ใต้รัตติกาล
-
เขียนโดย LaVieRosy
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.32 น.
11 ตอน
1 วิจารณ์
4,944 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 15.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรือยนต์ขนาดกลางเคลื่อนตัวไปตามสายน้ำที่สะท้อนแสงแดดยามบ่ายระยิบระยับ ลมพัดไรผมข้างแก้มและต้นคอขาวนวลเนียนของนลินที่วันนี้มัดผมยาวสลวยเส้นเล็กขึ้นเป็นหางม้าง่ายๆ เชิ้ตสีขาวคอจีนที่บังเอิญเหมือนกับเขาแบบเรียบบานเป็นทรงเอออกยาวลงมาถึงช่วงสะโพกในกางเกงยีนส์เข้ารูป รองเท้าสลิปออนสีน้ำเงินเข้มสีเดียวกับกางเกงและสายนาฬิกาข้อมือ ตัดกับสีผิวขาวนวลของเธอ เจ้าตัวยืนถือพานที่มีห่อผ้าขาวบางกอดเอาไว้แนบอก ภาณุลอบมองภาพนั้นอย่างเพลินตา ‘น่ารัก’ นั่นคือนิยามที่เขาให้นลิน
ฉัตรสุดาผู้พี่สูงโปร่ง คมคาย ผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาและรูปร่างมาทางฝั่งบิดา ส่วนนลิน ขาวนวลเนียนมาจากทางมารดาที่มีเชื้อสายคนจีน อาจมองดูไม่โดดเด่นอะไรแต่ภาณุกลับรู้สึกว่าเด็กหญิงแก้มกลมตัวน้อยที่วิ่งตามเขาในอดีต บัดนี้ โตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่ละมุนละไมจับตาจับใจเขาเหลือเกิน
เมื่อเรือแล่นมาถึงบริเวณที่เป็นบ้านเก่าของนางจงกล ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็จอดลอยเพื่อทำพิธีลอยอังคารตามคำสั่งเสีย
‘อย่าเก็บย่าไว้ให้เป็นภาระ ลอยอังคารให้หมดที่บ้านเก่าย่านะ ที่นั่นคือที่ที่ย่ามีความสุข มีความทรงจำที่ดี’
นลินคุกเข่าลงนั่งบนพื้นเรือ กระซิบบอกลาผู้เป็นย่าครั้งสุดท้าย ก่อนปล่อยถุงผ้าขาวและเฝ้ามองมันลอยไปตามกระแสน้ำ ชีวิตมนุษย์ สุดท้ายแม้แต่เถ้าถ่านของตัวเราก็เอาไปด้วยไม่ได้ เหลือเพียงความทรงจำจารไว้ในหัวใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
*นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
คำกลอนที่คุ้นเคยดังขึ้นมาในใจหญิงสาว
“สุดท้ายคนเราทุกคนก็จะเหลือเป็นความทรงจำในใจคนอื่นเนอะ”
เสียงทุ้มนุ่มดังข้างๆ นลินหันไปพบภาณุที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับข้อความเดียวกันที่ผุดขึ้นในใจเธอ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บิดาและมารดาของเธอมีธุระจำเป็นต้องไปทำต่อ จึงกลับไปหลังจากพิธีเก็บกระดูกและเลี้ยงเพล ส่วนฉัตรสุดาต้องไปทำงานหลังจากลามาหลายวัน นลินจึงจัดการขั้นตอนสุดท้ายให้ทุกคนแทน ภาณุเลยขออาสามาด้วยเพื่อส่งนางจงกลกลับบ้านตามปรารถนา
“จริงค่ะ เหลือเท่านั้นจริงๆ”
*สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส:
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
เธอยิ้มกลับให้เขา
“ตอนที่เรายังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ เราก็ควรจะสร้างความทรงจำที่ดีไว้และเป็นความทรงจำที่ดีของคนอื่นด้วย”
นลินพูดและยิ้มกับเขาที่ยิ้มกลับมากว้างจนเธอคิดว่าตาเธอพร่า
“ไปนั่งที่ที่นั่งกันเถอะ นั่งคุกเข่านานๆ แบบนี้เดี๋ยวเจ็บ”
มืออบอุ่นนั้นจับตรงข้อศอกเธอ ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น คว้าเอาพานจากมือหญิงสาวมาถือเอาไว้เอง
“บัวอ้วน พี่ณุเลยกลัวบัวเข่าเสื่อมใช่ไหมคะ”
หญิงสาวเอียงคอยิ้มถามเขาเหมือนสมัยยามเป็นเด็กหญิงนลิน เธอคงไม่เจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเขาจะเป็นอีกคนที่มองรูปร่างของเธอเป็นเรื่องขบขัน แต่ชายหนุ่มกลับหน้าเครียดขึ้น สีหน้าเขาจริงจังตอนถาม
“ใครบอกบัวอ้วน โดนใครว่ามาอีกแล้วเหรอ”
ภาณุเคยเห็นเด็กหญิงนลินร้องไห้บ่อยครั้ง ทุกครั้งจะเป็นเรื่องเดิมและทุกครั้งที่เขาทั้งสงสารและเจ็บปวดไปกับเธอ
“บัวก็อ้วนจริง ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แขกที่มางานก็ทักกันทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง บัวไม่ร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆ แล้วค่ะ”
เธอยิ้มพูดกับเขาแต่ภาณุกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเลย
“พี่ไม่เห็นว่าบัวจะอ้วนตรงไหน น่ารักออก”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แววระยับในตาคมคู่นั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ แก้มร้อน จึงหลุบตาลงแสร้งหัวเราะ
“น่ารักออกไปหมดเลย ใช่ไหมล่ะคะ บัวรู้ทันน่า”
แต่ชายหนุ่มกลับตอบด้วยเสียงหนักแน่นและแววตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่หญิงสาวไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง
“น่ารักมาก จริงๆ นะ พี่หมายความแบบนั้นจริงๆ”
เป็นครั้งแรกที่นลินรู้สึกเก้อเขินทำตัวไม่ถูก เธอไม่ใช่เด็กและไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาแต่เธอไม่กล้าคิดไปไกลด้วยกำแพงบางอย่างที่อยู่ในใจ แต่ภาณุก็แก้สถานการณ์เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนั้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องชี้ชวนให้เธอมองดูบ้านเรือนและวัดวาอารามริมฝั่งแม่น้ำ พูดคุยเรื่องงานของเขาและงานของเธอ จนหญิงสาวกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งตลอดทางกลับมาที่วัด
นลินจอดรถเข้าเทียบรั้วบ้านที่มีดอกทองอุไรสีเหลืองสดใสบานสะพรั่งแน่นย้อยออกมาด้านนอก พิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามคำสั่งเสียของนางจงกลแล้ว เธอขับรถตามอาๆ เพื่อมาร่วมฟังการเปิดพินัยกรรม ภาณุขอตัวกลับไปก่อนเมื่อทราบว่าครอบครัวจะมีเรื่องสำคัญพูดคุยกันภายใน
นางจงกลเป็นข้าราชการครู ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบเก็บหอมรอมริบโดยเฉพาะการซื้อทองคำแท่งและที่ดิน ในพินัยกรรมระบุแบ่งเงินสดในบัญชีออมทรัพย์แก่ลูกชายทั้งสามเท่าๆ กัน ส่วนที่ดินและทองคำแท่งแบ่งให้หลานหกคนโดยเท่าเทียมกันเช่นกัน ส่วนบ้านหลังที่ทุกคนกำลังนั่งประชุมกันนี้ นางจงกลระบุมอบหมายให้นลินขายและนำรายได้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์บริจาคแก่มูลนิธิโรงพยาบาลรัฐห้าแห่ง นลินได้ที่ดินริมคลองแถวชานเมืองและทองคำแท่งจำนวนหนึ่ง หญิงสาวไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับทรัพย์สินที่ได้รับ ได้แต่คิดเรื่องงานสุดท้ายที่นางจงกลมอบหมายให้ทำ
หญิงสาวแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตในบริเวณคอมมิวนิตี้มอลแห่งหนึ่ง ระหว่างทางกลับคอนโดเพื่อซื้อของใช้ในบ้าน การได้เดินเข็นรถเข็นเดินดูของสดของใช้ไปตามชั้นสินค้าต่างๆ ถือเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งของนลิน หญิงสาวยืนเลือกกีวี่ผลขนาดพอดีมืออยู่ รู้สึกว่ามีคนมายืนข้างๆ ในบริเวณที่มีผลไม้จัดวางให้เลือกหลากหลายชนิด จึงไม่ได้รู้ตัวว่าคนที่มายืนข้างๆ นั้น กำลังมองเธอด้วยสายตาเช่นใด
“เลือกให้พี่บ้างได้ไหม พี่ก็ชอบกินกีวี่
ฉัตรสุดาผู้พี่สูงโปร่ง คมคาย ผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาและรูปร่างมาทางฝั่งบิดา ส่วนนลิน ขาวนวลเนียนมาจากทางมารดาที่มีเชื้อสายคนจีน อาจมองดูไม่โดดเด่นอะไรแต่ภาณุกลับรู้สึกว่าเด็กหญิงแก้มกลมตัวน้อยที่วิ่งตามเขาในอดีต บัดนี้ โตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่ละมุนละไมจับตาจับใจเขาเหลือเกิน
เมื่อเรือแล่นมาถึงบริเวณที่เป็นบ้านเก่าของนางจงกล ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็จอดลอยเพื่อทำพิธีลอยอังคารตามคำสั่งเสีย
‘อย่าเก็บย่าไว้ให้เป็นภาระ ลอยอังคารให้หมดที่บ้านเก่าย่านะ ที่นั่นคือที่ที่ย่ามีความสุข มีความทรงจำที่ดี’
นลินคุกเข่าลงนั่งบนพื้นเรือ กระซิบบอกลาผู้เป็นย่าครั้งสุดท้าย ก่อนปล่อยถุงผ้าขาวและเฝ้ามองมันลอยไปตามกระแสน้ำ ชีวิตมนุษย์ สุดท้ายแม้แต่เถ้าถ่านของตัวเราก็เอาไปด้วยไม่ได้ เหลือเพียงความทรงจำจารไว้ในหัวใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
*นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
คำกลอนที่คุ้นเคยดังขึ้นมาในใจหญิงสาว
“สุดท้ายคนเราทุกคนก็จะเหลือเป็นความทรงจำในใจคนอื่นเนอะ”
เสียงทุ้มนุ่มดังข้างๆ นลินหันไปพบภาณุที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับข้อความเดียวกันที่ผุดขึ้นในใจเธอ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บิดาและมารดาของเธอมีธุระจำเป็นต้องไปทำต่อ จึงกลับไปหลังจากพิธีเก็บกระดูกและเลี้ยงเพล ส่วนฉัตรสุดาต้องไปทำงานหลังจากลามาหลายวัน นลินจึงจัดการขั้นตอนสุดท้ายให้ทุกคนแทน ภาณุเลยขออาสามาด้วยเพื่อส่งนางจงกลกลับบ้านตามปรารถนา
“จริงค่ะ เหลือเท่านั้นจริงๆ”
*สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส:
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
เธอยิ้มกลับให้เขา
“ตอนที่เรายังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ เราก็ควรจะสร้างความทรงจำที่ดีไว้และเป็นความทรงจำที่ดีของคนอื่นด้วย”
นลินพูดและยิ้มกับเขาที่ยิ้มกลับมากว้างจนเธอคิดว่าตาเธอพร่า
“ไปนั่งที่ที่นั่งกันเถอะ นั่งคุกเข่านานๆ แบบนี้เดี๋ยวเจ็บ”
มืออบอุ่นนั้นจับตรงข้อศอกเธอ ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น คว้าเอาพานจากมือหญิงสาวมาถือเอาไว้เอง
“บัวอ้วน พี่ณุเลยกลัวบัวเข่าเสื่อมใช่ไหมคะ”
หญิงสาวเอียงคอยิ้มถามเขาเหมือนสมัยยามเป็นเด็กหญิงนลิน เธอคงไม่เจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเขาจะเป็นอีกคนที่มองรูปร่างของเธอเป็นเรื่องขบขัน แต่ชายหนุ่มกลับหน้าเครียดขึ้น สีหน้าเขาจริงจังตอนถาม
“ใครบอกบัวอ้วน โดนใครว่ามาอีกแล้วเหรอ”
ภาณุเคยเห็นเด็กหญิงนลินร้องไห้บ่อยครั้ง ทุกครั้งจะเป็นเรื่องเดิมและทุกครั้งที่เขาทั้งสงสารและเจ็บปวดไปกับเธอ
“บัวก็อ้วนจริง ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แขกที่มางานก็ทักกันทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง บัวไม่ร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆ แล้วค่ะ”
เธอยิ้มพูดกับเขาแต่ภาณุกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเลย
“พี่ไม่เห็นว่าบัวจะอ้วนตรงไหน น่ารักออก”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แววระยับในตาคมคู่นั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ แก้มร้อน จึงหลุบตาลงแสร้งหัวเราะ
“น่ารักออกไปหมดเลย ใช่ไหมล่ะคะ บัวรู้ทันน่า”
แต่ชายหนุ่มกลับตอบด้วยเสียงหนักแน่นและแววตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่หญิงสาวไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง
“น่ารักมาก จริงๆ นะ พี่หมายความแบบนั้นจริงๆ”
เป็นครั้งแรกที่นลินรู้สึกเก้อเขินทำตัวไม่ถูก เธอไม่ใช่เด็กและไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาแต่เธอไม่กล้าคิดไปไกลด้วยกำแพงบางอย่างที่อยู่ในใจ แต่ภาณุก็แก้สถานการณ์เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนั้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องชี้ชวนให้เธอมองดูบ้านเรือนและวัดวาอารามริมฝั่งแม่น้ำ พูดคุยเรื่องงานของเขาและงานของเธอ จนหญิงสาวกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งตลอดทางกลับมาที่วัด
นลินจอดรถเข้าเทียบรั้วบ้านที่มีดอกทองอุไรสีเหลืองสดใสบานสะพรั่งแน่นย้อยออกมาด้านนอก พิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามคำสั่งเสียของนางจงกลแล้ว เธอขับรถตามอาๆ เพื่อมาร่วมฟังการเปิดพินัยกรรม ภาณุขอตัวกลับไปก่อนเมื่อทราบว่าครอบครัวจะมีเรื่องสำคัญพูดคุยกันภายใน
นางจงกลเป็นข้าราชการครู ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบเก็บหอมรอมริบโดยเฉพาะการซื้อทองคำแท่งและที่ดิน ในพินัยกรรมระบุแบ่งเงินสดในบัญชีออมทรัพย์แก่ลูกชายทั้งสามเท่าๆ กัน ส่วนที่ดินและทองคำแท่งแบ่งให้หลานหกคนโดยเท่าเทียมกันเช่นกัน ส่วนบ้านหลังที่ทุกคนกำลังนั่งประชุมกันนี้ นางจงกลระบุมอบหมายให้นลินขายและนำรายได้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์บริจาคแก่มูลนิธิโรงพยาบาลรัฐห้าแห่ง นลินได้ที่ดินริมคลองแถวชานเมืองและทองคำแท่งจำนวนหนึ่ง หญิงสาวไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับทรัพย์สินที่ได้รับ ได้แต่คิดเรื่องงานสุดท้ายที่นางจงกลมอบหมายให้ทำ
หญิงสาวแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตในบริเวณคอมมิวนิตี้มอลแห่งหนึ่ง ระหว่างทางกลับคอนโดเพื่อซื้อของใช้ในบ้าน การได้เดินเข็นรถเข็นเดินดูของสดของใช้ไปตามชั้นสินค้าต่างๆ ถือเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งของนลิน หญิงสาวยืนเลือกกีวี่ผลขนาดพอดีมืออยู่ รู้สึกว่ามีคนมายืนข้างๆ ในบริเวณที่มีผลไม้จัดวางให้เลือกหลากหลายชนิด จึงไม่ได้รู้ตัวว่าคนที่มายืนข้างๆ นั้น กำลังมองเธอด้วยสายตาเช่นใด
“เลือกให้พี่บ้างได้ไหม พี่ก็ชอบกินกีวี่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ