เรื่องราวของข้า..ผู้อาภัพรัก
-
เขียนโดย baby_Carrot
วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 00.55 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
1,589 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2565 01.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 1-2 หญิงสาวผู้โดดเดี่ยว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความถ้าเกิดเจ้าของร่างไร้วิณญาณยังมีสติรับรู้คงจะดีใจไม่น้อย ภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็นอย่างเลือนรางนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา
แต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาดอกท้อภายใต้แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมทอแววตกใจ ประคองพลิกร่างบางอย่างทะนุถนอม ไม่ได้นึกรังเกียจของเสียในร่างกาย
มือเรียวลองตบไหล่เพื่อปลุกเรียกสติ ไม่มีอาการตอบสนอง จึงตรวจจับชีพจรและลมหายใจอย่างเชี่ยวชาญ เมื่อเห็นว่าหัวใจหยุดเต้นสองมือรีบหาตำแหน่งวางมือในการซีพีอาร์
สองมือกดกึ่งกลางหน้าอกนับเป็นจังหวะ
“เร็วเข้า! ฟื้นสิ! ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!!”
ร่างกายของเสียนเสียนยังคงมีไออุ่น หัวใจน่าจะหยุดเต้นไม่นาน เขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอฟื้นขึ้นมา
“อาเสียน..นางเป็นอะไร”
เสียงสั่นเครือของหญิงวันกลางคน เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ตัวเธอเองเห็นบุตรชายเฝ้าสังเกตความผิดปกติ ของหญิงสาวข้างบ้านมาหลายวันแล้ว รบเร้าให้เธอพาไปแจ้งที่นิติหมู่บ้านให้พามาที่นี่ให้ได้ ปกติบุตรชายเธอนั้นนิสัยอ่อนโยนแต่ครั้งนี้ถกเถียงกับนิติจนเกือบมีเรื่องมีราว
เขาได้ยินเสียงมารดาสอบถามแล้วแต่ยังไม่มีเวลาอธิบาย
“ม๊า..โทรแจ้งรถฉุกเฉินให้หยางหน่อย”
เขายังคงทำซีพีอาร์อย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้าน คงมาถึงในสิบนาที แต่ก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดีเขาต้องทำเท่าที่ทำได้
ไม่สิ! ต้องทำให้เธอฟื้นให้ได้
เสียงรถพยาบาลมาแล้วแต่ร่างกายของเธอยังไม่ตอบสนอง ต่อให้แขนเขาจะทำซีพีอาร์จนแขนล้า แต่สมองและหัวใจยังสั่งให้เขาทำต่อไป
เขาไม่สามารถหยุดทำได้เลย เพราะนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ยังมีหลายสิ่งที่เขายังไม่ได้บอกเธอเลย เธอไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำไป
‘ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ไป๋ลู่เสียน’
เขาได้แต่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ
พยาบาลประจำรถฉุกเฉินพยามยามเรียกเตือนสติชายหนุ่ม
“คุณหมอหยาง ให้ทางเราจัดการต่อเถอะค่ะ”
ตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนี้ เห็นคุณหมอทำซีพีอาร์ไม่หยุดจนเหงื่อโทรมกาย ขอบตาแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้ ปรากฏชัดเจนภายใต้แว่นตา
แสดงถึงความสำคัญของหญิงสาวผู้นี้ ที่มีน้ำหนักในใจคุณหมอหยางไม่น้อยเลย
เธอไม่อยากทำลายความหวังคุณหมอ แต่ร่างกายของหญิงสาวไม่ตอบสนอง ตรวจเช็ครูม่านตาไม่มีการหดขยาย หญิงสาวคงเสียชีวิตแล้ว ก่อนที่พวกเธอจะมาถึงเพียงไม่นาน
เขายังคงปั๊มหัวใจของเธอต่อไป เขาไม่เชื่อว่าเธอจะตายแล้ว
“เสียนเสียนต้องไม่ตาย ไม่มีทาง ผมจะต้องช่วยเธอ”
น้ำตาของเขาไหลออกมา เวลานี้เขาไม่อายใครทั้งนั้น เขาแค่ต้องการให้เธอมีชีวิต
“ทุกคนไปลากตัวคุณหมอหยางออกมา”
เหล่าแพทย์พยาบาลพยายามลากตัวคุณหมอหนุ่มประจำโรงพยาบาล ที่พวกเธอทำงานอยู่ออกจากร่างไร้วิณญาณ
ปกติคุณหมอนั้นเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี น้อยครั้งที่จะได้เห็นความดื้อรั้น ร้องไห้คร่ำครวญจนหมดสภาพขนาดนี้ ความสุขุมก็ไม่มีเหลือให้เห็น
ตั้งแต่ที่รถพยาบาลพาร่างของอาเสียนไป ลูกชายเธอนั่งเหม่อลอยตรงนี้เกือบสองชั่วโมงได้แล้ว
“หยางหยาง..ออกไปจากห้องนี้ได้แล้วลูก”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุตรชาย มีแต่เพียงความเงียบเท่านั้น เธอได้แต่ทอดถอนใจ
เธอไม่รู้จักกับอาเสียนมากนักทุกเรื่องราวที่รู้ ก็มักจะออกมาจากปากบุตรชาย ที่ไม่กล้าแม้แต่เอ่ยทักหญิงสาวที่อยู่ข้างบ้านซักครึ่งคำ
ได้แต่คอยเฝ้าแอบมองเธอผ่านรั้วบ้าน เฝ้าติดตามเธอผ่านโลกออนไลน์ แล้วนำมาเล่าให้แม่อย่างเธอฟังอยู่เสมอ
คนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเช่นเธอทำไมจะไม่รู้ว่าบุตรชายรู้สึกเช่นไรกับหญิงสาว
“ซักพักค่อยตามแม่ออกไปก็แล้วกัน ยังต้องจัดการพิธีศพของอาเสียนต่อ”
เธอเดินออกมาจากห้องเพื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมด ปล่อยให้ลูกชายทำใจซักพักน่าจะดีไม่น้อย ใช้กำลังบังคับขืนใจไม่ใช้ทางออกที่ดี สำหรับคนดื้อเงียบแบบ ‘เสวี่ยเหวินหยาง’ บุตรชายของเธอ
เสียงปิดประตูแผ่วเบาลอยมาให้ได้ยิน เขานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บ้านที่เขาอยากเข้ามาซักครั้ง ห้องที่เธออาศัยอยู่ เขาได้เข้ามาแล้วเข้ามาในวันสุดท้ายของชีวิตเธอ
เข้ามาไม่ทันแม้แต่จะร่ำลา สารภาพเรื่องราวและคำสัญญาที่ให้ไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีอีกแล้วแววตาสดใสที่เขาคอยเฝ้ามอง
มีเพียงดวงตาไร้แววที่เขาเป็นคนปิดมันลงเองกับมือ ร่างกายอบอุ่นที่เขากอดเอาไว้นั้นเริ่มเย็นชืดไร้ไอชีวิต
เขาพยายามไม่ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พยายามทำใจกลั้นน้ำตา ไม่ให้ไหลลงมาอีกระลอกหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องนี้ไปเท้าเขาสะดุดลงที่หนังสือเล่มหนึ่ง
โฟโต้บุ๊ครวมเล่มพิเศษเรื่อง ‘ซ่อนเงาจันทรา บุปผาเร้นกาย’ มือของเขาสั่นเล็กน้อย
เขาแหงนหน้ามองรอบห้องเพื่อพิจารณาอีกครั้ง สายตามองไปที่ชั้นหนังสือสีขาวขนาดใหญ่ ที่มีนิยายของเสวี่ยเหมยอัดแน่น จมูกเขาเริ่มแสบร้อนขึ้นมา
ภาพความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาในหัว เด็กน้อยสวมชุดสีขาวกระโปรงฟู่ฟ่องราวกับเจ้าหญิง ปีนรั้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพยายามจะสนทนากับเขา ในทุกทุกวันที่เขาเดินผ่าน
เขาเป็นคนใจอ่อนกับน้ำตา โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า เด็กหญิงมักจะมายืนร้องไห้ริมรั้วหลังจากที่โดนแกล้งอยู่เสมอ
ครั้งแรกที่เห็นเขาก็ทำเป็นไม่สนใจ พอมีครั้งต่อไปเขาก็ใจอ่อน ด้วยความสงสารเขาจึงเล่าเรื่องราวสนุกสนานปลอบโยน จนทำให้เธอติดฟังเรื่องสนุกจากเขา มาดักรอเวลาที่เขาเลิกเรียนในทุกวัน
“พี่ชายวันนี้มีเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังอีกไหมคะ”
ดวงตากลมโตรอคอยอย่างมีความหวัง เขาพยายามหาเรื่องมาเล่าให้เธอฟังเสมอ
จนวันหนึ่งที่เขาต้องย้ายบ้านจากที่นั้นมา ไม่ได้เข้าไปแถวสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เด็กหญิงร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนเขาต้องสัญญาว่าจะเขียนหนังสือให้เธออ่านทุกปี จนกว่าเขาโตพอที่จะมารับเธอไปอยู่ด้วย
“พี่ชายจะมารับเสียนเสียนจริงนะคะ ไม่โกหกนะคะ”
เสียงเจือยแจ้วติดสะอื้น ยามเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมา
“คุณแม่ไป๋บอกว่าคนโกหกคือคนไม่ดี เสียนเสียนไม่อยากให้พี่ชายใจดีเป็นคนไม่ดี”
เด็กหญิงยกสองมือน้อยทำท่าเกี่ยวก้อยสัญญา
“พี่ชายสัญญา โตขึ้นพี่จะให้ลู่เสียนได้ใช้นามสกุลเสวี่ยของพี่ชาย”
เขาเอื้อมมือเกี้ยวก้อยสัญญากับแขนน้อยที่ลอดออกมาจากรั้ว เขาเก้อเขินเล็กน้อยที่พูดออกไป
“จริงเหรอคะ เสียนเสียนจะมีนามสกุลของตัวเองแล้ว”
“ไม่ได้ใช้นามสกุลของคุณแม่ไป๋เหมือนกับคนอื่น” เธอดีใจจนยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือลาเด็กหนุ่ม
ถ้าเธอโตมากกว่านี้เธอต้องเข้าใจที่เขาสื่อความหมายแน่ และหวังว่าเธอจะยังคงไม่เปลี่ยนใจ เขาเดินออกมาไกลมากแล้ว แต่มีบางอย่างที่จะต้องบอกเธอ
เขาวิ่งกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เด็กหญิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายกายที่วิ่งกลับมาอย่างเร็วชุ่มไปด้วยเหงื่อ เลือดในกายสูบฉีดทำเอาหายใจแทบไม่ทัน
เขาค่อยค่อยเอ่ยมันออกมา ด้วยความยากลำบาก เวลาที่จะใช้ร่ำลามีเหลือไม่มากนัก
“สะ.เสวี่ย..เหมย”
เด็กหญิงดีใจไม่น้อยเมื่อเห็นพี่ชายวิ่งกลับมา ก่อนจะงุนงงกับคำพูดที่ได้รับ
“เสวี่ยเหมยคืออะไรคะ” เธอเอียงคอครุ่นคิดด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เข้าใจ
“มันคงเป็นเวลานานมากที่พี่ไม่ได้มาที่นี่ ไม่ได้มาเล่าเรื่องราวสนุกๆ ให้ฟัง แต่พี่จะส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางตัวหนังสือ”
“ตอนนี้เสียนเสียนอาจจะยังอ่านไม่ออก แต่ถ้าพยายามเรียนจะต้องอ่านออกเขียนได้”
“ในวันหนึ่งเสียนเสียนจะต้องเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายต้องการจะสื่อแน่นอน”
เขาลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู เธอเป็นเด็กรู้ความ เขาเชื่อมั่นแบบนั้นมาตลอด
ไป๋ลู่เสียนฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
“เสียนเสียนยังไม่ค่อยเข้าใจดี แต่คุณแม่ไป๋ต้องให้คำตอบกับเสียนเสียนได้แน่”
“ถ้าพี่ชายบอกว่าเสียนเสียนเรียนเก่งแล้วจะเข้าใจ เสียนเสียนก็จะตั้งใจเรียน”
เด็กหญิงให้คำมั่นสัญญา ฉีกยิ้มร่าเริงให้แก่เด็กหนุ่ม กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีก
เพื่อที่พี่ชายจะได้เห็นรอยยิ้มสวยงามของเธอมากกว่าการร้องไห้ขี้มูกโป่ง
หลังจากนั้นเขาโตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พบว่าตัวเธอออกมาจากที่นั่นนานแล้ว
เธออาจจะหลงลืมคำสัญญาที่จะรอเขาไปแล้วก็เป็นได้ เพราะตัวเธอไม่ทิ้งหรือฝากข้อความอะไรไว้ให้กับเขาเลย เขายังคงวนเวียนไปแถวนั้นบ่อยครั้ง แต่ก็ไร้วี่แววของเธอ
จนเมื่อสามปีที่แล้วมีหญิงสาวข้างบ้านย้ายเข้ามาใหม่ เพียงครั้งแรกที่เขาเห็น แววตากระจ่างใสคู่นั้นเขายังจำได้ดีในความทรงจำ
เป็นตัวเขาเองที่ขลาดเขลา กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง รั้งรอเวลาเพื่อให้แน่ใจ ว่าเธอยังคงมีเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขา แม้ซักเล็กน้อยก็ยังดี
จนบางครั้งเวลานั้นก็ไม่เหลือ ให้เขาได้รักษาสัญญาใดได้อีกต่อไป
เขาดึงสติกลับคืนมาจากภาพความทรงจำในอดีต ปิดหนังสือลงจัดเก็บมันด้วยมืออันสั่นเทา
เมื่อเสียงประตูห้องบานนี้ปิดลง คล้ายกับหัวใจของเขาได้ปิดตายไปพร้อมกับมัน เขาเป็นเพียงคนโง่เง่าที่ปักใจรักเพียงหนึ่งเดียว
หลังจากนี้มันคงเป็นเพียงก้อนเนื้อด้านซ้ายที่ยังสั่นไหว แต่ไร้ซึ่งความรู้สึก ความรัก หรือแม้กระทั่งความผูกพันธ์
เสียงลมพัดหวีดหวิวท่ามกลางแมกไม้ บนภูเขาสูงที่ฝังศพบรรพชนตระกูลเสวี่ย มีชายชราผมขาวโพลนนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทอง หน้าป้ายหลุมศพที่แยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว
รอยยิ้มเหี่ยวย่นแย้มบาน แววตาดอกท้ออ่อนโยนปนรักใคร่ เสียงพูดที่เล่าเรื่องราวก้องกันวานผ่านสายลม
ในจิตใจของชายชรา ภาวนาให้เสียงพูดของเขา ส่งไปถึงดวงวิญญาณของหญิงสาวผู้ล่วงลับ
“ที่นั่นเหงาไหม ผ่านมาหลายปีแล้ว อีกไม่นานคงใกล้ถึงเวลาของพี่ชายแล้ว”
เสียงแหบแห้งของชายชราเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางสายลม น้ำเสียงอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก แต่ปลายเสียงสั่นเครือแฝงไปด้วยความเศร้าใจ
เขารู้ตัวดีว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลงอีกไม่นาน ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ ก็ยังอยากจะตายใกล้คนที่เขารัก
ในชาตินี้เขาอกตัญญูต่อครอบครัว ไม่สามารถแต่งงานมีภรรยา ไร้บุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล สิ่งเดียวที่เขาสร้างได้คือกิจการและเงินทอง ทั้งชีวิตนี้เขาอุทิศการทำงานตอบแทนให้บิดามารดา น้องชาย ส่งต่อถึงเหล่าบรรดาหลานหลาน กระทั่งตอนยังมีชีวิตหรือตอนตายจากไปก็ตาม
ตัวเขาเองรู้ดีว่าไม่อาจมีรักได้อีกแล้ว และไม่อยากให้ใครมาทนทุกข์ เจ็บปวดกับการที่เขาไร้หัวใจให้เธอ เขายอมอยู่เพียงลำพังเสียยังดีกว่า
ชายชราหลับตาลงข้างป้ายหลุมศพ มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน มองผิวเผินคล้ายเพียงคนที่หลับไป
จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงเรียกจากเหล่าลูกหลานที่ตะโกนตามหาอากง อากงนั้นมักจะขึ้นมาเคารพวิญญาณของใครคนหนึ่งอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ลูกหลานไม่ค่อยจะได้ติดตามมาด้วยซักเท่าไหร่ มักจะโดนห้ามไม่ให้มาอยู่เสมอ ทำให้ไม่รู้ว่าสถานที่นั้นอยู่ตรงไหน
พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาที่อากงจะกลับมา นานพอสมควรแล้วจึงเริ่มออกตามหา เมื่อเหล่าลูกหลานพบเจออากงของพวกเขาก็ไม่ทันการเสียแล้ว
พวกเขาต่างร้องไห้คร่ำครวญโทษตัวเองที่ไม่ดูแลอากงให้ดี ทำให้อากงเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
เสวี่ยเวินเวินไม่เข้าใจที่บรรดาพี่สาวพี่ชายต่างโดนดุ บิดามารดาต่างเอาแต่ร้องไห้โทษตนเอง เฝ้าแต่พร่ำบอกว่าอากงจากไปอย่างไม่มีความสุข
“อากงไม่ได้ไม่มีความสุขซักหน่อย! เวินเวินไม่เคยเห็นอากงยิ้มแบบนี้เลยซักครั้ง”
เสียงของเด็กน้อยตะโกนขึ้นแทรกเสียงร้องไห้ เหล่าผู้ใหญ่ต่างหยุดชะงัก มองไปยังร่างไร้วิญญาณที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่
เสวี่ยเหวินเย่หยุดร้องไห้เหม่อมองใบหน้าพี่ชายที่จากไปอย่างสงบ พี่ชายของเขานั้นดูมีความสุขมากกว่าตอนมีชีวิตเสียอีก
รอยยิ้มบนใบหน้านั้นหายไปนานมากแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอคนนั้นเสียชีวิตลง
เขากลายเป็นคนเคร่งขรึม อุทิศทั้งชีวิตให้กับงานและเงินทอง ทั้งยังไม่เปิดใจรับใครเข้ามาอีกเลย
ตอนแรกเขายังโศกเศร้าเสียใจ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าแบบนี้อาจดีกว่าก็เป็นได้ เขารู้มาตลอดว่าพี่ชายเฝ้าโทษตัวเองมาทั้งชีวิต
ตอนนี้พี่ชายของเขาจะได้หลุดพ้นเป็นอิสระเสียที ถ้าภพหน้าทั้งคู่มีวาสนามากพอ ก็คงจะได้พบกันในซักวันหนึ่ง
หลังจากผ่านพ้นพิธีศพของชายชรา ป้ายวิญญาณบนเนินเขาที่มักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ บัดนี้ได้มีป้ายวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เคียงคู่อยู่ข้างกันในสถานที่แห่งนี้ ชายชราได้ฝังอยู่เคียงข้างกับคนที่เขารักตลอดไป
หากมีใครที่สามารถล่วงรู้จิตใจคนได้ จะพบว่าในกระทั่งความคิดสุดท้ายเสวี่ยเหวินหยาง
ยังคงภาวนาให้เธอมีชีวิตในภพที่ดี และการได้พบเจอกันซักครั้ง ก็นับเป็นวาสนามากแล้ว
แต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาดอกท้อภายใต้แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมทอแววตกใจ ประคองพลิกร่างบางอย่างทะนุถนอม ไม่ได้นึกรังเกียจของเสียในร่างกาย
มือเรียวลองตบไหล่เพื่อปลุกเรียกสติ ไม่มีอาการตอบสนอง จึงตรวจจับชีพจรและลมหายใจอย่างเชี่ยวชาญ เมื่อเห็นว่าหัวใจหยุดเต้นสองมือรีบหาตำแหน่งวางมือในการซีพีอาร์
สองมือกดกึ่งกลางหน้าอกนับเป็นจังหวะ
“เร็วเข้า! ฟื้นสิ! ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!!”
ร่างกายของเสียนเสียนยังคงมีไออุ่น หัวใจน่าจะหยุดเต้นไม่นาน เขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอฟื้นขึ้นมา
“อาเสียน..นางเป็นอะไร”
เสียงสั่นเครือของหญิงวันกลางคน เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ตัวเธอเองเห็นบุตรชายเฝ้าสังเกตความผิดปกติ ของหญิงสาวข้างบ้านมาหลายวันแล้ว รบเร้าให้เธอพาไปแจ้งที่นิติหมู่บ้านให้พามาที่นี่ให้ได้ ปกติบุตรชายเธอนั้นนิสัยอ่อนโยนแต่ครั้งนี้ถกเถียงกับนิติจนเกือบมีเรื่องมีราว
เขาได้ยินเสียงมารดาสอบถามแล้วแต่ยังไม่มีเวลาอธิบาย
“ม๊า..โทรแจ้งรถฉุกเฉินให้หยางหน่อย”
เขายังคงทำซีพีอาร์อย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้าน คงมาถึงในสิบนาที แต่ก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดีเขาต้องทำเท่าที่ทำได้
ไม่สิ! ต้องทำให้เธอฟื้นให้ได้
เสียงรถพยาบาลมาแล้วแต่ร่างกายของเธอยังไม่ตอบสนอง ต่อให้แขนเขาจะทำซีพีอาร์จนแขนล้า แต่สมองและหัวใจยังสั่งให้เขาทำต่อไป
เขาไม่สามารถหยุดทำได้เลย เพราะนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ยังมีหลายสิ่งที่เขายังไม่ได้บอกเธอเลย เธอไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำไป
‘ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ไป๋ลู่เสียน’
เขาได้แต่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ
พยาบาลประจำรถฉุกเฉินพยามยามเรียกเตือนสติชายหนุ่ม
“คุณหมอหยาง ให้ทางเราจัดการต่อเถอะค่ะ”
ตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนี้ เห็นคุณหมอทำซีพีอาร์ไม่หยุดจนเหงื่อโทรมกาย ขอบตาแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้ ปรากฏชัดเจนภายใต้แว่นตา
แสดงถึงความสำคัญของหญิงสาวผู้นี้ ที่มีน้ำหนักในใจคุณหมอหยางไม่น้อยเลย
เธอไม่อยากทำลายความหวังคุณหมอ แต่ร่างกายของหญิงสาวไม่ตอบสนอง ตรวจเช็ครูม่านตาไม่มีการหดขยาย หญิงสาวคงเสียชีวิตแล้ว ก่อนที่พวกเธอจะมาถึงเพียงไม่นาน
เขายังคงปั๊มหัวใจของเธอต่อไป เขาไม่เชื่อว่าเธอจะตายแล้ว
“เสียนเสียนต้องไม่ตาย ไม่มีทาง ผมจะต้องช่วยเธอ”
น้ำตาของเขาไหลออกมา เวลานี้เขาไม่อายใครทั้งนั้น เขาแค่ต้องการให้เธอมีชีวิต
“ทุกคนไปลากตัวคุณหมอหยางออกมา”
เหล่าแพทย์พยาบาลพยายามลากตัวคุณหมอหนุ่มประจำโรงพยาบาล ที่พวกเธอทำงานอยู่ออกจากร่างไร้วิณญาณ
ปกติคุณหมอนั้นเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี น้อยครั้งที่จะได้เห็นความดื้อรั้น ร้องไห้คร่ำครวญจนหมดสภาพขนาดนี้ ความสุขุมก็ไม่มีเหลือให้เห็น
ตั้งแต่ที่รถพยาบาลพาร่างของอาเสียนไป ลูกชายเธอนั่งเหม่อลอยตรงนี้เกือบสองชั่วโมงได้แล้ว
“หยางหยาง..ออกไปจากห้องนี้ได้แล้วลูก”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุตรชาย มีแต่เพียงความเงียบเท่านั้น เธอได้แต่ทอดถอนใจ
เธอไม่รู้จักกับอาเสียนมากนักทุกเรื่องราวที่รู้ ก็มักจะออกมาจากปากบุตรชาย ที่ไม่กล้าแม้แต่เอ่ยทักหญิงสาวที่อยู่ข้างบ้านซักครึ่งคำ
ได้แต่คอยเฝ้าแอบมองเธอผ่านรั้วบ้าน เฝ้าติดตามเธอผ่านโลกออนไลน์ แล้วนำมาเล่าให้แม่อย่างเธอฟังอยู่เสมอ
คนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเช่นเธอทำไมจะไม่รู้ว่าบุตรชายรู้สึกเช่นไรกับหญิงสาว
“ซักพักค่อยตามแม่ออกไปก็แล้วกัน ยังต้องจัดการพิธีศพของอาเสียนต่อ”
เธอเดินออกมาจากห้องเพื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมด ปล่อยให้ลูกชายทำใจซักพักน่าจะดีไม่น้อย ใช้กำลังบังคับขืนใจไม่ใช้ทางออกที่ดี สำหรับคนดื้อเงียบแบบ ‘เสวี่ยเหวินหยาง’ บุตรชายของเธอ
เสียงปิดประตูแผ่วเบาลอยมาให้ได้ยิน เขานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บ้านที่เขาอยากเข้ามาซักครั้ง ห้องที่เธออาศัยอยู่ เขาได้เข้ามาแล้วเข้ามาในวันสุดท้ายของชีวิตเธอ
เข้ามาไม่ทันแม้แต่จะร่ำลา สารภาพเรื่องราวและคำสัญญาที่ให้ไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีอีกแล้วแววตาสดใสที่เขาคอยเฝ้ามอง
มีเพียงดวงตาไร้แววที่เขาเป็นคนปิดมันลงเองกับมือ ร่างกายอบอุ่นที่เขากอดเอาไว้นั้นเริ่มเย็นชืดไร้ไอชีวิต
เขาพยายามไม่ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พยายามทำใจกลั้นน้ำตา ไม่ให้ไหลลงมาอีกระลอกหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องนี้ไปเท้าเขาสะดุดลงที่หนังสือเล่มหนึ่ง
โฟโต้บุ๊ครวมเล่มพิเศษเรื่อง ‘ซ่อนเงาจันทรา บุปผาเร้นกาย’ มือของเขาสั่นเล็กน้อย
เขาแหงนหน้ามองรอบห้องเพื่อพิจารณาอีกครั้ง สายตามองไปที่ชั้นหนังสือสีขาวขนาดใหญ่ ที่มีนิยายของเสวี่ยเหมยอัดแน่น จมูกเขาเริ่มแสบร้อนขึ้นมา
ภาพความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาในหัว เด็กน้อยสวมชุดสีขาวกระโปรงฟู่ฟ่องราวกับเจ้าหญิง ปีนรั้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพยายามจะสนทนากับเขา ในทุกทุกวันที่เขาเดินผ่าน
เขาเป็นคนใจอ่อนกับน้ำตา โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า เด็กหญิงมักจะมายืนร้องไห้ริมรั้วหลังจากที่โดนแกล้งอยู่เสมอ
ครั้งแรกที่เห็นเขาก็ทำเป็นไม่สนใจ พอมีครั้งต่อไปเขาก็ใจอ่อน ด้วยความสงสารเขาจึงเล่าเรื่องราวสนุกสนานปลอบโยน จนทำให้เธอติดฟังเรื่องสนุกจากเขา มาดักรอเวลาที่เขาเลิกเรียนในทุกวัน
“พี่ชายวันนี้มีเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังอีกไหมคะ”
ดวงตากลมโตรอคอยอย่างมีความหวัง เขาพยายามหาเรื่องมาเล่าให้เธอฟังเสมอ
จนวันหนึ่งที่เขาต้องย้ายบ้านจากที่นั้นมา ไม่ได้เข้าไปแถวสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เด็กหญิงร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนเขาต้องสัญญาว่าจะเขียนหนังสือให้เธออ่านทุกปี จนกว่าเขาโตพอที่จะมารับเธอไปอยู่ด้วย
“พี่ชายจะมารับเสียนเสียนจริงนะคะ ไม่โกหกนะคะ”
เสียงเจือยแจ้วติดสะอื้น ยามเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมา
“คุณแม่ไป๋บอกว่าคนโกหกคือคนไม่ดี เสียนเสียนไม่อยากให้พี่ชายใจดีเป็นคนไม่ดี”
เด็กหญิงยกสองมือน้อยทำท่าเกี่ยวก้อยสัญญา
“พี่ชายสัญญา โตขึ้นพี่จะให้ลู่เสียนได้ใช้นามสกุลเสวี่ยของพี่ชาย”
เขาเอื้อมมือเกี้ยวก้อยสัญญากับแขนน้อยที่ลอดออกมาจากรั้ว เขาเก้อเขินเล็กน้อยที่พูดออกไป
“จริงเหรอคะ เสียนเสียนจะมีนามสกุลของตัวเองแล้ว”
“ไม่ได้ใช้นามสกุลของคุณแม่ไป๋เหมือนกับคนอื่น” เธอดีใจจนยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือลาเด็กหนุ่ม
ถ้าเธอโตมากกว่านี้เธอต้องเข้าใจที่เขาสื่อความหมายแน่ และหวังว่าเธอจะยังคงไม่เปลี่ยนใจ เขาเดินออกมาไกลมากแล้ว แต่มีบางอย่างที่จะต้องบอกเธอ
เขาวิ่งกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เด็กหญิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายกายที่วิ่งกลับมาอย่างเร็วชุ่มไปด้วยเหงื่อ เลือดในกายสูบฉีดทำเอาหายใจแทบไม่ทัน
เขาค่อยค่อยเอ่ยมันออกมา ด้วยความยากลำบาก เวลาที่จะใช้ร่ำลามีเหลือไม่มากนัก
“สะ.เสวี่ย..เหมย”
เด็กหญิงดีใจไม่น้อยเมื่อเห็นพี่ชายวิ่งกลับมา ก่อนจะงุนงงกับคำพูดที่ได้รับ
“เสวี่ยเหมยคืออะไรคะ” เธอเอียงคอครุ่นคิดด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เข้าใจ
“มันคงเป็นเวลานานมากที่พี่ไม่ได้มาที่นี่ ไม่ได้มาเล่าเรื่องราวสนุกๆ ให้ฟัง แต่พี่จะส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางตัวหนังสือ”
“ตอนนี้เสียนเสียนอาจจะยังอ่านไม่ออก แต่ถ้าพยายามเรียนจะต้องอ่านออกเขียนได้”
“ในวันหนึ่งเสียนเสียนจะต้องเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายต้องการจะสื่อแน่นอน”
เขาลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู เธอเป็นเด็กรู้ความ เขาเชื่อมั่นแบบนั้นมาตลอด
ไป๋ลู่เสียนฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
“เสียนเสียนยังไม่ค่อยเข้าใจดี แต่คุณแม่ไป๋ต้องให้คำตอบกับเสียนเสียนได้แน่”
“ถ้าพี่ชายบอกว่าเสียนเสียนเรียนเก่งแล้วจะเข้าใจ เสียนเสียนก็จะตั้งใจเรียน”
เด็กหญิงให้คำมั่นสัญญา ฉีกยิ้มร่าเริงให้แก่เด็กหนุ่ม กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีก
เพื่อที่พี่ชายจะได้เห็นรอยยิ้มสวยงามของเธอมากกว่าการร้องไห้ขี้มูกโป่ง
หลังจากนั้นเขาโตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พบว่าตัวเธอออกมาจากที่นั่นนานแล้ว
เธออาจจะหลงลืมคำสัญญาที่จะรอเขาไปแล้วก็เป็นได้ เพราะตัวเธอไม่ทิ้งหรือฝากข้อความอะไรไว้ให้กับเขาเลย เขายังคงวนเวียนไปแถวนั้นบ่อยครั้ง แต่ก็ไร้วี่แววของเธอ
จนเมื่อสามปีที่แล้วมีหญิงสาวข้างบ้านย้ายเข้ามาใหม่ เพียงครั้งแรกที่เขาเห็น แววตากระจ่างใสคู่นั้นเขายังจำได้ดีในความทรงจำ
เป็นตัวเขาเองที่ขลาดเขลา กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง รั้งรอเวลาเพื่อให้แน่ใจ ว่าเธอยังคงมีเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขา แม้ซักเล็กน้อยก็ยังดี
จนบางครั้งเวลานั้นก็ไม่เหลือ ให้เขาได้รักษาสัญญาใดได้อีกต่อไป
เขาดึงสติกลับคืนมาจากภาพความทรงจำในอดีต ปิดหนังสือลงจัดเก็บมันด้วยมืออันสั่นเทา
เมื่อเสียงประตูห้องบานนี้ปิดลง คล้ายกับหัวใจของเขาได้ปิดตายไปพร้อมกับมัน เขาเป็นเพียงคนโง่เง่าที่ปักใจรักเพียงหนึ่งเดียว
หลังจากนี้มันคงเป็นเพียงก้อนเนื้อด้านซ้ายที่ยังสั่นไหว แต่ไร้ซึ่งความรู้สึก ความรัก หรือแม้กระทั่งความผูกพันธ์
เสียงลมพัดหวีดหวิวท่ามกลางแมกไม้ บนภูเขาสูงที่ฝังศพบรรพชนตระกูลเสวี่ย มีชายชราผมขาวโพลนนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทอง หน้าป้ายหลุมศพที่แยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว
รอยยิ้มเหี่ยวย่นแย้มบาน แววตาดอกท้ออ่อนโยนปนรักใคร่ เสียงพูดที่เล่าเรื่องราวก้องกันวานผ่านสายลม
ในจิตใจของชายชรา ภาวนาให้เสียงพูดของเขา ส่งไปถึงดวงวิญญาณของหญิงสาวผู้ล่วงลับ
“ที่นั่นเหงาไหม ผ่านมาหลายปีแล้ว อีกไม่นานคงใกล้ถึงเวลาของพี่ชายแล้ว”
เสียงแหบแห้งของชายชราเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางสายลม น้ำเสียงอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก แต่ปลายเสียงสั่นเครือแฝงไปด้วยความเศร้าใจ
เขารู้ตัวดีว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลงอีกไม่นาน ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ ก็ยังอยากจะตายใกล้คนที่เขารัก
ในชาตินี้เขาอกตัญญูต่อครอบครัว ไม่สามารถแต่งงานมีภรรยา ไร้บุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล สิ่งเดียวที่เขาสร้างได้คือกิจการและเงินทอง ทั้งชีวิตนี้เขาอุทิศการทำงานตอบแทนให้บิดามารดา น้องชาย ส่งต่อถึงเหล่าบรรดาหลานหลาน กระทั่งตอนยังมีชีวิตหรือตอนตายจากไปก็ตาม
ตัวเขาเองรู้ดีว่าไม่อาจมีรักได้อีกแล้ว และไม่อยากให้ใครมาทนทุกข์ เจ็บปวดกับการที่เขาไร้หัวใจให้เธอ เขายอมอยู่เพียงลำพังเสียยังดีกว่า
ชายชราหลับตาลงข้างป้ายหลุมศพ มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน มองผิวเผินคล้ายเพียงคนที่หลับไป
จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงเรียกจากเหล่าลูกหลานที่ตะโกนตามหาอากง อากงนั้นมักจะขึ้นมาเคารพวิญญาณของใครคนหนึ่งอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ลูกหลานไม่ค่อยจะได้ติดตามมาด้วยซักเท่าไหร่ มักจะโดนห้ามไม่ให้มาอยู่เสมอ ทำให้ไม่รู้ว่าสถานที่นั้นอยู่ตรงไหน
พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาที่อากงจะกลับมา นานพอสมควรแล้วจึงเริ่มออกตามหา เมื่อเหล่าลูกหลานพบเจออากงของพวกเขาก็ไม่ทันการเสียแล้ว
พวกเขาต่างร้องไห้คร่ำครวญโทษตัวเองที่ไม่ดูแลอากงให้ดี ทำให้อากงเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
เสวี่ยเวินเวินไม่เข้าใจที่บรรดาพี่สาวพี่ชายต่างโดนดุ บิดามารดาต่างเอาแต่ร้องไห้โทษตนเอง เฝ้าแต่พร่ำบอกว่าอากงจากไปอย่างไม่มีความสุข
“อากงไม่ได้ไม่มีความสุขซักหน่อย! เวินเวินไม่เคยเห็นอากงยิ้มแบบนี้เลยซักครั้ง”
เสียงของเด็กน้อยตะโกนขึ้นแทรกเสียงร้องไห้ เหล่าผู้ใหญ่ต่างหยุดชะงัก มองไปยังร่างไร้วิญญาณที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่
เสวี่ยเหวินเย่หยุดร้องไห้เหม่อมองใบหน้าพี่ชายที่จากไปอย่างสงบ พี่ชายของเขานั้นดูมีความสุขมากกว่าตอนมีชีวิตเสียอีก
รอยยิ้มบนใบหน้านั้นหายไปนานมากแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอคนนั้นเสียชีวิตลง
เขากลายเป็นคนเคร่งขรึม อุทิศทั้งชีวิตให้กับงานและเงินทอง ทั้งยังไม่เปิดใจรับใครเข้ามาอีกเลย
ตอนแรกเขายังโศกเศร้าเสียใจ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าแบบนี้อาจดีกว่าก็เป็นได้ เขารู้มาตลอดว่าพี่ชายเฝ้าโทษตัวเองมาทั้งชีวิต
ตอนนี้พี่ชายของเขาจะได้หลุดพ้นเป็นอิสระเสียที ถ้าภพหน้าทั้งคู่มีวาสนามากพอ ก็คงจะได้พบกันในซักวันหนึ่ง
หลังจากผ่านพ้นพิธีศพของชายชรา ป้ายวิญญาณบนเนินเขาที่มักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ บัดนี้ได้มีป้ายวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เคียงคู่อยู่ข้างกันในสถานที่แห่งนี้ ชายชราได้ฝังอยู่เคียงข้างกับคนที่เขารักตลอดไป
หากมีใครที่สามารถล่วงรู้จิตใจคนได้ จะพบว่าในกระทั่งความคิดสุดท้ายเสวี่ยเหวินหยาง
ยังคงภาวนาให้เธอมีชีวิตในภพที่ดี และการได้พบเจอกันซักครั้ง ก็นับเป็นวาสนามากแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ