เป็นเธอ.
-
เขียนโดย timenology
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 10.50 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
1,773 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2565 10.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ของขวัญวันเกิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความNameLess : แก่ขึ้นแล้วเย้
pouringrain : จ้า ฉันแก่ละเธอไม่แก่ขึ้นเลยเนอะ 5555
NameLess : สุขสันต์วันเกิดนะ :)
pouringrain : ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ฟังฉันบ่นมาตลอดด้วย
NameLess : ใครบอกว่าฉันฟัง
pouringrain : เดี๋ยวจะโดน
NameLess : แน่จริงก็มาดิ :p
pouringrain : หนีให้ทันละกัน
pouringrain : ไปละๆ ไปทำงานก่อน
“เรน ไปกันได้ยัง มัวแต่คุยกับใครอ่า” เลิกเรียนพอดี ตะวันลุกมาตามไปคุยงาน
“อ๋อ ได้เลย ไปคุยที่ไหนดี” ฉันรีบเก็บกระเป๋า
“ดาดฟ้ามั้ย”
“ตอนนี้มันจะเย็นแล้วนะ ขึ้นไปได้หรอ” ฉันถามเพราะแอบกลัวโดนล็อคประตู
“ได้สิ ก่อนหกโมงเย็น”
“…”
“ลุงยามมาล็อคประตูหกโมงเย็น” ตะวันยืนยันกับฉันอีกครั้งเพราะเห็นฉันไม่ค่อยมั่นใจ
“งั้นก็โอเค ปะ ไปกัน”
เราเปิดประตูดาดฟ้าแล้วเอากระเป๋ากั้นประตูให้เปิดค้างไว้ ก็ฉันต้องเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินนี่นา เรานั่งเกาะลูกกรงข้างกัน ด้านหน้าเป็นภาพนักเรียนเดินกันขวักไขว่ บ้างเดินออกนอกประตูโรงเรียน บ้างยังจับกลุ่มคุยเล่นกัน
“อืมม เริ่มยังไงดี” ฉันพูดขึ้น
“คุยกันสบายๆ ก่อนละกัน เดี๋ยวมันก็โฟลวเอง” แหงล่ะ นายเป็นคนพูดเก่งมันก็ดูง่ายน่ะสิ
“งั้นนายเริ่มสิ”
“เธอชอบความสัมพันธ์แบบพระเอกนางเอกรึเปล่า ของภาคแรกนะ ที่มีช่วงเวลาดีๆ แล้วก็จากกัน”
“ฉันชอบนะ ความรักมันไม่ใช่ต้องจบที่อยู่ด้วยกันหรือต้องเดินทางกลับพร้อมกันเสมอไป มันประกอบด้วยอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าการที่คนสองคนจะรักกัน”
“แล้วถ้าทั้งสองคนรู้ใจตัวเองว่ารักกัน ทำไมไม่พยายามทำอะไรซักอย่างเพื่อยืดความสัมพันธ์เอาไว้ล่ะ”
“ฉันมองว่ามันไม่ได้ใช้แค่ความรักอย่างเดียว มันขึ้นกับจังหวะเวลาแล้วก็อะไรหลายๆ อย่างด้วย ถ้าเป็นนาย นายจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้หรอ”
“ถ้าฉันรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกัน ฉันคงทำทุกทางเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่การดันทุรังโดยที่องค์ประกอบอื่นๆ มันยังไม่มีอะไรพร้อม มันจะจบด้วยดีแน่หรอ สู้ปล่อยไว้อย่างนั้นเก็บเป็นความทรงจำดีๆ จะไม่คุ้มค่ากว่าหรือไง ในอนาคตถ้าจังหวะมันใช่เดี๋ยวก็กลับมาเจอกันอีก”
“มันก็แปลว่าไม่ทุ่มเทให้ความรักหรือเปล่า หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันยังไม่ใช่ความรัก”
“สำหรับฉัน มันก็คือความรักแหละ ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจริงๆ และเราต่างก็รู้สึกจริงๆ มันเหมือนกับว่า… สิ่งที่เกิดขึ้นพวกนี้มันมีชีวิตในช่วงเวลานั้นน่ะ”
“แล้วเธอก็ไม่ไขว่คว้ามันต่อ ?”
“อืม นายเข้าใจใ่ช่มั้ย บางสถานการณ์เราดันทุรังไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
“ฉันน่ะ ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะถ้าไม่ไขว่คว้าไว้ฉันจะรู้สึกเสียดายตลอดชีวิต ฉันยอมเสียใจภายหลังมากกว่ามานั่งเสียดายน่ะ”
“นั่นก็ดูเป็นนายดีนะ นายคิดว่าตัวเองจะคิดแบบนี้ไปตลอดเลยมั้ย”
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันคิดแบบนี้ อนาคตฉันอาจเปลี่ยนใจก็ได้ แต่ว่าฉันตอนนี้ก็คือฉันตอนนี้ ฉันในอนาคตนั่นก็เป็นอีกคน”
“คนเราก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอะเนอะ”
“อืม ฉันรู้นะว่าอนาคตเราอาจได้เจอคนอีกมากมาย ได้เจอเรื่องราวอีกมากมาย แต่ฉันก็อยากคว้าโอกาสที่ได้ในแต่ละช่วงเวลาไว้ให้แน่นที่สุด มัน… กลายเป็นการยึดติดรึเปล่า”
“ไม่หรอก อย่างน้อยนายก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ หวังว่านายจะรู้ลิมิตตัวเองใช่มั้ย” ฉันถามเล่นพลางหัวเราะ
“เอาจริงนั่นอาจเป็นปัญหาของฉัน ฮ่าๆๆ” ตะวันเยาะเย้ยตัวเองอย่างอารมณ์ดี นายนี่มีพลังเยอะจริงๆ
“จริงๆ แล้ว ฉันชอบความสัมพันธ์แบบพระเอกนางเอกเรื่องนี้นะ นายเลือกมาได้พอดีเลย”
“อ่า ฉันเลือกเพราะฉันไม่ชอบน่ะสิ มีประเด็นไว้วิจารณ์เต็มเลย” เราสองคนมองหน้ากันแล้วขำพรวดกับความบังเอิญแปลกๆ นี้ เห้อ ให้มันได้แบบนี้สิ
เราคุยกันต่อจนได้ประเด็นและแบ่งงานไปทำกันต่อได้ นี่ก็ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว พระอาทิตย์หลบไปอยู่มุมไหนแล้วก็ไม่รู้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าคราม พระจันทร์เสี้ยวโผล่มาทักทายหลังโดนแสงอาทิตย์บังมาทั้งวัน
‘วันนี้วันเกิดฉัน ถึงจะต้องทำงานอยู่โรงเรียนจนเย็นแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่นานทีจะเกิดกับฉัน ตะวันทำให้ฉันพูดมากได้ดีทีเดียว ฉันไม่ค่อยได้คุยกับใครแบบนี้เท่าไหร่’ ใบหน้าที่มองไปยังประตูโรงเรียนเปื้อนยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“นี่เรน เธอยิ้มอะไร ลงไปกันดีกว่าเดี๋ยวโดนขัง” ฉันสะดุ้งที่อยู่ๆ ตะวันก็ยื่นหน้าเข้ามา
“โอเคๆ ปะ กลับบ้าน”
ระหว่างทางเดินลงไปข้างล่างตะวันก็ถามขึ้น
“เธอกลับยังไง”
“วันนี้กลับรถเมล์ นายล่ะ”
“บ้านเธออยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” พูดไม่ทันจบตะวันก็คว้าข้อมือฉันเดินไปลานจอดรถ สุดท้ายก็จบที่หน้าบิ๊กไบค์คันโต เอ่อ… ทำไมผู้ชายชอบขี่มอเตอร์ไซค์คันสูงๆ แบบนี้จัง
“ฉันว่าฉันรอรถเอาก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“เป็นสิ ตอนนี้เย็นแล้วกว่ารถจะมาทีก็นาน เธอจะไม่ถึงบ้านมืดเลยหรอ ขึ้นมาเร็ว” ตะวันอยู่ในท่าพร้อมออกสตาร์ทได้ตลอดเวลา
ฉันเลยจัดแจงตัวเองขึ้นนั่งซ้อนและบอกทางไปบ้านกับตะวัน
…
“เข้าซอยข้างหน้านี้เลย” ฉันสะกิดตะวันให้เลี้ยวได้เลย จะได้ไม่ผิดซอย
“หลังไหนบอกนะ เดี๋ยวเลย” ตะวันเอียงคอมาบอกฉัน
“จอดๆๆ ถึงแล้วล่ะ”
“โห บอกเป็นมอไซค์วินเลยนะ” อ่าว นายพึ่งบอกฉันว่าให้บอกเพราะว่ากลัวเลย
ตะวันจอดบิ๊กไบค์ที่หน้าบ้านฉันพอดี พอดีกับพี่คินเดินออกมา น่าจะออกมาดูว่าเสียงรถใครมาดังหน้าบ้าน
“เรน ไปไหนมา” ทำไมพี่คินต้องดุฉันต่อหน้าตะวันด้วยเนี่ย
“เอ่อ วันนี้คุยงานจนเย็นผมเลยอาสามาส่งเรนที่บ้านครับ” ตะวันตอบกลับหน้ายิ้มแบบไม่กลัว มีแต่ฉันสินะที่คิดว่าพี่คินกำลังดุ
“ฉัน ถาม เรน” ฉันว่าพี่คินดุจริงแล้วล่ะ
“เอ่อ พี่คิน นี่ตะวัน เพื่อนห้องเดียวกัน วันนี้ฉันคุยงานกับตะวันที่โรงเรียนจนเย็น ตะวันเลยมาส่งเพราะกลัวฉันกลับมืดน่ะ”
“อืม” พี่คินพยักหน้ารับคำตอบฉัน
“เอ่อ ตะวัน นี่พี่คินนะ พี่ชายข้างบ้านฉันเอง”
“อ่อ สวัสดีครับ พี่ชายข้างบ้าน” ฉันรู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่าที่ตะวันเน้นคำหลังจังเลย ใบหน้าพี่คินกระตุกเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าตะวันอย่างเอาเรื่อง
“มาส่งเสร็จแล้วนิ เสร็จแล้วก็รีบกลับ รอฉันชวนกินข้าวหรอ”
“ฮะๆๆๆ ผมรอให้แน่ใจน่ะครับว่าเรนถึงบ้านอย่างปลอดภัย ถ้างั้นผมลานะครับ พี่ชายข้างบ้าน” ตะวันยิ้มแป้นโบกมือบ๊ายบายพี่คิน ฉันยิ้มแหยๆ บอกขอบคุณตะวันที่มาส่งก่อนนายนั่นจะบึ่งรถออกไป
“เรน ให้ผู้ชายมารู้จักหน้าบ้านเธอได้ไง เธอรู้ใช่มั้ยว่าเธออยู่คนเดียว” พี่คินเริ่มทำหน้าที่สั่งสอนฉันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่คินไม่ค่อยว่าอะไรถ้าฉันจะกลับบ้านมืด อ่า แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกแหละที่มีคนอื่นมารู้จักบ้านฉัน
“แต่ก็มีพี่คินอยู่ด้วยไง” ฉันทำหน้าหงอเพราะพึ่งรู้ตัวว่ามันก็ค่อนข้างอันตรายเหมือนกัน เพราะตะวันก็เป็นผู้ชายแถมยังพึ่งเคยคุยจริงๆ จังๆ กันก็ไม่นาน
“เห้อออ” พี่คินถอนหายใจยาว
“หอมจัง วันนี้ทำอะไรกินหรอ” ฉันเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
“ก็รอเธอกลับมากินข้าวนี่แหละ เข้าบ้านมาก่อน ฉันเลี้ยงเอง วันนี้วันเกิดใครอะ” ฮะ ฉันแปลกใจเพราะปกติพี่คินไม่เคยชวนฉันไปกินข้าวด้วยกัน แต่จะชอบทำกับข้าวแล้วเอามาให้มากกว่า นี่เท่ากับว่าพี่คินรอฉันกลับมากินข้าวด้วยกันหรอเนี่ย
“จริงหรอ”
“จริง ไม่ได้ฝัน”
“โอ้ย” พี่คินดีดหน้าผากฉันเรียกสติ ฉันเลยยิ้มออกรีบเดินตามเข้าบ้านพี่คิน
…
“โห นี่กินกันสองคนหรอ เราจะกินกันหมดหรอเนี่ย” ฉันยิ้มกว้างเพราะเห็นกับข้าววางเต็มโต๊ะ มีแต่ของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลย เย้ ทั้งแกงเลียงเมนูโปรดอันดับหนึ่ง ปลากระพงทอดน้ำปลา ผัดผักแบบแห้งๆ กรอบๆ ทอดมันกุ้ง ไชโป้วผัดไข่ ต้มข่าไก่ เป็ดย่าง เยอะมาก !
ฉันเห็นความตั้งใจของพี่คินที่ทำให้ฉันขนาดนี้ ที่จริงวันเกิดฉันไม่ได้หวังอะไรมาก ฉันรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่พี่คินทำให้วันนี้ แน่นอนว่ากับการดูแลตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย สำหรับการเป็นลูกคนเดียวและการที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวอย่างฉัน สิ่งที่เขาทำให้มันค่อนข้างมากเกินไปด้วยซ้ำ
“ไม่หมดเธอก็ต้องกินให้หมดจะได้มีเรี่ยวมีแรงบ้าง” พี่คินขำตาม
“มารีบกินกันเลยดีกว่า ฉันหิวมาก” ฉันรีบจัดแจงตักข้าวบริการพ่อครัวที่อุตส่าห์เป็นเจ้าภาพฉลองวันเกิดให้น้องสาว ถึงแม้ว่าการฉลองวันเกิดฉันจะเป็นแค่การกินข้าวมื้อธรรมดา แต่สำหรับฉันที่กินข้าวคนเดียวเป็นประจำมันก็มีความหมายมากเหมือนกัน
“เธออายุเท่าไหร่แล้ว” พี่คินถาม
“วันนี้สิบแปดพอดี”
“ดีแล้ว”
“ฮะ ดียังไงหรอ”
“แค่กๆๆๆ น้ำๆ” อยู่ๆ พี่คินก็สำลักพอดี ฉันเลยรีบเอาน้ำให้ดื่ม
“กินยังไงเนี่ย ระวังหน่อยสิ”
“อือๆ” พี่คินตอบรับส่งๆ
“อร่อยหมดทุกอย่างเลย มีแต่ของที่ฉันชอบ นี่พี่คินไปหัดทำกับข้าวได้เยอะแยะมาจากที่ไหนเนี่ย”
“ทำเป็นตั้งนานละ อยู่คนเดียวบ่อยก็หัดทำเอา เดี๋ยวอดตาย เพื่อนมาก็ทำให้กินได้ มีแต่เธอน่ะสิที่เป็นผู้หญิงทำกับข้าวไม่ค่อยจะเป็น” พี่คินยิ้มเยาะอย่างได้ใจ
“ฉันเป็นคนกินง่ายๆ”
“มักง่ายละมั้ง ตัวถึงได้ผอมขนาดนี้”
“เดี๋ยวฉันมาขอข้าวพี่กินให้บ่อยกว่าเดิม”
“บ่อยแค่ไหนล่ะ ทุกวันเลยมั้ย”
“อะ… อืม จะ… จะแย่งกินให้หมด” ฉันก้มหน้ามองกับข้าวเพราะเสียงอ่อนๆ ของพี่คินทำใจเต้นแปลกๆ
“หึหึ” ฉันเห็นพี่คินหัวเราะมุมปาก
หลังจากเราเก็บล้างกันหมดฉันก็เก็บของจะกลับบ้าน พี่คินเดินมาส่งฉันที่หน้าบ้านแล้วยื่นกล่องสีชมพูเล็กๆ ให้ฉัน
“อะ ยังไม่ได้ให้ของขวัญ”
“โห ขอบคุณนะคะ ฉันแกะเลยนะ” ฉันยืนแกะกล่องอยู่หน้าบ้าน ข้างในเป็นน้ำหอมแบรนด์ดังขวดสีชมพู
“ลองฉีดสิจะได้รู้ว่าชอบมั้ย” ฉันลองฉีดที่ข้อมือและไปแตะที่ซอกคอสองข้าง พัดให้น้ำหอมฟุ้งซักพัก กลิ่นมีความหวานของดอกไม้ปนกลิ่นฟรุตตี้ในสัดส่วนที่พอดี ให้ความรู้สึกร่าเริงเข้ากับวัยได้ดี
“หืมมม หอมมากเลย ฉันชอบ” ฉันชอบจริงๆ
“อืม หอมมากจริงด้วย” พี่คินก้มลงมาดมใกล้ข้างแก้มฉัน ฉันตกใจเงยหน้าไปสบตาพอดี พี่คินกระตุกยิ้มก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน
“…”
“เข้าบ้านได้แล้วเรน” เสียงตะโกนของพี่คินกระชากสติกลับมาให้ฉันก่อนจะรีบเดินเข้าบ้าน
“อะ อื้อ”
หัวใจที่เต้นแรงค่อยๆ คลายจังหวะช้าลง หลังฉันเข้ามานั่งพักในบ้าน ฉันนั่งทบทวนว่ามีอะไรแปลกไป ปกติพี่คินไม่ได้ใส่ใจฉันขนาดนี้นี่นา แค่ดูแลกันในแบบพี่ชายข้างบ้านที่เป็นห่วงน้องสาวตัวคนเดียวที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่แรกฉันมองพี่คินในฐานะพี่ชายมาตลอด ด้วยความผูกพันที่รู้จักกันมานาน พี่คินเลยกลายเป็นคนที่ฉันถือว่าสนิทและคุยเล่นได้ แต่ว่าช่วงนี้ก็มีบางสถานการณ์ที่ทำให้ฉันมองพี่คินในฐานะผู้ชาย ไม่ใช่พี่ชาย เอ้ะ แต่ว่าทั้งหมดนี้มันอาจเป็นแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียวก็ได้ อืม เพราะฉะนั้นรอดูไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ใจเย็นๆ เอาไว้นะเรน
ฉันกุมหัวใจตัวเองบอกให้มันเต้นช้าลง
pouringrain : จ้า ฉันแก่ละเธอไม่แก่ขึ้นเลยเนอะ 5555
NameLess : สุขสันต์วันเกิดนะ :)
pouringrain : ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ฟังฉันบ่นมาตลอดด้วย
NameLess : ใครบอกว่าฉันฟัง
pouringrain : เดี๋ยวจะโดน
NameLess : แน่จริงก็มาดิ :p
pouringrain : หนีให้ทันละกัน
pouringrain : ไปละๆ ไปทำงานก่อน
“เรน ไปกันได้ยัง มัวแต่คุยกับใครอ่า” เลิกเรียนพอดี ตะวันลุกมาตามไปคุยงาน
“อ๋อ ได้เลย ไปคุยที่ไหนดี” ฉันรีบเก็บกระเป๋า
“ดาดฟ้ามั้ย”
“ตอนนี้มันจะเย็นแล้วนะ ขึ้นไปได้หรอ” ฉันถามเพราะแอบกลัวโดนล็อคประตู
“ได้สิ ก่อนหกโมงเย็น”
“…”
“ลุงยามมาล็อคประตูหกโมงเย็น” ตะวันยืนยันกับฉันอีกครั้งเพราะเห็นฉันไม่ค่อยมั่นใจ
“งั้นก็โอเค ปะ ไปกัน”
เราเปิดประตูดาดฟ้าแล้วเอากระเป๋ากั้นประตูให้เปิดค้างไว้ ก็ฉันต้องเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินนี่นา เรานั่งเกาะลูกกรงข้างกัน ด้านหน้าเป็นภาพนักเรียนเดินกันขวักไขว่ บ้างเดินออกนอกประตูโรงเรียน บ้างยังจับกลุ่มคุยเล่นกัน
“อืมม เริ่มยังไงดี” ฉันพูดขึ้น
“คุยกันสบายๆ ก่อนละกัน เดี๋ยวมันก็โฟลวเอง” แหงล่ะ นายเป็นคนพูดเก่งมันก็ดูง่ายน่ะสิ
“งั้นนายเริ่มสิ”
“เธอชอบความสัมพันธ์แบบพระเอกนางเอกรึเปล่า ของภาคแรกนะ ที่มีช่วงเวลาดีๆ แล้วก็จากกัน”
“ฉันชอบนะ ความรักมันไม่ใช่ต้องจบที่อยู่ด้วยกันหรือต้องเดินทางกลับพร้อมกันเสมอไป มันประกอบด้วยอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าการที่คนสองคนจะรักกัน”
“แล้วถ้าทั้งสองคนรู้ใจตัวเองว่ารักกัน ทำไมไม่พยายามทำอะไรซักอย่างเพื่อยืดความสัมพันธ์เอาไว้ล่ะ”
“ฉันมองว่ามันไม่ได้ใช้แค่ความรักอย่างเดียว มันขึ้นกับจังหวะเวลาแล้วก็อะไรหลายๆ อย่างด้วย ถ้าเป็นนาย นายจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้หรอ”
“ถ้าฉันรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกัน ฉันคงทำทุกทางเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่การดันทุรังโดยที่องค์ประกอบอื่นๆ มันยังไม่มีอะไรพร้อม มันจะจบด้วยดีแน่หรอ สู้ปล่อยไว้อย่างนั้นเก็บเป็นความทรงจำดีๆ จะไม่คุ้มค่ากว่าหรือไง ในอนาคตถ้าจังหวะมันใช่เดี๋ยวก็กลับมาเจอกันอีก”
“มันก็แปลว่าไม่ทุ่มเทให้ความรักหรือเปล่า หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันยังไม่ใช่ความรัก”
“สำหรับฉัน มันก็คือความรักแหละ ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจริงๆ และเราต่างก็รู้สึกจริงๆ มันเหมือนกับว่า… สิ่งที่เกิดขึ้นพวกนี้มันมีชีวิตในช่วงเวลานั้นน่ะ”
“แล้วเธอก็ไม่ไขว่คว้ามันต่อ ?”
“อืม นายเข้าใจใ่ช่มั้ย บางสถานการณ์เราดันทุรังไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
“ฉันน่ะ ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะถ้าไม่ไขว่คว้าไว้ฉันจะรู้สึกเสียดายตลอดชีวิต ฉันยอมเสียใจภายหลังมากกว่ามานั่งเสียดายน่ะ”
“นั่นก็ดูเป็นนายดีนะ นายคิดว่าตัวเองจะคิดแบบนี้ไปตลอดเลยมั้ย”
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันคิดแบบนี้ อนาคตฉันอาจเปลี่ยนใจก็ได้ แต่ว่าฉันตอนนี้ก็คือฉันตอนนี้ ฉันในอนาคตนั่นก็เป็นอีกคน”
“คนเราก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอะเนอะ”
“อืม ฉันรู้นะว่าอนาคตเราอาจได้เจอคนอีกมากมาย ได้เจอเรื่องราวอีกมากมาย แต่ฉันก็อยากคว้าโอกาสที่ได้ในแต่ละช่วงเวลาไว้ให้แน่นที่สุด มัน… กลายเป็นการยึดติดรึเปล่า”
“ไม่หรอก อย่างน้อยนายก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ หวังว่านายจะรู้ลิมิตตัวเองใช่มั้ย” ฉันถามเล่นพลางหัวเราะ
“เอาจริงนั่นอาจเป็นปัญหาของฉัน ฮ่าๆๆ” ตะวันเยาะเย้ยตัวเองอย่างอารมณ์ดี นายนี่มีพลังเยอะจริงๆ
“จริงๆ แล้ว ฉันชอบความสัมพันธ์แบบพระเอกนางเอกเรื่องนี้นะ นายเลือกมาได้พอดีเลย”
“อ่า ฉันเลือกเพราะฉันไม่ชอบน่ะสิ มีประเด็นไว้วิจารณ์เต็มเลย” เราสองคนมองหน้ากันแล้วขำพรวดกับความบังเอิญแปลกๆ นี้ เห้อ ให้มันได้แบบนี้สิ
เราคุยกันต่อจนได้ประเด็นและแบ่งงานไปทำกันต่อได้ นี่ก็ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว พระอาทิตย์หลบไปอยู่มุมไหนแล้วก็ไม่รู้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าคราม พระจันทร์เสี้ยวโผล่มาทักทายหลังโดนแสงอาทิตย์บังมาทั้งวัน
‘วันนี้วันเกิดฉัน ถึงจะต้องทำงานอยู่โรงเรียนจนเย็นแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่นานทีจะเกิดกับฉัน ตะวันทำให้ฉันพูดมากได้ดีทีเดียว ฉันไม่ค่อยได้คุยกับใครแบบนี้เท่าไหร่’ ใบหน้าที่มองไปยังประตูโรงเรียนเปื้อนยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“นี่เรน เธอยิ้มอะไร ลงไปกันดีกว่าเดี๋ยวโดนขัง” ฉันสะดุ้งที่อยู่ๆ ตะวันก็ยื่นหน้าเข้ามา
“โอเคๆ ปะ กลับบ้าน”
ระหว่างทางเดินลงไปข้างล่างตะวันก็ถามขึ้น
“เธอกลับยังไง”
“วันนี้กลับรถเมล์ นายล่ะ”
“บ้านเธออยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” พูดไม่ทันจบตะวันก็คว้าข้อมือฉันเดินไปลานจอดรถ สุดท้ายก็จบที่หน้าบิ๊กไบค์คันโต เอ่อ… ทำไมผู้ชายชอบขี่มอเตอร์ไซค์คันสูงๆ แบบนี้จัง
“ฉันว่าฉันรอรถเอาก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“เป็นสิ ตอนนี้เย็นแล้วกว่ารถจะมาทีก็นาน เธอจะไม่ถึงบ้านมืดเลยหรอ ขึ้นมาเร็ว” ตะวันอยู่ในท่าพร้อมออกสตาร์ทได้ตลอดเวลา
ฉันเลยจัดแจงตัวเองขึ้นนั่งซ้อนและบอกทางไปบ้านกับตะวัน
…
“เข้าซอยข้างหน้านี้เลย” ฉันสะกิดตะวันให้เลี้ยวได้เลย จะได้ไม่ผิดซอย
“หลังไหนบอกนะ เดี๋ยวเลย” ตะวันเอียงคอมาบอกฉัน
“จอดๆๆ ถึงแล้วล่ะ”
“โห บอกเป็นมอไซค์วินเลยนะ” อ่าว นายพึ่งบอกฉันว่าให้บอกเพราะว่ากลัวเลย
ตะวันจอดบิ๊กไบค์ที่หน้าบ้านฉันพอดี พอดีกับพี่คินเดินออกมา น่าจะออกมาดูว่าเสียงรถใครมาดังหน้าบ้าน
“เรน ไปไหนมา” ทำไมพี่คินต้องดุฉันต่อหน้าตะวันด้วยเนี่ย
“เอ่อ วันนี้คุยงานจนเย็นผมเลยอาสามาส่งเรนที่บ้านครับ” ตะวันตอบกลับหน้ายิ้มแบบไม่กลัว มีแต่ฉันสินะที่คิดว่าพี่คินกำลังดุ
“ฉัน ถาม เรน” ฉันว่าพี่คินดุจริงแล้วล่ะ
“เอ่อ พี่คิน นี่ตะวัน เพื่อนห้องเดียวกัน วันนี้ฉันคุยงานกับตะวันที่โรงเรียนจนเย็น ตะวันเลยมาส่งเพราะกลัวฉันกลับมืดน่ะ”
“อืม” พี่คินพยักหน้ารับคำตอบฉัน
“เอ่อ ตะวัน นี่พี่คินนะ พี่ชายข้างบ้านฉันเอง”
“อ่อ สวัสดีครับ พี่ชายข้างบ้าน” ฉันรู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่าที่ตะวันเน้นคำหลังจังเลย ใบหน้าพี่คินกระตุกเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าตะวันอย่างเอาเรื่อง
“มาส่งเสร็จแล้วนิ เสร็จแล้วก็รีบกลับ รอฉันชวนกินข้าวหรอ”
“ฮะๆๆๆ ผมรอให้แน่ใจน่ะครับว่าเรนถึงบ้านอย่างปลอดภัย ถ้างั้นผมลานะครับ พี่ชายข้างบ้าน” ตะวันยิ้มแป้นโบกมือบ๊ายบายพี่คิน ฉันยิ้มแหยๆ บอกขอบคุณตะวันที่มาส่งก่อนนายนั่นจะบึ่งรถออกไป
“เรน ให้ผู้ชายมารู้จักหน้าบ้านเธอได้ไง เธอรู้ใช่มั้ยว่าเธออยู่คนเดียว” พี่คินเริ่มทำหน้าที่สั่งสอนฉันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่คินไม่ค่อยว่าอะไรถ้าฉันจะกลับบ้านมืด อ่า แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกแหละที่มีคนอื่นมารู้จักบ้านฉัน
“แต่ก็มีพี่คินอยู่ด้วยไง” ฉันทำหน้าหงอเพราะพึ่งรู้ตัวว่ามันก็ค่อนข้างอันตรายเหมือนกัน เพราะตะวันก็เป็นผู้ชายแถมยังพึ่งเคยคุยจริงๆ จังๆ กันก็ไม่นาน
“เห้อออ” พี่คินถอนหายใจยาว
“หอมจัง วันนี้ทำอะไรกินหรอ” ฉันเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
“ก็รอเธอกลับมากินข้าวนี่แหละ เข้าบ้านมาก่อน ฉันเลี้ยงเอง วันนี้วันเกิดใครอะ” ฮะ ฉันแปลกใจเพราะปกติพี่คินไม่เคยชวนฉันไปกินข้าวด้วยกัน แต่จะชอบทำกับข้าวแล้วเอามาให้มากกว่า นี่เท่ากับว่าพี่คินรอฉันกลับมากินข้าวด้วยกันหรอเนี่ย
“จริงหรอ”
“จริง ไม่ได้ฝัน”
“โอ้ย” พี่คินดีดหน้าผากฉันเรียกสติ ฉันเลยยิ้มออกรีบเดินตามเข้าบ้านพี่คิน
…
“โห นี่กินกันสองคนหรอ เราจะกินกันหมดหรอเนี่ย” ฉันยิ้มกว้างเพราะเห็นกับข้าววางเต็มโต๊ะ มีแต่ของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลย เย้ ทั้งแกงเลียงเมนูโปรดอันดับหนึ่ง ปลากระพงทอดน้ำปลา ผัดผักแบบแห้งๆ กรอบๆ ทอดมันกุ้ง ไชโป้วผัดไข่ ต้มข่าไก่ เป็ดย่าง เยอะมาก !
ฉันเห็นความตั้งใจของพี่คินที่ทำให้ฉันขนาดนี้ ที่จริงวันเกิดฉันไม่ได้หวังอะไรมาก ฉันรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่พี่คินทำให้วันนี้ แน่นอนว่ากับการดูแลตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย สำหรับการเป็นลูกคนเดียวและการที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวอย่างฉัน สิ่งที่เขาทำให้มันค่อนข้างมากเกินไปด้วยซ้ำ
“ไม่หมดเธอก็ต้องกินให้หมดจะได้มีเรี่ยวมีแรงบ้าง” พี่คินขำตาม
“มารีบกินกันเลยดีกว่า ฉันหิวมาก” ฉันรีบจัดแจงตักข้าวบริการพ่อครัวที่อุตส่าห์เป็นเจ้าภาพฉลองวันเกิดให้น้องสาว ถึงแม้ว่าการฉลองวันเกิดฉันจะเป็นแค่การกินข้าวมื้อธรรมดา แต่สำหรับฉันที่กินข้าวคนเดียวเป็นประจำมันก็มีความหมายมากเหมือนกัน
“เธออายุเท่าไหร่แล้ว” พี่คินถาม
“วันนี้สิบแปดพอดี”
“ดีแล้ว”
“ฮะ ดียังไงหรอ”
“แค่กๆๆๆ น้ำๆ” อยู่ๆ พี่คินก็สำลักพอดี ฉันเลยรีบเอาน้ำให้ดื่ม
“กินยังไงเนี่ย ระวังหน่อยสิ”
“อือๆ” พี่คินตอบรับส่งๆ
“อร่อยหมดทุกอย่างเลย มีแต่ของที่ฉันชอบ นี่พี่คินไปหัดทำกับข้าวได้เยอะแยะมาจากที่ไหนเนี่ย”
“ทำเป็นตั้งนานละ อยู่คนเดียวบ่อยก็หัดทำเอา เดี๋ยวอดตาย เพื่อนมาก็ทำให้กินได้ มีแต่เธอน่ะสิที่เป็นผู้หญิงทำกับข้าวไม่ค่อยจะเป็น” พี่คินยิ้มเยาะอย่างได้ใจ
“ฉันเป็นคนกินง่ายๆ”
“มักง่ายละมั้ง ตัวถึงได้ผอมขนาดนี้”
“เดี๋ยวฉันมาขอข้าวพี่กินให้บ่อยกว่าเดิม”
“บ่อยแค่ไหนล่ะ ทุกวันเลยมั้ย”
“อะ… อืม จะ… จะแย่งกินให้หมด” ฉันก้มหน้ามองกับข้าวเพราะเสียงอ่อนๆ ของพี่คินทำใจเต้นแปลกๆ
“หึหึ” ฉันเห็นพี่คินหัวเราะมุมปาก
หลังจากเราเก็บล้างกันหมดฉันก็เก็บของจะกลับบ้าน พี่คินเดินมาส่งฉันที่หน้าบ้านแล้วยื่นกล่องสีชมพูเล็กๆ ให้ฉัน
“อะ ยังไม่ได้ให้ของขวัญ”
“โห ขอบคุณนะคะ ฉันแกะเลยนะ” ฉันยืนแกะกล่องอยู่หน้าบ้าน ข้างในเป็นน้ำหอมแบรนด์ดังขวดสีชมพู
“ลองฉีดสิจะได้รู้ว่าชอบมั้ย” ฉันลองฉีดที่ข้อมือและไปแตะที่ซอกคอสองข้าง พัดให้น้ำหอมฟุ้งซักพัก กลิ่นมีความหวานของดอกไม้ปนกลิ่นฟรุตตี้ในสัดส่วนที่พอดี ให้ความรู้สึกร่าเริงเข้ากับวัยได้ดี
“หืมมม หอมมากเลย ฉันชอบ” ฉันชอบจริงๆ
“อืม หอมมากจริงด้วย” พี่คินก้มลงมาดมใกล้ข้างแก้มฉัน ฉันตกใจเงยหน้าไปสบตาพอดี พี่คินกระตุกยิ้มก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน
“…”
“เข้าบ้านได้แล้วเรน” เสียงตะโกนของพี่คินกระชากสติกลับมาให้ฉันก่อนจะรีบเดินเข้าบ้าน
“อะ อื้อ”
หัวใจที่เต้นแรงค่อยๆ คลายจังหวะช้าลง หลังฉันเข้ามานั่งพักในบ้าน ฉันนั่งทบทวนว่ามีอะไรแปลกไป ปกติพี่คินไม่ได้ใส่ใจฉันขนาดนี้นี่นา แค่ดูแลกันในแบบพี่ชายข้างบ้านที่เป็นห่วงน้องสาวตัวคนเดียวที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่แรกฉันมองพี่คินในฐานะพี่ชายมาตลอด ด้วยความผูกพันที่รู้จักกันมานาน พี่คินเลยกลายเป็นคนที่ฉันถือว่าสนิทและคุยเล่นได้ แต่ว่าช่วงนี้ก็มีบางสถานการณ์ที่ทำให้ฉันมองพี่คินในฐานะผู้ชาย ไม่ใช่พี่ชาย เอ้ะ แต่ว่าทั้งหมดนี้มันอาจเป็นแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียวก็ได้ อืม เพราะฉะนั้นรอดูไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ใจเย็นๆ เอาไว้นะเรน
ฉันกุมหัวใจตัวเองบอกให้มันเต้นช้าลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ