เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) ความจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในที่สุดหลังขับรถติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงไร่ศรีราพันธ์ที่ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย น้ากรพ่อบ้านออกมาเปิดประตูรั้ว หลังนำรถไปจอดที่โรงรถ น้ากรก็รีบเข้ามาช่วยถือสัมภาระเข้าไปในบ้าน เขายังคงเป็นคนที่น่ารักและใจดีเสมอ
“อ้าว ตารัน ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนใกล้จะถึง แม่จะได้เตรียมอะไรไว้ให้ทาน” เมื่อแม่บุญธรรมเห็นผมปรากฏตัวก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ ใบหน้าเหี่ยวย่นผุดผ่องด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมไม่อยากรบกวน” ผมสวมกอดท่านพลางมองไปรอบ ๆ บ้าน “คนอื่น ๆ ไปไหนกันเหรอครับ”
“พ่อกับน้อง ๆ เข้าไปในไร่ด้วยกัน แต่ว่าฝนกำลังจะตกแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ” เธอตอบหลังจากเราคลายอ้อมกอด
แม้จะอยากขึ้นไปพักที่ห้อง ทว่าผมก็ไม่อยากขัดใจคุณแม่ ดังนั้นจึงยอมนั่งทานข้าวผัดหมูที่เธอปรุงให้ภายในเวลาอันรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง พอทานเสร็จ ทุกคนก็กลับมาถึงบ้านพอดี
ผมกราบสวัสดีพ่อบุญธรรมพร้อมมอบอ้อมกอดแน่น ๆ จากนั้นก็หันมาทักทายน้อง ๆ ตอนนี้มาลีกับอนุชากลับมาอยู่บ้านตอนปิดเทอม ทั้งคู่ล้วนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว และกำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย มาลีเลือกเรียนสายครุศาสตร์เอกภาษาไทย ส่วนอนุชาตัดสินใจเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน เราแลกอ้อมกอดและมองใบหน้ากันและกันด้วยความคิดถึง แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้
“พี่จะอยู่ที่นี่กี่วันคะ” มาลีถามเสียงสดใส
“อาทิตย์นึง”
“แป๊บเดียวเอง พี่อยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอ” อนุชากล่าวอย่างเซ็ง ๆ เขาคงอยากได้เพื่อนใหม่เพื่อชวนคุยเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดาว่ามาลีคงเอือมระอามากแล้ว
“พี่ต้องกลับไปทำงานทำธุระ ว่าง ๆ พวกเธอก็แวะไปหาพี่ที่คอนโดบ้างสิ”
พวกเขาพยักหน้า จากนั้นเราทั้งหมดก็พากันมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น สักพักป้าแววก็นำน้ำส้มมาเสิร์ฟ
“แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยัง พ่อจะได้ให้ป้าแววทำกับข้าวให้” พ่อบุญธรรมถามอย่างเอาใส่ใจ
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณ ไม่ต้องห่วง” หญิงสูงวัยพูดยิ้ม ๆ ทำให้คุณสามียิ้มตามไปด้วย
“แล้วงานบวชเป็นไงบ้าง” พ่อชวนคุย
“ดีครับ คนไปร่วมเยอะมากจนต้องเสริมเก้าอี้ออกมานอกวัดเลย”
“เสียดายเราน่าจะไปรวมงานด้วยนะคุณ” แม่กล่าวอย่างนึกเสียดาย
“นั่นน่ะสิ ถ้าไม่ติดธุระก็คงได้พาคุณกับเด็ก ๆ ไป”
พวกเรานั่งคุยกันเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ก่อนที่ผมจะขอตัวขึ้นห้องไปพักผ่อน
“น้าเอาของขึ้นไปไว้ในห้องให้แล้วนะครับ” พ่อบ้านเดินมาบอกขณะผมกำลังจะขึ้นบันได
“ขอบคุณครับน้ากร”
พอเข้ามาในห้องและปิดประตู ผมก็ตรงไปยังเตียงและทิ้งตัวนอนอย่างเหนื่อยล้า แม้ดวงตาจะหรี่ปรือเพราะรู้สึกง่วง แต่ผมกลับดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วพิมพ์ข้อความส่งไปหาปราการ เขาตอบกลับมาแทบจะทันทีว่าใกล้จะถึงแล้ว
ขณะนอนกลิ้งไปมาบนเตียง สายตาก็พลันเหลือบไปมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย แล้วมันก็ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่อิตาลี ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ที่นั่นก็คงประมาณเก้าโมงเช้า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาคงตื่นนอนแล้ว เขาตื่นเช้าเสมอ ผมกดเข้าไปในสมุดรายชื่อ เลื่อนหาหมายเลขต่างประเทศที่บันทึกไว้เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อหาเจอแล้วก็ยันตัวลุกนั่ง หัวใจเต้นแรงจนเสื้อขยับตามจังหวะ
โทรเลยดีไหมนะ ความคิดนี้ทำให้ผมกระวนกระวายจนกระสับกระส่าย ผมสู้รบกับจิตใจตัวเองอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายก็ลุกจากเตียงไปลากเก้าอี้มานั่งข้างหน้าต่างที่เปิดไว้
เลือดสูบฉีดขณะมองหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ นิ้วโป้งค้างอยู่เหนือปุ่มโทรออก ผมนับหนึ่งถึงสามก่อนจะตัดสินใจกด อาการคลื้นไส้จู่โจมเมื่อได้ยินเสียงรอสาย มันดังยาวนานพอที่จะเริ่มทำให้เสียความมั่นใจ ชั่วขณะที่เกิดความคิดว่าจะกดวาง ทันใดนั้นก็มีคนรับสาย ความหนาวเย็นแผ่วูบไปทั่วสันหลัง
“เชา”
มีผู้หญิงตอบรับ ไม่รู้ทำไมผมถึงแปลกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้จึงเริ่มสนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับเธอ ผมแนะนำตัวและบอกว่าโทรจากประเทศไทย ผมได้เบอร์โทรนี้จากจดหมายฉบับหนึ่งที่ผู้ส่งชื่อ ‘คิมหันต์’ เขียนส่งมาถึงเมื่อหลายเดือนก่อน เขาบอกให้ผมโทรหาเขา
เธอรับทราบและบอกให้ถือสายรอสักครู่ ระหว่างนั้นผมจึงฆ่าเวลาด้วยการมองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมด้วยเมฆฝนดำครึ้ม มืดมัวเหมือนอารมณ์ความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้
“ฮัลโหล”
“...”
“ฮัลโหล นิรันดร์ใช่ไหม?”
“...”
“ฮะ...ฮัลโหล”
“คิม”
“รัน!”
เราต่างคนต่างเงียบ ทว่ามันเป็นความเงียบที่สบายใจที่สุด ผมไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตากำลังไหลจนกระทั่งเสียงสะอื้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากอันสั่นระริก
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมได้ยินเสียงของคิมหันต์ น้ำเสียงที่อยู่ในห้วงความทรงจำ ความฝันและยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทส่วนลึก นับตั้งแต่วันที่จากลากันจนกระทั่งวันนี้
มือซ้ายของผมบีบกรอบหน้าต่างแน่น ราวกับกำลังระบายอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของผมในตอนนี้
“สบายดีไหม” ผมเลือกเปิดบทสนทนาด้วยคำถามที่เป็นมิตร แทนที่จะถามว่า นายหายหัวไปไหนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการถามมากกว่า
“ตอนนี้สบายดี” เขาตอบ น้ำเสียงฟังดูสั่นและประหม่า “แล้วนายล่ะสบายดีไหม เป็นยังไงบ้าง เราคิดถึงนายมากเลย”
“...”
แม้จะมีคำพูดมากมายอยู่ในหัว แต่พอถึงเวลากลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น ราวกับประโยคทั้งหมดไหลมาจุกเป็นก้อนที่คอหอย
ระหว่างที่เงียบนั้นผมคิดในใจว่า ถ้าเขาคิดถึงผมจริงทำไมถึงเงียบหายไปล่ะ อะไรคือสาเหตุแท้จริงที่ขวางกั้นไม่ให้เขาติดต่อหาผม
“รันอย่าวางสายนะ คุยกับเราก่อน”
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอก่อนจะเอ่ยถามอย่างยากเย็น
“นายอยู่ที่ไหน”
“อยู่อิตาลี”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ติดต่อมา”
เขาเงียบ และมันเป็นความเงียบที่ทำให้ผมโกรธจนน้ำตายิ่งไหลพรั่งพรู มือไม้สั่นไปหมด
“เราถูกส่งไปที่หนึ่ง มะ...มันแย่มาก”
ผมปาดน้ำตาพลางแสยะยิ้ม
“อ่อเหรอ ยังมีอะไรแย่กว่าถูกทิ้งให้รอตั้งเกือบยี่สิบปีไหมคิม มันนานมากเลยนะ! นานมากจริง ๆ! นายรู้ไหมว่าคนทางนี้ทรมานแค่ไหน! เหอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย!” ผมระเบิดออกไป ทั้งโทสะและอารมณ์ทุกอย่างที่สะสมไว้ถูกระบายด้วยคำพูดเสียดสีเจ็บแสบ
“ขอโทษ”
ผมเมินคำขอโทษของเขาและยังคงพูดขึ้นเสียงต่อไป ผมไม่สนว่าใครอาจผ่านมาได้ยินเข้า
“ว่าไง หายหัวไปไหนมา!”
“...”
แม้เสียงหอบหายใจปนสะอื้นของผมจะค่อนข้างดัง แต่ผมก็ได้ยินเสียงสูดจมูกแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย คิมหันต์กำลังร้องไห้ แน่ล่ะเขาคงเริ่มสำนึกผิด บางทีบาปคงกำลังกัดกินหัวใจดวงนั้นที่อาจไม่ได้เต้นเพื่อผมอีกต่อไปแล้ว ผ่านไปสักพักคิมหันต์จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือขึ้นมาว่า
“มีเรื่องเกิดขึ้น แล้วเราก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช”
ผมชะงัก
“วะ...ว่าไงนะ”
เขาพูดประโยคก่อนหน้าซ้ำอีกรอบ หลังจากได้ยินดังนั้น ผมก็ตกใจจนอึ้งและพูดอะไรไม่ออก คิมหันต์กระแอมและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นิ่งสงบ
“พะ...พ่อกับแม่รู้ว่าเราสองคนเขียนจดหมายหากันตลอด แต่ไม่เคยรู้ว่าพวกเราคุยอะไรกัน มันเป็นความผิดขะ...ของเราเองที่ไม่ยอมเปลี่ยนที่อยู่ เราน่าจะเช่าตู้ ป.ณ. ตั้งแต่ย้ายเข้าหอพัก ถ้าทำแบบนั้นคงดีกว่าปล่อยให้นายส่งจดหมายไปที่บ้าน ปกติแม่จะเป็นคนเก็บเอาไว้ให้ ตะ...แต่วันที่เกิดเรื่องดันเป็นวันหยุดของพ่อ ท่านอยู่บ้านคนเดียวและบังเอิญได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ เราสังเกตมานานแล้วว่าพ่ออยากรู้ว่าพวกเราคุยอะไรกัน พ่อเป็นคนขี้สงสัย และเราคงจะแปลกใจมากถ้าท่านไม่แอบอ่านจดหมายนั่นสักวัน”
คิมหันต์สะอื้น
“ระ...เรายังจำสีหน้านั้นได้ สายตาที่พ่อมองมามีทั้งความผิดหวังและขยะแขยง รู้ไหมว่าพ่อถึงขนาดลางานและขับรถไปรับเรามาจากมหา’ลัยเพื่อลากมาคุยเรื่องนี้ที่บ้าน พอรู้ว่าท่านแอบอ่านจดหมายที่นะ...นายส่งมาเราก็รับไม่ได้ โกรธมาก และก็กลัวมากด้วย นายไม่รู้หรอกว่าเวลาพ่อโกรธมันน่ากลัวแค่ไหน แต่อย่างน้อยมะ...แม่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น แม่ช่วยคุยกับพ่อให้ใจเย็น แต่เรากับพ่อต่างหัวเสียก็เลยเริ่มทะเลาะกัน
“สาบานเลย ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยตะโกนใส่หน้าผู้ใหญ่เลยสักครั้ง แต่วันนั้นเราทำเพราะพ่อสั่งให้เราสองคนเลิกคุยกัน เราปฏิเสธ เรารับไม่ได้จริง ๆ พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัว เราเถียงไม่หยุด แล้วเขาก็...ก็...เริ่มทุบตีเรา อะไรอยู่ใกล้มือตอนนั้นท่านคว้ามาเขวี้ยงใส่ไม่ยั้ง เราคะ...คงนอนจมกองเลือดไปแล้วถ้าแม่ไม่เข้ามาห้ามเอาไว้ ละ...แล้วพ่อก็ขับรถออกไป ทิ้งเราไว้แบบนั้นกับแม่
“คืนนั้นแม่คิดว่าเดี๋ยวพ่อก็คงกลับมา แต่ผ่านไปสามวันแล้วพ่อก็ยังไม่กลับ ไม่ไปทำงาน โทรศัพท์มือถือก็ปิด ตอนนั้นความโกรธที่มีต่อพ่อเริ่มหายไป กลายเป็นกังวลแทน เราสองคนขับรถออกตามหาพ่อทุกที่ที่คิดว่าท่านน่าจะไป ทั้งบ้านเพื่อน โรงแรม ท่าเรือและวัดที่เคยไปร่วมมิสซา สุดท้ายก็เจอพ่อที่บาร์เล็ก ๆ ในแทบชานเมือง”
เขาหยุดพัก ผมจึงได้เห็นและได้ยินเสียงฝนตกนอกหน้าต่าง ไม่นานคิมหันต์ก็พูดต่อ
“พ่อเมาเละเทะไม่เป็นผู้เป็นคน เกิดมาไม่เคยเห็นพ่อเป็นแบบนี้เลย พวกเราเอาพ่อกลับบ้านจนได้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านก็ไม่มองหน้าเราอีกเลย แม่เครียดมากเพราะหลังจากนั้นพ่อก็เอาแต่ออกไปข้างนอกแทบทุกคืน แถมยังติดเหล้าอีกด้วย เราเองก็คิดมากไม่แพ้กันจนแทบไม่มีสมาธิเรียน รู้ไหมว่าเราอยากคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายมาก แต่เราก็กลัวว่าถ้ายังติดต่อหานาย สักวันหนึ่งนายอาจเจอปัญหาแบบเรา ฉะนั้นก็เลยเก็บเงียบไว้
“ขอโทษที่จู่ ๆ ก็หายไปแบบนั้นนะ เรารู้ว่านายคงเสียใจและเป็นห่วงมาก ตอนนี้ถ้าอยากจะด่าจะว่าอะไรก็เชิญเลย”
ข้อมูลที่ได้รับทำให้สมองผมตื่อ นี่ไม่ใช่คำตอบที่คาดว่าจะได้ยิน แม้ว่าสิ่งที่เขาเล่าจะฟังดูน่าเชื่อถือ หากแต่ผมกลับอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจกำลังโกหกเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเชื่อคำพูดของเขาโดยทันที แต่ระยะเวลาเกือบยี่สิบปีสามารถเปลี่ยนมนุษย์ไปได้ไม่มากก็น้อย แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เว้น บางทีตอนนี้ผมแทบไม่รู้จักเขาเลยก็ได้
ผมตั้งสติและเรียบเรียงข้อมูลในหัว จากนั้นก็เอ่ยถามแข่งกับเสียงฝนตกว่า
“นายบอกว่าถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชไม่ใช่เหรอ เรื่องมันเป็นยังไง”
“อ่อใช่ ไปสิ หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเราเลยตัดสินใจพักการเรียน ถึงแม่จะไม่เห็นด้วยแต่เราไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ตอนนั้นเครียดมาก ยิ่งพ่อมาเป็นแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้สิรัน เราโกรธพ่อและอยากหนีไปให้ไกล ๆ ก็จริง แต่พอเห็นท่านในสภาพนั้นก็ทำไม่ได้ มันยิ่งกว่ารู้สึกแย่ที่ต้องมาเห็นท่านเสียใจ”
คิมหันต์สูดจมูกและกระแอม
“แล้ววันหนึ่งพ่อก็เข้ามาหาที่ห้อง ท่านไม่มองหน้าเราเลยขณะคุยกัน พ่อมายื่นข้อเสนอให้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชที่ท่านแนะนำ เราช็อกมากที่ได้ยินแบบนั้น ไม่คิดว่าพ่อจะเลือกทำแบบนี้กับลูก และอีกอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าหมอก็สามารถเป็นพวกรังเกียจรักร่วมเพศได้เหมือนกัน เราคงตะโกนอะไรแรง ๆ ออกไปแน่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่กำลังมองดูอยู่ที่ประตู
“เราอยากให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็จริง แต่ข้อเสนอนั่นก็ออกจะเกินไปเราเลยปฏิเสธ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ช่วยกอบกู้อะไรให้ดีขึ้นเลยสักนิด มีแต่จะยิ่งแย่ลง ๆ ต่อมาพ่อเริ่มหาข้อมูลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มาโต้เถียงกับแม่ บอกว่าระหว่างท่านกับเธอ ใครสักคนต้องมีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือไม่ก็โครโมโซม ลูกก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ นี่ว่าบ้ามากแล้วนะ แต่ที่บ้ายิ่งกว่าก็คือพ่อต้องการขอหย่ากับแม่ พอมาถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เข้าสู่จุดเลวร้ายที่สุด
“รู้ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่เข้มแข็งและอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่เคยด่าว่าอะไรสักคำเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่วิเศษมาก แต่บางทีมันคงถึงขีดสุดเกินกว่าที่ท่านจะรับไหว สุดท้ายแม่ก็เข้ามาขอให้เราลองไปรับการบำบัดจิตตามที่พ่อว่า” เขาถอนหายใจ “ตอนนั้นเราไม่รู้สึกตกใจกับอะไรอีกต่อไปแล้ว และถ้าวิธีนั้นจะช่วยให้พ่อกับแม่สบายใจและอะไร ๆ กลับมาดีขึ้น มันก็คงเป็นทางออกเดียว”
ฟ้าร้องครืนจนกระจกหน้าต่างสั่นสะเทือน ผมหลับตาลง ยิ่งได้ฟังคิมหันต์เล่าก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเคยคิดไปต่าง ๆ นานาว่าคิมหันต์คงทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบางทีอาจนอกใจผม แต่ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงไม่เอ่ะใจว่าบางทีอาจเกิดเรื่องทำนองนี้กับเขา
หลายคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราเป็นไม่ใช่อาการเจ็บป่วยที่รักษาได้ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยสามารถปรับแต่ง แต่มันคือตัวตนที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่การปฏิสนธิ ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้รู้ว่าคิมหันต์ถูกกระทำแบบนั้น และละอายมากที่เอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองไปวัน ๆ ในขณะที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง
ในสถานการณ์เลวร้ายของชีวิต เราต่างหวังว่าคนใกล้ตัวจะเป็นที่พึ่งให้เราได้ และมันคงเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเมื่อบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบุพการีหันหลังให้เพียงเพราะเราไม่เป็นเหมือนคนอื่น ๆ
ใครกันหนอจะมารับผิดชอบเรื่องพวกนี้
บาดแผลที่อยู่ในใจของคิมหันต์
“มันคือเรื่องจริงใช่ไหม” แม้จะฟังดูน่าเกลียด แต่ผมก็ถามเพื่อขอการยืนยัน
“จริงสิ จะโกหกไปทำไม” น้ำเสียงนั้นช่างเศร้ายิ่งนักจนหัวใจปวดหนึบ
น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยความรู้สึกผิด โทสะและคำพูดที่ระบายใส่คิมหันต์เมื่อก่อนหน้า ตอนนี้ย้อนกลับมาแทงตัวเองเหมือนมีดแหลมคม หากว่าเขาพูดความจริงทั้งหมด เรื่องที่เกิดขึ้นกับคิมหันต์ก็นับว่าหนักหนาและโหดร้ายสุดแสนจะบรรยาย
ที่ผ่านมาสำหรับตัวผม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมสารภาพกับธิดา หรือล่าสุดที่เปิดใจเล่าทุกอย่างกับคุณพ่ออรรถพล ทั้งสองเหตุการณ์ล้วนผ่านไปได้ด้วยดีราวปาฏิหาริย์ ผมจึงไม่เคยต้องเผชิญกับความผิดหวังเสียใจซึ่ง ๆ หน้าเลยสักครั้ง และผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องนี้กับทางครอบครัว
“ฝนตกเหรอ” จู่ ๆ คิมหันต์ก็ถามขึ้นมา
แม้จะสับสนแต่ผมก็รีบตอบกลับไป
“อ่อใช่ ตกหนักมาก พายุน่าจะเข้า”
“อืม”
“คิม อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะส่งข่าวมาบอกกันสักนิดเพื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เงียบไปแบบนั้นรู้ไหมคนฝั่งนี้ใจคอไม่ดี”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้รันเดือดร้อนไปด้วย อีกอย่างนายช่วยเรื่องนี้ไม่ได้หรอกรัน แต่ก็ขอบคุณนะ แค่ตอนนี้นายยอมคุยด้วยเราก็ดีใจมากแล้ว”
ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ
“ขอโทษนะ ขอโทษที่พูดจาไม่ดีและสำหรับทุก ๆ อย่าง เรามันเป็นแฟนที่ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ก็รันไม่รู้นี่นา เราผิดเองที่ไม่ส่งข่าว” คิมหันต์กล่าว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นมาเล็กน้อย “ว่าแต่เรายังเป็นแฟนกันอยู่ใช่ไหม”
เมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปผมก็หน้าแดง แต่ความละอายกดผมเอาไว้ไม่ให้เริงรื่นเกินเหตุ จึงทำได้เพียงแค่พูดเรียบ ๆ ว่า
“ก็ถ้านายยังอยากเป็นเราก็ยินดี”
“อยากสิ!” เขาบอก “รู้ไหมว่าเรากลัวว่านายน่ะมีแฟนใหม่ไปแล้ว”
ผมเม้มปาก
“อันที่จริงก็เกือบ ๆ นะ”
“แล้วทำไมไม่มีล่ะ”
ผมเงียบ ทำไมน่ะหรือ? ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้คำตอบนั้นดีแก่ใจอยู่แล้ว
“นายก็รู้ว่าเพราะอะไร” ผมตอบ
“ไม่รู้หรอก บอกมาเถอะ” ความทะเล้นในน้ำเสียงชวนให้คิดถึงวันวานเมื่อครั้นยังเป็นหนุ่ม
“ก็เพราะว่ายังมีความหวังกับนายไง หวังว่าสักวันนายจะติดต่อกลับมา หรือถ้านั่นยังไม่ชัดเจนพอล่ะก็ ใช่ ฉันยังรักนาย”
ผมทอดมองออกนอกหน้าต่างหลังพูดประโยคนั้นจบ รู้สึกดีที่ได้พูดสิ่งที่ต้องการ
“ขอบคุณที่ยังรักกันนะ” คิมหันต์สูดจมูก “เราก็รักนายเหมือนกัน รักเสมอ”
แล้วผมก็ย้อนถามคำถามแบบเดียวกับที่เขาถามผมเมื่อก่อนหน้า
“แล้วนายล่ะ ไม่คิดจะมีใครบ้างเหรอ”
“ไม่เคย ก็มีนายอยู่แล้วไง”
คำตอบเรียบง่ายของคิมหันต์ทำให้ผมอยากเข้าไปสารภาพบาปกับพระสันตะปาปา ที่ผ่านมาผมเคยกอบโกยความสุขชั่วครั้งชั่วคราวกับคนอื่นเพิ่มเติมเต็มช่องว่าง ผมอึ้งจนเผลอหลุดสะอื้นเสียงดัง
“อยากเห็นหน้านายจังเลย” เขาพูดเสียงสั่น
“อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน” ผมบอก
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผมเป็นครั้งแรก ผมใช้หลังมือซ้ายเช็ดออก ดีใจที่สุดที่ได้ยินเสียงและได้พูดคุยกับคิมหันต์ แม้ว่าสิ่งที่ได้ฟังจะทำให้หัวใจแทบสลาย ทว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะเต็มไปด้วยบาดแผลและความบอบช้ำ แต่ผมจะเป็นคนเยียวยารักษาเขาเอง
ผมตั้งใจจะคุยต่อเพื่อถามอะไรให้มากกว่านี้ ผมอยากรู้ว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาหายไปนานขนาดนี้ใช่ไหม แต่คิมหันต์ต้องไปช่วยเปิดร้านแล้ว ตอนนี้เขาทำงานเป็นพนักงานที่ร้านอาหารพื้นเมืองของโรมิลดา ซึ่งก็คือผู้หญิงที่มารับสายตอนแรก
“นี่คือเบอร์มือถือของเรา” ผมบอกให้เขาจด “นายไม่มีเบอร์มือถือเหรอ”
“เราไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ มีอะไรก็โทรมาที่เบอร์ร้านของโรมิลดาเลย เราพักอยู่ที่นี่ เธอใจดีมาก”
“อ่อ โอเค” แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่มันก็ยิ่งทำให้ผมสงสัย
“ดีใจที่ได้คุยกันอีกนะรัน แต่ตอนนี้ต้องไปแล้วล่ะ รักนะ”
“รักเหมือนกัน”
แล้วเขาก็วางสาย ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นจนดับไปเอง จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง ฟังเสียงฝนตกเปาะแปะด้วยอารมณ์ความรู้สึกผสมปนเป ทั้งดีใจ หดหู่ เศร้าและมีความสุข
ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ผมอยากโทษอะไรบางอย่าง จะโทษตัวเองแต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยโทษฐานใด ครั้นจะโทษคิมหันต์ก็ทำไม่ได้เพราะเขาน่าสงสารมาก มันไม่ใช่ความผิดของใคร ดังนั้นผมจึงมาลงที่พระเจ้า ได้แต่ตัดพ้อพระองค์อยู่ในใจ เพราะใครเหล่าจะอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งนอกจากพระองค์ท่าน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาคิดวิเคราะห์ดี ๆ ผมเดาว่าคิมหันต์คงไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย เพราะการพักอยู่ที่ทำงานไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ มันอาจหมายถึงเขาต้องพึ่งพาเลี้ยงดูตัวเองอย่างลำบาก ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ตัดหางปล่อยวัด คิมหันต์ก็คงตัดสินใจเลือกทำแบบนี้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับเขาอีก แม้จะไม่รู้ว่าต้องช่วยด้วยวิธีไหน แต่ผมก็ขอให้คำสัญญา
จากนั้นไม่นานฝนก็หยุดตก เมฆดำเคลื่อนผ่านไป เปิดท้องฟ้าสดใสให้แสงแดดสาดส่องลงมา ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนแสงระยิบระยับเป็นสีทอง สักพักผมก็ลุกจากเก้าอี้และลงไปคุกเข่าข้างเตียง ยื่นแขนเข้าไปใต้นั้นและดึงกล่องใบหนึ่งออกมา มันมีฝุ่นจับเล็กน้อย
ผมถือมันมาที่หน้าต่าง นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมและวางกล่องไว้บนตัก สภาพของมันยังคงเหมือนครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้ แล้วผมก็เริ่มแกะเชือกและเปิดดูของที่อยู่ข้างใน ผมนั่งอ่านจดหมายเก่า ๆ ดูรูปภาพและระลึกความหลังเงียบ ๆ รอยยิ้มวาดบนใบหน้า โดยมีรุ้งกินน้ำสีสันสดใสพาดโค้งสวยงามอยู่เหนือภูเขาด้านนอก
“อ้าว ตารัน ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนใกล้จะถึง แม่จะได้เตรียมอะไรไว้ให้ทาน” เมื่อแม่บุญธรรมเห็นผมปรากฏตัวก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ ใบหน้าเหี่ยวย่นผุดผ่องด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมไม่อยากรบกวน” ผมสวมกอดท่านพลางมองไปรอบ ๆ บ้าน “คนอื่น ๆ ไปไหนกันเหรอครับ”
“พ่อกับน้อง ๆ เข้าไปในไร่ด้วยกัน แต่ว่าฝนกำลังจะตกแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ” เธอตอบหลังจากเราคลายอ้อมกอด
แม้จะอยากขึ้นไปพักที่ห้อง ทว่าผมก็ไม่อยากขัดใจคุณแม่ ดังนั้นจึงยอมนั่งทานข้าวผัดหมูที่เธอปรุงให้ภายในเวลาอันรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง พอทานเสร็จ ทุกคนก็กลับมาถึงบ้านพอดี
ผมกราบสวัสดีพ่อบุญธรรมพร้อมมอบอ้อมกอดแน่น ๆ จากนั้นก็หันมาทักทายน้อง ๆ ตอนนี้มาลีกับอนุชากลับมาอยู่บ้านตอนปิดเทอม ทั้งคู่ล้วนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว และกำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย มาลีเลือกเรียนสายครุศาสตร์เอกภาษาไทย ส่วนอนุชาตัดสินใจเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน เราแลกอ้อมกอดและมองใบหน้ากันและกันด้วยความคิดถึง แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้
“พี่จะอยู่ที่นี่กี่วันคะ” มาลีถามเสียงสดใส
“อาทิตย์นึง”
“แป๊บเดียวเอง พี่อยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอ” อนุชากล่าวอย่างเซ็ง ๆ เขาคงอยากได้เพื่อนใหม่เพื่อชวนคุยเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดาว่ามาลีคงเอือมระอามากแล้ว
“พี่ต้องกลับไปทำงานทำธุระ ว่าง ๆ พวกเธอก็แวะไปหาพี่ที่คอนโดบ้างสิ”
พวกเขาพยักหน้า จากนั้นเราทั้งหมดก็พากันมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น สักพักป้าแววก็นำน้ำส้มมาเสิร์ฟ
“แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยัง พ่อจะได้ให้ป้าแววทำกับข้าวให้” พ่อบุญธรรมถามอย่างเอาใส่ใจ
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณ ไม่ต้องห่วง” หญิงสูงวัยพูดยิ้ม ๆ ทำให้คุณสามียิ้มตามไปด้วย
“แล้วงานบวชเป็นไงบ้าง” พ่อชวนคุย
“ดีครับ คนไปร่วมเยอะมากจนต้องเสริมเก้าอี้ออกมานอกวัดเลย”
“เสียดายเราน่าจะไปรวมงานด้วยนะคุณ” แม่กล่าวอย่างนึกเสียดาย
“นั่นน่ะสิ ถ้าไม่ติดธุระก็คงได้พาคุณกับเด็ก ๆ ไป”
พวกเรานั่งคุยกันเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ก่อนที่ผมจะขอตัวขึ้นห้องไปพักผ่อน
“น้าเอาของขึ้นไปไว้ในห้องให้แล้วนะครับ” พ่อบ้านเดินมาบอกขณะผมกำลังจะขึ้นบันได
“ขอบคุณครับน้ากร”
พอเข้ามาในห้องและปิดประตู ผมก็ตรงไปยังเตียงและทิ้งตัวนอนอย่างเหนื่อยล้า แม้ดวงตาจะหรี่ปรือเพราะรู้สึกง่วง แต่ผมกลับดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วพิมพ์ข้อความส่งไปหาปราการ เขาตอบกลับมาแทบจะทันทีว่าใกล้จะถึงแล้ว
ขณะนอนกลิ้งไปมาบนเตียง สายตาก็พลันเหลือบไปมองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย แล้วมันก็ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่อิตาลี ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ที่นั่นก็คงประมาณเก้าโมงเช้า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาคงตื่นนอนแล้ว เขาตื่นเช้าเสมอ ผมกดเข้าไปในสมุดรายชื่อ เลื่อนหาหมายเลขต่างประเทศที่บันทึกไว้เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อหาเจอแล้วก็ยันตัวลุกนั่ง หัวใจเต้นแรงจนเสื้อขยับตามจังหวะ
โทรเลยดีไหมนะ ความคิดนี้ทำให้ผมกระวนกระวายจนกระสับกระส่าย ผมสู้รบกับจิตใจตัวเองอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายก็ลุกจากเตียงไปลากเก้าอี้มานั่งข้างหน้าต่างที่เปิดไว้
เลือดสูบฉีดขณะมองหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ นิ้วโป้งค้างอยู่เหนือปุ่มโทรออก ผมนับหนึ่งถึงสามก่อนจะตัดสินใจกด อาการคลื้นไส้จู่โจมเมื่อได้ยินเสียงรอสาย มันดังยาวนานพอที่จะเริ่มทำให้เสียความมั่นใจ ชั่วขณะที่เกิดความคิดว่าจะกดวาง ทันใดนั้นก็มีคนรับสาย ความหนาวเย็นแผ่วูบไปทั่วสันหลัง
“เชา”
มีผู้หญิงตอบรับ ไม่รู้ทำไมผมถึงแปลกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้จึงเริ่มสนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับเธอ ผมแนะนำตัวและบอกว่าโทรจากประเทศไทย ผมได้เบอร์โทรนี้จากจดหมายฉบับหนึ่งที่ผู้ส่งชื่อ ‘คิมหันต์’ เขียนส่งมาถึงเมื่อหลายเดือนก่อน เขาบอกให้ผมโทรหาเขา
เธอรับทราบและบอกให้ถือสายรอสักครู่ ระหว่างนั้นผมจึงฆ่าเวลาด้วยการมองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมด้วยเมฆฝนดำครึ้ม มืดมัวเหมือนอารมณ์ความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้
“ฮัลโหล”
“...”
“ฮัลโหล นิรันดร์ใช่ไหม?”
“...”
“ฮะ...ฮัลโหล”
“คิม”
“รัน!”
เราต่างคนต่างเงียบ ทว่ามันเป็นความเงียบที่สบายใจที่สุด ผมไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตากำลังไหลจนกระทั่งเสียงสะอื้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากอันสั่นระริก
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมได้ยินเสียงของคิมหันต์ น้ำเสียงที่อยู่ในห้วงความทรงจำ ความฝันและยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทส่วนลึก นับตั้งแต่วันที่จากลากันจนกระทั่งวันนี้
มือซ้ายของผมบีบกรอบหน้าต่างแน่น ราวกับกำลังระบายอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของผมในตอนนี้
“สบายดีไหม” ผมเลือกเปิดบทสนทนาด้วยคำถามที่เป็นมิตร แทนที่จะถามว่า นายหายหัวไปไหนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการถามมากกว่า
“ตอนนี้สบายดี” เขาตอบ น้ำเสียงฟังดูสั่นและประหม่า “แล้วนายล่ะสบายดีไหม เป็นยังไงบ้าง เราคิดถึงนายมากเลย”
“...”
แม้จะมีคำพูดมากมายอยู่ในหัว แต่พอถึงเวลากลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น ราวกับประโยคทั้งหมดไหลมาจุกเป็นก้อนที่คอหอย
ระหว่างที่เงียบนั้นผมคิดในใจว่า ถ้าเขาคิดถึงผมจริงทำไมถึงเงียบหายไปล่ะ อะไรคือสาเหตุแท้จริงที่ขวางกั้นไม่ให้เขาติดต่อหาผม
“รันอย่าวางสายนะ คุยกับเราก่อน”
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอก่อนจะเอ่ยถามอย่างยากเย็น
“นายอยู่ที่ไหน”
“อยู่อิตาลี”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ติดต่อมา”
เขาเงียบ และมันเป็นความเงียบที่ทำให้ผมโกรธจนน้ำตายิ่งไหลพรั่งพรู มือไม้สั่นไปหมด
“เราถูกส่งไปที่หนึ่ง มะ...มันแย่มาก”
ผมปาดน้ำตาพลางแสยะยิ้ม
“อ่อเหรอ ยังมีอะไรแย่กว่าถูกทิ้งให้รอตั้งเกือบยี่สิบปีไหมคิม มันนานมากเลยนะ! นานมากจริง ๆ! นายรู้ไหมว่าคนทางนี้ทรมานแค่ไหน! เหอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย!” ผมระเบิดออกไป ทั้งโทสะและอารมณ์ทุกอย่างที่สะสมไว้ถูกระบายด้วยคำพูดเสียดสีเจ็บแสบ
“ขอโทษ”
ผมเมินคำขอโทษของเขาและยังคงพูดขึ้นเสียงต่อไป ผมไม่สนว่าใครอาจผ่านมาได้ยินเข้า
“ว่าไง หายหัวไปไหนมา!”
“...”
แม้เสียงหอบหายใจปนสะอื้นของผมจะค่อนข้างดัง แต่ผมก็ได้ยินเสียงสูดจมูกแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย คิมหันต์กำลังร้องไห้ แน่ล่ะเขาคงเริ่มสำนึกผิด บางทีบาปคงกำลังกัดกินหัวใจดวงนั้นที่อาจไม่ได้เต้นเพื่อผมอีกต่อไปแล้ว ผ่านไปสักพักคิมหันต์จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือขึ้นมาว่า
“มีเรื่องเกิดขึ้น แล้วเราก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช”
ผมชะงัก
“วะ...ว่าไงนะ”
เขาพูดประโยคก่อนหน้าซ้ำอีกรอบ หลังจากได้ยินดังนั้น ผมก็ตกใจจนอึ้งและพูดอะไรไม่ออก คิมหันต์กระแอมและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นิ่งสงบ
“พะ...พ่อกับแม่รู้ว่าเราสองคนเขียนจดหมายหากันตลอด แต่ไม่เคยรู้ว่าพวกเราคุยอะไรกัน มันเป็นความผิดขะ...ของเราเองที่ไม่ยอมเปลี่ยนที่อยู่ เราน่าจะเช่าตู้ ป.ณ. ตั้งแต่ย้ายเข้าหอพัก ถ้าทำแบบนั้นคงดีกว่าปล่อยให้นายส่งจดหมายไปที่บ้าน ปกติแม่จะเป็นคนเก็บเอาไว้ให้ ตะ...แต่วันที่เกิดเรื่องดันเป็นวันหยุดของพ่อ ท่านอยู่บ้านคนเดียวและบังเอิญได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ เราสังเกตมานานแล้วว่าพ่ออยากรู้ว่าพวกเราคุยอะไรกัน พ่อเป็นคนขี้สงสัย และเราคงจะแปลกใจมากถ้าท่านไม่แอบอ่านจดหมายนั่นสักวัน”
คิมหันต์สะอื้น
“ระ...เรายังจำสีหน้านั้นได้ สายตาที่พ่อมองมามีทั้งความผิดหวังและขยะแขยง รู้ไหมว่าพ่อถึงขนาดลางานและขับรถไปรับเรามาจากมหา’ลัยเพื่อลากมาคุยเรื่องนี้ที่บ้าน พอรู้ว่าท่านแอบอ่านจดหมายที่นะ...นายส่งมาเราก็รับไม่ได้ โกรธมาก และก็กลัวมากด้วย นายไม่รู้หรอกว่าเวลาพ่อโกรธมันน่ากลัวแค่ไหน แต่อย่างน้อยมะ...แม่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น แม่ช่วยคุยกับพ่อให้ใจเย็น แต่เรากับพ่อต่างหัวเสียก็เลยเริ่มทะเลาะกัน
“สาบานเลย ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยตะโกนใส่หน้าผู้ใหญ่เลยสักครั้ง แต่วันนั้นเราทำเพราะพ่อสั่งให้เราสองคนเลิกคุยกัน เราปฏิเสธ เรารับไม่ได้จริง ๆ พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัว เราเถียงไม่หยุด แล้วเขาก็...ก็...เริ่มทุบตีเรา อะไรอยู่ใกล้มือตอนนั้นท่านคว้ามาเขวี้ยงใส่ไม่ยั้ง เราคะ...คงนอนจมกองเลือดไปแล้วถ้าแม่ไม่เข้ามาห้ามเอาไว้ ละ...แล้วพ่อก็ขับรถออกไป ทิ้งเราไว้แบบนั้นกับแม่
“คืนนั้นแม่คิดว่าเดี๋ยวพ่อก็คงกลับมา แต่ผ่านไปสามวันแล้วพ่อก็ยังไม่กลับ ไม่ไปทำงาน โทรศัพท์มือถือก็ปิด ตอนนั้นความโกรธที่มีต่อพ่อเริ่มหายไป กลายเป็นกังวลแทน เราสองคนขับรถออกตามหาพ่อทุกที่ที่คิดว่าท่านน่าจะไป ทั้งบ้านเพื่อน โรงแรม ท่าเรือและวัดที่เคยไปร่วมมิสซา สุดท้ายก็เจอพ่อที่บาร์เล็ก ๆ ในแทบชานเมือง”
เขาหยุดพัก ผมจึงได้เห็นและได้ยินเสียงฝนตกนอกหน้าต่าง ไม่นานคิมหันต์ก็พูดต่อ
“พ่อเมาเละเทะไม่เป็นผู้เป็นคน เกิดมาไม่เคยเห็นพ่อเป็นแบบนี้เลย พวกเราเอาพ่อกลับบ้านจนได้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านก็ไม่มองหน้าเราอีกเลย แม่เครียดมากเพราะหลังจากนั้นพ่อก็เอาแต่ออกไปข้างนอกแทบทุกคืน แถมยังติดเหล้าอีกด้วย เราเองก็คิดมากไม่แพ้กันจนแทบไม่มีสมาธิเรียน รู้ไหมว่าเราอยากคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายมาก แต่เราก็กลัวว่าถ้ายังติดต่อหานาย สักวันหนึ่งนายอาจเจอปัญหาแบบเรา ฉะนั้นก็เลยเก็บเงียบไว้
“ขอโทษที่จู่ ๆ ก็หายไปแบบนั้นนะ เรารู้ว่านายคงเสียใจและเป็นห่วงมาก ตอนนี้ถ้าอยากจะด่าจะว่าอะไรก็เชิญเลย”
ข้อมูลที่ได้รับทำให้สมองผมตื่อ นี่ไม่ใช่คำตอบที่คาดว่าจะได้ยิน แม้ว่าสิ่งที่เขาเล่าจะฟังดูน่าเชื่อถือ หากแต่ผมกลับอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจกำลังโกหกเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเชื่อคำพูดของเขาโดยทันที แต่ระยะเวลาเกือบยี่สิบปีสามารถเปลี่ยนมนุษย์ไปได้ไม่มากก็น้อย แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เว้น บางทีตอนนี้ผมแทบไม่รู้จักเขาเลยก็ได้
ผมตั้งสติและเรียบเรียงข้อมูลในหัว จากนั้นก็เอ่ยถามแข่งกับเสียงฝนตกว่า
“นายบอกว่าถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชไม่ใช่เหรอ เรื่องมันเป็นยังไง”
“อ่อใช่ ไปสิ หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเราเลยตัดสินใจพักการเรียน ถึงแม่จะไม่เห็นด้วยแต่เราไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ตอนนั้นเครียดมาก ยิ่งพ่อมาเป็นแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้สิรัน เราโกรธพ่อและอยากหนีไปให้ไกล ๆ ก็จริง แต่พอเห็นท่านในสภาพนั้นก็ทำไม่ได้ มันยิ่งกว่ารู้สึกแย่ที่ต้องมาเห็นท่านเสียใจ”
คิมหันต์สูดจมูกและกระแอม
“แล้ววันหนึ่งพ่อก็เข้ามาหาที่ห้อง ท่านไม่มองหน้าเราเลยขณะคุยกัน พ่อมายื่นข้อเสนอให้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชที่ท่านแนะนำ เราช็อกมากที่ได้ยินแบบนั้น ไม่คิดว่าพ่อจะเลือกทำแบบนี้กับลูก และอีกอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าหมอก็สามารถเป็นพวกรังเกียจรักร่วมเพศได้เหมือนกัน เราคงตะโกนอะไรแรง ๆ ออกไปแน่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่กำลังมองดูอยู่ที่ประตู
“เราอยากให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็จริง แต่ข้อเสนอนั่นก็ออกจะเกินไปเราเลยปฏิเสธ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ช่วยกอบกู้อะไรให้ดีขึ้นเลยสักนิด มีแต่จะยิ่งแย่ลง ๆ ต่อมาพ่อเริ่มหาข้อมูลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มาโต้เถียงกับแม่ บอกว่าระหว่างท่านกับเธอ ใครสักคนต้องมีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือไม่ก็โครโมโซม ลูกก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ นี่ว่าบ้ามากแล้วนะ แต่ที่บ้ายิ่งกว่าก็คือพ่อต้องการขอหย่ากับแม่ พอมาถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เข้าสู่จุดเลวร้ายที่สุด
“รู้ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่เข้มแข็งและอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่เคยด่าว่าอะไรสักคำเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่วิเศษมาก แต่บางทีมันคงถึงขีดสุดเกินกว่าที่ท่านจะรับไหว สุดท้ายแม่ก็เข้ามาขอให้เราลองไปรับการบำบัดจิตตามที่พ่อว่า” เขาถอนหายใจ “ตอนนั้นเราไม่รู้สึกตกใจกับอะไรอีกต่อไปแล้ว และถ้าวิธีนั้นจะช่วยให้พ่อกับแม่สบายใจและอะไร ๆ กลับมาดีขึ้น มันก็คงเป็นทางออกเดียว”
ฟ้าร้องครืนจนกระจกหน้าต่างสั่นสะเทือน ผมหลับตาลง ยิ่งได้ฟังคิมหันต์เล่าก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเคยคิดไปต่าง ๆ นานาว่าคิมหันต์คงทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบางทีอาจนอกใจผม แต่ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงไม่เอ่ะใจว่าบางทีอาจเกิดเรื่องทำนองนี้กับเขา
หลายคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราเป็นไม่ใช่อาการเจ็บป่วยที่รักษาได้ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยสามารถปรับแต่ง แต่มันคือตัวตนที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่การปฏิสนธิ ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้รู้ว่าคิมหันต์ถูกกระทำแบบนั้น และละอายมากที่เอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองไปวัน ๆ ในขณะที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง
ในสถานการณ์เลวร้ายของชีวิต เราต่างหวังว่าคนใกล้ตัวจะเป็นที่พึ่งให้เราได้ และมันคงเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเมื่อบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบุพการีหันหลังให้เพียงเพราะเราไม่เป็นเหมือนคนอื่น ๆ
ใครกันหนอจะมารับผิดชอบเรื่องพวกนี้
บาดแผลที่อยู่ในใจของคิมหันต์
“มันคือเรื่องจริงใช่ไหม” แม้จะฟังดูน่าเกลียด แต่ผมก็ถามเพื่อขอการยืนยัน
“จริงสิ จะโกหกไปทำไม” น้ำเสียงนั้นช่างเศร้ายิ่งนักจนหัวใจปวดหนึบ
น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยความรู้สึกผิด โทสะและคำพูดที่ระบายใส่คิมหันต์เมื่อก่อนหน้า ตอนนี้ย้อนกลับมาแทงตัวเองเหมือนมีดแหลมคม หากว่าเขาพูดความจริงทั้งหมด เรื่องที่เกิดขึ้นกับคิมหันต์ก็นับว่าหนักหนาและโหดร้ายสุดแสนจะบรรยาย
ที่ผ่านมาสำหรับตัวผม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมสารภาพกับธิดา หรือล่าสุดที่เปิดใจเล่าทุกอย่างกับคุณพ่ออรรถพล ทั้งสองเหตุการณ์ล้วนผ่านไปได้ด้วยดีราวปาฏิหาริย์ ผมจึงไม่เคยต้องเผชิญกับความผิดหวังเสียใจซึ่ง ๆ หน้าเลยสักครั้ง และผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องนี้กับทางครอบครัว
“ฝนตกเหรอ” จู่ ๆ คิมหันต์ก็ถามขึ้นมา
แม้จะสับสนแต่ผมก็รีบตอบกลับไป
“อ่อใช่ ตกหนักมาก พายุน่าจะเข้า”
“อืม”
“คิม อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะส่งข่าวมาบอกกันสักนิดเพื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เงียบไปแบบนั้นรู้ไหมคนฝั่งนี้ใจคอไม่ดี”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้รันเดือดร้อนไปด้วย อีกอย่างนายช่วยเรื่องนี้ไม่ได้หรอกรัน แต่ก็ขอบคุณนะ แค่ตอนนี้นายยอมคุยด้วยเราก็ดีใจมากแล้ว”
ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ
“ขอโทษนะ ขอโทษที่พูดจาไม่ดีและสำหรับทุก ๆ อย่าง เรามันเป็นแฟนที่ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ก็รันไม่รู้นี่นา เราผิดเองที่ไม่ส่งข่าว” คิมหันต์กล่าว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นมาเล็กน้อย “ว่าแต่เรายังเป็นแฟนกันอยู่ใช่ไหม”
เมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปผมก็หน้าแดง แต่ความละอายกดผมเอาไว้ไม่ให้เริงรื่นเกินเหตุ จึงทำได้เพียงแค่พูดเรียบ ๆ ว่า
“ก็ถ้านายยังอยากเป็นเราก็ยินดี”
“อยากสิ!” เขาบอก “รู้ไหมว่าเรากลัวว่านายน่ะมีแฟนใหม่ไปแล้ว”
ผมเม้มปาก
“อันที่จริงก็เกือบ ๆ นะ”
“แล้วทำไมไม่มีล่ะ”
ผมเงียบ ทำไมน่ะหรือ? ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้คำตอบนั้นดีแก่ใจอยู่แล้ว
“นายก็รู้ว่าเพราะอะไร” ผมตอบ
“ไม่รู้หรอก บอกมาเถอะ” ความทะเล้นในน้ำเสียงชวนให้คิดถึงวันวานเมื่อครั้นยังเป็นหนุ่ม
“ก็เพราะว่ายังมีความหวังกับนายไง หวังว่าสักวันนายจะติดต่อกลับมา หรือถ้านั่นยังไม่ชัดเจนพอล่ะก็ ใช่ ฉันยังรักนาย”
ผมทอดมองออกนอกหน้าต่างหลังพูดประโยคนั้นจบ รู้สึกดีที่ได้พูดสิ่งที่ต้องการ
“ขอบคุณที่ยังรักกันนะ” คิมหันต์สูดจมูก “เราก็รักนายเหมือนกัน รักเสมอ”
แล้วผมก็ย้อนถามคำถามแบบเดียวกับที่เขาถามผมเมื่อก่อนหน้า
“แล้วนายล่ะ ไม่คิดจะมีใครบ้างเหรอ”
“ไม่เคย ก็มีนายอยู่แล้วไง”
คำตอบเรียบง่ายของคิมหันต์ทำให้ผมอยากเข้าไปสารภาพบาปกับพระสันตะปาปา ที่ผ่านมาผมเคยกอบโกยความสุขชั่วครั้งชั่วคราวกับคนอื่นเพิ่มเติมเต็มช่องว่าง ผมอึ้งจนเผลอหลุดสะอื้นเสียงดัง
“อยากเห็นหน้านายจังเลย” เขาพูดเสียงสั่น
“อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน” ผมบอก
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผมเป็นครั้งแรก ผมใช้หลังมือซ้ายเช็ดออก ดีใจที่สุดที่ได้ยินเสียงและได้พูดคุยกับคิมหันต์ แม้ว่าสิ่งที่ได้ฟังจะทำให้หัวใจแทบสลาย ทว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะเต็มไปด้วยบาดแผลและความบอบช้ำ แต่ผมจะเป็นคนเยียวยารักษาเขาเอง
ผมตั้งใจจะคุยต่อเพื่อถามอะไรให้มากกว่านี้ ผมอยากรู้ว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาหายไปนานขนาดนี้ใช่ไหม แต่คิมหันต์ต้องไปช่วยเปิดร้านแล้ว ตอนนี้เขาทำงานเป็นพนักงานที่ร้านอาหารพื้นเมืองของโรมิลดา ซึ่งก็คือผู้หญิงที่มารับสายตอนแรก
“นี่คือเบอร์มือถือของเรา” ผมบอกให้เขาจด “นายไม่มีเบอร์มือถือเหรอ”
“เราไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ มีอะไรก็โทรมาที่เบอร์ร้านของโรมิลดาเลย เราพักอยู่ที่นี่ เธอใจดีมาก”
“อ่อ โอเค” แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่มันก็ยิ่งทำให้ผมสงสัย
“ดีใจที่ได้คุยกันอีกนะรัน แต่ตอนนี้ต้องไปแล้วล่ะ รักนะ”
“รักเหมือนกัน”
แล้วเขาก็วางสาย ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นจนดับไปเอง จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง ฟังเสียงฝนตกเปาะแปะด้วยอารมณ์ความรู้สึกผสมปนเป ทั้งดีใจ หดหู่ เศร้าและมีความสุข
ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ผมอยากโทษอะไรบางอย่าง จะโทษตัวเองแต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยโทษฐานใด ครั้นจะโทษคิมหันต์ก็ทำไม่ได้เพราะเขาน่าสงสารมาก มันไม่ใช่ความผิดของใคร ดังนั้นผมจึงมาลงที่พระเจ้า ได้แต่ตัดพ้อพระองค์อยู่ในใจ เพราะใครเหล่าจะอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งนอกจากพระองค์ท่าน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาคิดวิเคราะห์ดี ๆ ผมเดาว่าคิมหันต์คงไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย เพราะการพักอยู่ที่ทำงานไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ มันอาจหมายถึงเขาต้องพึ่งพาเลี้ยงดูตัวเองอย่างลำบาก ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ตัดหางปล่อยวัด คิมหันต์ก็คงตัดสินใจเลือกทำแบบนี้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับเขาอีก แม้จะไม่รู้ว่าต้องช่วยด้วยวิธีไหน แต่ผมก็ขอให้คำสัญญา
จากนั้นไม่นานฝนก็หยุดตก เมฆดำเคลื่อนผ่านไป เปิดท้องฟ้าสดใสให้แสงแดดสาดส่องลงมา ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนแสงระยิบระยับเป็นสีทอง สักพักผมก็ลุกจากเก้าอี้และลงไปคุกเข่าข้างเตียง ยื่นแขนเข้าไปใต้นั้นและดึงกล่องใบหนึ่งออกมา มันมีฝุ่นจับเล็กน้อย
ผมถือมันมาที่หน้าต่าง นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมและวางกล่องไว้บนตัก สภาพของมันยังคงเหมือนครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้ แล้วผมก็เริ่มแกะเชือกและเปิดดูของที่อยู่ข้างใน ผมนั่งอ่านจดหมายเก่า ๆ ดูรูปภาพและระลึกความหลังเงียบ ๆ รอยยิ้มวาดบนใบหน้า โดยมีรุ้งกินน้ำสีสันสดใสพาดโค้งสวยงามอยู่เหนือภูเขาด้านนอก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ