รีเบลกับจินน์แห่งความคิด

-

เขียนโดย พิมพ์พิรุณ

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 01.29 น.

  1 chapter
  0 วิจารณ์
  1,354 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ทาสและเจ้านาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ทาสและเจ้านาย

            หญิงสาวที่นั่งคุดคู้อยู่ริมก้อนหินในดันเจี้ยนกำลังตัวสั่นเทา ดวงตาสีเขียวสดทอประกายหวาดหวั่น รอบตัวเธอเต็มไปด้วยเสียงทหารโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจากการต่อสู้อย่างหนักหน่วงกับปีศาจที่เฝ้าประตูศิลาเบื้องหน้า

            “จัดการพวกมันซะ” เจ้านายเธอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างตัวเธอเอ่ยกับเธอเบา ๆ หญิงสาวพยายามฝืนหากแต่บริเวณต้นขาข้างขวาของเธอรู้สึกร้อนวาบจนแทบกลั้นเสียงความเจ็บปวดไว้ไม่อยู่ มันร้อนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเธอเริ่มลุกขึ้นและคว้าเอากระบอกน้ำขวดใหญ่ขึ้นมาถือไว้ในมือ หญิงสาวลากร่างอันสะบักสะบอมของตนเองไปตามแนวของเหล่าทหารรับจ้างที่นอนกระจัดกระจายอยู่รายทาง พร้อมกับฉีกยิ้มและรินน้ำจากกระบอกนั้นให้เหล่าทหารดื่ม

            “พวกท่านคงจะเหนื่อย พักดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อนเถอะค่ะ นายท่านของข้าเมตตาให้นำมาแจกจ่าย” น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการประสาทพรจากทางวิหารเทพมีผลจากการดื่มคือสามารถฟื้นฟูความเหนื่อยล้าได้ในระดับหนึ่งและยังรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้อีกด้วย มีหรือทหารที่ผ่านศึกหนักมาอย่างพวกเขาจะปฏิเสธไมตรีจิตรจากนายจ้างใจดี

            “โอ้ ขอบใจเจ้ามากนะสาวน้อย” ทหารนายหนึ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นฉีกยิ้มพร้อมกับยื่นแก้วของตนเองมาตรงหน้าเพื่อรองน้ำจากมือของหญิงสาว

            อย่าดื่มนะ น้ำนี่มันอันตราย!!!

            ในใจของเธอกรีดร้อง คร่ำครวญและอ้อนวอนทหารเหล่านั้น หากแต่ใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและคอยแจกจ่ายน้ำจากกระบอกนั้นให้ทุกคนอย่างครบถ้วนแม้แต่เพื่อนทาสด้วยกันเองเธอก็ยังมอบให้... เพราะมันเป็นคำสั่งของนายเธอยังไงล่ะ

            เมื่อแจกจ่ายเสร็จเธอก็กลับมานั่งอยู่ข้างนายของเธอเช่นเดิมพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เช่นนั้น เธออยากจะร้องไห้เมื่อเห็นผู้คนเหล่านั้นเริ่มดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ผสมยาพิษร้ายแรงเข้าไปทีละคน

            “อื้ออ ยะ...” หญิงสาวขยับจะเอ่ยคำเตือนออกมา แต่เพียงแค่นายของเธอตวัดหางตามามอง ปากของเธอก็รูดปิดสนิทและไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้อีก

            “อยู่เงียบ ๆ แล้วมองเพื่อนแกตายไปทีละคนด้วยน้ำมือของแกเองเถอะ หึ ๆ” ชายผู้เป็นนายเอ่ย เขาอวบอ้วนและใส่เครื่องประดับเต็มทั้งนิ้วมือสองข้าง รองเท้าหนังอย่างดีกำลังเหยียบอยู่บนมือของเธอบนพื้น แต่เธอก็ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ สมองของเธอกำลังวิ่งพล่านในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อทหารคนแรกที่ได้รับน้ำผสมยาพิษเริ่มล้มตัวลงและกระอักเลือดออกมาคำโต จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมาทหารและทาสทั้งหมดที่เข้าร่วมการเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ก็พากันสิ้นใจล้มระเนระนาดไปทั่วบริเวณที่เธอนั่งอยู่

            “ฮ่าๆๆๆ พวกโง่พวกนี้คิดว่าฉันจะยอมเสี่ยงให้ใครได้ส่วนแบ่งของดันเจี้ยนนี้ไปหรือไง พวกมันต้องบ้าแล้วแน่ๆ ฮ่าๆ” นายทาสลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระชากเธอให้ลุกตามมาด้วย เบื้องหน้าของเธอหลังประตูศิลาที่เปิดอ้าคือแท่นบูชาหินที่บิดเบี้ยว ดวงตาของชายผู้เป็นนายระริกระรี้ไปด้วยความตื่นเต้น เขาผลักเธอลงไปบนแท่นบูชาพร้อมกับใส่โซ่ล็อกขาทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้

            “แกรู้มั้ยว่าทำไมฉันยังไม่ฆ่าแก?” ผู้เป็นนายหยิบเอากริชเล่มงามออกมาจากฝัก เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับถกกระโปรงของเธอขึ้นจนเห็นเนื้อต้นขา หญิงสาวตกใจและพยายามดึงกระโปรงของตัวเองไว้ หากแต่ผู้เป็นนายกลับเอ่ยวาจาสิทธิ์เจ้าของทาสออกมา

            “ห้ามขยับ รีเบล ร็อกซานน์” ร่างกายเธอพลันแข็งทื่อ และเมื่อฝืนขยับบริเวณต้นขาด้านขวาของเธอก็เรื่องแสงสัญลักษณ์ ‘S’ ออกมา ขนาดของมันมีประมาณฝ่ามือ เมื่อเธอขัดขืนมันยิ่งส่องแสงสว่างออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับแผดเผาเนื้อรอบ ๆ สัญลักษณ์ให้กลายเป็นสีแดงสด ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจนเธอต้องหยุดขยับตัวตามคำสั่ง

            ผู้เป็นนายแสยะยิ้มก่อนจะเอ่ย “เห็นแกว่าเธอรับใช้ฉันได้อย่างดี ฉันจะไม่รีบฆ่าเธอแล้วให้เธอได้ชื่นชมการปลดปล่อยสัตว์อสูรที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วกันนะ” เขาง้างมือข้างที่ถือกริชพร้อมกับแทงลงมาที่สัญลักษณ์ทาสของเธอจนมิดด้าม

            “กรี๊ดดดด” หญิงสาวร้องลั่นพร้อมกับกุมแผลฉกรรจ์เอาไว้ด้วยมือสองข้าง ความเจ็บปวดจากการโดนเผาด้วยวาจาสิทธิ์ทาสหายไปแล้วหากแต่แทนที่มาด้วยบาดแผลที่ยากเกินจะเยียวยา

            “ฉันทำลายสัญลักษณ์ทาสให้เธอแล้ว เธอเป็นอิสระจากฉัน ทีนี้ก็ถึงเวลาต้องทดแทนบุญคุณกันหน่อยแล้วมั้ง” ผู้เป็นอดีตนายเดินถอยหลังออกไปจากแท่นบูชา เมื่อเขาเห็นว่าเลือดของเธอไหลรินจนเอ่อเต็มบริเวณนั้นก็เริ่มเอ่ยคำปลุกอสูร

            “ด้วยเลือดที่ไหลริน ของลมหายใจที่เคยสิ้นพลันกลับคืน” สิ้นประโยค บริเวณที่หญิงสาวนอนพังพาบอยู่ก็เรืองแสงสีม่วงออกมา แสงนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาบทั้งแท่นศิลาและห้องบูชาให้กลายเป็นสีม่วง เลือดของเธอที่เคยเจิ่งนองเริ่มซึมหายเข้าไปในแท่นที่เธอนั่งอยู่ และเธอก็เริ่มรู้สึกว่าเลือดจากตัวเธอถูกสูบออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอหูอื้อจนได้ยินเสียงหอบหายใจและเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตุ้บ ๆ อยู่ในอก พลันรู้สึกหนาวจับใจและหน้ามืดจนต้องล้มตัวลงนอนบนแท่น

            เธอได้ยินเสียงศิลาปริแตก เสียงเย็น ๆ ของอะไรบางอย่างเอ่ยกังวาลไปทั่วบริเวณที่ทำพิธี

            “ผู้ใดปรารถนาที่จะครอบครองความคิด ผู้ใดประสงค์ในสิ่งใดจนคำนึงถึงตัวข้า ผู้ใดเอ่ยวาจาข้าจักล้อลวงมาให้ทั้งสิ้น”

            “ฮ่า ๆๆๆ สำเร็จแล้ว จงมาอสูรแห่งความคิด อสูรผู้รับใช้จงมารับใช้ข้าแต่เพียงผู้เดียว” ผู้เป็นนายของเธอลิงโลดพร้อมกับอ้าแขนออกกว้างโอบรับความมืดที่แผ่ขยายออกมาจากแท่นศิลา ส่วนตัวเธอนั้นรับรู้ได้ว่าชีวิตน้อย ๆ กำลังจะจากหายไปจากร่างกายนี้เต็มทนแล้ว

            เกิดอย่างทาสก็ต้องตายอย่างทาสงั้นสินะ ทั้ง ๆ ที่ฉันแค่อยากจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง แค่นั้นจริง ๆ...

            ความคิดสุดท้ายเล็ดรอดออกมาก่อนสติของเธอจะเริ่มดับลง เหมือนเวลาหยุดนิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว เธอเห็นใบหน้าตื่นกลัวของผู้เป็นอดีตนายค่อย ๆ ฉายออกมาทีละน้อย ดวงตาเล็กหยีที่คอยมองผู้อื่นอย่างเหยียดหยามเบิกกว้าง สองมือที่โอบรับความมืดเมื่อครู่ยกขึ้นมาปกป้องตนเองแทน ทุกอย่างเกิดขึ้นช้า ๆ จนสติเลือนรางของเธอสามารถมองตามและเข้าใจได้ไม่ยาก

            มีเสียงดังเป๊าะเบา ๆ ที่ข้างหูก่อนที่แสงสีม่วงจะถูกดูดกลืนกลับเข้ามาที่ตัวเธอ มันม้วนเข้าเป็นลูกกลมเล็ก ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลก่อนจะค่อย ๆ ซึมหายเข้าไปในหน้าอกของเธอ สติทุกอย่างกลับคืนมา ร่างกายไม่รู้สึกหนาวสั่นอีกต่อไป หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนแสงสีม่วงจะค่อย ๆ จางหายไปเผยให้เห็นดวงตาสีเขียวสดกลับมาสุกใสดังเป็นปกติ

            “อะไรกันเนี่ย” เธอยกมือสองข้างขึ้นดู แผลถลอกเล็กน้อยได้จางหายไปจากตัวเธอแล้ว หากแต่บาดแผลฉกรรจ์ที่ขาของเธอยังคงอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งอีกต่อไป เธอมองไปที่อดีตนายทาสของเธอยืนอยู่กลับพบเพียงเศษผุยผงและเสื้อผ้ากองหนึ่งเท่านั้น ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบสงัดราวกับสิ่งมหัศจรรย์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

            จะออกไปได้รึยัง?

            หญิงสาวเบิกตาโพลง เสียงนั่นดังมาจากตัวเธอเป็นเสียงเย็นชืดที่เอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย

            “อะ... ออกไปไหน ฉันตายแล้วหรอ แล้วท่าน...”

            ถามมากความ ข้าเลือกเจ้าแทนไอ้คนบ้าอำนาจนั่นแล้วยังไม่พอใจหรือไง

            “ฮะ?”

            เจ้านี่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว น่ารำคาญจริง ๆ อย่าให้ข้าคิดว่าเลือกนายผิดคนนะ

            บริเวณหน้าอกที่ลูกกลมจมหายเข้าไปเปล่งแสงอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะมีกลุ่มควันลอยพุ่งออกมาจากลูกแก้ว กลุ่มควันนั้นเป็นเหมือนกลุ่มก้อนเมฆสีดำที่มีสายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา

            “ข้าชื่อควินตัส เจ้าชื่ออะไรผู้เป็นนาย?” เมฆพูดได้ คุณพระช่วย!!

            “ฉันชื่อ รีเบล ที่แปลว่ากบฏ...” หญิงสาวก้มหน้าลง คนที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็คือเจ้านายคนแรกของเธอ เขาตั้งชื่อเธอแบบนี้เพราะมองว่ามันดู “น่าตลก” ดีที่ทาสที่ไม่สามารถฝ่าฝืนวาจาสิทธิ์ได้แต่มีชื่อเหมือนกับพวกที่ชอบฝ่าฝืนกฏหมาย

            “เอาล่ะ ไหน ๆ เพื่อไม่ให้เลือดของเจ้าเสียเปล่า ข้าจะร่างสัญญาเลือดเลยแล้วกันนะ” กลุ่มเมฆสีดำเสกม้วนคาถากับปากกาขนนกขึ้นมากลางอากาศพร้อมกับอ่านสัญญาม้วนนั้น

            “ข้า ควินตัส เจ้าแห่งความคิด ขอทำสัญญาทาสกับ รีเบล.. เอ่อ เจ้านามสกุลอะไรนะ”

            “ร็อกซานน์... เดี๋ยวสิ อยู่ ๆ จะมาเขียนสัญญาทาสอะไร ไม่เอานะ” เมฆสีดำจึ๊ปากด้วยน้ำเสียงขัดใจสุด ๆ จนเธอเกือบจะจินตนาการเห็นหน้าคนเบ้ปากพร้อมกับยืนท้าวสะเอวอยู่ตรงหน้าได้อยู่แล้ว

            “ไม่ให้เป็นทาสแล้วจะเป็นอะไร ใคร ๆ ก็อยากได้ข้าเป็นทาสทั้งนั้นแหละ เจ้านายคิดอะไรได้อย่างนั้น โน้มน้าวใจคนก็เก่งเป็นที่หนึ่ง ไม่นับเรื่องล่อลวงหลอกมาทำอะไรทั้งหลายแหล่อีกนะ” หญิงสาวส่ายหน้าพรืดพร้อมกับรีบพูดออกมา

            “เป็นอะไรก็เป็น แต่อย่าเป็นทาสเลยฉันขอร้องล่ะ” ก้อนเมฆสีดำเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนสัญญาฉบับนั้นจะถูกฉีกดังแควกและมีสัญญาใหม่ผุดออกมา

            “ก็ได้ ไม่เป็นทาสก็ได้ ข้า ควินตัส เจ้าแห่งความคิด ขอทำสัญญากับ รีเบล ร็อกซานน์ จะดูแล ปกป้อง และเป็นที่พึ่งยามยาก จนกว่าสัญญาจะสูญสลาย... เจ้าอยากเสริมอะไรมั้ย” หญิงสาวนิ่งไปอึกใจหนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา

            “เป็นเพื่อน เอ่อ เป็นเพื่อนด้วยได้มั้ย” ก้อนเมฆสีดำเงียบแต่ปากกาขนนกยังขยับยุกยิก ๆ อยู่อย่างนั้น

            “เอาละ เป็นเพื่อนก็ได้ พอใจรึยัง เอาขาเจ้ามาข้าจะใช้เลือด” เมฆสีดำก่อตัวเป็นมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดและกรงเล็บแหลมคม ก่อนจะกระชากโซ่รอบขาเธอออกอย่างง่ายดาย มือข้างนั้นแตะ ๆ ไปที่แผลบนขาซึ่งเธอเพิ่งจะสังเกตว่ามันค่อย ๆ สมานกันจนไม่เป็นแผลใหญ่เหวอะหวะแล้ว ระหว่างที่เธอกำลังชะล่าใจ มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บก็กระชากเอากริชเล่มที่ปักขาเธออยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว

            “โอ้ยย เจ็บนะ ทำอะไรไอ้ก้อนเมฆบ้า” หญิงสาวน้ำตาปริ่มแต่พอมองไปที่แผลก็พบว่าแผลมันค่อย ๆ สมานกัน ถึงแม้ยังไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้แต่เธอก็พอที่จะขยับขาตัวเองได้แล้วเล็กน้อย

            มือ(?) ของควินตัสหยิบเอากริชเล่มนั้นปาดเลือดที่เหลืออยู่ของเธอลงบนหนังสือสัญญา สัญญาม้วนเล่มนั้นส่องแสงวิบวับก่อนจะฉีกครึ่งออกจากกันเป็นสองท่อน

            “นี่สัญญาฝั่งเจ้า อันนี้ของข้า เก็บไว้ดี ๆ แล้วกันเดี๋ยวใครเอาไปเผาล่ะจะยุ่ง” มือปริศนาหยิบกระดาษสัญญาของฝั่งตนเองแล้วซุกเข้าไปในก้อนเมฆสีดำที่เปิดออกมาเป็นเหมือนประตูมิติ เขาโยนเศษกระดาษนั่นหายวับเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางเป็นกอดอกคล้ายรออะไรบางอย่าง

            “ลุกสิอย่ามัวแต่สำออย เอาล่ะเจ้าอยากจะไปยึดดินแดนไหน หรือไล่ฆ่าครอบครัวของไอ้นายทาสวิปริตคนเมื่อกี้ของเจ้าให้ตายตกไปทั้งตระกูล หรืออยากจะปลุกปั่นกองกำลังปีศาจให้เป็นของตนเองดีล่ะ” รีเบลกระพริบตาปริบ ๆ

            “ฉันไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้นแหละ”

            “...”

            “เอ่อ ฉันอยากกินข้าวแล้วก็นอนพักสักตื่นนึงน่ะ”

            “ได้ จัดให้ตามคำขอ เอาสมบัติที่ข้ารวม ๆ มาจากพวกมาลองดีในดันเจี้ยนข้าเมื่อ 800 ปีที่ผ่านมาไปใช้ซะบ้างแล้วกัน”

            “แต่ฉันเดินไม่ไหว” เจ้าก้อนเมฆเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ

            “เจ้าจะเป็นเจ้านายข้าจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย” ก้อนเมฆสีดำแปลงเป็นมือสองข้างอีกครั้งก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นจากแท่นพิธี

            “เจ้าจะต้องเป็นเจ้านายที่ไร้ประโยชน์ที่สุดแน่ ๆ เลย”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา