมือนอย่างเราๆ บางครั้งก็จะมีการทำอะไรประหลาดๆ เช่น นำพริกแดงตากแห้งมาจุดสูบแทนบุหรี่ รำดาบแบบน่าหวาดเสี่ยว หรือแม้แต่กระโดดจากหน้าต่างชั้นสองเพื่อออกไปรำที่หน้าศาลก็ยังเคยมี
ซึ่งคุณยายเป็นร่างทรงคนสุดท้ายของบ้านเดิม....
เพราะการกระทำที่เหนือมนุษย์ปกติเลยทำให้ร่างกายของร่างทรงรับภาระหนัก ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นร่างทรงให้จึงมีอายุไม่ค่อยจะยืนนานนั้น
ตัวคุณยายเองก็เช่นกัน เมื่อครั้นที่ทราบว่าตนตั้งท้องคุณแม่ คุณยายจึงประกาศกับคนที่บ้านเดิมว่าจะไม่มีประเพณีเข้าทรงอีกต่อไป ให้เหลือไว้เพียงแค่กราบไหว้รูปบรรพบุรุษและรดน้ำดำหัวพระพุทธรูปในบ้านเพียงแค่นั้นพอ
ส่วนผู้หญิงที่นิ้งเห็นนั้น คุณแม่คิดว่าคงเป็นทรงที่คุณยายเป็นร่างให้ เพราะก่อนที่คุณยายจะเสีย คุณแม่เคยได้ยินคุณยายคุยกับใครไม่รู้ในห้องนอนว่า “ฝากดูแลด้วยนะ”
ซึ่งตู้เก็บของไม้จันทร์หลังนี้เองก็เป็นตู้ที่คุณแม่นำกลับมาจากในห้องนอนของคุณยาย คิดว่าเขาน่าจะติดมาตามคำขอสุดท้ายของคุณยายให้ช่วยดูแลลูกหลานต่อๆ ไป
- จ บ -
รีดๆ ที่น่ารักทั้งหลายอ่านจบแล้วคิดว่าเรื่องนี้ให้สักกี่กะโหลกดีคะ *-*
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ