เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) เทศกาลแห่งรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงวันที่สิบสาม เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์เต็มตัว ผู้คนเกือบทั้งประเทศหยุดทำงานเพื่อฉลองและพักผ่อน ยกเว้นคิมหันต์ที่ยังคงตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อออกไปวิ่งในซอยและกลับมาพร้อมกับโจ๊กใส่ไข่ทุกเช้า ซึ่งตั้งแต่ที่เรามีอะไรกัน (แทบทุกวัน) เขาก็ไม่ลากผมไปวิ่งด้วยอีกเลย ปล่อยให้นอนจนเต็มอิ่มอยู่บนเตียงนอนอุ่นสบายของเขา
เช่นเดียวกับเช้าวันนี้...
“เชา เบลล่า!” คิมหันต์ทักทายอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นผมลงบันไดมาชั้นล่าง เขาเองก็กำลังเดินไปทางห้องครัวพอดี มือข้างหนึ่งถือถุงโจ๊กเอาไว้
ผมทักทายกลับเสียงยานคางด้วยความงัวเงีย พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ร่างสูง
“ข้างนอกเริ่มเล่นน้ำกันแล้วเหรอ นี่ยังเช้าอยู่เลย” ผมมุ่นคิ้ว สังเกตว่าเนื้อตัวคิมหันต์ค่อนข้างเปียกชุ่มทีเดียว
“ยังหรอก นี่เหงื่อต่างหาก” เขาบอกพลางสำรวจเรือนร่างสมบูรณ์แบบของตัวเอง จากนั้นก็เบนสายตามองผม แล้วจึงใช้แขนว่างเปล่าอีกข้างรวบเอวและดึงเข้าไปหา
“ทำอะไรน่ะ! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นหรอก!” ผมร้องกระซิบอย่างตกใจ ก่อนจะมองรอบ ๆ โถงทางเดินกลางบ้านอย่างกังวล
“ไม่มีใครเห็นหรอก ลุงจอมกับน้าจำปาลากลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จำไม่ได้เหรอ?”
คิมหันต์อธิบายด้วยสีหน้าฉายแววซุกซน มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก
“ขอจุ๊บหน่อยดิ”
“ไม่ได้! ตัวเปียกขนาดนี้ใครจะอยากให้เข้าใกล้!” ผมเอ็ด สองมือยกขึ้นดันหน้าอกแกร่งเปียกชื้นเมื่อเขาพยายามยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
“อ่า...งั้นแค่หอมแก้มได้ไหม” ชายหนุ่มต่อรองเสียงออดอ้อน “นะ ๆ”
แล้วหมอนี่ก็ทำหน้าสลดในแบบที่สาว ๆ เห็นแล้วต้องใจอ่อน
ผมมองดูอยู่พักหนึ่ง...เม้มปาก...สุดท้ายก็ไม่รอด ผมถอนใจ
“ก็ได้ ๆ แค่หอ --”
ยังไม่ทันขาดคำผมก็ถูกจุ๊บที่ริมฝีปากเสียแล้ว มันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทัน รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ปล่อยมือจากเอวและถอยออกไป
ผมหน้าเหวอ ส่วนคิมหันต์ยืนยิ้มชอบใจอยู่ที่หัวบันได
“น...นาย...ไปอาบน้ำเลยไป๊!”
ผมเขินจนร้อนวูบวาบไปหมด ก่อนจะฉวยถุงโจ๊กจากมืออีกฝ่ายมา แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในห้องครัวโดยไม่สนใจเสียงพูดหยอกล้อเบื้องหลัง
เพียงแค่สัปดาห์กว่า ๆ เท่านั้น ผมยอมรับว่าระหว่างเราพัฒนาไปไกลมากจริง ๆ ทั้งการพูดจา สายตา และการทำเรื่องอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ เราเคยกระทำด้วยความเคอะเขินในช่วงแรก พอผ่านไปแต่ละครั้งเราต่างก็เริ่มเป็นตัวเองมากยิ่งขึ้น กล้าที่จะบอกว่าชอบแบบไหนหรืออยากให้ใครทำอย่างไร เห็นได้ชัดจากคิมหันต์ซึ่งมักขออย่างเอาแต่ใจขึ้นทุกที
แต่ก็นะ ผมกลับยิ่งชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น แสดงออกถึงตัวตนแท้จริงที่จะไม่มีใครมีวันได้เห็นนอกจากผม และต่อหน้าผมเท่านั้น ผมไม่คิดใส่ใจหรอกว่าคิมหันต์จะเคยมีประสบการณ์กับหญิงหรือชายอื่นมาก่อน แม้จะทำให้ผมหงุดหงิดใช้ได้แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราอยู่ด้วยกันตอนนี้
แล้วเสียงโทรศัพท์จากห้องนั่งเล่นก็ดังเรียกสติผมกลับมา ผมรีบแกะโจ๊กใส่ถ้วยก่อนจะวิ่งถลาไปรับสาย
“เชา ฟิกลิโอ มิโอ!” ผู้ชายปลายสายพูดรัวเป็นภาษาอิตาลี
“อ...เอ่อ สวัสดีครับ” ผมตอบกลับ
“ฮัลโหล เอ่อ...นั่นพี่จอมใช่ไหม” เขาถามกลับ พอพูดภาษาไทยแล้วน้ำเสียงฟังดูนุ่มลึกแบบพวกคุณหมอเสียอย่างนั้น
“เปล่าครับ ผมชื่อนิรันดร์ เป็นเอ่อ...เพื่อนของคิม” ผมตระหนักแล้วว่ากำลังคุยอยู่กับใคร จึงเริ่มรู้สึกประหม่าจนใจสั่นมือเย็น
“อ่อ นี่ผมเป็นพ่อของเจ้าคิมนะ” เขาบอก “ว่าแต่มาหาคิมแต่เช้าเลย มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ คือผมมาพักอยู่กับคิมที่นี่ตอนช่วงปิดเทอมน่ะครับ”
“เอ๋…เป็นเพื่อนใหม่รึ” เขาถาม
“ใช่ครับ พ...เพื่อนจากโรงเรียนใหม่”
“ถึงว่าชื่อไม่คุ้นหู แต่ดีแล้วล่ะที่มาอยู่เป็นเพื่อนคิม พ่อเป็นห่วงว่าเขาจะอยู่คนเดียวเหงา ๆ ซะอีก” ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงของเขาจึงฟังดูผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด “ช่วยกันดูแลบ้านด้วยนะลูก แล้วฝากดูเจ้าคิมด้วยล่ะ อย่าให้มันไปพาผู้หญิงที่ไหนเข้าบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว น่ากลัวทั้งโรคติดต่อและก็ของในบ้านด้วย”
ผมบีบหูโทรศัพท์แน่น
“ครับผม”
“คิมอยู่ไหนลูก พ่อขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“คิมอาบน้ำอยู่ข้างบนครับ เขาเพิ่งกลับจากไปวิ่งข้างนอก”
แล้วผมก็แว่วได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไร แต่น้ำเสียงของเธอฟังดูร้อนใจ
“ถ้าคิมอาบน้ำเสร็จแล้วบอกให้โทรกลับหาพ่อหน่อยนะ บอกว่าพ่อรออยู่”
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรลูก พ่อแค่จะคุยธุระนิดหน่อย”
“ได้ครับ แล้วผมจะบอกคิมให้โทรกลับ” เดาว่าคงเป็นเรื่องภายในครอบครัวแน่นอน
ทว่าก่อนจะวางสายผมได้ตัดสินใจพูดประโยคนั้นออกไป
“เอ่อ...สวัสดีปีใหม่นะครับคุณพ่อ ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะครับ”
“โอ ขอบคุณมาก! หนูก็เหมือนกันนะลูก!” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างชื่นบาน “แหม ถ้าเจ้าคิมจะรู้จักประสาเหมือนหนูก็ดีสิ แต่ก็ช่างเถอะ”
เราสนทนากันนิดหน่อยก่อนจะวางสาย แล้วผมก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทานอาหารในห้องครัวตามเดิม จมดิ่งสู่ทะเลแห่งความคิด
คิมหันต์ไม่ได้บอกพ่อแม่เหรอว่าจะพาผมมาที่นี่ตอนปิดเทอม เรื่องนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจพอสมควรราวกับตัวเองเป็นผู้บุกรุก แต่นั่นก็ไม่กวนใจเท่ากับที่พ่อของเขาบอกว่าอย่าให้คิมหันต์พาผู้หญิงมานอนสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านหมายความว่าอย่างไร? แล้วทำไมผมจึงปวดร้าวทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่สนเรื่องพวกนี้
“มาแล้ว” เสียงคิมหันต์ร้องดังมาแต่ไกล ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดลำลองจะหยุดอยู่ตรงปากประตูเมื่อเห็นผมนั่งนิ่งเหมือนตุ๊กตา “เป็นอะไร ทำไมไม่กินก่อน”
“เปล่า” ผมบอกเสียงเรียบ “รอกินพร้อมกันไง”
“เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย มีคนโทรมาหรือเปล่า” เขาถามหลังจากนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะตักโจ๊กขึ้นมาเป่าคล้ายร้อน
“ใช่ พ่อนายโทรมาน่ะ ท่านบอกให้โทรกลับด้วย ท่านกำลังรออยู่”
คิมหันต์วางช้อนลงทันที สีหน้าดูอึดอัดจนค่อนไปทางเคร่งเครียด จากนั้นจึงพยักหน้ารับทราบ
“แล้วพ่อบอกอะไรอีกไหม”
ผมอึกอักลังเล แต่เพราะว่ามันยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่เลิก บวกกับอารมณ์โกรธแปลก ๆ จึงตัดสินใจก้มหน้าพูดออกไป ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“บอกว่า...อย่าให้นายพาผู้หญิงมานอนที่บ้าน”
“อะไรนะ! พ่อก็พูดไปเรื่อย!” เขามีท่าทีตกใจขณะกล่าวอย่างหงุดหงิด “เห็นลูกตัวเองเป็นคนยังไงกันเนี่ย”
“หมายความว่าไง” ผมเงยหน้า
คิมหันต์ถอนหายใจ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้องพูดเรื่องนี้ให้นายฟัง แต่เมื่อก่อนเคยมีสาว ๆ เที่ยวมาด้อม ๆ มอง ๆ หน้าบ้านตลอด บางครั้งก็ไปรอที่คลินิก เราบอกพ่อกับแม่หลายหนแล้วว่าพวกนั้นมาเอง แต่ท่านก็ชอบแซวว่าเราไปหว่านเสน่ห์ใส่ก่อน เห้อ...”
ผมนั่งทำตาปริบ ๆ รู้สึกอึ้งไม่น้อย แต่ก็โล่งใจอย่างมาก
“แล้วเคยพามาบ้านบ้างไหม” ผมแกล้งถามต่อ พร้อมกับทานโจ๊กไปด้วยให้ดูเป็นปกติ
“ไม่เคย!” เขาตอบอย่างฉุน ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วหนา “ทำไม นายหึงรึไง”
ผมไอสำลัก ก่อนจะรีบจิบน้ำล้างคอ
“อะไร ปะ...เปล่าซะหน่อย”
“หึงก็บอกมาเถอะ”
“ไม่ได้หึง ทำไมต้องหึง?” ผมแสร้งทำหน้าตาย
คิมหันต์หรี่ตามอง
“นายโกหกไม่เคยเนียนเลยรู้ไหม ดูง่ายจะตายไป แต่ก็น่ารักดี” พูดจบเขาก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หน้าคมระบายรอยยิ้มสุขใจ
“เงียบไปเลย” ผมเผลออมยิ้มจนแก้มป่อง แล้วเราก็ทานไปด้วยคุยไปด้วยจนกระทั่งหมดถ้วย
หลังจากนั้นคิมหันต์ก็โทรศัพท์ติดต่อไปหาพ่อของเขา ส่วนผมขึ้นไปอาบน้ำข้างบน กลับลงมาอีกทีชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปคุยกับคุณพ่ออรรถพลเสียแล้ว ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยและกล่าวอวยพรท่านไปตามระเบียบ
จากนั้นเราตกลงกันว่าจะออกไปเล่นสงกรานต์ข้างนอกตอนสิบโมง ผมเปลี่ยนไปสวมเสื้อฮาวายสีฟ้าลายดอกทานตะวันที่ขอยืมจากคิมหันต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวค่อนข้างมาก ส่วนเขาใส่เสื้อกล้ามสีขาวที่เผยให้เห็นเนื้อหนังและมัดกล้าม โดยเราใส่กางเกงยีนขาสั้นเหมือนกัน แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับดูเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
“หล่อเกินหน้าเกินตาไปแล้วพ่อคุณ” ผมยืนมองอยู่ข้าง ๆ ภายในห้องนอน แกล้งทำหน้าตากวนประสาท
“นายควรภูมิใจนะที่มีแฟนหล่อขนาดนี้”
คิมหันต์เก๊กท่าหน้ากระจกแต่งตัวก่อนจะหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้
“อื้อหือ…อะ…เอ่อ” ตอนแรกผมกะว่าจะพูดแซวเล่นสักหน่อย แต่แล้วจู่ ๆ กลับชะงักกับคำว่าแฟนที่เขาเพิ่งพูด
ผมไม่ได้คิดมาก่อนเลยเรื่องการใช้คำว่าแฟนแทนความสัมพันธ์ของเราสองคน ฟังดูจั๊กจี้ชอบกลแฮะ ทว่าก็ทำให้ใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้
“เราเป็นแฟนกันอย่างนั้นเหรอ” ผมถามอย่างขาดความมั่นใจ
คิมหันต์อ้าปากค้าง
“พูดผิดเหรอ ขอโทษ ๆ ต้องแก้เป็นผัวเมียถึงจะถูก”
คราวนี้กลายเป็นฝ่ายผมที่อ้าปากค้างแทน
“เห้ยไอ้บ้า! ไม่ใช่อย่างนั้น! หมายถึงระหว่างเราสองคนต่างหาก จะคบกันเป็นแฟนจริง ๆ ใช่ไหม ไม่ใช่…จบลงแค่ปิดเทอมนี้หรอกนะ”
ผมแทบจะลงไปกองและม้วนตัวเป็นก้อนกลม ๆ บนพื้นด้วยความอาย แต่ก็พยายามฝืนตัวเองเอาไว้
อย่างไรก็ตามประโยคหลังทำให้ผมเศร้าใจมาก เพราะมันคือสิ่งที่ผมแอบกลัวมาตลอด ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าระหว่างผมกับเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคตข้างหน้าหลังกลับสู่จังหวัด อ. แล้ว
ทันใดนั้นคิมหันต์ก็ก้าวเข้ามาสวมกอดผมและเกยคางบนไหล่ซ้ายของผม
“ไม่ใช่แค่เล่น ๆ แน่นอน” เขากระซิบข้างหู “เราขอนายเป็นแฟนตั้งนานแล้วนะไม่รู้เหรอ”
ผมเอนตัวออกมาและมองหน้าเขาอย่างมึนงง
“เหรอ ตั้งแต่ตอนไหน ไม่เห็นจำได้เลย”
“ก็ตั้งแต่ตอนไปงานแต่งพี่เจนไง จำได้ไหมที่เราซื้อแหวนให้” แล้วชายหนุ่มก็จับมือข้างที่ผมสวมแหวนประคำขึ้นมา “ถึงมันจะไม่สวยเหมือนแหวนทั่วไป แต่เราก็อยากสื่อให้รู้ว่า…แอบชอบนายอยู่…และอยากคบนายเป็นแฟน”
“ถามจริง?” ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาอำเล่นหรืออะไรกันแน่เพราะน้ำเสียงฟังดูจริงจังมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมากะทันหัน
“ก็จริงน่ะสิ นึกว่าจะดูออกซะอีก” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเขินอาย หน้าแดงเล็กน้อย แล้วจึงใช้ปลายนิ้วลูบหัวแหวน “แต่ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวจะซื้อให้ใหม่นะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร อันนี้ก็สวยดีอยู่” ผมบอกอย่างตื้นตัน ก่อนจะใช้สองมือประคองใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างทะนุถนอม “แค่รู้ว่านายอยากคบเราเป็นแฟนก็ดีใจมากแล้ว”
ผมมองทะลุเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอย่างรักใคร่ เผยอยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน แล้วจึงค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าขึ้นไปประกบจูบริมฝีปากหยัก ซึ่งอบอุ่นและให้สัมผัสไม่เคยรู้เบื่อ
“ไปกันเถอะ” ผมเอ่ยเมื่อถอนจูบออกมาแล้ว ทว่ายังคงอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบเลย” คิมหันต์บอกพร้อมกับกอดรัดรอบเอวผมแนบแน่นกว่าเดิม “เรามาต่อกันอีกหน่อยไหม”
“ไม่เอา” ผมคัดค้านและตีแขนของเขา “ไปเร็ว ๆ เดี๋ยวรถติด”
คิมหันต์ทำหน้าเซ็งทว่าก็ยอมคลายอ้อมแขนแต่โดยดี แล้วจากนั้นเราสองคนก็ลงไปยังโรงจอดรถ นำมอเตอร์ไซค์เวสป้าออกมา แล้วผมก็นั่งซ้อนท้ายไปสู่ย่านสีลมที่แสนคึกคักครื้นเครง
สงกรานต์ที่กรุงเทพฯ อาจเรียกได้ว่า ‘บ้าคลั่ง’ แม้ผมจะเคยเห็นผู้คนเอาถังน้ำใส่ท้ายรถกระบะและแห่ไล่สาดชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา ทว่าที่นี่คือศูนย์รวมของสิ่งเหล่านั้น และอาจมีอะไรแปลกใหม่พิสดารยิ่งกว่า ทั่วทุกตรอกซอกซอยมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใช้ปืนฉีดน้ำวิ่งไล่ฉีดกัน แต่ก็มีหนุ่มสาวอีกมากมายเดินประแป้งเล่นสีกันอย่างสนุกสนาน
คิมหันต์ขับเวสป้าชะลอซิกแซกไปตลอดเส้นทาง ฝ่าด่านฝูงชนที่ออกมาเต้นบนท้องถนนและสาดน้ำหลากสีใส่เรา มีทั้งกลิ่นหอมและกลิ่นเหมือนฉี่ ซึ่งผมก็พยายามไม่คิดในแง่ร้ายเกินไป
เราจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างถนนและลงไปร่วมเล่นน้ำ แฝงกลมกลืนไปกับผู้คนมากมายและชาวต่างชาติ แต่สักพักคิมหันต์ก็จูงมือผมกลับไปที่รถเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังทะเลาะกัน
“เราจะไปไหน” ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดดังสนั่นรอบทิศทาง
คิมหันต์เอี้ยวตัวมาตะเบ็งเสียงตอบ
“ไม่รู้ ไปเรื่อย ๆ”
แต่ระหว่างที่นั่งมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ นั้น เรือนร่างของผมก็ไม่ได้เว้นว่างเลย ผู้คนต่างไหลเวียนเข้ามาฉีดและกระหน่ำสาดน้ำใส่ตลอดเวลา ทั้งอุณหภูมิธรรมดาและเย็นจัด ส่วนแก้มของผมก็ระบมไปหมดจากการถูกประแป้ง บางคนก็แค่ปาด ๆ แต่บางคนก็หยิกจนเนื้อแทบจะหลุดติดไปด้วย
ผมลูบแก้มตัวเองปอย ๆ ก่อนจะถอดแว่นออกมาเช็ดและมองไปที่ผู้ขับด้านหน้า พอเห็นอะไรชัดเจนมากขึ้นก็เริ่มเสียใจที่ไม่พูดวิจารณ์เรื่องที่คิมหันต์ใส่เสื้อกล้ามสีขาวมาเล่นสงกรานต์ เห็นได้ชัดว่าใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่ เมื่อมันเปียกน้ำก็มองเห็นเนื้อหนังมังสาทุกส่วน ดึงดูดสายตาสาวเล็กสาวใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้ชายบางคนให้จ้องมอง
“กรี้ดดดดด! พวกมึงนั่นพี่คิมหันต์นี่นา!”
“เออใช่จริง ๆ ด้วย! พี่คิมคะ ขอประแป้งหน่อยนะคะ...”
หญิงสาวหน้าตาน่ารัก ถักเปียเดี่ยวหางปลาพุ่งเข้ามาหาคิมหันต์ ในมือถือขันพลาสติกเล็ก ๆ ใส่แป้งผสมสีชมพูหวานแหวว ซึ่งด้านหลังเธอมีเพื่อนสาวอีกสองสามคนยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความหวัง
คิมหันต์หยุดจอดอยู่กับที่ ปล่อยให้พวกหล่อนจับโน่นนี่นั่นเป็นว่าเล่นโดยไม่ว่าอะไรสักคำจนผมแอบรู้สึกเดือดดาล ขณะเดียวกันก็รับรู้มากขึ้นทุกทีว่าหมอนี่โด่งดังไม่เบาในหมู่สาว ๆ จนทำให้นึกถึงเรื่องที่คุยกันบนโต๊ะอาหารเมื่อเช้า
“อุ้ย หนุ่มแว่น!” เสียงหนึ่งร้องแหลมขึ้นมา “น่ารักจังเลย ขอประแป้งได้ไหมคะ”
“ได้ครับ อ่าวเห้ย”
บรื้น…
จู่ ๆ คิมหันต์ก็บิดคันเร่งพาเราออกไปจากตรงนั้น ทิ้งเสียงร้องเรียกและพวกผู้หญิงที่วิ่งไล่ตามไว้เบื้องหลังโดยไม่สนใจ
“ทำไมทำงั้นอ่ะ” ผมร้องถาม
“ทำอะไร” เขาถามกลับ สายตามองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
“ก็นี่ไง ขับออกมาเฉย ๆ พวกนั้นยังไม่ทันได้ประแป้งเราเลยนะ”
“ก็หิวน้ำอ่ะ จะไปหาซื้อน้ำกิน” คิมหันต์ตอบทื่อ ๆ
เหอะ...ทีอย่างนี้ละทำเป็นหึง ทีตัวเองปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ตั้งเยอะแยะจับแก้มผมยังไม่ว่าอะไรสักคำ
จากนั้นพ่อหนุ่มพราวเสน่ห์ก็พาขับมอเตอร์ไซค์เข้าออกเส้นทางมากมาย ผ่านกลุ่มวัยรุ่นที่จับกลุ่มกินเลี้ยงหน้าบ้าน ผ่านฝูงชนที่เต้นและโยกจนหัวแทบหลุดกับเพลงยอดนิยม ผ่านอาสนวิหารอัสสัมชัญที่มีการประดับประดาด้วยธงและเชือกหลากสี ก่อนจะมาจอดที่ข้างถนนแห่งหนึ่งซึ่งบางเบาผู้คน
“นั่งรออยู่นี่นะ เฝ้ามอไซค์ไว้อย่าให้หายล่ะ” คิมหันต์บอกเมื่อลงไปยืนบนฟุตบาท
“ไม่ห่วงคนเลยเนอะ” ผมพูดหยอก “แล้วจะไปไหน”
“ไปซื้อน้ำ นายจะเอาอะไรไหม”
“เอาน้ำเปล่าขวดนึง” ผมบอก
เขาพยักหน้าก่อนจะเดินปะปนกับคนอื่น ๆ และลับหายจากสายตา
ส่วนผมก็ฆ่าเวลาด้วยการมองดูเหตุการณ์รอบตัว ฟังเสียงเพลง และรับกระแสน้ำที่สาดมาจากรถกระบะที่ขับผ่านไปมา บางคนก็เข้ามาประแป้งและก็จากไป แต่ก็มีคนหนึ่งเข้ามาชวนคุยอย่างสนใจ
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวละครับ หรือว่าเหนื่อยแล้ว”
ผมหันไปด้านหลังและพบกับชายหนุ่มหน้าตาดียืนอยู่ เขามีผิวขาว ตัดผมรองทรงต่ำ ร่างสูงได้สัดส่วนสวมเสื้อฮาวายสีส้มลายสับปะรด ในมือถือปืนฉีดน้ำเล็ก ๆ รูปทรงการ์ตูนชื่อดัง เขาเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยเมื่อผมเอ่ยตอบกลับไป
“เปล่าครับ นั่งเฝ้ามอไซค์ต่างหาก”
ชายแปลกหน้าขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องเฝ้าก็ได้มั้งครับ ไม่หายไปไหนหรอก” เขาพูดยิ้ม ๆ เผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้มซึ่งดูเข้ากันดีกับใบหน้าสำอาง “ถ้าไม่ติดขัดอะไรจะไปเล่นน้ำกับผมก็ได้นะ หรือว่ารอใครอยู่”
“ครับ กำลังรอ --”
“กำลังรอผัวอยู่”
คำพูดของผมถูกตัดบริบทโดยเสียงเข้มอันคุ้นเคย ซึ่งจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“รอเพื่อนครับ!” ผมรีบพูดแก้อย่างเลิ่กลั่ก “นี่ไงมาพอดีเลย”
ว่าแล้วคิมหันต์ก็เดินเข้ามายืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ อย่างวางมาด สีหน้านิ่งเรียบดูเยือกเย็น ตาคมมองผมกับชายแปลกหน้าสลับไปมาอย่างไม่ไว้ใจ
“ไปกันเถอะ” เขาบอก จากนั้นก็ขึ้นคร่อมพาหนะด้วยท่าทางเร่งรีบ
“โธ่ น่าเสียดายจัง ไม่ไปเล่นน้ำด้วยกันซักหน่อยเหรอครับ” ชายคนนั้นยังคงถามคะยั้นคะยอ โดยที่สายตาจดจ่อแต่กับผมคนเดียว
“เอ่อ...” ผมตกอยู่ในความประหม่าสับสน แถมยังรับรู้ได้ถึงพลังงานอันตรายที่แผ่มาจากชายหนุ่มอีกคน
“ไม่ไป จะกลับบ้านแล้วเว้ย” คิมหันต์ตอบเสียงแข็งพร้อมกับสตาร์ทเครื่อง
“ถ้างั้นขอประแป้งนะ”
พูดจบเขาก็ล้วงขวดแป้งเด็กเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จัดการบีบใส่ฝ่ามือและถือวิสาสะป้ายที่แก้มทั้งสองข้างของผม ออกแรงบีบนวดจนแว่นตาเอียงกระเท่เร่ พอปล่อยมือแล้วก็หันไปทางคิมหันต์ สลัดผงแป้งที่ติดมือใส่ตามเนื้อตัวของเขา มอบรอยยิ้มเหยียด จากนั้นจึงหันหลังและเดินจากไป
ผมนั่งเกร็งอยู่บนเบาะ ทำตัวไม่ถูก ส่วนคิมหันต์ได้แต่สูดหายใจเข้าออกอย่างแรง กระหม่อมเต้นตุบ ๆ ตามจังหวะชีพจรที่เดือดพล่าน
เขายื่นขวดน้ำให้พร้อมกับบอกเรียบ ๆ
“กลับบ้าน”
ผมรับขวดน้ำเย็นมาถือและพยักหน้า ไม่กล้าพูดอะไรนอกจากปล่อยให้เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางสู่บ้านดาวประจักษ์ ในใจได้แต่ภาวนาว่าผมจะรอดปลอดภัยเมื่อกลับไปถึง
ผมยืนก้มหน้าเมื่อถูกร่างสูงจ้องมองนิ่งๆ อยู่ภายในโรงจอดรถ ซึ่งข้างในนี้ทั้งร้อน เหม็นน้ำมันเครื่องและอุดอู้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย
“อะไร” ผมเอ่ยถามเบา ๆ โดยไม่ยอมสบตา
“แฟนผมฮ็อตไม่เบานะเนี่ย เผลอแป๊บเดียวมีผู้ชายมาจีบซะแล้ว” เขาพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน
“นายก็เหมือนกันนั่นแหละ เที่ยวปล่อยให้คนนั้นคนนี้จับเนื้อจับตัว ดูสิเรายังไม่ว่าอะไรเลย” ผมตอกกลับด้วยความอัดอั้น
“แล้วทำไมไม่ว่าล่ะ ห้ามที่ไหน”
ผมเม้มปาก เถียงไม่ออก ได้แต่มองเวสป้าที่เปื้อนแป้งและสีจนลายพร้อยไปหมดทั้งคัน
นั่นสินะ...ทำไมผมถึงไม่ทำอย่างนั้นล่ะ?
“มานี่เลย”
คิมหันต์คว้าข้อมือข้างหนึ่งของผมและลากให้เดินตามเข้าไปในบ้าน ผมต้องก้าวยาว ๆ เพื่อเดินตามให้ทัน ชายหนุ่มนำผมเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มืดสลัวและปล่อยไว้ที่กลางห้อง แล้วจึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาหนังสีน้ำตาลที่มุมหนึ่งโดยไม่สนว่ามันจะได้รับความเสียหายจากหยดน้ำและแป้ง
“ถอดเสื้อผ้าออก” เขาสั่ง
“ว่าไงนะ!”
“ถอด-เสื้อ-ผ้า-ออก” เขาเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ แล้วคิมหันต์ก็ลงมือถอดเสื้อกล้ามเปื้อนเปอะออกและโยนมันลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
แม้จะลังเลและรู้สึกตกใจแต่ผมก็ยอมทำตาม ผมค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ก่อนจะโยนทั้งหมดไปกองรวมกันกับเสื้อของคิมหันต์ แอบรู้สึกหวาดหวั่นว่าลุงจอมกับน้าจำปาอาจกลับมาเห็นเราได้ทุกเมื่อ เพราะตอนนี้ผมกำลังยืนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนต่อหน้าลูกชายเจ้าของบ้านอยู่ ทั้งเขินอายและตัวสั่นเทา
คิมหันต์มองสำรวจเรือนร่างของผมด้วยสายตาหื่นกระหาย ใช้ปลายนิ้วมือเรียวลูบคางที่เต็มไปด้วยตอหนวดและเอ่ยอีกครั้งว่า
“ขึ้นไปนั่งบนหลังเปียโน”
“ขึ้นไปทำไม” ผมถามอย่างงุนงง
“เถอะน่า...เร็ว ๆ”
ผมรีรออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังเปียโนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งฝากล่องเสียงปิดพับสนิท ผมมองไปทางคิมหันต์แวบหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองเท้ากับฝาไม้สีดำมันเงาและยันตัวขึ้นไปนั่ง ส่วนเขาก็กำลังปลดเข็มขัดและถอดกางเกงยีนออก
จนเมื่อเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายปลิวไปกองรวมกันทั้งหมด ชายหนุ่มก็เอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงยียวนนึกสนุก
“ทีนี้ก็ช่วยตัวเองให้ดูหน่อยสิ”
ผมถลึงตา แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“คิม! นายเป็นบ้าอะไร!”
“ใช่เป็นบ้า...บ้าที่หึงนายไง” เขาหยุดไปครู่หนึ่งราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่าง “บ้าที่อยากให้นายเป็นของเราแค่คนเดียว”
ผมอึ้งชะงัก
“เราก็เป็นของนายคนเดียวอยู่แล้วนี่คิม” ผมบอกอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเหนื่อยใจกันแน่
คิมหันต์ยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาแค่กำลังจะใช้โอกาสนี้แกล้งผมและหาจังหวะทำเรื่องอย่างว่า ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเหมาะเจาะมากทีเดียว
“ถ้างั้นก็ช่วยตัวเองให้ดูหน่อย...ทำให้เราดูคนเดียว”
ผมหน้าแดงจัด ไม่คิดเลยว่าคิมหันต์จะลามกและหื่นกามได้ขนาดนี้
แต่ถ้าถามว่าผมชอบไหม...ก็ต้องบอกว่าชอบมากเลยละครับ!
ห้านาทีต่อมาผมก็เริ่มการแสดงส่วนตัว เริ่มจากเอนไปข้างหลังเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยันทรงตัวเองไว้ ส่วนอีกข้างกอบกำดุ้นเนื้อที่ยังอ่อนตัว พร้อมกับค่อย ๆ สาวขึ้นลงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ขาทั้งสองขว้างแหวกกว้างและห้อยต่องแต่งลงมา
ส่วนอีกคนซึ่งอยู่บนโซฟาห่างออกไปไม่ไกลกำลังจ้องมองตาไม่กะพริบ มือข้างหนึ่งกำรูดท่อนกายใหญ่สีคล้ำเป็นจังหวะเนิบนาบ ปล่อยเสียงครางทุ้มต่ำแผ่วเบาในอากาศ แล้วความใคร่ก็เข้าจู่โจมทันทีเมื่อผมเห็นคิมหันต์ช่วยตัวเองด้วยท่วงท่ายั่วยวน ทำให้ท่อนเอ็นในมือผมขยายตัวเต็มที่อย่างรวดเร็ว แล้วน้ำหล่อลื่นก็ปริ่มปริออกมาที่ส่วนปลายจนเยิ้ม
ผมหอบหายใจหนักหน่วง ความเสียวซ่านบริเวณส่วนหัวทำให้ผมบิดตัวกระสับกระส่าย อ้าปาก ขบเม้มและเลียริมฝีปากด้วยความเผลอ ไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มลอบเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้หมดด้วยดวงตาคม
“อือ...อูยยยยย” ผมร้องเบา ๆ ขณะชักรูดจุดอ่อนไหวอย่างเร็วแรงจนเกิดเสียงฉ่ำแฉะ “อึก...อ๊า”
ผมใช้ปลายนิ้วโป้งบดขยี้ที่หัวหยัก ส่วนมืออีกข้างที่เคยยันฝาเปียโนตอนนี้ยกมาสัมผัสน้ำลายอุ่นที่ลิ้น ก่อนจะเลื่อนมาลูบคลึงยอดเนินอกอย่างนุ่มนวล สร้างสัมผัสซาบซ่านที่ทำให้ตาลอยและร้องครางไม่หยุด
เพิ่มความเร็วเข้าไปอีก เน้นย้ำมากขึ้นอีก ยิ่งได้เห็นเรือนร่างกำยำนั่งอ้าขาถกถอกของรักบนโซฟา มันก็ยิ่งทวีความกำหนัดให้พุ่งสูง
“อืมมมมม อ...อ้า!”
ผมแอ่นตัว เกร็งขาและหน้าท้องในจังหวะที่รู้สึกว่าภายในกำลังขมวดปม จากนั้นก็ดันน้ำหลั่งสีขาวขุ่นพุ่งออกมาเป็นสายยืดยาว หยดเลอะเถอะไปทั่วพื้นห้อง หน้าท้องและเปียโนสีดำขลับ ซึ่งสีของทั้งสองสิ่งช่างตัดกันเสียเหลือเกิน
ร่างผมกระตุกถี่ ๆ แล้วจึงสงบลงในที่สุด ผมถอนหายใจลากยาวก่อนจะเอนหลังนอนแผ่หลาบนนั้น ไม่ได้สนใจเลยว่าคิมหันต์ทำเสร็จหรือยัง จนกระทั่งเงาของร่างสูงทาบทับลงบนตัวผม
ผมปรือตามองร่างเปลือยท่อนบนของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหว่างขา แล้วเขาก็จับขาทั้งสองข้างของผมตั้งชันขึ้นและแหกออกกว้าง ทำให้ปากรูสัมผัสกับอากาศจนขมิบรัว ๆ
“อือ...ท...ทำอะไร” ผมถามเสียงเหนื่อยหอบ
“ก็มาช่วยไง นอนอยู่นิ่ง ๆ เถอะ” เขาบอกพร้อมกับโกยเอาน้ำบนหน้าท้องและบนเปียโนมาทาละเลงที่ช่องทาง ผมขยับดิ้นเล็กน้อยกับสัมผัสนั้น เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมกับการบุกเบิก
แม้จะทำไปกี่ครั้งกี่หนผมก็ยังไม่ชินสักที ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมนี้ทำให้ผมเจ็บปวดจนร้องครวญคราง มือไม้คลำสะเปะสะปะไปทั่วก่อนจะขยุ้มผมตัวเอง ยิ่งตอนที่คิมหันต์เพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปและสวนเข้าออก สติผมก็แทบจะดับคาเปียโนเสียให้ได้
“เบาหน่อย!” ผมโอดครวญ “มันเจ็บ!”
“อีกนิ้วเดียวครับ อดทนหน่อยนะ” คิมหันต์ใช้โทนเสียงเหมือนหมอพูดกับคนไข้ ที่บอกว่าล้างแผลไม่แสบเลยสักนิดแต่ความจริงแล้วมันแทบลุกเป็นไฟ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับช่องทางของผมตอนนี้
เขาทำมันพร้อมกับสาวชักของตัวเองไปด้วย สักพักจึงชะลอการสวนเข้าออกเพื่อควานหาจุดกระสัน และเมื่อคิมหันต์หามันพบก็ออกแรงกดอย่างหนักจนผมกรีดร้องเสียงหลง ทว่าเขาหาได้สนใจไม่หากผมจะขาดใจตายเพราะความเสียวซ่าน กลับยิ่งใช้ปลายนิ้วกระทุ้งเสียดสีจนน้ำปัสสาวะเล็ดออกมาจากส่วนปลายสีชมพู ซึ่งตอนนี้กระดกหงึก ๆ อวดสายตา
แล้วเขาก็ดึงมือออก ปล่อยให้อากาศเข้าไปข้างในจนรู้สึกโหวงช่องท้อง ก่อนจะก้มลงมาใช้ปากปรนเปรอจุดสงวนของผม อมดูดตวัดลิ้นเลียอย่างรู้ใจ จากนั้นจึงถอนออกไปยังบริเวณต่ำลงมา เขาพ้นลมหายใจร้อนชื้นใส่ปากรูเบา ๆ แล้วจึงครอบดูดราวกับของหวาน
ผมร้องดังลั่นแบบไม่สนใจว่าข้างบ้านอาจได้ยิน ผมไม่ไหวแล้ว คิมหันต์ทำมันได้ดีทุกรูปแบบและทุกท่วงท่า ผมนอนอ้าขาดิ้นเร้า ๆ บนเปียโนในจังหวะที่เขาชอนไชลิ้นเข้าไปในนั้น จนเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดและสั่นสะเทือน
ต่อมาชายหนุ่มก็ขึ้นมาจูบกับผมอย่างดื่มด่ำและบุกแทรกลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปาก ส่วนผมก็ต้อนรับด้วยการส่งปลายลิ้นของตนไปกวัดทักทายอย่างโหยหา ดูดกลืนน้ำลายอีกฝ่ายลงคออย่างกระหาย
เราหมดเวลาไปกับการจูบเล้าโลมอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งผมรู้สึกถึงบางสิ่งจ่อตรงปากทาง
ผมสะดุ้งเมื่อมันค่อย ๆ ถูกดันเข้ามา ทว่าคิมหันต์ไม่ยอมถอนริมฝีปากออกไป ยังคงประกบดูดดื่มหนักหน่วง เขาคงหวังว่ามันจะช่วยเบนความสนใจได้บ้าง แต่ความใหญ่โตที่กำลังรุกล้ำสู่ภายในก็ทำให้ผมต้องร้องในลำคอหงิง ๆ
“อื้อออออ” ผมอ้าปากร้องออกมาในที่สุดหลังจากคิมหันต์ผละใบหน้าออกไป ซึ่งนั่นแปลว่าเขาใส่เข้ามาจนมิดลำแล้ว ความตึงคับแน่นภายในนั้นร้ายกาจมากจนต้องขบฟัน แต่มันก็รู้สึกดีมากจนรู้สึกถึงการขมิบตอดอันบ้าคลั่งของตัวเอง
ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้เนื้อตัวเริ่มมีเหงื่อแตกซึมกำลังหลับตาพริ้ม ใบหน้าเหยเกเล็กน้อย
“ข้างในรันรัดแน่นตลอดเลย นี่ขนาดเรามีอะไรกันออกจะบ่อย ซี๊ด...”
“ห...หยุดพูดเถอะ!” ผมกัดฟันพูด พยายามหายใจให้ทั่วท้อง “อย่าเพิ่งรีบขยับล่ะ”
คิมหันต์ยื่นมือข้างหนึ่งมาลูบหน้าท้องของผม เลื่อนขึ้นไปบีบขยี้เม็ดเล็ก ๆ บนเนินอก แล้วจึงกลับลงมาที่ท้องน้อยอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาใช้ปลายนิ้วกดลงไปเบา ๆ จนผมรู้สึกถึงการชนกันระหว่างสองสิ่ง
ผมร้องไม่เป็นศัพท์ สมองเบลอและสติแตกกระเจิง เขาใช้จังหวะนั้นเองเริ่มขยับเอวสอบอย่างระมัดระวัง ดึงแท่งร้อนเข้าออกอย่างละมุนละม่อม จนในที่สุดทั้งห้องนั่งเล่นก็มีแต่เสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงคนสองคนปลดปล่อยอารมณ์กันอย่างสุดเหวี่ยง
คราวนี้ต้องขอบอกว่ามันสุดเหวี่ยงจริง ๆ ปกติเราทำเรื่องแบบนี้แค่ในห้องนอนเท่านั้น (มีในห้องน้ำบ้างบางครั้ง) แต่การที่เราระบายกามอารมณ์ในห้องนั่งเล่นก็ยังไม่พิสดารเท่ากับการที่คิมหันต์อุ้มผมเข้าไปกระแทกต่อในห้องครัว บนโต๊ะทานอาหาร ทำทุกอย่างบนนั้นกระจัดกระจายหมดเละเทะ ทั้งแจกันดอกไม้และกระดานหมากรุก
และถ้าหากคุณคิดว่าคิมหันต์จะหยุดแต่เพียงแค่นั้น...คุณคิดผิดแล้ว!
“อ๊า!”
เมื่อผมเกร็งตัวและจิกปลายเท้าราวกับใกล้จะสำเร็จความใคร่ ชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนไหวและถอนเอ็นร้อนออกไปทันที ผมเหลือกกลอกตาเพราะความโล่งฉับพลัน รู้สึกเหมือนไส้พุงได้อันตรธานหายไปแล้ว
“อื้อ...หยุดทำไม” ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน
“เบื่อตรงนี้แล้ว เปลี่ยนที่ดีกว่า” เขาว่า
จากนั้นก็อุ้มผมไว้ในอ้อมอกและพาออกไปจากห้องครัว
“ด...เดี่ยว จะไปไหน” ผมถามอย่างตื่น ๆ เหมือนเห็นว่าคิมหันต์กำลังตรงไปยังหลังบ้าน
“ไปสระน้ำ”
“เห้ยไม่ได้นะ! ไปทำแบบนั้นที่นั่นไม่ได้!” ผมคัดค้านเสียงแข็ง “หยุด ๆๆ”
คิมหันต์จึงชะงักอยู่ที่หน้าประตูทางออกสู่หลังบ้าน ซึ่งมีบานกระจกสามารถมองทะลุออกไปได้
“ไม่มีใครเห็นเราหรอก แถวนี้เขาออกไปเล่นน้ำกันหมดแล้ว”
“มันก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคิมที่อยากออกไปเล่นสงกรานต์” ผมอธิบายหน้ามุ่ยอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง “พวกคนแก่ อามงอาม่าไรงี้ล่ะ เผื่อออกมาเก็บผ้าและเห็นเราจะไม่ช็อกตายพอดีเหรอ”
“ไม่มีหรอก” ชายหนุ่มดูหงุดหงิด
“ถ้ารั้นก็พอแค่นี้แหละ” ผมตัดสินใจใช้ไม้ตาย แม้ความจริงจะยังร้อนรุ่มเป็นไฟอยู่ก็ตาม “แยกย้ายเลย”
คิมหันต์ก้มมองผมด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หุบลง จากนั้นก็ถอนหายใจ
“ก็ได้ ๆ” เขาว่า “แค่อยู่ในบ้านก็พอใช่ไหม”
“ใช่ แค่ในบ้านเท่านั้น”
หากแต่สถานที่ใหม่ที่คิมหันต์เลือกก็นับว่าแย่พอ ๆ กับสระน้ำ ผมถึงกับเหวอไปเลยเมื่อคิมหันต์พามาวางที่ขั้นบันไดกลางบ้าน ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ และใช้มือรูดแก่นกายที่มันวาวด้วยน้ำรักเพื่อปลุกเร้าอารมณ์
“นั่งให้หน่อย” เขาบอกเมื่อเอนเข้ามาไซร้ซอกคอและเม้มดูดผิว
“ตรงนี้เลยเหรอ” ผมเอ่ยอย่างไม่สบายใจเพราะตรงนี้มันก็ยังดูโจ่งครึ่มอยู่ดี
“อืม ตรงนี้แหละ ถ้าช้าก็อยู่นานนะ”
ผมมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมอย่างเงอะงะโดยหันหลังให้เขา คิมหันต์จับดุ้นเนื้อตั้งขึ้นจ่อที่ปากรูอีกครั้ง แล้วผมก็ค่อย ๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปกลืนกินความใหญ่โตจนหมดทีเดียว
เราทั้งคู่ต่างร้องครางอื้ออึง และท่านี้ก็ยิ่งทำให้จุกมากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ จนผมนิ่วหน้าจิกเกร็ง ผมใช้สองมือยันหัวเข่าคิมหันต์และดันตัวเองขึ้นลงช้า ๆ แต่ชายหนุ่มดูจะหมดความอดทนไปแล้วจึงกระแทกสวนเข้าไปขณะที่สะโพกผมกำลังกดลง
ป๊าบ! ป๊าบ!
“อ๊ะ!”
ต่อจากนั้นผมก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนั่งแอ่นรับแรงเสียดสีจนกระทั่งแล้วเสร็จ
ตกเย็นวันนั้นเรานอนหมดแรงอยู่บนเตียง แสงแดดอัสดงส่องกระทบผิวกายเปลือยเปล่าที่กำลังกอดรัดกัน ศีรษะผมซบบนหน้าอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ แม้ดวงตาจะหรี่ปรือแต่ก็ยังสนุกกับการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ นานา
“ก็อย่าไปคุยกับมันสิ” คิมหันต์ยังไม่ยอมจบเรื่องที่ผมคุยกับชายแปลกหน้าคนนั้น “ไล่มันไปเลย เป็นโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“โอ้ยคิม จะไปทำแบบนั้นได้ไง รู้จักมารยาทบ้างไหม” ผมพูด พลางใช้ปลายนิ้วชี้ซ้ายจิ้มลงบนหน้าท้องเปื้อนแป้งของอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ “ผู้ชายสุภาพหายไปไหนซะแล้ว”
“ไม่ใช่สำหรับทุกคนครับ”
ผมยิ้มอย่างพออกพอใจ ถึงจะฟังดูทื่อเหมือนขวานผ่าซาก แต่ผมกลับรักวิธีแสดงออกแบบตรงไปตรงมาของเขามากเหลือเกิน ไม่เสแสร้งพลิกแพลงให้ปวดหัว หรือพยายามทำให้มันยุ่งยากโดยไม่จำเป็น
“เราคงจะคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่มากแน่ ๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ฝ่ามือหนาลูบไล้หัวไหล่ของผมไปมา “ทุกเรื่องที่เราทำด้วยกันมันดีมากจริง ๆ นะรัน”
“นั่นนะสิ” รอยยิ้มของผมจางลง “ต้องคิดถึงมากอยู่แล้ว”
มือข้างนั้นที่ลูบไล้กลับบีบกระชับหัวไหล่ผมแน่น
“รัน เรามีเรื่องอะไรจะบอก” เขาพูดเรียบ ๆ
“อะไรรึ”
“...”
“ว่าไง” ผมเงยหัวขึ้น หัวใจวูบหวิวกับสีหน้าระทมทุกข์ที่ได้เห็น คิมหันต์ดูลังเลที่จะเอ่ยมันออกมา แต่เขาก็ทำมันได้ในที่สุด
“พวกเราคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว พ่อกับแม่กำลังจะขายบ้านหลังนี้”
ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว จ้องมองดวงตาอีกฝ่ายนิ่ง ราวกับกำลังหวังว่านี่อาจเป็นเรื่องล้อเล่นโง่ ๆ ที่เขามักทำ
“จำวันที่ไปธนาคารได้ไหม แล้วก็ที่ไปส่งเอกสารที่ไปรษณีย์ มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แหละ”
“หมายความว่า...นายต้องไปอิตาลีใช่ไหม” ผมเอ่ยเสียงโหวงเหวง
คิมหันต์โอบกอดผมแนบแน่น เขาเงียบไม่ยอมพูดอะไร ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมหวาดกลัวมากกว่าเดิม ผมจึงกอดเขาตอบกลับแน่นยิ่งกว่า ประหนึ่งว่าคิมหันต์อาจหายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่งเมื่อกะพริบตา
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก เรายังมีเวลาด้วยกันมีอีกเยอะแยะ”
“...” ผมกลับเงียบ ไม่รู้ว่าควรคิดหรือพูดว่าอะไร
ก่อนหน้านี้ผมยังมีความสุขดี ฝันถึงวันที่เราจะได้แบ่งปันชีวิตร่วมกันที่ไหนสักแห่งลับตาผู้คน เช่น ชนบท ป่าเขาหรือกลางแม่น้ำ แต่แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างกลับพลิกเหมือนดั่งเหรียญเสี่ยงทาย ไร้ความแน่นอนให้ผมยึดมั่น
แต่ผมจะสามารถคาดหวังอะไรได้ ผมพาตัวเองมาสู้เรื่องเหล่านี้ด้วยความเต็มใจ โดยรู้อยู่เต็มอกว่าสักวันจะต้องมีเรื่องสั่นคลอนความสัมพันธ์ของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว
ใช่ผมรู้...เพียงแต่ผมไม่ต้องการนึกถึงมันเพราะมันทำให้ผมเศร้าใจ บางทีการหลอกตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป
“อืม เรายังมีเวลา...บางทีพ่อแม่นายอาจเปลี่ยนใจก็ได้” ผมฝืนพูดในแง่ดี
“ใช่...หรือบางทีเราอาจหนีไปด้วยกัน...ที่ไหนก็ได้สักแห่ง” คิมหันต์ตอบกลับ แล้วจึงจูบลงบนหน้าผากของผม
จากนั้นผมกับเขาก็อยู่กันเงียบ ๆ ฟังเสียงนกการ้องแผ่วเบาจากข้างนอก เป็นทำนองฉากหลังให้เราถลำลึกสู่ความคิดสีเทาของตัวเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ