ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
17.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) เป็นห่วง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ข้าผิดเองที่ไปเดินขวางทางคุณหนูผู้นั้น ได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพทราบนะเจ้าคะ” แม้ว่าการกระทำของคุณหนูหน้าสวยจะเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ก็ตามแต่ในฐานะสาวใช้อย่างจูผิงย่อมไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว จูผิงกลัวเหลือเกินว่าจะถูกไล่ออกจากจวนแล้วจะไม่มีที่ซุกหัวนอน
หลังจากได้ฟังเรื่องที่จูผิงเล่ามาหญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อย ‘ที่แท้ลู่หลิ่งก็เป็นคนใจคอโหดร้ายเช่นนี้นี่เอง!’
มือที่เปื้อนเลือดของจูผิงถูกเช็ดจนสะอาดเหลือเพียงรอยบาดแผล ตอนนี้รอเพียงยารักษาที่พ่อบ้านเฉินจะนำมาให้ในไม่ช้า หากได้ทายาแล้วบาดแผลของจูผิงคงจะดีขึ้น
“แม่นางเหม่ยหลินเจ้าคะ ท่านแม่ทัพรอพบด้านนอกเจ้าค่ะ” สาวใช้ประจำจวนสกุลหวางเดินเข้ามาบอก หญิงสาวขมวดคิ้วฉงนที่แม่ทัพหนุ่มมาหาทั้งที่เพิ่งกลับมาพร้อมกันไม่นาน
“ท่านแม่ทัพมีอะไรหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมโตมองเห็นร่างสูงยืนรออยู่นอกประตู
“พ่อบ้านเฉินบอกว่าเจ้าขอยาสำหรับสาวใช้ที่บาดเจ็บ” หวางชุนเทียนพูดพลางหลุบสายตาลงมองดูบาดแผลที่มือหญิงสาวเห็นเป็นรอยขีดสีแดง แต่นางกลับเป็นห่วงแผลของสาวใช้มากกว่า
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าต้องการยาทาบาดแผลให้แก่จูผิง” เหม่ยหลินมองเห็นสาวใช้ที่ติดตามหวางชุนเทียนมาด้วยยืนอยู่ด้านหลังพร้อมถือถาดไม้ที่มีกระปุกยาวางอยู่จึงเข้าใจว่านั่นคือยาสำหรับจูผิง
“ส่งยามาให้ข้าเถิด” ยื่นมือออกไปเพื่อขอรับถาดยาจากสาวใช้
“ไม่ต้อง” หญิงสาวชะงักกึกเมื่อหวางชุนเทียนพูดขัดขึ้นก่อน
“ให้บ่าวหญิงเป็นผู้เข้าไปทายาให้แก่นางผู้นั้น” เขาหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ทำงานตามที่สั่ง
“ส่วนเจ้าตามข้ามาทางนี้” ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างบาง มือหนาจับมือของหญิงสาวพาเดินออกจากบริเวณหน้าห้อง เพียงแค่ไม่กี่ก้าวทั้งสองก็มาถึงศาลาไม้หลังเล็กตั้งตระหง่านอยู่ภายในสวนที่อยู่ติดกับห้องของเหม่ยหลิน ครั้งนี้เหม่ยหลินเดินตามแม่ทัพไปอย่างว่าง่ายเสียจนหวางชุนเทียนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเจ้าเริ่มชินแล้วที่ต้องจับมือข้า” ชายหนุ่มมองด้วยสีหน้าอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่สะบัดมือออกเหมือนทุกครั้ง
“เอ้อ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้เลย” หญิงสาวพูดแก้เก้อ
ไม่ได้ ไม่ได้ ถูกเขาจับมือบ่อยเสียจนเคยชิน มันจะเกินไปแล้ว
หวางชุนเทียนอมยิ้มปล่อยมือตามที่หญิงสาวขอ แล้วหยิบขวดยาที่พกติดตัวมาด้วยวางไว้ที่โต๊ะกลมกลางศาลา
“เจ้าขอยาสำหรับสาวใช้ แต่เหตุใดไม่ขอยาสำหรับตัวเองบ้าง ไหนบอกข้าสิไปโดนอะไรบาดมือมา” หวางชุนเทียนชี้มือไปที่บาดแผลบนมือของเหม่ยหลินที่เพิ่งเกิดเพียงไม่นาน
“บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ จูผิงเจ็บหนักกว่าข้าอีก”
“จูผิง จูผิง จูผิง รู้สึกว่าเจ้าจะห่วงคนของเจ้ามากเสียจริงนะ” หวางชุนเทียนทวนชื่อสาวใช้คนใหม่ของเหม่ยหลิน อะไรๆก็นางผู้นั้น ช่างสำคัญนัก
“ก็ต้องห่วงสิเจ้าคะ นางช่วยข้าจนต้องรับโทษแล้วยังมาโดน....” เหม่ยหลินนึกขึ้นได้ว่าจูผิงขอไว้ด้วยไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เหตุการณ์ในวันนี้ดูยังไงก็มองออกว่าลู่หลิ่งกลั่นแกล้งกันชัดๆ หรือเป็นเพราะรู้ว่าจูผิงเป็นคนของใครจึงจงใจทำให้นางบาดเจ็บเพิ่ม
“โดน...โดนอะไรรึ”
“ก็โดนเศษขวดบาดมือน่ะสิเจ้าคะ ข้าช่วยหยิบเศษขวดออกจากมือนางก็เลยพลอยถูกบาดไปด้วย” ยอมตอบแบบเลี่ยงๆไป ทั้งที่ในใจคิดอยากจะแฉพฤติกรรมร้ายกาจของลู่หลิ่ง “แล้วยาขวดนี้ท่านนำมาให้ข้าใช่หรือไม่”
“ใช่ เดี๋ยวข้าจะทายาให้เจ้าเอง” เขาคว้ามือข้างที่บาดเจ็บของหญิงสาวดึงเข้ามามองใกล้ๆ เธอทำท่าจะดึงมือออกแต่มือหนาของชายหนุ่มกลับกระชับมือหญิงสาวแน่นขึ้นกว่าเดิม นิ้วมือของเขาสัมผัสบาดแผลโดยไม่ตั้งใจ จนเสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้น“โอ้ย!”
“ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ดูเจ้าสิห่วงแต่ผู้อื่นแต่กลับไม่ใส่ใจบาดแผลของตนเองบ้าง” ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงร้อง
“ข้าทายาเองได้ ปล่อยมือข้า” เหม่ยหลินย่นคิ้ว ทำหน้าไม่พอใจ
“เหม่ยหลินเจ้าอย่าดื้อกับข้า ในเมื่อเจ้ายังห่วงคนของเจ้า แล้วไม่คิดบ้างหรือว่าข้าก็ห่วงคนของข้าเช่นกัน” คำพูดของเขาล้วนแฝงไปด้วยความหมายโดยนัย มือหนาเอื้อมหยิบขวดยาและบอกให้เธออยู่นิ่งๆเพื่อทายาได้สะดวก
‘คนของข้า’ คนในจวนทุกคนก็ล้วนเป็นคนของเขาทั้งนั้น แต่ที่พูดเมื่อกี้จะหมายถึงเราคนเดียวหรือเปล่า? หญิงสาวมองหน้าคนที่กำลังทาแผลให้เธออย่างตั้งใจก็พลอยนึกถึงเรื่องความจำเป็นที่ต้องเข้าพิธีแต่งงาน ดวงหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้น ถึงแม้ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอนแต่การแต่งงานครั้งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
เพียงครู่เดียว กัวเสี่ยนหรงนายกองหนุ่มในชุดทหารสีเข้มเดินเข้ามาทางด้านหลัง เขามองเห็นแม่ทัพหวางที่ศาลากลางสวนจึงรีบเดินเข้าไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าแม่ทัพอยู่กับใครและทำสิ่งใด
“ท่านแม่ทัพ! มีเรื่องด่วน…อ้าว...ขออภัยขอรับ” ทำหน้าเก้อๆ เมื่อสายตาเหลือบเห็นว่าอยู่กับแม่นางเหม่ยหลินหญิงสาวที่มาอยู่ใหม่ ดูทั้งสองมีความใกล้ชิดกันพอสมควร ทั้งโดยปกติแล้วเวลานี้แม่ทัพหวางจะอยู่แต่ในห้องตำราจนกว่าจะถึงเวลาเย็นจึงจะออกไปฝึกซ้อมอาวุธพร้อมกับเหล่าทหาร กัวเสี่ยนหรงในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เคยเห็นแม่ทัพในภาพลักษณ์ที่เอาใจใส่หญิงใดเป็นพิเศษถึงเพียงนี้
“มีเรื่องอะไร” ตอบรับเสียงด้านหลังที่คุ้นเคยโดยที่ไม่ได้หันหน้ามอง
“มีข่าวจากสายสืบมารายงานขอรับ”
สิ่งที่กัวเสี่ยนหรงแจ้งเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว หวางชุนเทียนปิดขวดยาที่ทาให้แก่หญิงสาวจนแล้วเสร็จก่อนที่จะลุกขึ้นหันหลังกลับไปฟังสิ่งที่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน
“ได้ข่าวว่าแคว้นม่งอู๋ส่งขุนพลมือดีมาสืบข่าวลับๆในแคว้นตงเยว่ขอรับ”
“ขุนพลมือดี…แสดงว่าเริ่มระแคะระคายการเตรียมการของเราแล้วงั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
“ยังไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของคนผู้นี้ขอรับ ตอนนี้น่าจะแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
สถานที่และผู้คนในเมืองหลวงมีอยู่ตั้งมากมายยากที่จะค้นหาเจอ คนที่ถูกส่งตัวมาจากแคว้นม่งอู๋เองคงจะเป็นผู้มากฝีมือไม่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้หวางชุนเทียนคิดว่าไม่ควรรอฟังข่าวอยู่เพียงในจวน
เหม่ยหลินฟังสิ่งที่ทั้งสองพูดอย่างตื่นเต้น นี่มันเรื่องทางการทหารงั้นหรือ? มีสายลับ มีผู้แฝงตัว แล้วยังจะมีอะไรอีกล่ะ ดวงตากลมโตจ้องมองเขม็งจนสองหนุ่มหยุดสนทนาไปครู่หนึ่งหันมามองหน้าเหม่ยหลิน
“อ่ะ...ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ทางนี้ก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าไม่สมควรยืนฟังอยู่เช่นนี้ เธอหันหลังกำลังจะก้าวเดินให้พ้นจากตรงนี้หากพลันได้ยินเสียงเรียก “เดี๋ยวก่อน เหม่ยหลิน”
“เจ้าคะ?”
“ข้าจะไม่อยู่จวนสักสามสี่วัน เจ้าอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองด้วย” เขากล่าวคล้ายคำสั่งแต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใยก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมหัวหน้านายกองหนุ่มซึ่งบัดนี้กลายเป็นทหารผู้ติดตามหวางชุนเทียนแทนติงอี้เทาคนสนิทที่ลาโลกไปก่อน
ตรอกทางทิศเหนือของเมืองหลวงเป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุด ยิ่งในช่วงเวลาเย็นไปจนถึงพลบค่ำย่านนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนเดินพลุ่กพล่าน บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชารวมถึงร้านค้าทั้งน้อยใหญ่
โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในห้าของเมืองหลวงคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางที่มีลักษณะค่อนข้างหรูหราเป็นจึงเป็นที่สนใจของลูกค้าฐานะดีที่ต้องการอาหารและที่พัก ไม่เพียงเท่านั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงด้านรสชาติอาหารชั้นยอดจากพ่อครัวฝีมือเยี่ยม จึงไม่แปลกที่ในช่วงเวลาที่ห้องพักค้างคืนปราศจากแขกผู้เข้าพักแต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนมารับประทานอาหารตลอดทั้งวัน
ตอนนี้ห้องพักพิเศษจำนวนสองห้องของโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางก็มีแขกเข้าพักเป็นสองบุรุษนิรนามที่เดินทางมาจากต่างแคว้น ห้องพักที่ทั้งสองเข้าพักจะอยู่ห่างจากโถงด้านหน้า เป็นห้องที่กว้างขวางและเงียบสงบไม่มีเสียงดังจอแจของผู้คน แน่นอนว่าทั้งสองคนนี้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะจ่ายค่าที่พักและอาหารล่วงหน้าเป็นเดือน
เวลานี้ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องใดกันอยู่ในขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ชานด้านหน้าชั้นสองของโรงเตี๊ยม ด้วยตำแหน่งที่นั่งของทั้งสองอยู่ติดถนนทางเข้าซึ่งเหมาะแก่การสอดส่องผู้คนที่เดินไปมาอยู่บนถนนด้านล่าง
“ทหารในเมืองหลวงยังไม่มีการโยกย้าย อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้มีการส่งเครื่องบรรณาการไปยังแคว้นม่งอู๋ ดูแล้วสถานการณ์ยังถือว่าปกติขอรับ”
บุรุษที่รับฟังพยักหน้า “รอดูไปก่อน ถึงแม้ว่าแม่ทัพแห่งแคว้นตงเยว่ยังไม่มีทีท่ากระทำการสิ่งใด แต่เราจะประมาทมิได้เด็ดขาด” พูดจบก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ ในใจคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเพราะการเข้ามาสืบข่าวในครั้งนี้เพื่อต้องการทราบให้แน่ชัดก่อนว่าแคว้นตงเยว่มีความคิดที่จะแข็งข้อกับแคว้นม่งอู๋จริงหรือไม่ ด้วยการข่าวทางการทหารนั้นจะฟังเพียงข่าวลือที่บอกต่อกันมิได้ ดังนั้นเขาในฐานะขุนพลนักรบคนหนึ่งจะเป็นผู้พิสูจน์ความจริงข้อนี้เอง
ท่ามกลางผู้คนที่คลาคล่ำอยู่ถนน หวางชุนเทียนและกัวเสี่ยนหรงในชุดสามัญเดินปะปนกับผู้คนเพื่อไม่ให้เป็นที่จุดเด่น ทั้งสองสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่เข้าข่ายเป็นสายจากแคว้นม่งอู๋ แต่ด้วยผู้ที่เข้าเมืองหลวงในฐานะผู้ผ่านทางช่างมีมากมายดังนั้นจึงทำได้เพียงรอจับตาดูไปเรื่อยๆ ถึงตอนนี้สถานที่ที่จะตรวจสอบได้ง่ายที่สุดคือโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาในละแวกนี้
“วันนี้เราจะพักที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางกันดีไหมขอรับ” กัวเสี่ยนหรงออกความเห็น
“ก็ดี ว่าแต่เจ้าวางคนของเราไว้ทุกจุดแล้วใช่หรือไม่” แม่ทัพหนุ่มทวนซ้ำแผนการที่วางไว้
“ขอรับ ข้าได้แจ้งต่อทหารทุกนายแล้ว หากพบเบาะแสจะเข้ามารายงานทันที”
นายทหารหนุ่มเดินคุยกันจนมาถึงโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง ทั้งสองจึงพากันก้าวเข้าไปสอบถามหาที่พักกับซึ่งตอนนี้ดูเหมือนเสี่ยวเอ้อร์ที่มีอยู่สี่ห้าคนเดินไปมาขวักไขว่เพื่อยกอาหารไปบริการลูกค้าที่นั่งเต็มพื้นที่ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง จึงไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนใดว่างเข้ามาต้อนรับทั้งสอง
กัวเสี่ยนหรงตรงเข้าไปถามชายร่างท้วมที่ง่วนอยู่กับการคิดเงิน “เถ้าแก่ ข้าได้ยินมาว่าโรงเตี๊ยมของท่านมีห้องพักพิเศษ ข้ากับนายของข้าต้องการที่พักสองห้อง”
“ขออภัยขอรับนายท่าน ห้องพักพิเศษของเราเต็มหมดแล้วเพราะมีแขกจ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือนขอรับ”
“จ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือน? แขกผู้นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ดูเหมือนเป็นผู้มีวรยุทธหรือไม่”
“เห็นว่าเป็นพ่อค้าวาณิชทั่วๆไปที่มีฐานะดีเท่านั้นขอรับ แต่จะเป็นผู้มีวรยุทธหรือไม่ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจ”
กัวเสี่ยนหรงหันไปมองหน้าแม่ทัพหวาง ทั้งสองคิดอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
“เอาล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปพักโรงเตี๊ยมข้างๆนี้ก็ได้ ขอบคุณมากนะเถ้าแก่”
หลังจากได้ฟังเรื่องที่จูผิงเล่ามาหญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อย ‘ที่แท้ลู่หลิ่งก็เป็นคนใจคอโหดร้ายเช่นนี้นี่เอง!’
มือที่เปื้อนเลือดของจูผิงถูกเช็ดจนสะอาดเหลือเพียงรอยบาดแผล ตอนนี้รอเพียงยารักษาที่พ่อบ้านเฉินจะนำมาให้ในไม่ช้า หากได้ทายาแล้วบาดแผลของจูผิงคงจะดีขึ้น
“แม่นางเหม่ยหลินเจ้าคะ ท่านแม่ทัพรอพบด้านนอกเจ้าค่ะ” สาวใช้ประจำจวนสกุลหวางเดินเข้ามาบอก หญิงสาวขมวดคิ้วฉงนที่แม่ทัพหนุ่มมาหาทั้งที่เพิ่งกลับมาพร้อมกันไม่นาน
“ท่านแม่ทัพมีอะไรหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมโตมองเห็นร่างสูงยืนรออยู่นอกประตู
“พ่อบ้านเฉินบอกว่าเจ้าขอยาสำหรับสาวใช้ที่บาดเจ็บ” หวางชุนเทียนพูดพลางหลุบสายตาลงมองดูบาดแผลที่มือหญิงสาวเห็นเป็นรอยขีดสีแดง แต่นางกลับเป็นห่วงแผลของสาวใช้มากกว่า
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าต้องการยาทาบาดแผลให้แก่จูผิง” เหม่ยหลินมองเห็นสาวใช้ที่ติดตามหวางชุนเทียนมาด้วยยืนอยู่ด้านหลังพร้อมถือถาดไม้ที่มีกระปุกยาวางอยู่จึงเข้าใจว่านั่นคือยาสำหรับจูผิง
“ส่งยามาให้ข้าเถิด” ยื่นมือออกไปเพื่อขอรับถาดยาจากสาวใช้
“ไม่ต้อง” หญิงสาวชะงักกึกเมื่อหวางชุนเทียนพูดขัดขึ้นก่อน
“ให้บ่าวหญิงเป็นผู้เข้าไปทายาให้แก่นางผู้นั้น” เขาหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ทำงานตามที่สั่ง
“ส่วนเจ้าตามข้ามาทางนี้” ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างบาง มือหนาจับมือของหญิงสาวพาเดินออกจากบริเวณหน้าห้อง เพียงแค่ไม่กี่ก้าวทั้งสองก็มาถึงศาลาไม้หลังเล็กตั้งตระหง่านอยู่ภายในสวนที่อยู่ติดกับห้องของเหม่ยหลิน ครั้งนี้เหม่ยหลินเดินตามแม่ทัพไปอย่างว่าง่ายเสียจนหวางชุนเทียนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเจ้าเริ่มชินแล้วที่ต้องจับมือข้า” ชายหนุ่มมองด้วยสีหน้าอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่สะบัดมือออกเหมือนทุกครั้ง
“เอ้อ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้เลย” หญิงสาวพูดแก้เก้อ
ไม่ได้ ไม่ได้ ถูกเขาจับมือบ่อยเสียจนเคยชิน มันจะเกินไปแล้ว
หวางชุนเทียนอมยิ้มปล่อยมือตามที่หญิงสาวขอ แล้วหยิบขวดยาที่พกติดตัวมาด้วยวางไว้ที่โต๊ะกลมกลางศาลา
“เจ้าขอยาสำหรับสาวใช้ แต่เหตุใดไม่ขอยาสำหรับตัวเองบ้าง ไหนบอกข้าสิไปโดนอะไรบาดมือมา” หวางชุนเทียนชี้มือไปที่บาดแผลบนมือของเหม่ยหลินที่เพิ่งเกิดเพียงไม่นาน
“บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ จูผิงเจ็บหนักกว่าข้าอีก”
“จูผิง จูผิง จูผิง รู้สึกว่าเจ้าจะห่วงคนของเจ้ามากเสียจริงนะ” หวางชุนเทียนทวนชื่อสาวใช้คนใหม่ของเหม่ยหลิน อะไรๆก็นางผู้นั้น ช่างสำคัญนัก
“ก็ต้องห่วงสิเจ้าคะ นางช่วยข้าจนต้องรับโทษแล้วยังมาโดน....” เหม่ยหลินนึกขึ้นได้ว่าจูผิงขอไว้ด้วยไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เหตุการณ์ในวันนี้ดูยังไงก็มองออกว่าลู่หลิ่งกลั่นแกล้งกันชัดๆ หรือเป็นเพราะรู้ว่าจูผิงเป็นคนของใครจึงจงใจทำให้นางบาดเจ็บเพิ่ม
“โดน...โดนอะไรรึ”
“ก็โดนเศษขวดบาดมือน่ะสิเจ้าคะ ข้าช่วยหยิบเศษขวดออกจากมือนางก็เลยพลอยถูกบาดไปด้วย” ยอมตอบแบบเลี่ยงๆไป ทั้งที่ในใจคิดอยากจะแฉพฤติกรรมร้ายกาจของลู่หลิ่ง “แล้วยาขวดนี้ท่านนำมาให้ข้าใช่หรือไม่”
“ใช่ เดี๋ยวข้าจะทายาให้เจ้าเอง” เขาคว้ามือข้างที่บาดเจ็บของหญิงสาวดึงเข้ามามองใกล้ๆ เธอทำท่าจะดึงมือออกแต่มือหนาของชายหนุ่มกลับกระชับมือหญิงสาวแน่นขึ้นกว่าเดิม นิ้วมือของเขาสัมผัสบาดแผลโดยไม่ตั้งใจ จนเสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้น“โอ้ย!”
“ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ดูเจ้าสิห่วงแต่ผู้อื่นแต่กลับไม่ใส่ใจบาดแผลของตนเองบ้าง” ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงร้อง
“ข้าทายาเองได้ ปล่อยมือข้า” เหม่ยหลินย่นคิ้ว ทำหน้าไม่พอใจ
“เหม่ยหลินเจ้าอย่าดื้อกับข้า ในเมื่อเจ้ายังห่วงคนของเจ้า แล้วไม่คิดบ้างหรือว่าข้าก็ห่วงคนของข้าเช่นกัน” คำพูดของเขาล้วนแฝงไปด้วยความหมายโดยนัย มือหนาเอื้อมหยิบขวดยาและบอกให้เธออยู่นิ่งๆเพื่อทายาได้สะดวก
‘คนของข้า’ คนในจวนทุกคนก็ล้วนเป็นคนของเขาทั้งนั้น แต่ที่พูดเมื่อกี้จะหมายถึงเราคนเดียวหรือเปล่า? หญิงสาวมองหน้าคนที่กำลังทาแผลให้เธออย่างตั้งใจก็พลอยนึกถึงเรื่องความจำเป็นที่ต้องเข้าพิธีแต่งงาน ดวงหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้น ถึงแม้ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอนแต่การแต่งงานครั้งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
เพียงครู่เดียว กัวเสี่ยนหรงนายกองหนุ่มในชุดทหารสีเข้มเดินเข้ามาทางด้านหลัง เขามองเห็นแม่ทัพหวางที่ศาลากลางสวนจึงรีบเดินเข้าไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าแม่ทัพอยู่กับใครและทำสิ่งใด
“ท่านแม่ทัพ! มีเรื่องด่วน…อ้าว...ขออภัยขอรับ” ทำหน้าเก้อๆ เมื่อสายตาเหลือบเห็นว่าอยู่กับแม่นางเหม่ยหลินหญิงสาวที่มาอยู่ใหม่ ดูทั้งสองมีความใกล้ชิดกันพอสมควร ทั้งโดยปกติแล้วเวลานี้แม่ทัพหวางจะอยู่แต่ในห้องตำราจนกว่าจะถึงเวลาเย็นจึงจะออกไปฝึกซ้อมอาวุธพร้อมกับเหล่าทหาร กัวเสี่ยนหรงในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เคยเห็นแม่ทัพในภาพลักษณ์ที่เอาใจใส่หญิงใดเป็นพิเศษถึงเพียงนี้
“มีเรื่องอะไร” ตอบรับเสียงด้านหลังที่คุ้นเคยโดยที่ไม่ได้หันหน้ามอง
“มีข่าวจากสายสืบมารายงานขอรับ”
สิ่งที่กัวเสี่ยนหรงแจ้งเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว หวางชุนเทียนปิดขวดยาที่ทาให้แก่หญิงสาวจนแล้วเสร็จก่อนที่จะลุกขึ้นหันหลังกลับไปฟังสิ่งที่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน
“ได้ข่าวว่าแคว้นม่งอู๋ส่งขุนพลมือดีมาสืบข่าวลับๆในแคว้นตงเยว่ขอรับ”
“ขุนพลมือดี…แสดงว่าเริ่มระแคะระคายการเตรียมการของเราแล้วงั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
“ยังไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของคนผู้นี้ขอรับ ตอนนี้น่าจะแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
สถานที่และผู้คนในเมืองหลวงมีอยู่ตั้งมากมายยากที่จะค้นหาเจอ คนที่ถูกส่งตัวมาจากแคว้นม่งอู๋เองคงจะเป็นผู้มากฝีมือไม่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้หวางชุนเทียนคิดว่าไม่ควรรอฟังข่าวอยู่เพียงในจวน
เหม่ยหลินฟังสิ่งที่ทั้งสองพูดอย่างตื่นเต้น นี่มันเรื่องทางการทหารงั้นหรือ? มีสายลับ มีผู้แฝงตัว แล้วยังจะมีอะไรอีกล่ะ ดวงตากลมโตจ้องมองเขม็งจนสองหนุ่มหยุดสนทนาไปครู่หนึ่งหันมามองหน้าเหม่ยหลิน
“อ่ะ...ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ทางนี้ก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าไม่สมควรยืนฟังอยู่เช่นนี้ เธอหันหลังกำลังจะก้าวเดินให้พ้นจากตรงนี้หากพลันได้ยินเสียงเรียก “เดี๋ยวก่อน เหม่ยหลิน”
“เจ้าคะ?”
“ข้าจะไม่อยู่จวนสักสามสี่วัน เจ้าอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองด้วย” เขากล่าวคล้ายคำสั่งแต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใยก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมหัวหน้านายกองหนุ่มซึ่งบัดนี้กลายเป็นทหารผู้ติดตามหวางชุนเทียนแทนติงอี้เทาคนสนิทที่ลาโลกไปก่อน
ตรอกทางทิศเหนือของเมืองหลวงเป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุด ยิ่งในช่วงเวลาเย็นไปจนถึงพลบค่ำย่านนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนเดินพลุ่กพล่าน บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชารวมถึงร้านค้าทั้งน้อยใหญ่
โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในห้าของเมืองหลวงคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางที่มีลักษณะค่อนข้างหรูหราเป็นจึงเป็นที่สนใจของลูกค้าฐานะดีที่ต้องการอาหารและที่พัก ไม่เพียงเท่านั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงด้านรสชาติอาหารชั้นยอดจากพ่อครัวฝีมือเยี่ยม จึงไม่แปลกที่ในช่วงเวลาที่ห้องพักค้างคืนปราศจากแขกผู้เข้าพักแต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนมารับประทานอาหารตลอดทั้งวัน
ตอนนี้ห้องพักพิเศษจำนวนสองห้องของโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางก็มีแขกเข้าพักเป็นสองบุรุษนิรนามที่เดินทางมาจากต่างแคว้น ห้องพักที่ทั้งสองเข้าพักจะอยู่ห่างจากโถงด้านหน้า เป็นห้องที่กว้างขวางและเงียบสงบไม่มีเสียงดังจอแจของผู้คน แน่นอนว่าทั้งสองคนนี้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะจ่ายค่าที่พักและอาหารล่วงหน้าเป็นเดือน
เวลานี้ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องใดกันอยู่ในขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ชานด้านหน้าชั้นสองของโรงเตี๊ยม ด้วยตำแหน่งที่นั่งของทั้งสองอยู่ติดถนนทางเข้าซึ่งเหมาะแก่การสอดส่องผู้คนที่เดินไปมาอยู่บนถนนด้านล่าง
“ทหารในเมืองหลวงยังไม่มีการโยกย้าย อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้มีการส่งเครื่องบรรณาการไปยังแคว้นม่งอู๋ ดูแล้วสถานการณ์ยังถือว่าปกติขอรับ”
บุรุษที่รับฟังพยักหน้า “รอดูไปก่อน ถึงแม้ว่าแม่ทัพแห่งแคว้นตงเยว่ยังไม่มีทีท่ากระทำการสิ่งใด แต่เราจะประมาทมิได้เด็ดขาด” พูดจบก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ ในใจคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเพราะการเข้ามาสืบข่าวในครั้งนี้เพื่อต้องการทราบให้แน่ชัดก่อนว่าแคว้นตงเยว่มีความคิดที่จะแข็งข้อกับแคว้นม่งอู๋จริงหรือไม่ ด้วยการข่าวทางการทหารนั้นจะฟังเพียงข่าวลือที่บอกต่อกันมิได้ ดังนั้นเขาในฐานะขุนพลนักรบคนหนึ่งจะเป็นผู้พิสูจน์ความจริงข้อนี้เอง
ท่ามกลางผู้คนที่คลาคล่ำอยู่ถนน หวางชุนเทียนและกัวเสี่ยนหรงในชุดสามัญเดินปะปนกับผู้คนเพื่อไม่ให้เป็นที่จุดเด่น ทั้งสองสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่เข้าข่ายเป็นสายจากแคว้นม่งอู๋ แต่ด้วยผู้ที่เข้าเมืองหลวงในฐานะผู้ผ่านทางช่างมีมากมายดังนั้นจึงทำได้เพียงรอจับตาดูไปเรื่อยๆ ถึงตอนนี้สถานที่ที่จะตรวจสอบได้ง่ายที่สุดคือโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาในละแวกนี้
“วันนี้เราจะพักที่โรงเตี๊ยมเยี่ยนหยางกันดีไหมขอรับ” กัวเสี่ยนหรงออกความเห็น
“ก็ดี ว่าแต่เจ้าวางคนของเราไว้ทุกจุดแล้วใช่หรือไม่” แม่ทัพหนุ่มทวนซ้ำแผนการที่วางไว้
“ขอรับ ข้าได้แจ้งต่อทหารทุกนายแล้ว หากพบเบาะแสจะเข้ามารายงานทันที”
นายทหารหนุ่มเดินคุยกันจนมาถึงโรงเตี๊ยมเยี่ยนหยาง ทั้งสองจึงพากันก้าวเข้าไปสอบถามหาที่พักกับซึ่งตอนนี้ดูเหมือนเสี่ยวเอ้อร์ที่มีอยู่สี่ห้าคนเดินไปมาขวักไขว่เพื่อยกอาหารไปบริการลูกค้าที่นั่งเต็มพื้นที่ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง จึงไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนใดว่างเข้ามาต้อนรับทั้งสอง
กัวเสี่ยนหรงตรงเข้าไปถามชายร่างท้วมที่ง่วนอยู่กับการคิดเงิน “เถ้าแก่ ข้าได้ยินมาว่าโรงเตี๊ยมของท่านมีห้องพักพิเศษ ข้ากับนายของข้าต้องการที่พักสองห้อง”
“ขออภัยขอรับนายท่าน ห้องพักพิเศษของเราเต็มหมดแล้วเพราะมีแขกจ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือนขอรับ”
“จ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือน? แขกผู้นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ดูเหมือนเป็นผู้มีวรยุทธหรือไม่”
“เห็นว่าเป็นพ่อค้าวาณิชทั่วๆไปที่มีฐานะดีเท่านั้นขอรับ แต่จะเป็นผู้มีวรยุทธหรือไม่ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจ”
กัวเสี่ยนหรงหันไปมองหน้าแม่ทัพหวาง ทั้งสองคิดอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
“เอาล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปพักโรงเตี๊ยมข้างๆนี้ก็ได้ ขอบคุณมากนะเถ้าแก่”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ