เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) การผจญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คิมหันต์ไขกุญแจเข้าห้องอย่างเงียบเชียบตอนหกโมงเช้า เป็นเวลาเดียวกับที่ผมกำลังจะลงไปอาบน้ำพอดี เรายืนสบตากันครู่หนึ่งที่หน้าประตูก่อนที่ผมจะหันไปทางอื่น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดผมจึงไม่อยากมองเขาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดจะพลาดเลยสักครั้ง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ยื่นมือออกไปจับลูกบิดประตู คิมหันต์เองก็ทำด้วย ดังนั้นมือของเราจึงวางทับซ้อนกันราวกับบังเอิญ

“รอเราก่อน” เขาพูดด้วยเสียงที่ฟังดูงัวเงีย  “รอไปพร้อมกัน”

ทันใดนั้นอาการบ้านหมุนก็จู่โจมจนท้องไส้ตีลังกา ผมเผลอบีบลูกบิดแน่นมากเสียมันอาจแหลกคามือ ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำเสียงหรือความอบอุ่นจากฝ่ามือของคิมหันต์ที่ทำให้ร่างกายอ่อนระทวย

ความเงียบปกคลุมภายในห้อง ตกผลึกเป็นความอึดอัดน่ากระอักกระอ่วน

ผมชักมือกลับเมื่อได้สติ แม้จะอาลัยกับการจากลาฝ่ามือหนา แต่ผมก็ไม่ขอเสี่ยงให้ถูกจับได้ว่าร่างกายกำลังสั่นเทา

ผมกระแอมเพื่อกลบเกลื่อนก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ได้สิ แต่เร็ว ๆ หน่อยนะเดี๋ยวห้องน้ำเต็ม”

คิมหันต์ยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณ เขารีบไปหยิบข้าวของจำเป็นแล้วจากนั้นเราก็ลงไปข้างล่าง

หลังจากเสร็จธุระที่ห้องน้ำผมก็รีบกลับขึ้นห้องไปแต่งตัว ขณะเดินก็คิดไปต่าง ๆ นานาด้วยหัวใจหวาดหวั่น

ผมเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงยอมทำตามที่เขาขออย่างง่ายดายขนาดนี้

มันทำให้ผมเริ่มกลัวจริง ๆ แล้วว่าสักวันผมอาจสูญเสียการควบคุมทางความคิด หากคิมหันต์เอ่ยขอในสิ่งที่ยั่วยวนความปรารถนา ผมจึงได้แต่ภาวนาขอให้มีสติมากพอจะต่อต้านและพาตัวเองไปให้ไกลจากเขาเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

แต่แล้วในจังหวะที่คิมหันต์วิ่งเข้ามาจากด้านหลังพร้อมกับโอบไหล่ของผมเอาไว้ กำแพงความคิดและความมั่นใจทั้งหมดก็พังทลายลงไม่เป็นท่า ผมไม่เหลือกระทั่งความสามารถที่จะทำอย่างอื่นนอกจากจ้องมองอีกฝ่าย

“เป็นอะไรทำไมหน้าซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่า” เขาถาม

“ป...เปล่าไม่ได้เป็นอะไร แค่ง่วงนอนเฉย ๆ” ผมตอบตะกุกตะกัก รู้สึกเขินอายโดยไม่ตั้งใจ

“ถ้างั้นไปหาอะไรร้อน ๆ กินก่อนเข้าวัดกันดีไหม”

ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่หัวไหล่ซ้ายขณะที่เขาพูด ซึ่งมันทำให้สมองว่างเปล่าในทันที คิมหันต์ชะงักพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาแปลก ๆ

“แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไร” เขาถามอย่างเป็นห่วง “นายดูเหมือนคนกำลังจะเป็นลมเลย”

“อือ...คงงั้นมั้ง” ผมแถไปตามน้ำ “รีบไปหาอะไรกินเถอะ หิวจะแย่แล้ว”

โอ้ เยซู มารีอา ยอแซฟ ทำไมหัวใจของผมถึงได้สั่นขนาดนี้

และผมคงเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ที่หันไปมองเขา แต่ถ้าไม่ทำก็คงอดเห็นภาพที่งดงามจนหัวใจกระตุก ทั้งหยดน้ำสะท้อนแสงแพรวพราวที่เกาะตามโครงหน้าหล่อเหลา และนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นที่กำลังจ้องมา องค์ประกอบเหล่านั้นยิ่งทำให้ยากจะเชื่อว่าชายคนนี้ไม่ใช่เทพบุตร

ผมหลงคิมหันต์หัวปักหัวปำไปแล้วสินะ

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงสรุปได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากให้วุ่นวายใจ เพราะถึงอย่างไรผมก็ไม่มีทางทำอะไรได้เลย คิมหันต์จะเป็นเหมือนดังสนามแม่เหล็กโลก ส่วนผมคืออุกกาบาตเคว้งคว้างที่หลุดเข้าไปในรัศมีดึงดูด สุดท้ายก็จบลงด้วยการปะทะเข้ากับพื้นผิวและแหลกเป็นเสี่ยง ๆ

เราเรียนวิชาภาษาอังกฤษตอนสิบโมงเช้า โดยมีคุณพ่อฟิลิปชาวอิตาลีเป็นอาจารย์ผู้สอน ท่านเป็นหนึ่งในคุณพ่อที่สามารถพูดได้หลายภาษา ซึ่งเมื่อก่อนผมเคยหาเวลาว่างมาเรียนภาษาละตินเพื่อจะได้ร้องเพลงเกรกอเรียน ชานท์ประกอบพิธีมิสซาได้อย่างคล่องแคล่ว

อย่างไรก็ตามวันนี้คุณพ่อฟิลิปสั่งให้เราจับคู่เพื่อแปลบทความ โดยหลังจากสิ้นเสียงนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความชุลมุน สายตาผมเผลอมองหาปราการโดยอัตโนมัติ ก่อนจะนึกได้อย่างเจ็บปวดว่าเราไม่คุยกันแล้ว แต่อย่างน้อยการมีคิมหันต์ก็ช่วยเยียวยาและทำให้รู้สึกดีขึ้น ผมจึงหันไปหาบุคคลซึ่งกำลังนั่งเท้าคางอย่างใจลอย

“คู่กันไหมคิม” ผมเอ่ยชวน

ขณะที่คิมหันต์กำลังจะอ้าปากพูด จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นจากด้านหลัง

“คิมมึงคู่กับกูใช่ปะ”

ผมหันไปและเห็นว่าปราการกำลังยืนค้ำหัวเราอยู่ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าใช่เขาหรือเปล่าเพราะที่ผ่านมาเราแทบไม่เข้าใกล้กันเลย แต่เมื่อได้เห็นแววตาสีเข้มที่เคยอ่อนโยนจ้องมองมาอย่างเย็นชาจึงตระหนักว่าเป็นเขาจริง ๆ

ผมขมวดคิ้ว

“เอ่อ...รันชวนกูแล้ว” คิมหันต์อธิบาย เขาดูท่าทางสับสน

“อะไรของมึง ไหนเมื่อคืนมึงบอกถ้ามีงานคู่มึงกับกูจะทำด้วยกันไง ลืมไปแล้วเหรอว้ะ” ปราการโต้แย้ง

ซึ่งนั่นทำให้คิมหันต์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมมองเขาด้วยท่าทางของคนที่ไม่รู้เลยว่าไปตกลงอะไรแบบนี้ไว้ แต่ถึงแม้คิมหันต์จะดูลำบากใจ ผมก็แอบหวังว่าเขาจะตอบตกลงคำขอของผม

และแล้วปราการก็ได้ดับฝันนั้นด้วยการลากแขนข้างหนึ่งของคิมหันต์และพาไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้องเรียน ผมมองตามด้วยความรู้สึกอึ้งไม่น้อย ช่างเป็นการกระทำที่ล่วงเกินจริง ๆ

เมื่อพวกเขานั่งลงคิมหันต์จึงหาจังหวะส่งสายตามาเป็นเชิงขอโทษ ผมทำได้แค่ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะก้มหน้าเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวัง

ผ่านไปสักพักผมจึงได้ยินสำเนียงเหน่อแปลกหูดังขึ้นข้าง ๆ

“มีคู่หรือยัง” เสียงนั้นถาม

ผมเงยหน้าขึ้นและพบกับเด็กหนุ่มตัวเล็กผู้มีชื่อว่าตงเปียน เขาเป็นลูกครึ่งไทยจีนผู้มีผิวขาวและหน้าตาจิ้มลิ้มโดดเด่นกว่าใครทั้งหมดในห้องเรียน

ผมกะพริบตาปริบ ๆ ขณะจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง

“ว่าไง” เขาถามย้ำพลางขมวดคิ้ว “มีคู่หรือยัง”

ผมดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วและตอบกลับไป

“ยังเลย เอ่อ...ถ้างั้นเราคู่กันไหม”

ตงเปียนพยักหน้าตอบรับและยิ้มให้ จากนั้นเขาก็นั่งลงที่โต๊ะของคิมหันต์ด้วยความกระตือรือร้น

แต่ขณะนั่งเรียนอยู่ ผมกลับพบว่ามันช่างยากเหลือเกินที่จะเพ่งสมาธิอยู่กับงานแปลบทความ สมองเอาแต่นึกถึงภาพสีหน้าเย็นชาของปราการ และการที่เขาลากแขนคิมหันต์อย่างเสียมารยาทนั้นก็ทำให้ผมหงุดหงิดที่สุด

ผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจกันแน่นะ ผมคิดขณะคอยเหลือบมองไปทางปราการ ซึ่งกำลังคุยอยู่กับคิมหันต์

และถึงแม้จะอยากเอ่ยถามออกไปตรง ๆ  แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กลับมีบางอย่างยับยั้งเอาไว้ ผมคิดว่าอาจเป็นได้ทั้งความทะนงตนและศักดิ์ศรี คุณอาจประหลาดใจว่านักเรียนศาสนาอย่างผมบูชาสองสิ่งนี้มากกว่าเลือกจะรักษามิตรภาพเอาไว้

ดังนั้นทั้งหมดที่ผมทำก็คือเลือกที่จะนิ่งเฉย เสมือนไม่ใส่ใจทั้ง ๆ ที่ทรมานเจียนตาย เพราะในความรู้สึกคือผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขาต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายสำนึกที่ทำร้ายจิตใจของผม

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด!

“ไอ้รันมึงเหม่ออะไรเนี่ย” ตงเปียนถามพร้อมกับมองอย่างตำหนิ “มาช่วยกูหาคำศัพท์เดี๋ยวนี้เลย”

“เออ โทษที ๆ” ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำตัวเป็นสนใจกับงาน

จนกระทั่งถึงช่วงพักกลางวัน ปราการยังคงยึดคิมหันต์ไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อยให้มีโอกาสพูดหรือถามผมว่าต้องการไปนั่งด้วยกันไหม ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็พากันห้อมล้อมคิมหันต์ราวกับเป็นบอดี้การ์ดไปตลอดทาง ผมมองอย่างเซ็ง ๆ ขณะเดินตามหลังมากับตงเปียน

แม้แต่กับข้าวฝีมือป้าเรียมก็ไม่อร่อยเหมือนเคย ผมเคี่ยผักในจานไปมา ขณะนึกถึงความเป็นไปได้ว่าสักวันหนึ่งคิมหันต์คงไม่จำเป็นต้องมีผมคอยช่วยแนะนำอีกต่อไปแล้ว เพราะมีเพื่อนคนอื่นที่ทั้งเก่งและเท่กว่าพร้อมที่จะทำหน้าที่นั้นแทน

ส่วนผมมันก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่นพอจะดึงดูดความสนใจของใคร ๆ  แล้วจะมีเหตุผลพิเศษอันใดที่คิมหันต์อยากจะสนิทสนมกับผมต่อไปหากเขาต้องการเป็นขวัญใจมหาชน ไม่มีเลย ซึ่งมันทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดราวกับมีเข็มทิ่มแทงหัวใจ

ยกเว้นแต่ว่าเขาต้องการสิ่งอื่นที่มีค่ามากกว่านั้น อย่างเช่นบ้านของหัวใจที่เป็นสุขไปชั่วนิรันดร์ หรือบางสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณอิ่มเอมไม่รู้จบ ซึ่งถ้าหากใช่มันก็ง่ายมาก และเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนให้เหนื่อยเลย เพราะผมพร้อมจะมอบมันให้แก่คิมหันต์เสมอไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เพียงแค่อย่าปล่อยผมนั่งมองอยู่ห่าง ๆ จากตรงนี้ก็พอ

ผมเผลอยิ้มที่มุมปาก

น่าตลกชะมัดที่เมื่อเช้าผมยังเปี่ยมไปด้วยความสุขจากสัมผัสของคิมหันต์ จากน้ำเสียงของเขาและความอบอุ่นที่แผ่มาจากฝามือหนา ทว่าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถัดมาผมกลับเศร้าหมองและดูเหี่ยวเฉาราวกับดอกไม้ขาดแสง บ้าจริง ๆ

“ไม่หิวเหรอ” ตงเปียนถามด้วยเสียงเหน่อ ๆ ตามแบบฉบับของเขา ดวงตาตี่คู่นั้นจ้องมองมาที่ผม

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ  แต่เมื่อรู้สึกว่าออกจะห้วนไปหน่อยจึงรีบเสริมว่า “กูไม่ชอบกินผัดผัก”

แล้วตงเปียนก็มองผมด้วยสายตาจับผิด ราวกับว่าพยายามอ่านความคิดของผมอยู่

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า กูเห็นมึงเหม่อ ๆ ตั้งแต่ตอนเรียนวิชาอังกฤษแล้วนะ” เขาถามจี้ต่อ

ผมเกือบเผลออ้าปาก รู้สึกตกใจที่ตัวเองแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ก่อนจะคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อปรับร่างกายและความคิด

“เห้ยไม่มีอะไรหรอกมึง กูสบายดี” ผมโกหกหน้าตาย “ก็แค่ง่วงนอนอะ เมื่อคืนกูอ่านหนังสือจนดึกเลย”

ผมรู้ว่าตงเปียนไม่เชื่อ สังเกตได้จากแววตาที่แสดงความคลางแคลงใจ หากแต่เขาก็ไม่ถามซักไซ้ต่อ

หลังจากทานข้าวเสร็จเราสองคนก็แยกย้ายกัน ผมมองนาฬิกาข้อมือและพบว่ายังมีเวลาเหลืออีกสามสิบนาทีก่อนจะเริ่มเรียนวิชาถัดไป ดังนั้นจึงตัดสินใจไปที่วัดน้อยเพื่อสวดภาวนา มันเป็นสถานที่ที่ผมไปเยือนเสมอเวลามีเรื่องไม่สบายใจ

ปกติตอนพักเที่ยงที่นี่จะไม่ค่อยมีผู้คน ส่วนใหญ่ต่างใช้เวลาสนุกสนานกันที่สนามกีฬาและสวนหย่อม แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ค่อยปกตินักเพราะมีนักเรียนค่อนข้างมากทีเดียว บางคนก็นั่งนิ่ง ๆ  บ้างก็สวดสายประคำ ผมมองบรรยากาศเงียบสงบตรงหน้าก่อนจะเลือกที่นั่งว่างเปล่าทางฝั่งซ้าย คุกเข่าลงและสูดหายใจเข้าลึก

“เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน”

ผมเอ่ยเบา ๆ พร้อมกับทำสำคัญมหากางเขนอย่างสำรวม ผิดกับสายตาที่เพ่งมองไปยังตู้ศีลในแบบที่แม้แต่ลูซิเฟอร์ก็ยังไม่บังอาจ ก่อนจะเปิดบทสนทนากับพระบิดาในหัวข้อที่แม้แต่พวกคุณพ่อก็จะไม่มีวันได้ยิน

ดูเหมือนทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติในตอนบ่าย คิมหันต์กลับมานั่งที่เดิม เราได้คุยกันนิดหน่อยก่อนที่คุณพ่อจะเดินเข้ามาในห้องและสั่งให้เราเปิดหนังสือเรียน

หากแต่บ่ายวันนี้อากาศสุดแสนจะอบอ้าว พัดลมเพดานถูกปรับระดับความเร็วขั้นสูงสุด มันจึงหมุนเร็วจี๋เหมือนกังหันลมบ้าคลั่ง พวกเราหลายคนคลายเนกไทและปลดกระดุมเม็ดบนสุดออก ต่างพากันนั่งเรียนวิชาที่เหลือเท่าที่ความกระตือรือร้นจะเอื้ออำนวย

แต่ถึงจะร้อนทว่าเปลือกตาของผมกลับหนักอึ้งแทบจะปิด ผมมองคุณพ่อเขียนตัวหนังสือหวัด ๆ บนกระดานดำด้วยสายตาที่เบลอสะลึมสะลือ เช่นเดียวกับเสียงต่าง ๆ ที่ลอยเข้าหูนั้นเหมือนดังแว่วมาไกล ๆ จากสรวงสวรรค์

ตอนแรกผมคิดว่าฝันไป จึงไม่ได้เอาใจใส่สัมผัสนุ่มนวลบนหลังเท้าขวา จากนั้นไม่นานก็รู้สึกถึงแรงเสียดสีคลอเคลียแผ่วเบาตรงบริเวณหัวเข่า ผมจึงเบิกตาโตทันที และแม้ว่าจะสวมกางเกงสแล็คเนื้อหนา แต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแกร่งของคนข้าง ๆ

“นั่งดี ๆ สิ เดี๋ยวก็โดนคุณพ่อดุเอาหรอก” คิมหันต์กระซิบบอกโดยไม่หันมามอง

แล้วจากนั้นเขาก็ใช้เท้าซ้ายตบลงบนเท้าขวาของผมเบา ๆ

พระเจ้า! ผมแน่ใจว่ายังมีวิธีอื่นอีกมากมายที่สามารถใช้ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาเรียน ผมไม่ได้บอกพระองค์ไปเมื่อตอนเที่ยงหรอกหรือว่าให้ช่วยปกป้องจากการผจญ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ซาตานเล่นงานความรู้สึกของผมเช่นนี้

ช่วงจังหวะหนึ่งผมหันไปมองคิมหันต์ด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วจึงเริ่มคิดในใจอย่างบ้าคลั่ง

นายมันก็แค่รูมเมทคนหนึ่ง ฉันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น มันเป็นความผิดของนายที่เกิดมาดูดีจนทำให้ฉันอิจฉา แถมยังมาปรากฏตัวในความฝันตามหลอกหลอนเหมือนผี ฉันจะขอเกลียดขี้หน้านายและอย่ามาสัมผัสตัวฉันอีก!

มันอาจเป็นไปได้ที่ผมจะปั้นใจเกลียดเขา ผมคงทำได้หากบังคับใจให้เด็ดเดี่ยว เหมือนพวกนักมวยที่พยายามปั้นอารมณ์ขึงขังเพื่อที่จะตะบันหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว และแน่นอนผมคงประสบความสำเร็จ ถ้าไม่บังเอิญว่าคิมหันต์กำลังเลื่อนข้อศอกสีเข้มเข้ามาอย่างแยบยลเหมือนหมาป่า ก่อนจะกระทุ้งเบา ๆ ที่แขนซ้ายของผมราวกับกำลังขย่ำลูกแกะด้วยความเมตตา

“ยังอีก ก็บอกว่าให้นั่งดี ๆ ไง” เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้หันมามองด้วยสายตาดุ ๆ

“อือ” ผมตอบ จ้องมองข้อศอกของเราที่ยังคงแนบชิดกันอยู่ความอารมณ์วูบหวิวที่แล่นไปทั่วร่างกายและในช่องท้อง

แล้วก่อนที่ซาตานจะคิดวางแผนอื่นได้ทัน ผมก็ลุกพรวดขึ้นและขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ โดยพยายามเดินหลบเลี่ยงเพื่อไม่ให้ใคร ๆ สังเกตเห็นความผิดปกติที่เป้ากางเกง

การผจญมาพร้อมกับความทรมานทั้งทางกายและจิตใจ แน่นอนว่าผมเคยถูกผจญนับครั้งไม่ถ้วน มันรู้สึกแย่มากและเป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในโลกนี้

ทำไมคนเราต้องผ่านเรื่องยุ่งยากลำบากใจในเมื่อสุดท้ายพระองค์ก็จะทรงชุบชูเราหลังออกมาจากตู้แก้บาป หรือไม่ก็ขจัดมันไปโดยแค่ตรัสเพียงพระวาจาเดียว

เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผมบังเอิญได้ยินเพื่อน ๆ คุยกันเรื่องผู้หญิง ความแปลกแยกทำให้ผมหายใจไม่ออกราวกับน้ำท่วมปอด คงเป็นเพราะผมไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรกับความปรารถนาเกินควบคุมที่จะเอื่อมมือไปสัมผัสขาอ่อนของผู้หญิง ริมฝีปากหรือยอดทรวงอก

ในบรรดาเพื่อนผู้หญิงอันน้อยนิดของผม ธิดาเป็นเด็กสาวหน้าตาสวยที่สุด เธอไว้ผมยาวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายลูกไม้สบายตา ผิวขาวเนียนของเธอทำให้ผมนึกถึงแผ่นศีล ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสุกใสมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวานที่ทำให้ความโศกเศร้ากลายเป็นความยินดี ธิดามีทุกอย่างที่ชายหนุ่มทั้งหลายถวิลหา เธอคือสมบัติล้ำค่าของชายชาตรีผู้มีใจสุภาพ

ขณะที่ผมนึกถึงทุกกระเบียดนิ้วบนตัวธิดา พยายามค้นหาจุดที่อาจกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกวูบหวิวอย่างเปิดใจ ทว่าผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความชื่นชม เพราะพระเจ้าทรงทุ่มเทเวลาสร้างเธอมาอย่างประณีตงดงาม

ธิดาทำให้ผมอยากละทิ้งทุกสิ่งเพื่อไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ เธอทำให้ผมอยากมีกลิ่นกายหอมละมุนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือสีชมพูเรียวบางคู่นั้น ผมอยากมีมือแบบเธอ ผมอยากเข้าใจว่าจะเกิดความรู้สึกอย่างไรหากใช้มันลูบคลึงส่วนนั้น

เหนือสิ่งอื่นใดผมอยากขอโอกาสเพียงหนึ่งวันที่จะได้ใช้เวลาสองต่อสองกับธิดามากกว่านี้ เพื่อที่ผมจะได้พิสูจน์ความเป็นชายอย่างห้าวหาญโดยการมอบสัมพันธ์สวาทเร่าร้อนและจุมพิษหนักหน่วงจนเธออ่อนระทวย หรืออย่างน้อยก็ให้เวลาผมหนึ่งนาทีลองบอกรักเธอและคอยดูว่าผมจะรู้สึกอย่างไร

แต่ขณะเดียวกันมันช่างแตกต่างเมื่อเป็นคิมหันต์ ผมสามารถเกิดความต้องการอย่างรุนแรงเพียงแค่มองเส้นเลือดปูดโปนเหมือนรากไม้ที่แขนของเขา รู้สึกเสียวช่องท้อง ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่อเขาหันมาสบตา บางทีผมอาจสำเร็จความใคร่ได้ง่าย ๆ เพียงแค่คิมหันต์สัมผัสร่างกายของผมโดยบังเอิญ

ผมหลงใหลกล้ามแขน หัวไหล่หนากับความเป็นชายของเขาในทุก ๆ ส่วน

และใช่ ผมคงตายได้ในทันทีหากภาพแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูห้องคือร่างเปลือยเปล่ากำยำของเขานอนแผ่หลาบนเตียงนอนริมหน้าต่าง

ภาพและจินตนาการนี้มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มันช่วยให้ผมปลดปล่อยออกมาในที่สุด ร่างของผมเกร็งกระตุกและเบาหวิว เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปาก ผมถอนหายใจหนักหน่วง หลับตาลง ทั้งรู้สึกดีและแย่มากในเวลาเดียวกัน

ภารกิจน่าอายจบลงอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่ความคิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

หลังออกจากห้องน้ำแทนที่จะรีบกลับขึ้นห้องเรียน ทว่าผมกลับพาตัวเองไปยังห้องทำงานของคุณพ่อกำนันซึ่งวันนี้รับหน้าที่เป็นผู้ฟังบาป แม้คุณพ่อจะดูประหลาดใจที่เห็นผมโผล่ไปแต่ก็ยินดีที่จะปฏิบัติหน้าที่เมื่อผมเอ่ยขออย่างนอบน้อม

เมื่อคุณพ่อนั่งลงและหันหน้าไปอีกฝั่ง ผมจึงคุกเข่าลง ทำสำคัญมหากางเขนและเริ่มต้นบอกบาป ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีข้อไหนพาดพิงถึงคิมหันต์หรือความต้องการอันบิดเบี้ยวของผมเลย ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่ทำแบบนั้น แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกดำมืดของหัวใจ

ถ้าเช่นนั้นแล้วผมจะได้รับการอภัยจากพระเจ้าไหม เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก หรือบางทีมันอาจไม่สำคัญเลยก็ได้เพราะที่ผมมาสารภาพบาปก็อาจทำไปเพราะความเคยชินที่ถูกปลูกฝังมานาน ก็แค่กระบวนการที่ช่วยทำให้รู้สึกขึ้น

อย่างไรเสียผมรู้ดีว่ามันจะไม่จบลงง่าย ๆ  ซาตานเจ้าเล่ห์และผมก็เพทุบายไม่แพ้กัน ถึงมันกำลังรอดักตะครุบอยู่ที่หน้าประตูเมื่อก้าวออกจากห้องนี้ ทว่าผมกลับไม่เดือดร้อนและปล่อยให้มันเป็นเงาตามตัว เพราะสุดท้ายมันก็เอาชนะผมได้เสมอเมื่อเป็นเรื่องนี้ และทุกอย่างก็จะกลับสู่วังวนอันน่าอนาถเดิม ๆ ที่ไร้จุดสิ้นสุด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา