เรื่องรักสามฤดู

-

เขียนโดย LaVieRosy

วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.33 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,206 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 16.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 13

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พศิกากำลังจะหมุนป้ายปิดร้านหลังจากสำรวจความเรียบร้อยทุกอย่างและพนักงานพากันกลับบ้านหลังเลิกงาน หากแต่เสียงเคาะประตูกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมสันของชายหนุ่มรูปร่างสูงทำให้เธอชะงัก เขาชูถุงที่บรรจุกล่องใส่อาหารหลายอย่างขึ้น

 

ไฟที่ดับไปแล้วในร้านสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ชานนท์จัดเรียงกับข้าวหลายอย่างตอนที่พศิกาเดินมาพร้อมกับจานสองใบและช้อนส้อม

 

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยคะ”

 

“ผมไม่รู้คุณชอบกินอะไร แต่รับประกันว่าร้านนี้รสชาติแบบอาหารใต้แท้ๆการันตีโดยคนใต้โดยกำเนิดแบบผม”

 

เขาว่าพลางตักข้าวหอมมะลิควันกรุ่นหอมเม็ดสวยใส่จานให้หญิงสาวก่อนตักให้ตนเอง พศิกามองกับข้าวน่าทาน ทั้งน้ำพริกกะปิกุ้งสดกับผักนานาชนิด แกงเหลือง ปลาทรายทอดขมิ้นและใบเหลียงผัดไข่ ชานนท์ใช้ช้อนส้อมเลาะเนื้อปลายทรายสีขาวเหลืองใส่จานหญิงสาว

 

“ลองครับ”

 

พศิกาตักชิ้นปลาน่ากินเข้าปาก เบิกตาขึ้น คนที่มองอยู่ยิ้มกว้างอีกครั้ง เขาเลาะก้างออกแล้วตักเนื้อปลาวางใส่จานเธอเพิ่ม

“ขอบคุณนะคะ นี่โอกาสอะไรคะเนี่ย”

 

“ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงที่จะจีบคุณ ก็บ้านๆง่ายๆแบบนี้แล้วกัน”

 

“คุณชานนท์”

 

“ต่อไปนี้เรียกผมว่านนท์ก็พอครับ ผมมาสังเกตทั้งวัน หลิวโสด ผมโสด ผมชอบหลิว ผมก็จีบ คงไม่เสียหายอะไร ถ้าหลิวไม่รังเกียจ”

 

“หลิวแก่กว่าคุณห้าปีนะคะ”

 

“แต่ผมหน้าแก่กว่าหลิวหลายปีนะ”

 

เขาวางช้อนลง จ้องมองมาในดวงตารีของเธอ

 

“ผมคิดว่าหลิวก็รู้ดีเหมือนผมว่าอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสัมพันธ์จะไปได้รึเปล่า มันมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าเรื่องนี้ตั้งเยอะ ถ้าหลิวไม่รังเกียจผู้ชายธรรมดาๆอย่างผม ไม่มีอะไรเลยนอกจากจะทำให้ดูว่าผมจริงใจ ผมตั้งใจเข้ามาทำความรู้จักกับหลิวเพราะอยากเห็นหลิวมีความสุข สำหรับผมมันง่ายเท่านั้น ที่เหลือก็แล้วแต่หลิวจะให้โอกาส”

 

พศิกาใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงสายตาของเขาตั้งแต่วันแรกเจอและอีกหลายวันที่เขามาที่ร้านเพียงแต่ตั้งรับไม่ทันกับการรุกอันรวดเร็วของเขา

 

“ผมเหลือเวลาอีกสามวันจะหมดวันพัก ต้องกลับไปอยู่บนแท่นอีกสองอาทิตย์ ระหว่างวันใช้โทรศัพท์ไม่ได้เลย เริ่มงานหกโมงเช้าออกหกโมงเย็น อาจจะโทรไลน์มาได้ช่วงพักกินข้าวนิดหน่อยแต่ก็อาทิตย์เดียว อีกอาทิตย์ผมอาจจะได้แค่ไลน์มาเพราะต้องสลับไปเข้ากะดึกทั้งอาทิตย์ บริษัทมีไวไฟให้ซื้อแต่สัญญาณก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ บางวันอาจจะติดต่อกันได้ บางวันก็ไม่ได้เลย ผมอยากชัดเจนให้หลิวรู้ ชีวิตคนทำงานอย่างผม ไม่แน่นอนนัก ทุกวันที่เราออกไปยืนตรงนั้น มีแต่ความเสี่ยง แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมรัก ผมเลือก”

 

เขาอธิบายเหมือนอ่านใจเธอออก เขาช่างชัดเจนและตรงประเด็น รังเกียจหรือ...ไม่เลย...ใครจะรังเกียจเขาลง ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรับรู้ถึงเสน่ห์แห่งบุรุษเพศของเขาชัดเจน เธอเองมิใช่หรือที่บอกให้ดารินเปิดใจ อย่ากลัวความสัมพันธ์แล้วเธอเล่า จะกลัวอะไร...ตลอดมา มีคนเข้ามาในชีวิตหลากหลายรูปแบบ แต่เขาคือคนที่เปิดเผยและชัดเจนที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา มีอะไรจะเสีย...เธอถามตนเอง...ไม่มี...

 

พศิกาไม่ตอบเป็นคำพูดแต่เลือกจะแกะเนื้อปลาแล้ววางลงในจานเขาบ้าง

 

“กินเยอะๆนะคะ พรุ่งนี้หลิวจะเตรียมแซนวิชหน้าเปิดใส่หน้าพิเศษให้คุณ ตอนกลับไปทำงานคงไม่ได้เลือกกินอะไรที่ชอบแบบนี้ ตอนกลับมาคุณอยากกินอะไรก็บอก ถ้าหลิวทำให้ได้จะทำให้กินค่ะ”

 

ชานนท์ยิ้มกว้างอีกครั้ง รับรู้ว่านี่คือคำตอบของเธอแล้ว

จารวีกำลังดูเมนูของหวานเมื่อรู้สึกถึงเงาของใครบางคนมายืนอยู่ใกล้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนอันคุ้นเคยทำให้เธอหันขวับไปมอง ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่สูงสง่ายืนมองเธอด้วยแววตาที่ฉายแววไม่พอใจและตัดพ้อปะปนกัน

 

“เอ่อ...”

 

กันตินันท์ที่นั่งอยู่โดยที่ไม่รู้อะไรด้วย งงว่าผู้ชายตรงหน้าคือใคร

 

“สวัสดีครับ ผมวัชรธร แฟนของจา พอดีเรางอนกันนิดหน่อย ผมอยากคุยกับจาน่ะครับ วันนี้ขอพาจากลับบ้านกับผมนะครับ”

 

“พี่ธร”

 

จารวีกดเสียงต่ำ แววตาคู่หวานวาววับอย่างเอาเรื่อง

 

“ไม่อย่างนั้น พี่ขับรถตามไปก็ได้ พี่แค่อยากคุยกับจาเรื่องวันก่อน”

 

เขาเน้นเสียงคำว่า ‘เมื่อวันก่อน’

 

หญิงสาวถอนหายใจ เธอไม่ชอบที่สุดที่คนในที่ทำงานจะมารับรู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเธอแล้วเอาไปพูดกันต่างๆนานา มีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบเธอ เธออยากทำงานไปเงียบๆ ไม่อยากเป็นประเด็นให้ใครพูดถึง วัชรธรกำลังทำให้เรื่องที่ควรจะง่ายยากขึ้นมาอีกครั้ง

 

“พี่ขอคุยด้วยครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับจาอีก”

 

แววตาหญิงสาวเปลี่ยนไปหลังได้ยินน้ำเสียงที่ดูแปร่งปร่ากว่าทุกครั้ง

 

“ขอโทษนะคะ คุณกัน เราเจอกันพรุ่งนี้ที่ออฟฟิศนะคะ”

 

จารวีรวบช้อนแล้วลุกขึ้น รู้จักนิสัยอดีตคนรักดีว่าหากเขายืนกรานแบบนี้แล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ

 

ตลอดการเดินทางมีเพียงเงียบงันระหว่างกัน เขาคงอยากนั่งคุยกับเธอเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆจึงยังไม่เริ่มบทสนทนาขณะขับรถ จารวีก็เลือกเงียบเหมือนกัน ราวชั่วโมงกว่าวัชรธรก็นำรถเข้าจอดหน้าคอนโดฯของหญิงสาว เดินอ้อมมาเปิดประตูให้และแตะข้อศอกพาเดินไปยังบริเวณสวนส่วนกลาง

 

อากาศยามค่ำมีลมเบาๆพัดโชยเป็นระยะ ได้ความเย็นจากต้นไม้ที่ทางคอนโดปลูกไว้แน่นหนา นั่นเป็นเหตุผลหลักที่จารวีชอบที่นี่และแอบมาซื้อเก็บไว้โดยไม่ได้บอกเขา เดินสูดอากาศกันสักครู่ เขาก็พาเธอนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง เริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

“วันนี้พี่ไปฟังผลตรวจชิ้นเนื้อในลำไส้มาที่โรงพยาบาล เป็นเนื้อมะเร็ง”

 

จารวีตัวชาตลอดทั้งร่าง หันไปมองเขาทั้งตัว

“ทำซีทีสแกนดู หมอมะเร็งบอกว่าเป็นระยะสาม ช่วงลำไส้ตรงแล้วก็มีที่ต่อมน้ำเหลืองที่ต้นขา”

 

นาทีนั้นหญิงสาวรู้สึกราวหูดับ มือเย็นเฉียบ

 

“พี่ธร”

 

“พี่จะฉายแสงสามสิบครั้งแล้วก็ให้คีโมอีกหกชุดหลังจากนั้นก็ผ่าตัด ถ้ายังมีค่ามะเร็งอยู่ก็อาจจะต้องใส่ถุงถ่ายหน้าท้องแล้วทำคีโมอีก แต่ถ้าโชคดีไม่มีอะไรแล้วก็แค่ผ่าตัดลำไส้ส่วนนั้นออแล้วต่อกัน”

 

“มันคงฟังเห็นแก่ตัว แต่พี่อยากจะขอจาครั้งสุดท้ายถ้าขอได้ ช่วยอยู่กับพี่ตอนนี้ก่อนได้ไหม พี่ไม่รู้จะทำยังไงถ้าไม่มีจา”

 

น้ำตาจารวีไหลเป็นทาง มองอดีตคนรักที่เคยนั่งตัวตรงสง่างามอยู่เป็นนิจค้อมตัวก้มหน้าลงไหล่ตกลู่ เธอสงสารเขาจับหัวใจ

 

“หมอบอกว่าเราจะรีบรักษาให้เร็วแต่ระหว่างนี้ก็มีโอกาสที่มะเร็งจะลามไปที่อื่นได้ พี่ไม่รู้ว่านี่จะเป็นยังไงต่อไปแต่ถ้ามันเกิดออกมาไม่เป็นอย่างที่เราหวัง...พี่ก็อยากขอ...ขอใช้เวลานี้ทุกๆวันที่พี่มี...อยู่กับจาได้รึเปล่า”

 

“พี่ธร”

 

จารวีสะอื้นไห้โผเข้ากอดเขา ซุกตัวเข้าหาอกอุ่นที่คุ้นเคยกระชับวงแขนแน่น

 

“พี่ธรจะหาย เดี๋ยวนี้หมอเก่งมาก คนเป็นมะเร็งหายกันเยอะแยะ พี่ธรต้องหายค่ะ จาจะอยู่กับพี่ธร จะอยู่ข้างๆไปจนกว่าพี่ธรจะหาย”

 

เธอไม่ลังเลใจเลยในนาทีนั้น เขาคือผู้ชายที่เธอรักที่สุด เธอจะอยู่กับเขาและเขาจะหายดี เรื่องอื่นๆไม่สำคัญเท่าเรื่องของเขาอีกต่อไปแล้ว

 

วัชรธรกอดตอบแน่นปานกัน เข้ากดจุมพิตที่ศีรษะทุยสวย รู้สึกราวได้ของมีค่ากลับคืนมาสู่มือ หัวใจปะปนไปด้วยหลายความรู้สึก กังวล เป็นห่วง แต่นาทีนี้ เมื่อมีจารวีอยู่ในอ้อมอก ทุกอย่างดูเหมือนจะบรรเทาลง

 

“พี่ขอโทษที่ก่อนหน้านี้เคยทำไม่ดีกับจา บังคับจา ทำให้จาอึดอัด พี่สัญญาว่าพี่จะเปลี่ยนตัวเอง ตอนที่พี่รู้ว่าพี่ป่วยและไม่มีอะไรแน่นอนอีกแล้วในชีวิตต่อจากวันนี้ คนที่พี่นึกถึงคนแรกคือจา พี่เอาแต่คิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่จะไม่ทำอะไรบ้าง พี่จะแคร์ความรู้สึกจามากกว่านี้ ให้จาเป็นตัวเองแบบที่จาอยากเป็นและมีความสุข”

 

เขาผละออกมา กอบกุมใบหน้าของเธอเอาไว้ น้ำตาที่จารวีไม่เคยได้เห็นคลอคลองอยู่ในดวงตา

 

“จา ให้โอกาสอีกพี่สักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่พี่จะขอ นะครับ”

 

หญิงสาวสะอื้นปล่อยโฮออกมาโผเข้ากอดเขาแน่น เธอจะอยู่กับเขาและเขาจะหาย เขาต้องหายดี หลังจากกอดกันแน่นนาน จารวีตัดสินใจพาเขาขึ้นไปบนห้อง เก็บเสื้อผ้าข้าวของเท่าที่จำเป็นเพื่อจะย้ายไปอยู่ดูแลเขาที่บ้าน ในคืนนั้นเขาและเธอนั่งกอดกันบนเตียงหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนจะเข้านอนหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

 

เช้าวันต่อมา จารวีคุยกับเบญจาเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น รุ่นพี่สาวเข้าใจเธอดีและรับปากว่าหากมีสิ่งใดให้ช่วยเหลือขอให้บอกอย่าได้เกรงใจ จารวีเข้าพบเจ้านายเป็นลำดับถัดไป แจ้งให้ทราบถึงความจำเป็นในอนาคตที่อาจต้องลางานเพื่อไปโรงพยาบาล โชคดีที่เธอทำงานอย่างขยันขันแข็งมาตลอดแทบไม่ได้ใช้วันลา ผู้เป็นนายทั้งเห็นใจและเข้าใจและขอให้เธอดูแลวัชรธรได้เต็มที่และให้สามารถทำงานจากบ้านได้ในบางวันที่ต้องไปโรงพยาบาล โดยตัวเขาจะจัดการประสานงานกับฝ่ายเอชอาร์ให้

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องงาน โรคนี้แพ้กำลังใจ มีอะไรที่ผมช่วยได้ขอให้บอกนะ จารวี”

 

หญิงสาวก้มศีรษะยกมือไหว้เจ้านายอย่างซาบซึ้งใจ

 

ลำดับถัดไปคือการบอกข่าวให้เพื่อนสนิททั้งสองรับรู้

 

 

จารวีรอให้เพื่อนกินข้าวกันอิ่มหนำเสียก่อน เพราะเกรงว่าหากแจ้งข่าวไปก่อนจะพาลหมดความอยากอาหารกันดื้อๆ โดยไม่รู้เลยว่าวันนี้พศิกาเองก็มีเรื่องอยากจะเล่าให้เพื่อนอีกสองคนฟังเช่นกัน เจ้าของร้านคาเฟ่สาวตักไอศกรีมรสมะม่วงที่เธอทำเป็นซีซันนอลเมนูมาทุกปี ออกมาให้เพื่อนทั้งสอง

 

“จา เอาข้าวเหนียวมูนด้วยไหม”

 

คนถูกถามส่ายหน้า ส่วนดารินชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว ไม่นานตรงหน้าดารินจึงเป็นถ้วยแก้วรูปผลมะม่วงมีไอศกรีมสีเหลืองนวลสองก้อนกับข้าวเหนียวมูนสีเขียวอ่อนและม่วงอ่อนราดกะทิสวยงาม อาจารย์สาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายภาพส่งหาใครอีกคนทางไลน์

 

“แหมม พอมีแฟน ส่งไลน์รัวๆเลยน้า”

 

พศิกาอดแซ็วเพื่อนรักไม่ได้ ยินดีที่เห็นเพื่อนดูมีชีวิตชีวาร่าเริงสดใส

 

ดารินทำไม่รู้ไม่ชี้ตักขนมตรงหน้าคำโตเข้าปาก ส่วนเพื่อนอีกคนค่อยๆละเลียดทีละน้อย วันนี้จารวีดูเหม่อชอบกล

 

“จา แกมีอะไรอยากบอกพวกเรารึเปล่า”

 

ดารินที่พูดน้อยแต่พูดตรงที่สุดชิงเอ่ยปากถามแม้จะไม่พูดออกมาก็ใช่ว่าเธอจะไม่สังเกตความผิดปกติของเพื่อน

จารวีวางช้อนลง ต่อให้เก็บอาการแค่ไหนก็ไม่เคยรอดพ้นสายตาของสองเพื่อนรักไปได้สักครั้ง

 

“หลิว ริน พี่ธรเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่สาม”

 

หญิงสาวที่เหลือสองคนนิ่งงัน จารวีน้ำตาเอ่อเมื่อพูดต่อ

 

“เรารู้ว่ามันมีโอกาสหายได้ เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้หมอเก่งแค่ไหน เรารู้ว่าใครก็เป็นแล้วหายกันเยอะแยะ เรารู้...แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าพอมาเป็นคนที่ใกล้ตัวเราแบบนี้ เราจะกลัวขนาดนี้ เราบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง มันทั้งกลัว สับสน คิดมาก กังวล เป็นห่วง เรา.....”

 

จารวีมองเพื่อนรักสองคนด้วยแววตาหวั่นไหวน้ำตารินไหลอาบแก้มนวล พศิกาตรงเข้ากอดเพื่อนเอาไว้แน่นพร้อมดาริน

 

“เรื่องแบบนี้ เป็นใครเกิดกับตัวเองก็ไปไม่เป็นทั้งนั้น พวกเราเข้าใจแกนะ จา”

 

อาจารย์สาวลูบหลังลูบไหล่เพื่อน

 

“ใช่ แกไม่ผิดที่จะรู้สึกอะไรทั้งหมดที่ว่ามา คนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา พวกเรายังช็อคขนาดนี้ แกจะรู้สึกมากแค่ไหน ไม่เป็นไรนะ มีอะไรพูดออกมาให้หมด เราสองคนอยู่ตรงนี้นะ”

 

พศิกากระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม หัวใจหน่วงหนักตามเพื่อนไปด้วย วัชรธรเปรียบเหมือนพี่ที่สนิทคนหนึ่งของพวกเธอเพราะคบหากับจารวีมานานและพวกเธอสามคนไม่เคยมีความลับต่อกัน รับรู้เรื่องราวของกันและกันมาตลอด

 

จารวีสูดหายใจเข้าลึกกับอกเพื่อน ตาแดง จมูกแดงไปหมด

 

“เราไม่ควรมานั่งร้องไห้แบบนี้ แต่มันไม่ไหวจริงๆ”

 

“ร้องเถอะ ร้องกับพวกเราให้หมด ร้องให้เต็มที่ ให้สบายใจ”

 

ดารินคว้ามือเพื่อนมากอบกุม บอกด้วยเสียงปลอบประโลม ทั้งสามกอดกันแน่นนานจนจารวีหายสะอื้น ใบหน้างามเหลือเพียงคราบน้ำตา

 

“มีอะไรที่เราสองคนช่วยได้ แกรู้ใช่ไหมว่าบอกพวกเราได้ตลอด”

 

พศิกาย้ำกับเพื่อนที่พยักหน้ารับ

 

“แล้วจะเริ่มรักษาเมื่อไหร่”

 

ดารินถาม

 

“ตั้งแต่เดือนหน้า พี่ธรขอเคลียร์งานให้เต็มที่ก่อน ฉายแสงแล้วก็เริ่มให้คีโมคอร์สแรกเลย”

“ถ้าวันไหน แกลางานไม่ได้ บอกเรา เราไปเป็นเพื่อนพี่ธรให้เอง”

 

“เราก็ไปได้ ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม เราไม่ได้มีสอนทุกวัน แกไม่ต้องห่วงนะ พี่ธรเหมือนพี่ของพวกเราคนนึง”

 

จารวีพยักหน้ารับอีกครั้ง น้ำตาซึมขึ้นมาอีกครั้ง

 

“เราเชื่อว่าพี่ธรจะต้องหาย มีแกอยู่ข้างๆ เขาจะไม่เป็นอะไร”

 

พศิกาเข้าโอบกอดเพื่อนอีกครั้ง

 

“ใช่ เราก็เชื่อแบบนั้น แล้วแกก็มีพวกเรา ไม่ต้องกลัวนะ จา พวกเราอยู่ตรงนี้ พวกเราจะผ่านมันไปด้วยกันเหมือนทุกๆเรื่องที่ผ่านมานะ”

 

ดารินย้ำกับจารวี เข้ากอดทั้งพศิกาและจารวีแน่นนาน ไร้คำพูดใดอีก ปล่อยให้อ้อมกอดได้พูดแทนความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจทั้งสามดวง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา