เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.19K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) ข่าวร้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคืนนั้นขณะผมเตรียมจะเข้านอน คิมหันต์โทรกลับมาหาผมในช่วงเวลาพักเบรก ผมทั้งแปลกใจและดีใจที่ได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งภายในหนึ่งวัน ผมย้ายไปนั่งคุยที่หน้าต่างเช่นเคย เอาผ้าห่มคลุมตัวเหมือนดักแด้ สายตาทอดมองพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนทะเลดวงดาว
“คิดถึงจัง” เขาพูดเสียงหวาน
“อะไรกัน ก็เพิ่งคุยกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง” ผมบอก หัวใจพองโตยิ่งกว่าดวงจันทร์เสียอีก
“ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ถ้าทำได้เราอยากคุยกับรันแบบนี้ทั้งวันเลยรู้ไหม”
ผมยิ้มแก้มแทบปริ
“ก็ดีอยู่นะ แต่พวกเราคงหาเงินมาจ่ายค่าโทรศัพท์ไม่ไหวหรอก”
“นั่นก็จริง”
แล้วคิมหันต์ก็พูดภาษาอิตาลีกับใครบางคนแถวนั้นเป็นประโยคยืดยาว
“มาคุยแบบนี้หัวหน้าไม่ว่าอะไรเหรอ” ผมถามหลังจากเขาพูดจบ
“ไม่ อันที่จริงเธออยากให้พวกเราได้คุยกัน” เขาตอบ
“ว้าว โรมิลดาคงเป็นคนใจดีจริง ๆ สินะ”
“ใช่ เธอใจดีมาก ดีที่สุดในอิตาลีเลยมั้ง”
“ชักอยากจะเจอเธอแล้วสิ” ผมอมยิ้ม
“ถ้านายมานี่เดี๋ยวจะพาเธอมาให้รู้จัก”
“แน่นอน ถ้านายไม่พาเธอมาละก็มีเรื่องแน่”
เราพากันหัวเราะ แล้วคิมหันต์ก็ชวนคุยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของผม ผมจึงเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ ว่าเป็นอยู่อย่างไร ทำงานอะไร ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน จากนั้นก็เล่าให้เขาฟังว่าเพิ่งไปงานบวชของชลเทพมาเมื่อวันก่อน
“ไอ้ชลบวชเป็นบาทหลวง พูดจริงเหรอเนี่ย!”
“จริงสิ เหลือเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ” ผมบอก “แต่ก็นะ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อีกอย่างมันดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”
“เราคงพลาดอะไรไปหลายอย่างเลยสินะตอนที่เงียบหายไป”
“ก็ใช่ นายพลาดมางานแต่งของไอ้ตงด้วยล่ะ”
คิมหันต์ถอนหายใจ
“แย่จัง มันคงโกรธเรามากเลยสิ”
“ก็แค่งอนนิดหน่อย อันที่จริงมันคิดถึงนายมากกว่า” ผมกระชับผ้าห่ม “ถ้าว่างก็ลองโทรไปหาเพื่อน ๆ บ้างสิ พวกมันคงดีใจมากแน่ ๆ”
เขาขอเบอร์ของพวกนั้น และบอกว่าจะหาโอกาสติดต่อไปวันหลัง ผมยิ้มกว้างอยู่หลังโทรศัพท์ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่น
“คิม นายไม่อยากกลับมาไทยเหรอ”
“อยากสิ แต่กลับไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน บ้านก็ไม่มี เราไม่เหลืออะไรที่นั่นแล้ว”
“ลืมอะไรไปหรือเปล่า นายยังมีเราอยู่นะคิมหันต์ มาอยู่ด้วยกันก็ได้”
“ขอบใจมากนะรัน แต่ขอเวลาเราจัดการปัญหาทางนี้ให้เรียบร้อยก่อน”
“ยังมีอะไรค้างคาอีกอย่างนั้นเหรอ” ผมไม่อาจเก็บซ่อนความผิดหวังในน้ำเสียง ผมอยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันใจแทบขาด
เขาอ้ำอึ้งเหมือนกำลังลังเล ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“เรื่องระหว่างเรากับโรมิลดาน่ะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเหรอ”
“คือมันค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่ตอนนี้เธอช่วยเล่นละครตบตาพ่อว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ว่าไงนะ ต้องทำถึงขั้นนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ ถ้าไม่อย่างนั้นพ่อก็ไม่เชื่อว่าเราหายดีแล้ว และคงถูกส่งกลับไปที่นั่นอีก”
“ที่โรงพยาบาลนั่นเหรอ”
“อืม” คิมหันต์ถอนหายใจ “นายคงไม่โกรธใช่ไหมที่เราทำแบบนี้”
ผมนิ่งเงียบไปหลายวินาที
“จะโกรธได้ยังไง นายทำเพราะจำเป็น เราดีใจเสียอีกที่นายบอก ขอบใจนะ”
อย่างไรก็ตาม ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อของคิมหันต์จะกล้าทำกับลูกได้ลงคอ ครั้งหนึ่งผมเคยคุยโทรศัพท์กับท่าน น้ำเสียงและการพูดคุยก็ดูเหมือนจะเป็นคนมีเมตตา ไม่คิดเลยว่าจะน่ากลัวและใจร้ายได้ขนาดนี้
แล้วเราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่เบาใจกว่า อย่างเช่นสิ่งที่พวกเราทำในเวลาว่าง ผมบอกเขาว่ากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไร ส่วนเขาก็เล่าให้ฟังกำลังฝึกวาดภาพสีน้ำด้วยเทคนิคต่าง ๆ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ เราบอกรักกันและรักอีกครั้ง ผมแนบหูกับโทรศัพท์เพื่อรอฟังเสียงวางสาย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้คุยกับเขา เสียงทุ้มของคิมหันต์เปรียบเสมือนน้ำทิพย์หยดจากสวรรค์ ชโลมจิตใจอันเหี่ยวเฉาของผมให้กลับมามีชีวิตชีวา และถึงแม้ว่าจะโหยหาสักเพียงใด ผมก็ต้องอดใจรอให้เขาเลิกงานซึ่งก็เป็นเวลากลางคืนในประเทศไทย
แม้ว่านี่จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้กลับมาบ้าน ทว่าการมาเยือนครั้งนี้มอบความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมเก็บความรู้สึกเหล่านั้นมาพิจารณา ขณะนั่งมองไอพ่นเครื่องบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าอยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน มาลีกับอนุชาก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาไม่มีอะไรทำจึงตามผมออกมานั่งเล่นด้วยกัน
“รู้ไหมว่าโลกของเราไม่มีแรงโน้มถ่วงนะ ที่เราไม่ลอยขึ้นไปบนฟ้าก็เพราะว่าความบิดโค้งของอวกาศยึดเราเอาไว้” แม้อนุชาจะพูดลอย ๆ ขณะกำลังเล่นโทรศัพท์ แต่มันก็ดันเรียกความสนใจให้ผมหันมา
“หนูรู้แล้วค่ะ พี่บอกตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว” มาลีตอบหน้าตาย
“เหรอ จำไม่ได้เลยแฮะ”
หญิงสาวเท้าคางกับโต๊ะ
“พี่ฉลาดนะ แต่พี่กำลังจะสมองเสื่อมเพราะรู้มากเกินไป เพราะฉะนั้นก็พักบ้างอะไรบ้าง”
อนุชาหัวเราะชอบใจที่ถูกเหน็บแนม มาลีส่ายหัวก่อนจะมองไปยังสวนส้มซึ่งอยู่อีกฟากของรั้วบ้าน
นอกจากอนุชาจะเป็นคนฉลาดเฉลียว เขาก็ยังเป็นคนชอบกวนประสาทใช้ได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี ผิวสองสีเข้ากันกับทรงผมรองทรง ถึงจะมีนิสัยแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่เท่าที่ได้ยินมาอนุชาก็เข้าตาใครหลายคน จนมีทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ตามจีบไม่หวาดไม่ไหว
ส่วนมาลีเป็นเด็กสาวมารยาทดีเช่นเดียวกับหน้าตา เธอตัดผมสั้นเพียงบ่าและชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสไตล์เรียบ ๆ ผิวพรรณขาวผ่องใสยิ่งทำให้เธอดูเป็นลูกคุณหนู แม้ว่ามาลีจะไม่ค่อยสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แต่เธอกลับมีแฟนก่อนหน้าอนุชาไปเกือบสองปี
“มีอะไรเหรอคะพี่รัน” เธอถามเมื่อรู้สึกตัวว่าผมกำลังมอง
“เปล่า ๆ แค่เหม่อเท่านั้นเอง” ผมตอบ จากนั้นก็เม้มปาก ก่อนจะพูดออกไปใหม่อีกครั้ง “อันที่จริงพี่กำลังคิดถึงแฟนอยู่น่ะ”
อนุชาเกือบลื่นตกจากที่นั่ง ส่วนมาลีก็ทำตาโตจนแทบจะถลน ทั้งสองสบตากันก่อนจะหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้ผมเริ่มสำนึกผิดที่พูดออกไป
“จริงเหรอ ไหนขอดูรูปหน่อย ๆ” อนุชาร้องเสียงดังแหวกอากาศ พร้อมกับพุ่งมานั่งข้าง ๆ
“แฟนพี่สวยไหมคะ” มาลีถามอย่างตื่นเต้นขณะเกาะแขนซ้ายของผม
“ทุกคนใจเย็น ๆ นะ อย่ารุมถามพี่สิ” ผมมองหน้าแต่ละคน
“ขอดูรูปหน่อยยยยย” อนุชาเขย่าแขนขวาของผม
“ไม่ให้ดูหรอก”
“อ่าว ทำไมล่ะครับ” เขาทำหน้าผิดหวัง
“ยังไม่ถึงเวลา” ผมบอกปัด
“ถ้างั้นหนูขอถามหน่อยว่าแฟนที่อายุเท่าไหร่” มาลีเปลี่ยนคำถาม
“เท่ากันกับพี่”
“แล้วเธออยู่ด้วยกันกับพี่หรือเปล่า”
“ตอนนี้อยู่อิตาลี”
“โห พี่ควงสาวอิตาลีเหรอ สุดยอด!” อนุชาดูท่าทางชื่นชม
“เปล่า คนไทยเหมือนกันนี่แหละ เขาแค่ไปทำงานที่โน่น”
ผมมองหน้าน้อง ๆ และเริ่มสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงพูดเรื่องนี้ ผมควรจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคนรักไม่ใช่หรอกหรือ แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะตั้งแต่ที่ได้เปิดใจกับคุณพ่ออรรถพล ความกลัวที่ฝังแน่นในหัวใจก็เริ่มสึกกร่อน ตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สังคมก็เปิดกว้างและยอมรับมากขึ้น ผมจึงเริ่มผ่อนคลายเรื่องการเก็บความลับนี้เอาไว้ และถ้าหากจะเผยให้ใครสักคนในครอบครัวได้รู้ บางทีการเริ่มจากพี่น้องก็คงเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่
อนุชาต่อยแขนผมเบา ๆ แล้วถามว่า
“แล้วเจอกันได้ยังไงครับ”
“เจอกันตอนสมัยเรียนน่ะ” ผมไม่ได้เจาะจงว่าตอนสมัยเรียนระดับไหน
“เมื่อไหร่จะพามาเปิดตัวล่ะ พวกเราอยากเห็นจะแย่ละ” มาลีถาม โดยมีอนุชาพยักหน้าเห็นชอบ
“เร็ว ๆ นี้แหละ รับรองพวกเธอตะลึงแน่”
นั่นคือความตั้งใจจริง ถ้าหากผมพาคิมหันต์กลับจากอิตาลีได้สำเร็จ
“ขอให้เร็ว ๆ อย่างที่ว่าเถอะ พี่ยิ่งแก่ลงทุกวัน ระวังมันจะใช้งานไม่ได้นะ”
ผมจ้องเด็กหนุ่มข้าง ๆ ตาเขียวปัด หมอนั่นรีบกระเถิบหนีไปหัวเราะคิกคักที่มุมศาลา เมื่อเป็นดังนั้นผมจึงเอาคืนด้วยการล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดึงธนบัตรสีเทาออกมานับช้า ๆ
“นี่กะว่าจะให้ค่าขนมสักคนละพันสองพันก่อนกลับกรุงเทพฯ นะ สงสัยมาลีน่าจะได้แค่คนเดียว”
อนุชาหุบยิ้ม เขารีบเปลี่ยนไปทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้ามาและเริ่มนวดไหล่ให้เบา ๆ อย่างประจบประแจง มาลีหัวเราะชอบใจใหญ่
“จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น อายุสามสิบก็ยังถือว่าเป็นวัยรุ่นนะ อะโธ่”
“เหอะ” ผมเบ้ปาก พร้อมกับเก็บธนบัตรใส่กระเป๋าตังค์และลุกขึ้นยืน “พี่ว่าพี่กลับขึ้นห้องดีกว่า ต้องรีบไปปั่นงาน”
“อ่าว อย่าเพิ่งรีบไปสิ ให้ตังค์ผมก่อน!”
“แกไปขอพ่อโน้นนุชา” ผมพูดไปหัวเราะไปแบบไม่จริงจัง “อยากปากเสียเองก็ช่วยไม่ได้”
จากนั้นผมก็เดินเข้าบ้านโดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงบ่นของเขา
เย็นวันนั้นขณะหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่า เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องสำคัญนี้ให้ธิดาได้รับทราบ ผมซึ่งยังนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คจึงสลับเข้าบราวน์เซอร์และเปิดเฟซบุ๊ค กดเข้าไปในช่องข้อความของธิดา จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ข้อความยาวเหยียดประหนึ่งเรียงความส่งไปให้เธอ ผ่านไปไม่กี่นาทีเธอก็อ่านและตอบกลับมา
ธิดา: โห
ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
คิมเป็นคนที่เข้มแข็งมากเลยนะ
อดทนกับเรื่องแบบนั้นและผ่านมาจนได้
ที่ผ่านมาคิมคงทรมานมากกกกก
น่าสงสารจังเลย T T
ผม: ใช่
เขาน่าสงสารมาก
รันยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจะทำยังไงดี
ธิดา: ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
รันคงโล่งใจมากเลยสินะที่คิมติดต่อมา
ผม: ที่สุด
โล่งใจมาก ๆ
ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่รันได้คุยกับเขาอีก
แต่ก็นะ รันยังแอบห่วงเรื่องพ่อแม่ของคิมอยู่ดี
ไม่รู้จะทำยังไงดี
ธิดา: รันว่าควรไปบอกให้พ่อพลช่วยเรื่องนี้มั้ย
ผมนิ่งเพื่อคิดไตร่ตรอง ผมเคยมีความคิดทำนองนี้แวบเข้ามาในหัว แต่มันจะดีจริงหรือเปล่านะ
ผม: ไม่ดีกว่า
ถ้าทำแบบนั้นคิมอาจเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม
บางทีรันอาจไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลยก็ได้
ธิดา: แล้วแต่รันจะตัดสินใจเลยนะ
แต่ไม่ว่ายังไงดาก็จะคอยเป็นกำลังใจให้ตลอด
ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อมาได้เลย
ไม่ต้องเกรงใจ
ผม: ขอบใจมากนะ
รักดาที่สุดเลย ^^
เราพิมพ์คุยกันต่อสักพัก แล้วป้าแววก็มาเคาะประตูห้องเรียกให้ลงไปรับประทานอาหารเย็น หลังจากนั้นผมก็ร่วมชมภาพยนตร์กับทุก ๆ คนในห้องนั่งเล่นจนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่มกว่า ๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอน
ผมรีบอาบน้ำและมานั่งที่ประจำ ซึ่งก็คือเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง จากนั้นก็ต่อสายไปยังร้านอาหารของโรมิลดาซึ่งอยู่ในประเทศอิตาลี
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหมครับ” ผมถามเอาใจคนฝั่งโน้น
“เหนื่อยมาก วันนี้ลูกค้าเต็มร้านเลย”
“ก็ดีแล้วนี่” ผมบอก “นายจะได้เซอร์วิสชาร์จเยอะ ๆ ไง”
“ที่นี่ไม่มีหรอก แค่เธอให้งานทำและให้ที่พักก็ดีมากแล้ว”
ได้ฟังดังนั้นผมจึงรีบหาเรื่องแกล้งมาพูดหยอกเพื่อให้เขาหายเหนื่อย
“โอ๋ ๆ ถ้างั้นก็รีบ ๆ มาอยู่กับป๋าสิเดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง แถมมีบริการนวดขาดให้ฟรีด้วยนะ”
“อุ๊ยตายแล้ว ป๋ารันจะเลี้ยงน้องคิมเหรอคะ ดีจังเลย” เขารับมุกด้วยการดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิง “แต่ว่าเปลี่ยนจากนวดขาเป็นนวดอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ”
“อยากให้นวดอะไรล่ะจ๊ะ”
“ก็...อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ขา”
“อืม งั้นแขนดีไหมจ๊ะ”
“ไม่เอาค่ะ”
“นวดไหล่ดีไหม”
“ไม่ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นนวดปากล่ะฟังดูเข้าท่าไหมจ๊ะ”
“ว้าย บัดสีมากเลยค่ะป๋า พูดอะไรคะเนี่ย”
“บัดสียังไงเหรอครับน้องคิม ก็ป๋าตั้งใจว่าจะนวดปากน้องด้วยส้นเท้า”
“เอิ่ม” คิมหันต์กลับมาพูดด้วยเสียงปกติที่ฟังดูผิดหวัง “หมดกันความโรแมนติก”
ผมระเบิดหัวเราะออกมา สักพักเขาก็เริ่มหัวเราะตาม
ต่อมาพวกเราชวนกันคุยไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งผมนึกคำถามคาใจขึ้นมาได้
“นี่คิม นายมาทำงานที่ร้านของโรมิลดาได้ยังไง”
“อืม เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนนิดนึง”
“ยังไงเหรอ”
“คือจริง ๆ พวกเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย ถึงจะไม่สนิทกันมากแต่ก็คุยกันบ่อย”
จากนั้นคิมหันต์ก็เริ่มเล่าที่มาที่ไป
“หลังจากเราเริ่มทำตัวดี ยอมหัวอ่อนให้กับพวกคนที่โรงพยาบาล พ่อก็มาทำเรื่องรับเรากลับมาบ้านเมื่อปีกลาย แต่ถึงจะได้ออกจากโรงพยาบาลเราก็ไม่อยากอยู่บ้านเลยออกไปหางานทำ จากนั้นก็บังเอิญได้เจอกับโรมิลดาตอนฉลองเทศกาลคริสต์มาส เธอชวนไปที่ร้านอาหารของเธอ พวกเรานั่งคุยกันที่นั่น มันเป็นการพูดคุยที่เธอเองก็ตกใจ เราให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น โรมิลดาอยากช่วยก็เลยรับเข้าทำงาน แต่กว่าจะทำงานได้เป็นปกติก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ช่วงนั้นวูบบ่อยมาก สมองก็ยังเบลอ ๆ”
“ทำไมถึงวูบ นายเป็นอะไร” ผมถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่พวกนั้นจ่ายให้กิน มันยังคงตกค้างอยู่ในร่างกาย”
“ยาเหรอ” ผมพึมพำ “ยาที่ใช้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเหรอ”
“ใช่”
ผมใจหายวาบ เรื่องเกี่ยวกับโรงพยาบาลจิตเวชยังคงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจที่สุด อันที่จริงผมเคยคิดจะถามรายละเอียดหลายครั้ง แต่ก็กลัวว่ามันอาจกระทบกระเทือนจิตใจคิมหันต์
“คิม เราขอถามหน่อยนะ พวกเขาทำอะไรกับนายบ้าง”
คิมหันต์เงียบ
“ถ้านายไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”
“พูดได้ ไม่เป็นไร” เขาบอก มีความสั่นในน้ำเสียง “ก็รักษาด้วยการพูดคุยกับนักบำบัด กินยา แต่เมื่อก่อนเราต่อต้านหนักมากก็เลยถูกจับขังแยกเดี่ยวอยู่บ่อย ๆ”
“ขังแยก!” ผมร้องขึ้นมา “ได้ไง นั่นมันโรงพยาบาลบ้าแล้วมั้งคิม! พวกเขาทำแบบนั้นกับนายไม่ได้นะ!”
“ได้สิ เพราะมันก็โรงพยาบาลบ้านั่นแหละรัน พ่อเป็นคนพาเราไปฝากที่นั่น บรรจุเป็นคนไข้”
“อะไรนะ! แต่นายไม่ได้เป็นบ้านี่!” ผมทั้งตกใจและช็อกจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ “นายไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น นายปกติดีทุกอย่าง!”
“ใช่ แต่พ่อไม่ได้คิดแบบนั้นไง” เสียงของคิมหันต์ฟังดูเศร้าสลด “พ่อคิดว่าเราเพี้ยน”
ผมอ้าปากค้าง
“ละ...แล้วแม่นายไม่คัดค้านอะไรบ้างเลยเหรอ”
“ค้านสิ แม่ไม่เคยเห็นด้วยเลย ที่ท่านยอมก็เพราะเรายืนกรานว่าจะไปเอง”
ผมรู้ว่าคิมหันต์อยากประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว อยากให้พ่อมองหน้าและเห็นว่าเขาเป็นลูก แต่อย่างไรก็ตามมันต้องมีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การส่งตัวเองเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เขาไม่ควรต้องเอาร่างกายและชีวิตไปให้คนอื่นทำอะไรแบบนั้น
“ตอนแรกที่ไปรักษาพ่อพาเราไปแล้วก็กลับ แต่พอเข้าเดือนที่สองพ่อก็...พ่อก็ให้เราอยู่ที่นั่นเลย”
“นั่นคือสาเหตุที่นายหายไปใช่ไหม” ผมขมวดคิ้ว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งโกรธจนแทบร้องไห้
“อืม ก็ไม่คิดหรอกว่าจะต้องอยู่ที่นั่น” คิมหันต์พูดเสียงแผ่ว “ไม่คิดเลยว่าพ่อจะทำกับเราถึงขนาดนี้”
ผมกัดฟัน หัวใจบีบรัดจนปวดหนึบ
“ไม่เป็นไรนะคิม อดทนอีกนิด เดี๋ยวเราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากขึ้นมากรุงเทพฯ ผมก็รีบดำเนินเรื่องยื่นขอวีซ่าอิตาลี และเพื่อไม่ให้กระวนกระวายเกินไป ช่วงเวลาที่รอผลผมก็เร่งปั่นต้นฉบับต่อ มีออกไปดื่มบ้างบางคืน แต่เมื่อกลืนเตกิลาหยดสุดท้ายในแก้ว ผมก็วางทิปและกลับคอนโดไปหาไออุ่นของเตียงนอน
จากหนึ่งสัปดาห์กลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสาม กว่าจะได้รับวีซ่าเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบเดือน ผมมองดูลายน้ำเลื่อมแวววาวของวีซ่าที่แปะอยู่ในหน้าหนังสือเดินทางด้วยความตื่นเต้น แทบอดใจไม่ไหวที่จะโทรไปบอกข่าวดีกับคิมหันต์ในคืนนี้
กลางดึกคืนนั้นขณะดื่มชาเพื่อรอเวลา ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างเบิกบานเมื่อนึกไปถึงวันที่เราสองคนได้พบกัน ผมจะทำอย่างไรเมื่อได้ยืนต่อหน้าเขา และคิมหันต์จะมีปฏิกิริยาแบบไหนเมื่อผมเอ่ยขอให้เขาจูบริมฝีปากของผม ผมคิดอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา
“ฮัลโหลครับ”
“Oh hello, Are you Niran?” (โอ้ สวัสดีค่ะ คุณคือนิรันดร์ใช่ไหมคะ)
ผมชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ
“Ah yeah I am. Are you Romilda?” (อ่อใช่ครับ นั่นคุณโรมิลดาเหรอครับ)
“Yes” (ใช่ค่ะ) เธอตอบ
“Hey Romilda, I’m so glad to talk with you.” (สวัสดีครับโรมิลดา ผมดีใจมากที่ได้คุยกับคุณ)
“Me too Niran, Actually I really want our first conversation to start with a positive topic or bring you some good news, but it seems to be the opposite.” (เช่นกันค่ะนิรันดร์ อันที่จริงแล้วฉันอยากให้ครั้งแรกที่เราคุยกันเริ่มต้นด้วยเรื่องด้านบวก หรือไม่ก็นำข่าวดีมาบอกกับคุณ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องตรงกันข้ามนะคะ) เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงฟังดูเครียด ๆ
“Why? what happened?” (ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้นครับ) ผมถาม
“It’s about Kimhan. He’s so sick and he’s currently being treated in the hospital.” (เกี่ยวกับกับคิมหันต์น่ะค่ะ เขาป่วยหนักมาก ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล)
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจผมก็หล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
“Wait a second, I don’t understand. I talked to him yesterday and he sounds fine.” (เดี๋ยวก่อนครับ ผมคุยกับเขาเมื่อวาน เขาก็ดูสบายดีนี่)
“He was.” (ก็ใช่ค่ะ) เธอกล่าว “To be honest, after Kim Han was discharged from the psychiatric hospital. His health was always weak.” (ก็ใช่ค่ะ ถ้าจะให้พูดกันตามตรง หลังจากที่คิมหันต์ออกจากโรงพยาบาลจิตเวช สุขภาพร่างกายก็อ่อนแอมาตลอด)
ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
“He never told me anything about his actual physical health.” (เขาไม่เคยบอกอะไรผมเลยเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของเขา)
“That’s Kim. He’s stubborn” (นั่นแหละคิม เขาปากแข็งจะตาย) โรมิลดากล่าว “Although he doesn’t want me to tell you about what happened, but you’re his boyfriend and I think you have the right to know.” (แม้ว่าเขาจะไม่อยากให้ฉันบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คุณเป็นแฟนเขา ฉันคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะรู้ค่ะ)
“What disease does he have?” (เขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ)
“The doctor said he had severe low blood pressure. But we have to wait for the results of the blood test again.” (หมอบอกว่าเขาความดันต่ำขั้นรุนแรงค่ะ แต่เราก็ต้องรอผลฟังตรวจเลือดอีกที)
“Is he getting better now? (ตอนนี้เขาดีขึ้นหรือยังครับ)
“Much better. Soon, he should have been discharged from the hospital.” (ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อีกไม่นานก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว)
“Okay, I’m going to Italy as soon as possible.” (โอเค ผมจะไปอิตาลีโดยเร็วที่สุด) ผมบอก
“Call me anytime if you need help.” (ติดต่อได้ทุกเมื่อนะคะถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ) เธอกล่าว
“Thank you so much Romilda. I do appreciate your kindness and help.” (ขอบคุณมาก ๆ ครับโรมิลดา ผมซาบซึ้งในความมีเมตตาและความช่วยเหลือของคุณอย่างมาก)
“You’re welcome” (ยินดีค่ะ)
หลังจากวางสาย ใบหน้าของผมไม่หลงเหลือรอยยิ้มอยู่เลย กลับกันมันค่อย ๆ แสดงความกังวลออกมาจนลูกตาเริ่มแสบร้อน มืออันสั่นเทาเลื่อนหารายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ ก่อนจะกดโทรไปยังโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
“สวัสดีครับ โรงแรมล้านนาซัมเมอร์รีสอร์ต แอนด์ สปา --”
“ไอ้การ มึงช่วยจองโรงแรมให้กูที”
ผมพูดแทรกกลางคันระหว่างที่ผู้รับสายเตรียมร่ายแพทเทิร์นรับสายยาวเหยียด
“อะ...ไอ้รันเหรอ มึงจะไปไหน” ปราการถาม น้ำเสียงฟังดูงุนงง
“กูจะไปอิตาลีพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้!”
“ใช่”
“เดี๋ยว ๆ นี่มันอะไรกัน แล้วทำไมเพิ่งมาบอก จองตอนนี้ค่าห้องแพงมากเลยนะ”
“เออกูรู้ เรื่องนั้นช่างมัน มึงช่วยจองโรงแรมในมิลานให้กูทีนะ” ผมบอกพร้อมกับแจ้งงบประมาณที่พอจ่ายไหว
“เออได้ แล้วนี่มึงมีตั๋วเครื่องบินยัง”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”
ผมได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์
“ทำไมมึงถึงไปกะทันหันจังว้ะ” ปราการถาม “มีอะไรหรือเปล่า”
ผมชะงัก กัดฟันแน่นปวดกราม
“กูต้องไปหาคิม ตอนนี้มันไม่สบายหนักต้องเข้าโรง’บาล กูจะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะ...เพราะว่ากู...กูกับคิมเป็นแฟนกัน” เสียงสะอื้นหลุดลอดจากริมฝีปาก ผมพยายามกลั้นเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่ไหวจริง ๆ “ไอ้การมึงช่วยกูด้วยนะ กูสัญญาว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทีหลัง”
เกิดความเงียบชั่วขณะ ก่อนปราการจะตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน
“ได้สิ มึงไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องร้องไห้ หยุดเดี๋ยวนี้ มึงรีบไปเก็บกระเป๋า เตรียมเอกสารเดินทางให้พร้อม แล้วกูจะส่งบุ๊คกิ้งห้องพักไปให้”
“อือ” ผมพยักหน้า น้ำตาไหลโดยไม่อาจห้ามได้
“มีอะไรก็โทรมานะ” ปราการบอก “ฝากความคิดถึงไปให้ไอ้คิมด้วย ขอให้มันหายไว ๆ”
“ขอบใจมากเพื่อน”
“อืม เดี๋ยวกูต้องขับรถไปส่งแขกที่ห้องก่อนนะ พากันเมากลับมาอีกแล้ว ไปก่อนนะ”
จากนั้นเขาก็วางสาย ผมสูดหายใจเข้าลึก ปาดน้ำตา ตั้งสติ จากนั้นก็ลุกไปจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางตามที่ปราการแนะนำ ไม่รู้ตัวเลยว่าปากกำลังขมุบขมิบสวดบทวันทามารีย์
“คิดถึงจัง” เขาพูดเสียงหวาน
“อะไรกัน ก็เพิ่งคุยกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง” ผมบอก หัวใจพองโตยิ่งกว่าดวงจันทร์เสียอีก
“ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ถ้าทำได้เราอยากคุยกับรันแบบนี้ทั้งวันเลยรู้ไหม”
ผมยิ้มแก้มแทบปริ
“ก็ดีอยู่นะ แต่พวกเราคงหาเงินมาจ่ายค่าโทรศัพท์ไม่ไหวหรอก”
“นั่นก็จริง”
แล้วคิมหันต์ก็พูดภาษาอิตาลีกับใครบางคนแถวนั้นเป็นประโยคยืดยาว
“มาคุยแบบนี้หัวหน้าไม่ว่าอะไรเหรอ” ผมถามหลังจากเขาพูดจบ
“ไม่ อันที่จริงเธออยากให้พวกเราได้คุยกัน” เขาตอบ
“ว้าว โรมิลดาคงเป็นคนใจดีจริง ๆ สินะ”
“ใช่ เธอใจดีมาก ดีที่สุดในอิตาลีเลยมั้ง”
“ชักอยากจะเจอเธอแล้วสิ” ผมอมยิ้ม
“ถ้านายมานี่เดี๋ยวจะพาเธอมาให้รู้จัก”
“แน่นอน ถ้านายไม่พาเธอมาละก็มีเรื่องแน่”
เราพากันหัวเราะ แล้วคิมหันต์ก็ชวนคุยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของผม ผมจึงเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ ว่าเป็นอยู่อย่างไร ทำงานอะไร ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน จากนั้นก็เล่าให้เขาฟังว่าเพิ่งไปงานบวชของชลเทพมาเมื่อวันก่อน
“ไอ้ชลบวชเป็นบาทหลวง พูดจริงเหรอเนี่ย!”
“จริงสิ เหลือเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ” ผมบอก “แต่ก็นะ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อีกอย่างมันดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”
“เราคงพลาดอะไรไปหลายอย่างเลยสินะตอนที่เงียบหายไป”
“ก็ใช่ นายพลาดมางานแต่งของไอ้ตงด้วยล่ะ”
คิมหันต์ถอนหายใจ
“แย่จัง มันคงโกรธเรามากเลยสิ”
“ก็แค่งอนนิดหน่อย อันที่จริงมันคิดถึงนายมากกว่า” ผมกระชับผ้าห่ม “ถ้าว่างก็ลองโทรไปหาเพื่อน ๆ บ้างสิ พวกมันคงดีใจมากแน่ ๆ”
เขาขอเบอร์ของพวกนั้น และบอกว่าจะหาโอกาสติดต่อไปวันหลัง ผมยิ้มกว้างอยู่หลังโทรศัพท์ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่น
“คิม นายไม่อยากกลับมาไทยเหรอ”
“อยากสิ แต่กลับไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน บ้านก็ไม่มี เราไม่เหลืออะไรที่นั่นแล้ว”
“ลืมอะไรไปหรือเปล่า นายยังมีเราอยู่นะคิมหันต์ มาอยู่ด้วยกันก็ได้”
“ขอบใจมากนะรัน แต่ขอเวลาเราจัดการปัญหาทางนี้ให้เรียบร้อยก่อน”
“ยังมีอะไรค้างคาอีกอย่างนั้นเหรอ” ผมไม่อาจเก็บซ่อนความผิดหวังในน้ำเสียง ผมอยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันใจแทบขาด
เขาอ้ำอึ้งเหมือนกำลังลังเล ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“เรื่องระหว่างเรากับโรมิลดาน่ะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเหรอ”
“คือมันค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่ตอนนี้เธอช่วยเล่นละครตบตาพ่อว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ว่าไงนะ ต้องทำถึงขั้นนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ ถ้าไม่อย่างนั้นพ่อก็ไม่เชื่อว่าเราหายดีแล้ว และคงถูกส่งกลับไปที่นั่นอีก”
“ที่โรงพยาบาลนั่นเหรอ”
“อืม” คิมหันต์ถอนหายใจ “นายคงไม่โกรธใช่ไหมที่เราทำแบบนี้”
ผมนิ่งเงียบไปหลายวินาที
“จะโกรธได้ยังไง นายทำเพราะจำเป็น เราดีใจเสียอีกที่นายบอก ขอบใจนะ”
อย่างไรก็ตาม ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อของคิมหันต์จะกล้าทำกับลูกได้ลงคอ ครั้งหนึ่งผมเคยคุยโทรศัพท์กับท่าน น้ำเสียงและการพูดคุยก็ดูเหมือนจะเป็นคนมีเมตตา ไม่คิดเลยว่าจะน่ากลัวและใจร้ายได้ขนาดนี้
แล้วเราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่เบาใจกว่า อย่างเช่นสิ่งที่พวกเราทำในเวลาว่าง ผมบอกเขาว่ากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไร ส่วนเขาก็เล่าให้ฟังกำลังฝึกวาดภาพสีน้ำด้วยเทคนิคต่าง ๆ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ เราบอกรักกันและรักอีกครั้ง ผมแนบหูกับโทรศัพท์เพื่อรอฟังเสียงวางสาย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้คุยกับเขา เสียงทุ้มของคิมหันต์เปรียบเสมือนน้ำทิพย์หยดจากสวรรค์ ชโลมจิตใจอันเหี่ยวเฉาของผมให้กลับมามีชีวิตชีวา และถึงแม้ว่าจะโหยหาสักเพียงใด ผมก็ต้องอดใจรอให้เขาเลิกงานซึ่งก็เป็นเวลากลางคืนในประเทศไทย
แม้ว่านี่จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้กลับมาบ้าน ทว่าการมาเยือนครั้งนี้มอบความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมเก็บความรู้สึกเหล่านั้นมาพิจารณา ขณะนั่งมองไอพ่นเครื่องบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าอยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน มาลีกับอนุชาก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาไม่มีอะไรทำจึงตามผมออกมานั่งเล่นด้วยกัน
“รู้ไหมว่าโลกของเราไม่มีแรงโน้มถ่วงนะ ที่เราไม่ลอยขึ้นไปบนฟ้าก็เพราะว่าความบิดโค้งของอวกาศยึดเราเอาไว้” แม้อนุชาจะพูดลอย ๆ ขณะกำลังเล่นโทรศัพท์ แต่มันก็ดันเรียกความสนใจให้ผมหันมา
“หนูรู้แล้วค่ะ พี่บอกตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว” มาลีตอบหน้าตาย
“เหรอ จำไม่ได้เลยแฮะ”
หญิงสาวเท้าคางกับโต๊ะ
“พี่ฉลาดนะ แต่พี่กำลังจะสมองเสื่อมเพราะรู้มากเกินไป เพราะฉะนั้นก็พักบ้างอะไรบ้าง”
อนุชาหัวเราะชอบใจที่ถูกเหน็บแนม มาลีส่ายหัวก่อนจะมองไปยังสวนส้มซึ่งอยู่อีกฟากของรั้วบ้าน
นอกจากอนุชาจะเป็นคนฉลาดเฉลียว เขาก็ยังเป็นคนชอบกวนประสาทใช้ได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี ผิวสองสีเข้ากันกับทรงผมรองทรง ถึงจะมีนิสัยแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่เท่าที่ได้ยินมาอนุชาก็เข้าตาใครหลายคน จนมีทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ตามจีบไม่หวาดไม่ไหว
ส่วนมาลีเป็นเด็กสาวมารยาทดีเช่นเดียวกับหน้าตา เธอตัดผมสั้นเพียงบ่าและชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสไตล์เรียบ ๆ ผิวพรรณขาวผ่องใสยิ่งทำให้เธอดูเป็นลูกคุณหนู แม้ว่ามาลีจะไม่ค่อยสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แต่เธอกลับมีแฟนก่อนหน้าอนุชาไปเกือบสองปี
“มีอะไรเหรอคะพี่รัน” เธอถามเมื่อรู้สึกตัวว่าผมกำลังมอง
“เปล่า ๆ แค่เหม่อเท่านั้นเอง” ผมตอบ จากนั้นก็เม้มปาก ก่อนจะพูดออกไปใหม่อีกครั้ง “อันที่จริงพี่กำลังคิดถึงแฟนอยู่น่ะ”
อนุชาเกือบลื่นตกจากที่นั่ง ส่วนมาลีก็ทำตาโตจนแทบจะถลน ทั้งสองสบตากันก่อนจะหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้ผมเริ่มสำนึกผิดที่พูดออกไป
“จริงเหรอ ไหนขอดูรูปหน่อย ๆ” อนุชาร้องเสียงดังแหวกอากาศ พร้อมกับพุ่งมานั่งข้าง ๆ
“แฟนพี่สวยไหมคะ” มาลีถามอย่างตื่นเต้นขณะเกาะแขนซ้ายของผม
“ทุกคนใจเย็น ๆ นะ อย่ารุมถามพี่สิ” ผมมองหน้าแต่ละคน
“ขอดูรูปหน่อยยยยย” อนุชาเขย่าแขนขวาของผม
“ไม่ให้ดูหรอก”
“อ่าว ทำไมล่ะครับ” เขาทำหน้าผิดหวัง
“ยังไม่ถึงเวลา” ผมบอกปัด
“ถ้างั้นหนูขอถามหน่อยว่าแฟนที่อายุเท่าไหร่” มาลีเปลี่ยนคำถาม
“เท่ากันกับพี่”
“แล้วเธออยู่ด้วยกันกับพี่หรือเปล่า”
“ตอนนี้อยู่อิตาลี”
“โห พี่ควงสาวอิตาลีเหรอ สุดยอด!” อนุชาดูท่าทางชื่นชม
“เปล่า คนไทยเหมือนกันนี่แหละ เขาแค่ไปทำงานที่โน่น”
ผมมองหน้าน้อง ๆ และเริ่มสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงพูดเรื่องนี้ ผมควรจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคนรักไม่ใช่หรอกหรือ แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะตั้งแต่ที่ได้เปิดใจกับคุณพ่ออรรถพล ความกลัวที่ฝังแน่นในหัวใจก็เริ่มสึกกร่อน ตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สังคมก็เปิดกว้างและยอมรับมากขึ้น ผมจึงเริ่มผ่อนคลายเรื่องการเก็บความลับนี้เอาไว้ และถ้าหากจะเผยให้ใครสักคนในครอบครัวได้รู้ บางทีการเริ่มจากพี่น้องก็คงเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่
อนุชาต่อยแขนผมเบา ๆ แล้วถามว่า
“แล้วเจอกันได้ยังไงครับ”
“เจอกันตอนสมัยเรียนน่ะ” ผมไม่ได้เจาะจงว่าตอนสมัยเรียนระดับไหน
“เมื่อไหร่จะพามาเปิดตัวล่ะ พวกเราอยากเห็นจะแย่ละ” มาลีถาม โดยมีอนุชาพยักหน้าเห็นชอบ
“เร็ว ๆ นี้แหละ รับรองพวกเธอตะลึงแน่”
นั่นคือความตั้งใจจริง ถ้าหากผมพาคิมหันต์กลับจากอิตาลีได้สำเร็จ
“ขอให้เร็ว ๆ อย่างที่ว่าเถอะ พี่ยิ่งแก่ลงทุกวัน ระวังมันจะใช้งานไม่ได้นะ”
ผมจ้องเด็กหนุ่มข้าง ๆ ตาเขียวปัด หมอนั่นรีบกระเถิบหนีไปหัวเราะคิกคักที่มุมศาลา เมื่อเป็นดังนั้นผมจึงเอาคืนด้วยการล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดึงธนบัตรสีเทาออกมานับช้า ๆ
“นี่กะว่าจะให้ค่าขนมสักคนละพันสองพันก่อนกลับกรุงเทพฯ นะ สงสัยมาลีน่าจะได้แค่คนเดียว”
อนุชาหุบยิ้ม เขารีบเปลี่ยนไปทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้ามาและเริ่มนวดไหล่ให้เบา ๆ อย่างประจบประแจง มาลีหัวเราะชอบใจใหญ่
“จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น อายุสามสิบก็ยังถือว่าเป็นวัยรุ่นนะ อะโธ่”
“เหอะ” ผมเบ้ปาก พร้อมกับเก็บธนบัตรใส่กระเป๋าตังค์และลุกขึ้นยืน “พี่ว่าพี่กลับขึ้นห้องดีกว่า ต้องรีบไปปั่นงาน”
“อ่าว อย่าเพิ่งรีบไปสิ ให้ตังค์ผมก่อน!”
“แกไปขอพ่อโน้นนุชา” ผมพูดไปหัวเราะไปแบบไม่จริงจัง “อยากปากเสียเองก็ช่วยไม่ได้”
จากนั้นผมก็เดินเข้าบ้านโดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงบ่นของเขา
เย็นวันนั้นขณะหาข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่า เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องสำคัญนี้ให้ธิดาได้รับทราบ ผมซึ่งยังนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คจึงสลับเข้าบราวน์เซอร์และเปิดเฟซบุ๊ค กดเข้าไปในช่องข้อความของธิดา จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ข้อความยาวเหยียดประหนึ่งเรียงความส่งไปให้เธอ ผ่านไปไม่กี่นาทีเธอก็อ่านและตอบกลับมา
ธิดา: โห
ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
คิมเป็นคนที่เข้มแข็งมากเลยนะ
อดทนกับเรื่องแบบนั้นและผ่านมาจนได้
ที่ผ่านมาคิมคงทรมานมากกกกก
น่าสงสารจังเลย T T
ผม: ใช่
เขาน่าสงสารมาก
รันยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจะทำยังไงดี
ธิดา: ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
รันคงโล่งใจมากเลยสินะที่คิมติดต่อมา
ผม: ที่สุด
โล่งใจมาก ๆ
ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่รันได้คุยกับเขาอีก
แต่ก็นะ รันยังแอบห่วงเรื่องพ่อแม่ของคิมอยู่ดี
ไม่รู้จะทำยังไงดี
ธิดา: รันว่าควรไปบอกให้พ่อพลช่วยเรื่องนี้มั้ย
ผมนิ่งเพื่อคิดไตร่ตรอง ผมเคยมีความคิดทำนองนี้แวบเข้ามาในหัว แต่มันจะดีจริงหรือเปล่านะ
ผม: ไม่ดีกว่า
ถ้าทำแบบนั้นคิมอาจเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม
บางทีรันอาจไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลยก็ได้
ธิดา: แล้วแต่รันจะตัดสินใจเลยนะ
แต่ไม่ว่ายังไงดาก็จะคอยเป็นกำลังใจให้ตลอด
ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อมาได้เลย
ไม่ต้องเกรงใจ
ผม: ขอบใจมากนะ
รักดาที่สุดเลย ^^
เราพิมพ์คุยกันต่อสักพัก แล้วป้าแววก็มาเคาะประตูห้องเรียกให้ลงไปรับประทานอาหารเย็น หลังจากนั้นผมก็ร่วมชมภาพยนตร์กับทุก ๆ คนในห้องนั่งเล่นจนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่มกว่า ๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอน
ผมรีบอาบน้ำและมานั่งที่ประจำ ซึ่งก็คือเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง จากนั้นก็ต่อสายไปยังร้านอาหารของโรมิลดาซึ่งอยู่ในประเทศอิตาลี
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหมครับ” ผมถามเอาใจคนฝั่งโน้น
“เหนื่อยมาก วันนี้ลูกค้าเต็มร้านเลย”
“ก็ดีแล้วนี่” ผมบอก “นายจะได้เซอร์วิสชาร์จเยอะ ๆ ไง”
“ที่นี่ไม่มีหรอก แค่เธอให้งานทำและให้ที่พักก็ดีมากแล้ว”
ได้ฟังดังนั้นผมจึงรีบหาเรื่องแกล้งมาพูดหยอกเพื่อให้เขาหายเหนื่อย
“โอ๋ ๆ ถ้างั้นก็รีบ ๆ มาอยู่กับป๋าสิเดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง แถมมีบริการนวดขาดให้ฟรีด้วยนะ”
“อุ๊ยตายแล้ว ป๋ารันจะเลี้ยงน้องคิมเหรอคะ ดีจังเลย” เขารับมุกด้วยการดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิง “แต่ว่าเปลี่ยนจากนวดขาเป็นนวดอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ”
“อยากให้นวดอะไรล่ะจ๊ะ”
“ก็...อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ขา”
“อืม งั้นแขนดีไหมจ๊ะ”
“ไม่เอาค่ะ”
“นวดไหล่ดีไหม”
“ไม่ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นนวดปากล่ะฟังดูเข้าท่าไหมจ๊ะ”
“ว้าย บัดสีมากเลยค่ะป๋า พูดอะไรคะเนี่ย”
“บัดสียังไงเหรอครับน้องคิม ก็ป๋าตั้งใจว่าจะนวดปากน้องด้วยส้นเท้า”
“เอิ่ม” คิมหันต์กลับมาพูดด้วยเสียงปกติที่ฟังดูผิดหวัง “หมดกันความโรแมนติก”
ผมระเบิดหัวเราะออกมา สักพักเขาก็เริ่มหัวเราะตาม
ต่อมาพวกเราชวนกันคุยไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งผมนึกคำถามคาใจขึ้นมาได้
“นี่คิม นายมาทำงานที่ร้านของโรมิลดาได้ยังไง”
“อืม เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนนิดนึง”
“ยังไงเหรอ”
“คือจริง ๆ พวกเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย ถึงจะไม่สนิทกันมากแต่ก็คุยกันบ่อย”
จากนั้นคิมหันต์ก็เริ่มเล่าที่มาที่ไป
“หลังจากเราเริ่มทำตัวดี ยอมหัวอ่อนให้กับพวกคนที่โรงพยาบาล พ่อก็มาทำเรื่องรับเรากลับมาบ้านเมื่อปีกลาย แต่ถึงจะได้ออกจากโรงพยาบาลเราก็ไม่อยากอยู่บ้านเลยออกไปหางานทำ จากนั้นก็บังเอิญได้เจอกับโรมิลดาตอนฉลองเทศกาลคริสต์มาส เธอชวนไปที่ร้านอาหารของเธอ พวกเรานั่งคุยกันที่นั่น มันเป็นการพูดคุยที่เธอเองก็ตกใจ เราให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น โรมิลดาอยากช่วยก็เลยรับเข้าทำงาน แต่กว่าจะทำงานได้เป็นปกติก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ช่วงนั้นวูบบ่อยมาก สมองก็ยังเบลอ ๆ”
“ทำไมถึงวูบ นายเป็นอะไร” ผมถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่พวกนั้นจ่ายให้กิน มันยังคงตกค้างอยู่ในร่างกาย”
“ยาเหรอ” ผมพึมพำ “ยาที่ใช้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเหรอ”
“ใช่”
ผมใจหายวาบ เรื่องเกี่ยวกับโรงพยาบาลจิตเวชยังคงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจที่สุด อันที่จริงผมเคยคิดจะถามรายละเอียดหลายครั้ง แต่ก็กลัวว่ามันอาจกระทบกระเทือนจิตใจคิมหันต์
“คิม เราขอถามหน่อยนะ พวกเขาทำอะไรกับนายบ้าง”
คิมหันต์เงียบ
“ถ้านายไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”
“พูดได้ ไม่เป็นไร” เขาบอก มีความสั่นในน้ำเสียง “ก็รักษาด้วยการพูดคุยกับนักบำบัด กินยา แต่เมื่อก่อนเราต่อต้านหนักมากก็เลยถูกจับขังแยกเดี่ยวอยู่บ่อย ๆ”
“ขังแยก!” ผมร้องขึ้นมา “ได้ไง นั่นมันโรงพยาบาลบ้าแล้วมั้งคิม! พวกเขาทำแบบนั้นกับนายไม่ได้นะ!”
“ได้สิ เพราะมันก็โรงพยาบาลบ้านั่นแหละรัน พ่อเป็นคนพาเราไปฝากที่นั่น บรรจุเป็นคนไข้”
“อะไรนะ! แต่นายไม่ได้เป็นบ้านี่!” ผมทั้งตกใจและช็อกจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ “นายไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น นายปกติดีทุกอย่าง!”
“ใช่ แต่พ่อไม่ได้คิดแบบนั้นไง” เสียงของคิมหันต์ฟังดูเศร้าสลด “พ่อคิดว่าเราเพี้ยน”
ผมอ้าปากค้าง
“ละ...แล้วแม่นายไม่คัดค้านอะไรบ้างเลยเหรอ”
“ค้านสิ แม่ไม่เคยเห็นด้วยเลย ที่ท่านยอมก็เพราะเรายืนกรานว่าจะไปเอง”
ผมรู้ว่าคิมหันต์อยากประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว อยากให้พ่อมองหน้าและเห็นว่าเขาเป็นลูก แต่อย่างไรก็ตามมันต้องมีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การส่งตัวเองเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เขาไม่ควรต้องเอาร่างกายและชีวิตไปให้คนอื่นทำอะไรแบบนั้น
“ตอนแรกที่ไปรักษาพ่อพาเราไปแล้วก็กลับ แต่พอเข้าเดือนที่สองพ่อก็...พ่อก็ให้เราอยู่ที่นั่นเลย”
“นั่นคือสาเหตุที่นายหายไปใช่ไหม” ผมขมวดคิ้ว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งโกรธจนแทบร้องไห้
“อืม ก็ไม่คิดหรอกว่าจะต้องอยู่ที่นั่น” คิมหันต์พูดเสียงแผ่ว “ไม่คิดเลยว่าพ่อจะทำกับเราถึงขนาดนี้”
ผมกัดฟัน หัวใจบีบรัดจนปวดหนึบ
“ไม่เป็นไรนะคิม อดทนอีกนิด เดี๋ยวเราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากขึ้นมากรุงเทพฯ ผมก็รีบดำเนินเรื่องยื่นขอวีซ่าอิตาลี และเพื่อไม่ให้กระวนกระวายเกินไป ช่วงเวลาที่รอผลผมก็เร่งปั่นต้นฉบับต่อ มีออกไปดื่มบ้างบางคืน แต่เมื่อกลืนเตกิลาหยดสุดท้ายในแก้ว ผมก็วางทิปและกลับคอนโดไปหาไออุ่นของเตียงนอน
จากหนึ่งสัปดาห์กลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสาม กว่าจะได้รับวีซ่าเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบเดือน ผมมองดูลายน้ำเลื่อมแวววาวของวีซ่าที่แปะอยู่ในหน้าหนังสือเดินทางด้วยความตื่นเต้น แทบอดใจไม่ไหวที่จะโทรไปบอกข่าวดีกับคิมหันต์ในคืนนี้
กลางดึกคืนนั้นขณะดื่มชาเพื่อรอเวลา ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างเบิกบานเมื่อนึกไปถึงวันที่เราสองคนได้พบกัน ผมจะทำอย่างไรเมื่อได้ยืนต่อหน้าเขา และคิมหันต์จะมีปฏิกิริยาแบบไหนเมื่อผมเอ่ยขอให้เขาจูบริมฝีปากของผม ผมคิดอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา
“ฮัลโหลครับ”
“Oh hello, Are you Niran?” (โอ้ สวัสดีค่ะ คุณคือนิรันดร์ใช่ไหมคะ)
ผมชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ
“Ah yeah I am. Are you Romilda?” (อ่อใช่ครับ นั่นคุณโรมิลดาเหรอครับ)
“Yes” (ใช่ค่ะ) เธอตอบ
“Hey Romilda, I’m so glad to talk with you.” (สวัสดีครับโรมิลดา ผมดีใจมากที่ได้คุยกับคุณ)
“Me too Niran, Actually I really want our first conversation to start with a positive topic or bring you some good news, but it seems to be the opposite.” (เช่นกันค่ะนิรันดร์ อันที่จริงแล้วฉันอยากให้ครั้งแรกที่เราคุยกันเริ่มต้นด้วยเรื่องด้านบวก หรือไม่ก็นำข่าวดีมาบอกกับคุณ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องตรงกันข้ามนะคะ) เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงฟังดูเครียด ๆ
“Why? what happened?” (ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้นครับ) ผมถาม
“It’s about Kimhan. He’s so sick and he’s currently being treated in the hospital.” (เกี่ยวกับกับคิมหันต์น่ะค่ะ เขาป่วยหนักมาก ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล)
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจผมก็หล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
“Wait a second, I don’t understand. I talked to him yesterday and he sounds fine.” (เดี๋ยวก่อนครับ ผมคุยกับเขาเมื่อวาน เขาก็ดูสบายดีนี่)
“He was.” (ก็ใช่ค่ะ) เธอกล่าว “To be honest, after Kim Han was discharged from the psychiatric hospital. His health was always weak.” (ก็ใช่ค่ะ ถ้าจะให้พูดกันตามตรง หลังจากที่คิมหันต์ออกจากโรงพยาบาลจิตเวช สุขภาพร่างกายก็อ่อนแอมาตลอด)
ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
“He never told me anything about his actual physical health.” (เขาไม่เคยบอกอะไรผมเลยเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของเขา)
“That’s Kim. He’s stubborn” (นั่นแหละคิม เขาปากแข็งจะตาย) โรมิลดากล่าว “Although he doesn’t want me to tell you about what happened, but you’re his boyfriend and I think you have the right to know.” (แม้ว่าเขาจะไม่อยากให้ฉันบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คุณเป็นแฟนเขา ฉันคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะรู้ค่ะ)
“What disease does he have?” (เขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ)
“The doctor said he had severe low blood pressure. But we have to wait for the results of the blood test again.” (หมอบอกว่าเขาความดันต่ำขั้นรุนแรงค่ะ แต่เราก็ต้องรอผลฟังตรวจเลือดอีกที)
“Is he getting better now? (ตอนนี้เขาดีขึ้นหรือยังครับ)
“Much better. Soon, he should have been discharged from the hospital.” (ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อีกไม่นานก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว)
“Okay, I’m going to Italy as soon as possible.” (โอเค ผมจะไปอิตาลีโดยเร็วที่สุด) ผมบอก
“Call me anytime if you need help.” (ติดต่อได้ทุกเมื่อนะคะถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ) เธอกล่าว
“Thank you so much Romilda. I do appreciate your kindness and help.” (ขอบคุณมาก ๆ ครับโรมิลดา ผมซาบซึ้งในความมีเมตตาและความช่วยเหลือของคุณอย่างมาก)
“You’re welcome” (ยินดีค่ะ)
หลังจากวางสาย ใบหน้าของผมไม่หลงเหลือรอยยิ้มอยู่เลย กลับกันมันค่อย ๆ แสดงความกังวลออกมาจนลูกตาเริ่มแสบร้อน มืออันสั่นเทาเลื่อนหารายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ ก่อนจะกดโทรไปยังโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
“สวัสดีครับ โรงแรมล้านนาซัมเมอร์รีสอร์ต แอนด์ สปา --”
“ไอ้การ มึงช่วยจองโรงแรมให้กูที”
ผมพูดแทรกกลางคันระหว่างที่ผู้รับสายเตรียมร่ายแพทเทิร์นรับสายยาวเหยียด
“อะ...ไอ้รันเหรอ มึงจะไปไหน” ปราการถาม น้ำเสียงฟังดูงุนงง
“กูจะไปอิตาลีพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้!”
“ใช่”
“เดี๋ยว ๆ นี่มันอะไรกัน แล้วทำไมเพิ่งมาบอก จองตอนนี้ค่าห้องแพงมากเลยนะ”
“เออกูรู้ เรื่องนั้นช่างมัน มึงช่วยจองโรงแรมในมิลานให้กูทีนะ” ผมบอกพร้อมกับแจ้งงบประมาณที่พอจ่ายไหว
“เออได้ แล้วนี่มึงมีตั๋วเครื่องบินยัง”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”
ผมได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์
“ทำไมมึงถึงไปกะทันหันจังว้ะ” ปราการถาม “มีอะไรหรือเปล่า”
ผมชะงัก กัดฟันแน่นปวดกราม
“กูต้องไปหาคิม ตอนนี้มันไม่สบายหนักต้องเข้าโรง’บาล กูจะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะ...เพราะว่ากู...กูกับคิมเป็นแฟนกัน” เสียงสะอื้นหลุดลอดจากริมฝีปาก ผมพยายามกลั้นเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่ไหวจริง ๆ “ไอ้การมึงช่วยกูด้วยนะ กูสัญญาว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทีหลัง”
เกิดความเงียบชั่วขณะ ก่อนปราการจะตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน
“ได้สิ มึงไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องร้องไห้ หยุดเดี๋ยวนี้ มึงรีบไปเก็บกระเป๋า เตรียมเอกสารเดินทางให้พร้อม แล้วกูจะส่งบุ๊คกิ้งห้องพักไปให้”
“อือ” ผมพยักหน้า น้ำตาไหลโดยไม่อาจห้ามได้
“มีอะไรก็โทรมานะ” ปราการบอก “ฝากความคิดถึงไปให้ไอ้คิมด้วย ขอให้มันหายไว ๆ”
“ขอบใจมากเพื่อน”
“อืม เดี๋ยวกูต้องขับรถไปส่งแขกที่ห้องก่อนนะ พากันเมากลับมาอีกแล้ว ไปก่อนนะ”
จากนั้นเขาก็วางสาย ผมสูดหายใจเข้าลึก ปาดน้ำตา ตั้งสติ จากนั้นก็ลุกไปจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางตามที่ปราการแนะนำ ไม่รู้ตัวเลยว่าปากกำลังขมุบขมิบสวดบทวันทามารีย์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ