เป็นเธอ.

-

เขียนโดย timenology

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 10.50 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  1,770 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2565 10.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เส้นทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

pouringrain : เคยรู้สึกแปลกๆ กับคนใกล้ตัวที่รู้จักมานานมั้ย แบบอยู่ๆ ก็เป็น

NameLess : แปลกยังไงอะ

pouringrain : แบบตื่นเต้นๆ ใจสั่นอะ

NameLess : แอบชอบน่ะหรอ

pouringrain : ไม่ใช่อะ ปกติไม่เป็นนะ เป็นแค่ตอนเค้าทำอะไรที่ปกติไม่เคยทำอะ 

pouringrain : หรือเราจะคิดไปเองนะ

NameLess : ทำอะไรที่ปกติไม่เคยทำคือยังไงอะ

pouringrain : อืมม บอกไม่ถูกอะ แบบไม่ได้คาดหวังว่าจะทำ แต่เค้าก็ทำอะ

NameLess : อยู่ๆ ก็ทำตัวกับเราเปลี่ยนไปหรอ

pouringrain : จะว่างั้นก็ได้ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนขนาดนั้นนะ จริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไรเท่าไหร่ 555

NameLess : อ่าว แล้วที่เปลี่ยนไปมันดีปะละ

pouringrain : ก็ดีแหละมั้ง

NameLess : อือ ดีก็ดีกว่าไม่ดีปะ 5555

pouringrain : เออก็ใช่ 555 อาจจะไม่มีไรก็ได้

เห้อออ มันอาจจะไม่มีไรก็ได้เนอะ ฉันคงคิิดมากเอง นอนดีกว่า

 

 

เช้าวันอาทิตย์ 7.00 น.

 

ติ๊งต่อง~ 

ติ๊งต่อง~

 

“เรนนน ตื่นนนๆๆๆ” ก๊อกๆๆๆ 

งือออ เสียงโวยวายเคาะห้องนอนอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย

 

“เห้ย !!! ใครอะ” ฉันสะดุ้งพรวดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าใครจะเข้าบ้านมาได้ เมื่อคืนก็ล็อคบ้านนี่นา ขโมยรึป่าว ! หลังจากมึนอยู่สามวิสติก็เริ่มกลับมาแล้ว เสียงนั่นก็คุ้นหูนะ

 

“ฉันเอง พี่คินไง” ฟู่ว… โชคดีที่ไม่ใช่ขโมย พี่คินเข้ามาได้เพราะฉันฝากกุญแจสำรองไว้ที่พี่คินเองแหละ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไร ว่าแต่พี่คินมีอะไรแต่เช้า

 

“มีอะไรแต่เช้า ฉันพึ่งตื่นเลยเนี่ย” ฉันเปิดประตูออกไปในสภาพงัวเงียหัวกะเซอะกะเซิง พี่คินทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าออก

 

“อะแฮ่ม อาบน้ำแต่งตัวเร็ว ฉันจะพาไปเที่ยว” พี่คินรีบพูดแล้วปิดประตูใส่ อ่าว ฉันงง แต่ก็เดินเข้าห้องน้ำตามคำสั่งโดยดี

 

 

“ชิบ…” เมื่อมองเห็นสภาพตัวเองในกระจกชัดๆ ฉันในเสื้อกล้ามตัวโคร่งแบบโนบราและกางเกงขาสั้นก็เข้าใจทันทีว่าการเปิดประตูออกไปเมื่อกี้คือที่สุดของความผิดพลาด โอ้ยยยยย อายจนไม่อยากออกจากห้องเลยโว้ย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย  

 

ฉันพยายามอาบน้ำให้นานที่สุด ถูสบู่สองรอบ สระผมสองรอบ เผื่อน้ำจากฝักบัวจะชำระล้างสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ได้ แต่ว่ายังไงอีกไม่นานมันก็ต้องถึงเวลาที่ฉันต้องอาบน้ำเสร็จล่ะนะ ดูสินิ้วเหี่ยวหมดแล้ว ฉันแต่งตัวเสร็จก็ทำใจอยู่แปปนึงก่อนเปิดประตูออกไป 

 

 

“อ่าว หายไปไหน” ฉันเดินลงไปข้างล่างปรากฏว่าเจอพี่คินนั่งหลับบนโซฟา แล้วจะปลุกฉันแต่เช้าเพื่อ  

 

“แฮ่มๆๆๆ” ฉันปลุกพี่คินจากด้านหลังให้ตกใจเล่น เอาคืนเมื่อเช้าซะหน่อย

 

“อืออ หอมจัง” เสียงพี่คินงัวเงียก่อนเขาจะสะดุ้งฉันที่ยืนอยู่ด้านหลัง

 

“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า มาปลุกอะไรคนอื่นแต่เช้าแต่ตัวเองนอนต่อเนี่ยนะ”

 

“เค้าเรียกงีบ หึึหึ” พี่คินหันมามองฉัน แล้วหัวเราะกระตุกปาก “หน้าแดงทำไม ?” อะไร? ทำไม? ทำไมมันต้องรื้อฟื้นด้วยเล่า คนอุตส่าห์ลืม ฉันหน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย ไม่ทนแล้วโว้ย

 

ป้าบ ! ฉันรู้ตัวอีกทีก็ยืนถือหมอนที่เมื่อกี้พี่คินนอนกอดอยู่มาฟาดเข้าหน้าเจ้าตัวเต็มๆ

 

“ฉันอายโว้ย อย่ามาล้อสิ นี่แน่ะๆๆ” มือพี่คินปัดเป่าเป็นพัลวัน ส่วนฉันก็ฟาดไม่ยั้ง

 

“ล้ออะไรล่ะ ฉันไม่ได้ล้อ ฮ่าๆๆ”

 

“เธอมาองมาอายอะไรล่ะ ไม่เห็นรู้เรื่อง” 

 

“บ้ารึป่าว ฮ่าๆๆ” 

 

อยู่ๆ สงครามตีหมอนก็กลายเป็นเรื่องสนุกเพราะฉันเผลอหัวเราะไปด้วย เอาเป็นว่าพี่คินบอกว่าไม่รู้เรื่อง ฉันก็จะเชื่อตามนั้นแล้วทำเป็นลืมๆ ละกันเพื่อความสบายใจของฉันเอง 

 

 

หลังจากเราเล่นเป็นเด็กจนเหนื่อยฉันก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาบอกว่าจะพาไปเที่ยว

 

“จะไปเที่ยวไหนหรอ” ฉันถาม

 

“อยากไปไหนอะ” อ่าวถามฉันหรอ

 

“แล้วอยู่ๆ พาไปเที่ยวเนี่ยนะ”

 

“จะไปมั้ยล่ะ” ฉันคิดแต่ก็คิดไม่ออกเพราะไม่เคยมีเรื่องไปเที่ยวในหัวมาก่อน

 

“ไปทะเล” ฉันพูดมั่วๆ ไปทะเลวันเดียวมันจะไปได้รึเปล่าก็ไม่รู้

 

“โอเค ปะ” แล้วพี่คินก็เดินนำฉันออกจากบ้าน

 

 

---

 

 

สองชั่วโมงต่อมาเราก็มายืนอยู่หน้าทะเลพัทยา กำลังจะขึ้นเรือข้ามไปเกาะล้าน ลมแรงตีปะทะใบหน้าให้ความรู้สึกว่าข้างหน้าที่เห็นคือทะเลจริงๆ จะว่าปรับตัวไม่ทันก็อาจจะฟังดูเกินจริงแต่เมื่อกี้ฉันยังอยู่บ้านอยู่เลย ผู้คนเดินเล่นกันเต็มหาด มีนักท่องเที่ยวจีนเป็นส่วนใหญ่ หน้าหาดถูกจับจองด้วยเก้าอี้ผ้าใบหลากสี ร้านอาหารและร้านขายของมีมากมาย ท่าเรือคนมีคนต่อแถวยาวเต็มพื้นที่ เราเดินเล่นดูบรรยากาศรอบๆ ซักพักก็ถึงเวลาเรือออก 

 

ฉันกับพี่คินนั่งอยู่ชั้นบนของเรือ มองออกไปเป็นผืนทะเลสีคราม แสงอาทิตย์สะท้อนเกล็ดคลื่นเป็นสีเงินเคลื่อนตัวระยิบระยับ ส่วนเรือก็โคลงตามคลื่นตลอดเวลา

 

“เมาเรือมั้ย” พี่คินถามขึ้นมาหลังจากเราชื่นชมกับบรรยากาศรอบตัวกันแล้ว

 

“ไม่นะ พี่อะ” 

 

“ไม่เหมือนกัน”

 

“พี่คินเคยมาที่นี่แล้วหรอ”

 

“อืม เคยมากับเพื่อนปีที่แล้ว”

 

“เพื่อนที่มหาลัยหรอ”

 

“ใช่”

 

“สนุกมั้ย มากับเพื่อนน่ะ”

 

“สนุกสิถามมาได้”

 

“หรอ ฉันอยากรู้จังว่าสนุกยังไง”

 

“หลายคนมันก็มากความ แต่เวลาหัวเราะมันเฮฮากว่า เธอก็ลองเข้าหาเพื่อนๆ บ้างสิ ทำตัวไม่มีคนคบอยู่ได้”

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอได้คุยกันมากขึ้นแล้วชอบตีตัวออกมา แล้วเข้ามหาลัยหาเพื่อนยากขึ้นมั้ย”

 

“ก็ไม่นะ แต่มันจะมีความรู้สึกว่าแต่ละคนมีชีวิตส่วนตัว ต้องการสเปซส่วนตัวมากกว่า ก็เข้าใจได้เพราะโตๆ กันแล้ว”

 

“อืม ก็ฟังดูดีนะ”

 

“แล้วเธอจะเรียนต่อด้านไหน”

 

“ก็คงแนวบริหาร อสังหา หรือการโรงแรมแหละ จะได้ช่วยพ่อกับแม่ทำงานได้” ความจริงคือฉันอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวมากกว่า ใช้ชีวิตคนเดียวมันไม่สนุกหรอก

 

“เธอจะได้กลับไปอยู่กับที่บ้านใช่มั้ย” 

 

ฉันยิ้มตอบ พี่คินเอามือมาขยี้หัวเหมือนจะปลอบ แต่ฉันไม่ได้เศร้านะ แค่พูดความจริงเอง

 

 

ไม่นานเราก็ได้ลงฝั่ง พี่คินเดินนำฉันไปเช่ามอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะได้เดินทางรอบๆ เกาะได้ ฉันเกาะเอวที่คินแน่นเพราะทางบนเกาะมันชันมาก ขนาดเป็นคนนั่งยังหวาดเสียวขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันคงเลือกเดินมากกว่า

 

“เห้อ ถึงได้ซักที หัวใจจะวาย” ฉันบ่นออกมาทันทีที่ก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซค์ ที่นี่เป็นร้านเพิงริมหาด ขายอาหารและเครื่องดื่ม มีที่นั่งเป็นเบาะกับโต๊ะตัวเล็กบนหาดทรายเลย บรรยากาศค่อนข้างดีเพราะมีร่มจากต้นไม้และทะเลตรงนี้ก็สวยด้วย เราสั่งอาหารมากินกันหลายอย่าง

 

“พี่คินอยู่ปีอะไรแล้วนะ”

 

“ปีสอง”

 

“ถ้าเรียนจบแล้วจะเอาไงต่ออะ”

 

“ก็ทำงานดิ” พี่คินเรียนวิศวะ

 

“ทำงานบริษัทไปเรื่อยๆ น่ะหรอ”

 

“ก็ไม่รู้สิ มันก็ต้องเริ่มจากแบบนี้แหละ แต่หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็มีคิดไว้คร่าวๆ นะ แต่ใครจะไปรู้อนาคต มันไม่เป็นแบบที่คิดเสมอไปหรอก”

 

“คิดไว้ยังไงอะ”

 

“ก็เริ่มทำงานอาจจะเหนื่อยหน่อย ต่อมาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง มีเวลามากขึ้น ตั้งใจเก็บเงิน อาจจะมีครอบครัว ก็แบบคนทั่วไป”

 

“มีครอบครัวด้วยหรอ”

 

“อาจจะ”

 

“แล้วพี่คินอยากจะใช้ชีวิตที่ไหน”

 

“เลือกได้ด้วยหรอ ถ้าจะทำงานมันก็ต้องกรุงเทพปะ”

 

“ถามว่าอยากไง”

 

“อืม อาจจะทางเหนือละมั้ง อากาศดีๆ ต้นไม้ภูเขาเยอะๆ”

 

“เธอล่ะ”

 

“ฉันก็คงกลับไปช่วยพ่อแม่ทำงาน พออยู่ตัวก็อยากจะทำอะไรของตัวเอง แต่ฉันไมไ่ด้คิดเรื่องมีครอบครัวนะ”

 

“ซักวันเธออาจจะอยากมีขึ้นมาก็ได้”

 

“นั่นสินะ” 

 

“ทำไมเธอมาถามอะไรแบบนี้ล่ะ อย่างกับคนแก่คุยกัน” พี่คินถามตรงๆ จนฉันรู้สึกตลก

 

“ฮ่าๆๆ ฉันชอบคุยเรื่องแบบนี้ สนุกดี หรือมันเป็นแค่จินตนาการถึงอนาคตมันเลยสนุกก็ไม่รู้ ของจริงอาจไม่เป็นแบบที่ฝันกันก็ได้”

 

หลังจากพนักงานมาเก็บโต๊ะเรียบร้อย พี่คินก็หยิบเบาะมาวางข้างฉันแล้วเอนตัวลง 

 

“ของีบแปป” จะว่าไปลมเย็นๆ กับเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่คลอเป็นเสียงดนตรีเปิดซ้ำไปซ้ำมาทำเอาฉันเริ่มง่วงเหมือนกัน พี่คินนอนหลับตาพริ้ม ผมสีดำยาวปรกหน้าตัดกับสีผิวที่ขาว ด้วยอายุที่มากขึ้นขับให้โครงหน้าของพี่คินชัดขึ้นดูหล่อเหลาแบบผู้ชาย ไม่ใช่น่ารักแบบเด็กชายเหมือนเมื่อก่อน ทุกคนเติบโตขึ้น แล้วซักวันก็จะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง 

 

 

“กี่โมงแล้ว” เสียงงัวเงียของพี่คินปลุกฉันที่เอนลงข้างพี่คินตื่นขึ้น ฉันลืมตามาเจอใบหน้าที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ให้ มือของพี่คินยกขึ้นมาไล้ที่หน้าผากฉันลากลงไปยังจมูก ฉันยิ้มรับ

 

“เธอโตขึ้นเยอะเลยนะเรน” สายตาพี่คินสำรวจใบหน้าฉัน เราอยู่ใกล้กันมาก มากพอที่จะจ้องมองได้แค่ทีละส่วน 

 

“พี่คินก็เหมือนกัน” ตา จมูก ปาก สันกราม ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยถึงแม้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา 

 

“ปะ ลุกกันได้แล้ว” มือใหญ่ที่โอบแก้มซ้ายฉันไว้ตบเบาๆ เรียกฉันให้ตื่น พี่คินลุกขึ้นก่อน ฉันได้สติเต็มที่แล้วและเหมือนหัวใจพึ่งเริ่มทำงาน มันเริ่มเต้นแรงอีกแล้ว !

 

 พี่คินพาฉันนั่งมอเตอร์ไซค์รอบเกาะ เราแวะเดินเล่นแค่บางหาดและแวะลงเที่ยวตามจุดชมวิว จนกระทั่งเวลาเกือบจะเย็นแล้วเราเลยรีบกลับไปที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือกลับฝั่ง แวะกินข้าวเย็นที่พัทยา และขับรถกลับบ้านกันในคืนนั้นเลย

 

“ขอบคุณนะพี่คินที่พาไปวันนี้” ฉันพูดกับพี่คินก่อนจะเปิดประตูบ้าน

 

“อืม รีบอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไปโรงเรียน” พี่คินยิ้มตอบ ก่อนจะโบกไม้โบกมือไล่ฉันให้เข้าบ้านไป

 

 

--- 

 

 

คาบเรียนศิลปะ

 

คาบนี้ค่อนข้างฟรีสไตล์ อาจารย์จะบอกว่าแต่ละเทอมต้องส่งงานกี่ชิ้นแล้วให้นักเรียนจัดการเวลาทำงานกันเองในแต่ละคาบ สามารถมาปรึกษาหรือให้อาจารย์สอนเพิ่มเติมได้ด้วย เมื่อจบเทอมก็ให้นักเรียนแต่ละคนแสดงงานและพรีเซนต์ถึงคอนเซปงาน

 

ฉันทำเป็นงานสีน้ำ ฉันชอบสีน้ำเพราะสีมันมีอิสระในการไหล ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าจะทำเป็นภาพชุดของทะเล จะมีทั้งทะเลที่เงียบสงบ ทะเลที่กำลังโกรธ ทะเลใต้อากาศสดใส คลื่นที่กระทบฝั่ง พายุกลางทะเล ใต้ท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และอื่นๆ ตามแต่อารมณ์จะพาไป คอนเซปของฉันก็คืออารมณ์

 

หลังจากหมดคาบก็พักกลางวันพอดี เพื่อนๆ ทยอยเก็บของเดินออกจากห้อง ฉันเป็นคนท้ายๆ ที่เหลืออยู่เลยกวาดสายตามองก่อนจะปิดประตูแล้วเห็นตะวันกำลังขะมักเขม้นขึ้นรูปเซรามิกอยู่พอดี

 

“ปั้นเป็นถ้วยหรอ” ฉันเดินไปดูแล้วถามขึ้น

 

“อ้าวเรน ใช่แล้วล่ะ ฉันจะปั้นถ้วยขึ้นมาแล้วทำให้มันแตก แล้วก็เอามาประกอบเป็นถ้วยเหมือนเดิม”

 

“แล้วจะทำให้มันแตกทำไมอะ เป็นเทคนิคใหม่หรอ” ฉันถามเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตะวันกำลังทำอะไร

 

“ป่าวหรอก มันเป็นคอนเซปงานของฉันเอง” ฉันทำหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนตะวันจะบอกว่าเสร็จแล้วและลากฉันให้ไปกินข้าวด้วยกัน 

 

“วันนี้เธอจะกินข้าวที่ไหน”

 

“เอ่อ ไปโต๊ะหินอ่อนข้างตึกละกัน” ฉันเลือกสถานที่ที่มีโต๊ะเก้าอี้นั่งตะวันจะได้ซื้อข้าวมานั่งกินสบายๆ

 

 

“นี่เธอกินแค่นี้เองหรอ” ตะวันนั่งมองอาหารที่ฉันซื้อมาสลับกับจานข้าวพูนๆ ของตัวเอง

 

“บางวันฉันก็ไม่กิน”

 

“มิน่าตัวถึงบางแค่เนี้ย ว่าแต่เธอจะไม่ถามหน่อยหรอว่าทำไมฉันต้องทำถ้วยให้แตก” ตะวันพูดขึ้นมาพอดี จริงๆ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน 

 

“ทำไมอะ” 

 

“ฮ่าๆๆ เธอตั้งใจเหมือนกำลังฟังครูพูดเลย” ตะวันหัวเราะขึ้น นี่หน้าฉันจริงจังขนาดนั้นเลยหรอ

 

“ฮะๆๆ บอกมาสิว่าทำไม คอนเซปนายคืออะไร” ฉันเองก็หลุดขำตัวเอง

 

“อืม ฉันให้แก้วแทนจิตใจของคนซึ่งมันเป็นสิ่งที่เปราะบาง เคยได้ยินใช่ไหมว่าจิตใจคนเราก็เหมือนแก้วเมื่อแตกสลายแล้วมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”

 

“เคยได้ยิน” ฉันพยักหน้า

 

“ฉันจะทำให้เห็นว่าถ้าเราใส่ใจกับการซ่อมแซมมันมากพอเราจะได้ถ้วยใบใหม่ที่สมบูรณ์ ยังมีเค้าโครงของใบเดิม และมีลวดลายจากการซ่อมแซมที่สวยงาม” 

 

 

“อืมมม แล้วใครจะเป็นคนซ่อมล่ะ ตัวเองจะซ่อมไหวหรอ” ฉันคิดตาม

 

“ไหวสิ ถ้าไม่ไหวก็แค่ให้คนอื่นช่วย ร่องรอยการแตกมันไม่ได้หายไปหรอกนะ แถมยังต้องใช้ความพยายามมากในการซ่อมด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือถ้วยใบที่สมบูรณ์ ไม่ได้เป็นแค่เศษแก้วที่หล่นกระจัดกระจายอีกต่อไป”

 

“มันยากขนาดนี้ แล้วคนอื่นจะยอมซ่อมให้ขนาดนี้เลยหรอ” ฉันมองเข้าไปในแววตาที่สดใสของตะวัน มันก็เป็นคำถามลอยๆ ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบสวยหรูหรอก ฉันแค่อยากถาม

 

“เธอต้องพยายามซ่อมให้ได้ด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ไหวก็ขอความช่วยเหลือ ถ้าเขาเห็นเธอพยายามมากขนาดนี้เขาจะไม่เข้ามาช่วยเลยหรอ โลกนี้ไม่ได้มีแต่คนใจร้ายหรอกนะ” ตะวันตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากคนตรงหน้า

 

“ก็เป็นไปได้นะ คอนเซปของเธอน่าสนใจมากเลย” ฉันยิ้มให้กับคอนเซปนี้

 

 

“ฉันสอนเธอปั้นเซรามิกได้นะ สนใจมั้ย”

 

“ฉันหรอ…” มันก็น่าสนใจดีนะ ฉันอยากหาของขวัญไปให้พี่คินกับเพื่อนออนไลน์อยู่พอดี ตัวเลือกนี้ก็ไม่เลว ของขวัญที่เป็นงานแฮนด์เมดก็ดูใส่ใจดีด้วย

 

“เอาสิ ฉันอยากลองอีกทีเหมือนกัน” อันที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหตุผลหลักของการตอบตกลงเป็นเพราะว่าคนตรงหน้าเป็นคนสอนด้วยหรือเปล่า  

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา