Who am i? (ฉันเป็นใคร?) ภาค change myself (พล็อตเรื่องนี้ผ่านการประกวดบทละครของโครงการ BEC ของช่อง 3
7.3
เขียนโดย Gawee
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.23 น.
10 ตอน
9 วิจารณ์
6,692 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2567 12.51 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ตอนที่ 6 'นี้คือ ไดอารี่ของเธอสินะ เรโกะ!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ....ความเดิมตอนที่แล้ว...
หลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุจนทำให้ความจำเสื่อมชั่วคราว ฉันก็ได้มาโรงเรียนตามปกติและได้ความทรงจำกลับคืนมาบางส่วนแล้ว มันทำให้ฉันรู้ฐานะของตัวเองในห้องเรียนว่า 'ฉันคือยัยขี้แพ้' แล้วฉันก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่โดนรังแกเช่นกันมันเกี่ยวกับ 'เรโกะ' ที่ฉันคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอน ม.4
และฉันก็ได้รับข้อความจากใครคนหนึ่ง ซึ่งคนๆ นั้นก็ไม่ใช้ใครอื่นแต่เป็นเพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ ฉันทุกวันอย่างเกศสินี เธอคือพยานคนสำคัญของอุบัติเหตุนั้น และได้บอกเล่าความจริงบางอย่างที่ทำให้ตัวฉันชาวูบไปทั้งตัวและหัวใจ และแล้วฉันก็ได้ความทรงจำตอนเกิดเหตุกลับมาแล้วพร้อมกับความเจ๊บปวดตอนโดนรถชนที่ถั่งโถมเข้ามาใส่่ฉัน จนทำให้สติฉันเลือนลางคล้ายจะเป็นลมนอนกองไปกับพื้น
แต่ทว่ามีใครคนหนึ่งมาช่วยฉันไว้ คนๆ นั้นเป็นใครฉันก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ผมและผิวสีขาวราวหิมะนั้น ทำให้ฉันนึกถึงคนๆ หนึ่งในความทรงจำของฉัน แต่ผู้ชายในความทรงจำฉัน เขาน่าจะอายุมากกว่านี้ แต่หมอนี่กลับอายุเท่าฉัน แถมใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนฉันด้วย หมอนี่เป็นใครกันแน่ละเนี้ยยยย!?
วันรุ่งขึ้น ณ บ้านฟ้าใส
"พรึบ...เอ๋ เอะ! ทะ...ที่นี่มันห้องนอนฉันนี้!!" ฉันลืมตาตื่นขึ้นพลางลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงนอนในห้องของฉันแล้ว
"นะ...นี่มัน! อะไรกัน? หรือว่าฉันจะฝันไปเอง?" ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองพลางลุกขึ้นจากเตียง แล้วพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้น
ดะ...เดียวนะ! ฉันจำได้ว่า ฉันกำลังคุยอยู่กับเกศ แล้วความทรงจำตอนโดนรถชนก็ลอยเข้ามาในตัว ทำให้ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน เลยล้มลงไปนอนกองกับพื้นหลังอาคาร 4 แล้วอยู่ๆ ก็มีนักเรียนชายคนหนึ่งมาช่วยฉันไว้ พอฉันลืมตาขึ้นมาก็อยู่ที่ห้องตัวเองเนี้ยนะ!? ระ...หรือว่าทั้งหมดจะเป็นแค่ความฝันกัน? ฉันนึกในใจพลางรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปหาแม่
จริงสิ ถ้านักเรียนชายคนนั้น เขาพาฉันมาส่งถึงบ้านไม่ว่าอย่างไงเขาต้องเจอกับแม่ฉันแน่นอน เพราะแม่จะกลับมาจากทำงานก่อนฉันกลับจากโรงเรียนเสมอ ฉันนึกในใจพลางเดินลงมาหาแม่ที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่
"แม่ค่ะ เมื่อวานแม่เจอเด็กนักเรียนชายที่กลับบ้านมาพร้อมกับหนูไหมค่ะ?" ฉันถามพลางเลื่อนเก้าอี้ แล้วนั่งลง
"เอ๋! อื่มมม ไม่เจอใครเลยนะจ๊ะ" แม่ตอบพลางนั่งลงตรงข้ามฉัน
"งั้นวันนี้วันอะไรค่ะ?" ฉันถามเพื่อความแน่ใจว่า นั้นคือความจริงหรือความฝัน
"วันศุกร์ไงจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่าลูก? ถามแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" แม่ถามขึ้นพลางยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากฉัน
"ปะ...เปล่าค่ะ แหะๆ" ฉันพูดพลางยิ้มแห้งๆ ให้แม่
ปะ...แปลกมากๆ เลย มันไม่ใช้ความฝัน แล้วนักเรียนชายคนนั้นพาฉันมาส่งถึงห้องนอนได้อย่างไง? โดยที่ไม่เจอกับแม่ฉันที่น่าจะกลับมาก่อนฉัน ระ...หรือว่าจะแอบปีนขึ้นมาจากต้นไม้ข้างหน้าต่างห้องฉัน? ตะ...แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนะ ถ้าคนเดียวอาจทำได้ แต่ต้องแบกฉันขึ้นต้นไม้ด้วยนี้สิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี้ยยยย!? ฉันนั่งกินอาหารเช้าพลางนึกในใจอย่างหาคำตอบของเหตุการณ์นี้ไม่เจอเลยจริงๆ
"....ฟ้า....ฟ้าใส ลูกได้ยินแม่ไหม?" แม่ถามพลางโบกมือไปมาตรงหน้าฉัน
"อะ...เอ่ะ!! เอ่อออ ขอโทษค่ะ พอดีคิดไรเพลินๆ ไปหน่อย เมื่อกี้แม่ว่าไงนะค่ะ?" ฉันหลุดออกจากภวังค์ แล้วถามกลับไป
"แม่บอกว่า วันพรุ่งนี้ลูกว่างไหม?" แม่ถามฉัน
"ว่างค่ะ มีอะไรหรอค่ะ?" ฉันตอบพลางถามกลับ ในขณะที่ตักข้าวเข้าปาก
"พอดี แม่อยากพาลูกไปไหว้พระขอพรสักหน่อยนะจ๊ะ" แม่ตอบพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน
"เอะ! ไหว้พระขอพรหรอค่ะ? ก็ดีสิค่ะ ช่วงนี้หนูอยากทำจิตใจให้สงบอยู่พอดี ฮ่าฮ่า" ฉันตอบพลางขำแห้งๆ
"ว่าแต่ที่ไหนหรอค่ะ วัดแถวนี้หรอ?" ฉันถามพลางตักข้าวเข้าปาก
"เป็นศาลเจ้าญี่ปุ่นนะจ๊ะ พอดีเพื่อนแม่เขาแนะนำมานะจ๊ะ เขาว่าบรรยากาศดีมาก ร่มรื่นและเงียบสงบ" แม่พูดขึ้น
"งั้นหรอค่ะ แหมพูดซะอยากไปเลยค่ะ ฮิฮิ" ฉันตอบกลับพลางเดินไปเก๊บจานอาหาร
"รับรองว่าลูกต้องชอบที่นั้นแน่ๆ ฮิฮิ" แม่พูดพลางลุกขึ้นตาม
"ค่าาาาา งั้นหนูไปเรียนก่อนนะค่ะแม่" ฉันพูดขึ้นพลางเปืดประตูในบ้าน
"จ้าาา ไฟติ้งนะลูกสาวคนสวยของแม่" แม่พูดพลางเดินมาลูบหัวฉัน
เมื่อ 10 นาทีก่อน ณ หน้าบ้านฟ้าใส
โอ๊ยยยย ทำไมนานแบบนี้ล่ะเนี้ย? แล้วทำไมผมต้องมายืนรอยัยนี้ทุกวันเลยเนี้ยยยย? งงตัวเองเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่หน้าบ้านฟ้าใสซะแล้ว ฮ่าฮ่า ผมนึกในใจพลางเดินไปมาหน้าบ้านฟ้าใส
แล้วเมื่อวานที่มิ้นท์พูดนั้นมันเรื่องจริงหรือเปล่าหว่า? เชื่อได้ไหมเนี้ย? แต่ถ้ามิ้นท์เป็นแฟนฉันจริง ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหรือไม่มีความทรงจำร่วมกับเธอเลยล่ะ?
แต่ที่บอกว่า 'ผมเคยเป็นแฟนกับ เรโกะ' นี้ผมคิดว่าน่าจะจริง เพราะผมเองก็รู้สึกแบบนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะเล่าความจริงไม่หมดเรื่องเกี่ยวกับ เรโกะ ผมเองก็ไม่อยากซํกไซ้มากไปกว่านี้ เพราะเธอบอกมันเป็นกฏของห้องเธอว่า ต้องเก็บความลับของห้องไว้
ผมนึกในใจขณะนั่งรอฟ้าใสตรงหน้าประตูบ้าน
"แกร๊ง!" เสียงเปิดประตูหน้าบ้าน
"วะ...เหวอ! / วะ...ว้ายยย!" เสียงผมร้องเหวออย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูบ้านก็ดันหลังผมให้ล้มลงกับพื้น พร้อมกับเสียงร้องตกใจของฟ้าใสที่เห็นผมลงไปกองกับพื้น
"นะ...นายมาทำอะไรที่นี้? ละ....แล้วไปทำอะไรอยู่ตรงพื้นนั้นล่ะ?" ฟ้าใสถามผมที่ตอนนี้นั่งจับกบอยู่ที่พื้นปูนหน้าบ้านเธอ
"อะ...เอ่อ พอดีฉันออกกำลังกายนะ ฮ่าฮ่า" ผมพูดพลางทำท่าวิดพื้น
"ออกกำลังกายตรงนี้เนี้ยนะ? บ้าไปแล้วหรอ?" ฟ้าใสพูดพลางปิดประตูบ้าน
"อ่ะแฮ่ม! เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่เมื่อวานเธอกลับบ้านไปตอนไหน?" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยคำถาม
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" ฟ้าใสพูดพลางเดินนำไปโรงเรียน
"หมายความว่าไง? ฉันยืนรอเธอหน้าประตูโรงเรียนทางทิศเหนือตั้งนานก็ยังไม่เจอเธอ" ผมถามพลางเดินตามไป
"โธ่เว๊ย!! ฉันบอกว่าไม่รู้ไงล่ะ จะถามเอาอะไร?" ฟ้าใสตอบกลับเริ่มเสียงดังเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง
"ธะ...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหรอ?" ผมถามขึ้นพลางดึงมือให้ฟ้าใสหันมาคุยกันดีๆ
"ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ว่าแต่นายรู้จักนักเรียนชายผมสีขาวผิวสีขาวและตัวสูงน้อยกว่านายนิดหน่อยบ้างไหม? เคยเห็นคนแบบนี้ในโรงเรียนบ้างไหม?" ฟ้าไสตอบปัด พลางเปลี่ยนเรื่องทันที
ไม่มีอะไรกับผีนะสิ ท่าทางแบบนี้มีชัวร์ๆ พนันได้เลย แล้วไอผู้ชายที่เธอถามนี้ใครกันวะ? ผมขาวผิวขาวมันคงสะดุดตาน่าดู ฮ่าฮ่า
"ไม่เคยเห็นเลย แต่น่าจะสะดุดตาอยู่นะ ถ้าเคยเห็นต้องจำได้บ้างละ" ผมตอบพลางเดินตามไป
"งั้นหรอ เฮ้ออออ หมอนั้นเป็นใครกันแน่นะ?" ฟ้าใสถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ
"ว่าแต่นายไม่มีอะไรจะบอกฉันหรอ?" ฟ้าใสหันมาถามผม ในขณะที่เราเดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้ว
"หืมมม? บอกเรื่องอะไร?" ผมเอียงคอถามกลับไป
เฮ้ยๆๆ หรือว่าเธอจะรู้ว่าผมไปแอบคุยกับมิ้นท์มาเลย หงุดหงิดใส่ผมแบบนี้ ว่าแต่เธอรู้ได้ไงว่่ะเนี้ยยยย? ผมนึกในใจพลางกลืนน้ำลาย
"ก็เรื่องข่าวลือเมื่อตอนนั้นไง ที่เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้นใต้ต้นไม้อ่ะ" ฟ้าไสพูดพลางหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าต้องการคำตอบแบบจริงจัง
ขะ...ข่าวลือ? นักเรียนชายกลุ่มนั้น? ใต้ต้นไม้? ขอนึกเดียวนะ อ่อๆๆๆ ตอนนั้นนี้เอง ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ ถามขึ้นมาล่ะเนี้ยยยย? ผมนึกในใจพลางหันไปมองสีหน้าจริงจังของฟ้าใส คงเลี่ยงไม่ได้แล้วคราวนี้
"อะ...เอ่อคือว่า ฉันไม่รู้นะว่า เมื่อวานเธอไปเจออะไรมาบ้าง แต่ข่าวลือนั้นมันก็รบกวนจิตใจฉันเหมือนกัน" ผมพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาเธอ
"แสดงว่านายก็รู้อยู่แก่ใจว่า นายอาจเป็นคนขับรถชนฉัน แต่นายก็ยังเข้ามาตีสนิทฉันงั้นหรอ!? นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ต้นกล้า?" ฟ้าใสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนกำลังจะร้องไห้ มันทำให้ผมเจ๊บปวดใจเหลือเกิน
"มะ...มันไม่ใช่แบบที่เธอคิดนะฟ้าใส ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ฉันเป็นคนทำจริงหรอเปล่า?" ผมพูดอธิบาย
"แล้วอย่างไง?" ฟ้าใสหันมาถามผม
"ฉันเลยอยากหาคำตอบว่าความจริงมันเป็นอย่างไง แต่สิ่งเดียวที่จะเป็นคำตอบได้ก็คือ ความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอไง" ผมพูดออกไปพลางก้มหน้า
"คะ...ความรู้สึก?" ฟ้าใสหันมาถามย้ำ
"ชะ...ใช่ ฉันรู้สึกว่า ฉันทั้งในอดีตและในตอนนี้ ไม่มีทางทำร้ายเธอได้อย่างแน่นอน เพราะเธอคือคนสำคัญของฉัน ฉันรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันในโรงพยาบาล" ผมหันมาตอบฟ้าใสอย่างจริงใจ
"เฮ้อออ เหมือนกับฉันเลยสินะ!" ฟ้าใสพูดพึมพำพลางลุกขึ้นยืน เพราะเห็นรถเมล์จะมา
"มะ...เหมือนกันหรอ?" ผมถามกลับไปอย่างงงๆ
"ฉันเองก็คิดว่า นายไม่มีทางทำร้ายฉันแน่นอน เพราะฉันรู้สึกว่า นายไม่ใช้คนแบบนั้น ฮิฮิ ไปกันเถอะรถเมล์มาแล้วนะ" ฟ้าใสหันหน้ากลับมาพูดกับผมที่กำลังนั่งมองเธออยู่ พร้อมส่งยิ้มมาให้ผม
ณ โรงเรียนทางเข้าประตูทิศเหนือ
นั้นสินะ ฉันไม่น่าคิดมากเลย ฉันก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าต้นกล้าไม่ใช่คนแบบนั้น และเขาไม่มีทางเป็นคนร้ายได้แน่ แต่ฉันกลับหวั่นไหวไปกับคำพูดของเกศ วะ...ว่าแต่ที่บอกว่า ฉันคือคนสำคัญนี่คืออะไร? สารภาพรักหรอ? อ้ายยยย แอบเขิน >.<
"นี่! ฟ้าใส ฉันคิดๆ ดูแล้ว เราสองคนมาร่วมมือกันหาตัวคนร้ายที่แท้จริงกันเถอะ!" ต้นกล้าหันมาพูดกับฉัน ในขณะที่เรากำลังเดินเข้าโรงเรียน หลังจากเงียบมาตลอดทาง
"อะ...เอ๋ อยู่ๆ ก็?" ฉันพูดขึ้นอย่างตกใจ
"คือ ฉันรู้สึกว่าการที่เธอโดนรถชนมันน่าจะเกี่ยวกับฉันด้วย เพราะมันไม่น่าบังเอิญที่คนสองคนจะเกิดเหตุพร้อมๆ กัน มันต้องมีอะไรเชื่อมกันอยู่" ต้นกล้าพูดพลางทำหน้าจริงจังเชิงวิเคราะห์
"จริงๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน งั้นเอาตามนี่ มาแท็กทีมกันตามล่าหาความจริง" ฉันพูดพลางยื่นมือออกไปเป็นเชิงให้เขาจับมือตกลง
"โอเค แต่ก่อนอื่น เธอช่วยเล่าเรื่องเมื่อวานทีได้ไหม? ว่าเกิดอะไรขึ้น?" ต้นกล้าถามในขณะที่เราเดินมาถึงลานน้ำพุกลางโรงเรียน
จากนั้น ฉันก็เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ฟังหมดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนักเรียนชายปริศนานั้น
"อื้มมมมม จากที่ฟังดูมันเเปลกอยู่นะ" ต่นกล้าพูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินเข้าอาคาร 7
"อย่างไง?" ฉันถามขึ้น
"เดียวตอนเที่ยงค่อยคุยกัน ฉันจะมากลับที่ห้องเรียน โอเคนะ ห้ามเบี๊ยว!?" ต้นกล้าพูดพลางยื่นนิ้วก้อยออกมา
"เป็นเด็ก 5 ขวบหรือไง? เกี่ยวก้อยสัญญา ฮ่าฮ่า" ฉันพูดพลางขำเขา แต่ก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวเขา ในขณะที่เรายืนอยู่หน้าลิฟต์
ณ ห้องเรียน ม.5/1
"ไง ฟ้าใส เมื่อวานเธอโอเคไหม?" เกศถามขึ้น ขณะที่ฉันนั่งลงข้างๆ เธอ
"อะ...อ่อ อืม ฉันไม่เป็นไรแล้ว" ฉันตอบพลางยิ้มแห้งๆ ให้
"ฉันขอโทษด้วยนะ พอดีเมื่อวานฉันมีธุระด่วนเลยไม่ได้อยู่ช่วยเธอ" เกศพูดพลางยื่นมือมาจับมือฉัน
"ไม่เป็นไรจริงๆ แหะๆ" ฉันตอบพลางจับมือเกศ
"ว่าแต่…ความทรงจำกลับมาแล้วใช่ไหม?" เกศถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
"ใช่ ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่ช่วยบอกความจริงฉัน" ฉันตอบด้วยเสียงกระซิบพลางมองไปทีคนๆ หนึ่ง
"แล้วเธอจะเอาไงต่อไปล่ะ?" เกศถามฉัน
"ฉันว่าจะคุยกับคนนั้นตอนหลังเลิกเรียน" ฉันตอบกลับแต่สายตายังคงมองไปที่คนนั้น
"คุยกับใคร? คนขับหรือคนผลัก?" เกศถาม
"คนผลักน่ะ ว่าแต่เธอแน่ใจหรอ? ว่าต้นกล้าเป็นคนขับรถคันนั้น" ฉันหันไปถามเกศด้วยสีหน้าจริงจัง
"นะ...แน่ใจสิ ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่บอกเธอหรอก ฟ้าใส ตะ....แต่ว่าเธอถามทำไมหรอ?" เกศตอบติดๆ ขัดๆ แล้วถามฉันกลับ
"เปล่าหรอก ไม่มีไร" ฉันตอบปัด เพราะไม่อยากอธิบายยาว
"ระ....หรือว่าเธอคุยกับต้นกล้าแล้ว?" เกศถามขึ้นอย่างสงสัย
"ต้นกล้าเขาความจำเสื่อมเหมือนเธอนี้ เขาคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปมั่่ง? ว่าเคยขับรถชนเธอ" เกศพูดขึ้นเหมือนพูดลอยๆ
น่าแปลกที่ฉันได้ยินประโยคนี้ของเกศ แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดและเจ๊บแปล๊บที่หัวใจ
"ก็ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่มีอะไร จะพูดขึ้นมาอีกทำไม!!" ฉันเผลอพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ ในห้องหันมามอง
"ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร จะเสียงดังทำไมล่ะ?" เกศพูดเสียงกระซิบ
"เอ่อ ขอโทษที อาจารย์มาแล้ว เลิกคุยเถอะ" ฉันตอบอย่างตัดบท
จากนั้นคาบเรียนเช้าก็จบลงโดยที่ทั้งฉันและเกศไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย
"ครื้น----" เสียงใครบางคนเปิดประตูห้องเรียน
"กรี๊ดดดด ต้นกล้ามาหามิ้นท์อีกหรอจ๊ะ?" เสียงยัย C แก๊งผลไม้พูดขึ้นเชิงแซว
"ปะ...เปล่า วันนี้ฉันมาหาฟ้าใส" ต้นกล้าพูดพลางมองหาฉันที่กำลังเก็บของเตรียมพักเที่ยง
"เอิ่บ!!!" ยัย C หน้าเหวอแล้วหันมามองฉัน
"สงสัยคงจะไปอ่อยต้นกล้าเขาไว้เยอะล่ะสิ หืม?" ยัย C พูดพลางเดินมาหาฉัน
"ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ เพื่อนเธอชอบอยู่ก็ยังอ่อยได้อีกนะ สงสัยตอนเรโกะ เธอก็คงทำแบบนี้เหมือนกันสินะ ห่ะ!?" ยัย A พูดพลางเงื้อมือขึ้นจะตบฉัน
"กรี๊ดดดด!! >.<" ฉันร้องขึ้นพลางหลับตา
"หยุดเลยนะ! ฉันเองล่ะที่เป็นคนนัดฟ้าใสเอง ฉันก็พึ่งรู้นะว่า ห้องคิง อย่างห้อง 1 ก็นิยมใช้ความรุนแรงเหมือนกัน!" ต้นกล้าพูดขึ้นพลางจับแขนยัย A แน่น จนยัยนั้นสั่นไปหมด
"ปะ...เปล่านะต้นกล้า ฉันแค่จะลูบหัวเพื่อนอย่างเอ็นดูเท่านั้นเอง ฮิฮิ" ยัย A พูดพลางลดมือลง
"อ่อหรอ? ลองให้ฉันลูบหัวเธอดูบ้างไหม? แต่ไม่ใช่ด้วยความเอ็นดูนะ จะลองไหมล่ะ ห่ะ!?" ต้นกล้าพูดพลางยกมือขึ้นทำทางจะตบยัย A
"ตะ...ต้นกล้าพอเถอะ ฉันไม่เป็นไร รีบไปเถอะ เดียวไม่มีเวลาคุย" ฉันพูดห้ามไว้เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
"อย่าให้ฉันเห็นหรือได้ยิน พฤติกรรมแบบนี้ของเธออีกนะ!!" ต้นกล้าพูดพลางชี้ไปที่ยัย A และหันไปมองเกศที่นั่งก้มหน้าอยู่
"เธอชื่อ เกศที่นั่งข้างๆ ฟ้าใสสินะ?" ต้นกล้าเดินไปถามเกศ
"ชะ...ใช่ ฉะ...ฉันเอง ทำไมหรอ?" เกศตอบขึ้นด้วยท่าทางตัวสั่นๆ
"หวังว่าเราคงมีโอกาสได้คุยกันสักครั้งนะ" ต้นกล้าพููดพลางมองต่ำไปที่เกศ
"ไปกันได้หรือยัง? เดียวที่นั่งเต็ม" ฉันเร่งต้นกล้า
"ไม่ต้องห่วงน่า ฉันให้ไอเหน่งไปจองที่ไว้แล้ว" ต้นกล้าพูดพลางเปิดประตูห้องเรียน
ณ โรงอาหารฝั่ง ม.ปลาย
จากนั้นเราสองคนก็เดินมายังโรงอาหารมองหาที่นั่งที่เหน่งเพื่อนของต้นกล้าที่อยู่ห้องเรียนเดียวกันจองไว้ เป็นที่นั่งที่เงียบสงบมาก ถ้าไม่จองไว้คงไม่ได้ที่แบบนี้แน่นอน
"นะ...นายจะนั่งด้วยหรอ?" ฉันหันไปถามเหน่ง ในขณะที่เขากำลังนั่งลงข้างๆ ต้นกล้า
"อะ...อ้าว! ฉันนั่งด้วยไม่ได้หรอจ๊ะ?" เหน่งถามพลางส่งยิ้มให้ฉัน
ฉันหันไปสบตากับต้นกล้าแล้วเหล่ไปที่เหน่งเป็นเชิงบอกว่า 'ช่วยไล่หมอนี่ไปทีสิยะ' ต้นกล้าพยักหน้ารับทันที
"ไอเหน่งพอดี เราสองคนมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันสองต่อสอง ช่วยออกไปนั่งที่อื่นที" ต้นกล้าพูดอย่างกระซิบกับเหน่ง
"อะไรวะ!? มึXเห็นหญิงสำคัญกว่าเพื่อนหรอ!?" เหน่งถามขึ้น
"จะไปไม่ไป ถ้าไม่ไปตูจะไปฟ้องแฟนเด็กมึX ว่ามึXหลี่หญิงอื่นเอาไหม ห่ะ!?" ต้นกล้าพูดกระซิบเสียงเย็นใส่เพื่อน
"เออ ก็ได้ ทำเป็นขู่" เหน่งพูดพลางยกจานไปนั่งที่โต๊ะอื่น
"ทำไมต้องไล่มันไปด้วยละ ฟ้าไส?" ต้นกล้าหันมาถามฉัน
"ขอโทษทีนะ ต้นกล้า แต่ฉันไว้ใจใครไม่ได้จนกว่าจะรู้ตัวคนร้ายที่แท้จริง ถึงแม้หมอนั้นจะเป็นเพื่อนนายก็ตาม" ฉันตอบพลางมองไปที่เหน่งที่ท่าทางหงุดหงิดเพราะถูกกีดกันจากพวกเรา
"ออ ฉันเข้าใจๆ" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"ว่าแต่จะบอกได้หรือยังที่พูดค้างไว้เมื่อเช้า?" ฉันถามขึ้นอย่างเปิดประเด็นแบบไม่รอช้า
"เรื่องอะไร?" ต้นกล้าพูดพลางยิ้มกริ่มเห็นลักยิ้ม
"ยังจะมาแกล้งทำไกอีก บอกมาไวๆ เลย" ฉันตีไปที่ไหล่ต้นกล้าทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้
"ฮิฮิ เครๆ คือ ที่ฉันบอกว่าแปลกๆ หมายถึง ยัยเกศเพื่อนที่นั่งข้างๆ เธอที่บอกว่าเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์" ต้นกล้าตอบพลางเขี่ยจานข้าว
"เอ่ะ! เกศแปลกอย่างไง?" ฉันถามขึ้น
"ก่อนจะบอก ขอถามหน่อย เธอสนิทกับเกศมากหรือเปล่า?" ต้นกล้าถามขึ้นพลางวางช้อนแล้วมองหน้าฉัน
"ฉันคิดว่าน่าจะสนิทนะ เพราะเธอนั่งเรียนข้างๆ ฉันตลอดเลย ทุกวัน" ฉันตอบพลางทำท่านึก
"งั้นก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เลย" ต้นกล้าพูดขึ้น
"แล้วมันแปลกอย่างไง? นายก็บอกมาสักทีสิยะ อมพะนำอยู่ได้" ฉันเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางลีลาเยอะของอีตานี่
"ลองคิดดูนะฟ้าใส เกศบอกว่าตัวเองเป็นพยานเห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุนั้น ถึงขึ้นเห็นหน้าคนขับว่าเป็นฉัน เอิ่บ แต่ไม่รู้ว่าเป็นฉันจริงๆ หรือเปล่านะ?" ต้นกล้าพูดพลางยกมือขึ้นมาเท้าคาง
"แล้วอย่างไง?" ฉันถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
"โอ๊ย! เธอนี้ มีสมองไว้เรียนอย่างเดียวหรอไง?" ต้นกล้าพูดอย่างอารมณ์เสีย
"นี่แน่! บอกมาเร็วเลย" ฉันยื่นมือไปหยิกแขนเขาก่อนจะเร่งด้วยความอยากรู้
"ก็ในเมื่อเป็นพยานที่เห็นชัดซะขนาดนั้น แต่ทำไมไม่ให้การกับตำรวจไปล่ะ แล้วอีกอย่างนะ ในเมื่ออยู่ในที่เกิดเหตุแต่กลับไม่ช่วยเธอที่เป็นเพื่อนนั่งเรียนข้างๆ ทุกวันเนี้ยนะ!?" ต้นกล้าตอบพลางลูบไปที่แขนทำท่าทางเจ็บ
"อะ...เอ่ะ!/เเกร๊ง" ฉันตกใจเมื่อได้คิดประโยคที่ชวนคิดของต้นกล้าจนทำให้ช้อนในมือตกลงในจานข้าว
"มันไม่เเปลกหรอ?" ต้นกล้าถามย้ำ
จเ....จริงด้วย! ฉันลืมคิดถึงจุดนี้ไปซะสนิทเลย ทำไมเกศไม่ให้ปากคำกับตำรวจ? แล้วทำไมไม่ช่วยเหลือฉันหรือแสดงตัวว่าเป็นคนรู้จักของฉันในที่เกิดเหตุล่ะ!? ฉันนึกขึ้นมาในใจพลางมือไม้สั่นไปหมด
"...เฮ้ยๆๆ! ได้ยินฉันไหม?" ต้นกล้าโบกมือไปมาหน้าฉันเป็นเชิงเรียกสติฉัน
"ห่ะๆๆ ว่าไงนะ!?" ฉันหลุดออกจากภวังค์พลางถามกลับ
"เธอ โอเคหรือเปล่า? เธอต้องตั้งสติให้ดีหน่อยนะ ฟ้าใส เพราะความจริงมันอาจโหดร้ายกว่าที่เธอคิด" ต้นกล้าพูดพลางถอนหายใจอย่างเป็นห่วงฉัน
"ฉะ...ฉันยังโอเคอยู่ แค่ตกใจนะ แต่ถ้าลองคิดดูมันก็แปลกเหมือนกัน" ฉันตอบกลับพลางทำหน้าครุ่นคิด
"ให้ฉันวิเคราะห์ต่อไหมล่ะ?" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"วิเคราะห์ต่อ เรื่องอะไร?" ฉันถามแต่ใจจริงรู้ดีว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร
"ข้อแรก มีความเป็นไปได้ว่า เกศอาจเป็นคนผลักเธอแล้วร่วมมือกับคนขับรถ จากนั้นก็ป้ายสีให้มิ้นท์ และฉัน" ต้นกล้าพูดพลางชูนิ้วชี้ ในขณะที่ตัวฉันชาวูบไปหมด
"ข้อสอง เกศไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย แต่โดนใครบางคนใช้ให้มาพูดเรื่องนี้กีบเธอ" ต้นกล้าพูดพลางชูสองนิ้ว
"ข้อสาม เกศอยู่ในเหตุการณ์และไม่ใช่คนผลักเธอ และเกศก็ไม่ได้สนิทกับเธอถึงขนาดต้องเข้ามาช่วยเธอ ให้ตัวเองต้องยุ่งยาก" ต้นกล้าพูดพลางชูสามนิ้ว ในขณะที่ฉันกลืนน้ำลายดังเอือก
ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็โหดร้ายกับฉันไปซะหมด แต่ถ้าเป็นแบบข้อแรกจริงๆ ฉันจะทำอย่างไงดีล่ะ? ฉันนึกในใจพลางขนลุก เมื่อคิดว่าคนที่นั่งเรียนข้างๆ ฉันทุกวัน ส่งยิ้มให้ฉันทุกวัน อาจเป็นคนที่พยายามจะ 'ฆ่า' ฉันก็เป็นได้
"ถ้าให้ฉันเดาจากสีหน้าเธอ เธอคงไม่อยากให้มันเป็นข้อแรกสินะ ฟ้าใส?" ต้นกล้าพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
"ชะ...ใช่ แค่คิดว่าเพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ ทุกวันจะพยายามฆ่าฉัน ฉันก็ขนลุกไปหมดแล้ว" ฉันพูดพลางยื่นแขนที่ขนลุกให้ต้นกล้าดูเป็นการยืนยัน
"แต่ความจริงก็คือความจริง อย่าพึ่งด่วนสรุปไปเลย" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"อะ...อืม" ฉันพูดพลางรวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ฉันกินข้าวต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะรู้สึกผิดที่ข้าวเหลือเกือบครึ่งจานก็เถอะ
"แล้วเธอจะเอาไงต่อ?" ต้นกล้าถามพลางเก็บช้อนส้อมเหมือนกัน
"ฉันต้องลองคุยกับมิ้นท์ก่อน เพราะเย็นนี้ฉันจะกลับบ้านพร้อมมิ้นท์" ฉันพูดพลางเก็บของเตรียมลุก
"งั้นหรอ? ก็เป็นความคิดที่ดี อาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ถ้ามิ้นท์เป็นคนผลักตามที่เกศบอกเธอจะทำไง?" ต้นกล้าพูดแล้วลุกขึ้นตาม
"ฉันก็คงต้องให้มิ้นท์ไปมอบตัวกับตำรวจ!" ฉันพูดพลางเดินไปที่ถังขยะสำหรับเศษอาหารโดยเฉพาะ
"จะง่ายขนาดนั้นเลย?" ต้นกล้าถามพลางเดินตามฉัน
"เดียวฉันจะคิดแผนรับมือเอง" ฉันตอบ ในขณะที่เราเดินออกจากโรงอาหารแล้ว
จากนั้นเราสองคนก็เดินเข้าอาคาร 7 กัน เพราะคุยกันยาวจนเวลาพักเที่ยงหมด
"อย่างไงก็ระวังตัวด้วยละ ตั้งสติให้ดีไม่ว่าความจริงจะโหดร้ายขนาดไหนก็ตาม" ต้นกล้าพูดพลางตบมาที่ไหล่ฉันเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
"ขอบคุณนายมากนะ ต้นกล้า ที่ช่วยฉันขนาดนี้" ฉันตอบกลับไป ในขณะที่เรายืนอยู่หน้าลิฟต์ชั้นเรียน
"ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะถ้าความจริงปรากฏ ฉันเองก็จะได้หลุดพ้นจากข่าวลือนั้นเหมือนกัน ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดพลางหันหลังแล้วโบกมือให้ฉัน
จากนั้นเราสองคนได้แยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของแต่ละคน
ณ. ห้องเรียน ม.5/1
และแล้วชั่วโมงเรียนคาบบ่ายก็เริ่มต้นขึ้น แต่หัวสมองฉันมันไม่ได้รับข้อมูลวิชาเรียนต่างๆ เลย และที่สำคัญสายตาของฉันก็เอาแต่ชำเลืองไปที่เกศที่นั่งเรียนอย่างตั้งใจ
ฉันจะมานั่งระแวงเพื่อนที่นั่งคู่กันแบบนี้ทั้งวันไม่ได้นะ! ความจริงอาจไม่เป็นแบบที่ต้นกล้าวิเคราะห์ไว้ก็ได้นี่น่า ฉันต้องทำตัวให้ปกติที่สุด ฉันนึกในใจพลางส่ายหัว
"ฟะ...ฟ้าใสเธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูกระวนกระวายมาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ" เกศหันมาถามฉันด้วยเสียงกระซิบ
"อะ....เอ่อออ เปล๊านี่ ไม่มีอะไร แหะๆ" ฉันตอบปัดเสียงสูงพลางขำกลบเกลื่อน
ปะ....ปกติกับผีนะสิ! ฉันทำไม่ได้จริงๆ ใจมันคิดตลอดเวลาเลย T_T
แล้วฉันก็บังเอิญหันไปสบตากับมิ้นท์เข้า ยัยนั้นหลบตาฉันทันทีที่เราสบตากัน
ยัยนี่ก็อีกคนหนึ่ง รอบตัวฉันมีแต่คนน่าสงสัยเต็มไปหมด แล้วจะให้ฉันทำตัวปกติอยู่ได้อย่างไงล่ะค่าาา!?
จากนั้นคาบชั่วโมงโฮมรูมก็เริ่มขึ้น
"อีกเดือนครึ่งจะมีงานวันสถาปนาโรงเรียน พวกเธอคิดได้หรือยังว่าจะทำร้านอะไรกัน?" ครูประจำชั้นพูด
"ยังเลยค่ะ/ครับ---" นักเรียนทุกคนตอบพร้อมเพรียงกันมาก
"ฮ่าฮ่า เริ่มคิดได้แล้วนะ จะได้เตรียมสถานที่และอื่นๆ ได้ทัน อย่าหามรุ่งหามค่ำแบบปีที่แล้วอีกล่ะ รู้ไหม?" ครูพูดขึ้น
"ค่ะ/ครับ ฮ่าฮ่า" ทุกคนตอบกลับและขำพร้อมกัน
"เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ถ้าปรึกษาแล้วสรุปได้ว่าจะออกร้านอะไรให้มาบอกครูก่อนนะ ครูจะหาสปอนเซอร์ให้พวกเธอจะได้ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเองไปก่อน" ครูพูดพลางเดินออกจากห้อง
เมื่อจบคาบโฮมรูมฉันก็เก็บกระเป๋านักเรียนอย่างช้าๆ เพื่อรอให้มิ้นท์มาชวนกลับบ้านตามแผนที่วางไว้ตอนนั่งเรียนตลอดคาบบ่าย
"ฟ้าใสสสส วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันนะ ห้ามเบี๊ยวละ ฮิฮิ" มิ้นท์เดินมาหาฉันที่โต๊ะ
"อ่อได้สิ ฉันเก็บของเสร็จพอดี ไปกันเลยไหม?" ฉันตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้ แต่ในใจคิดว่า 'บิงโก! เป็นไปตามแผน'
จากนั้นฉันและมิ้นท์ก็เดินออกจากอาคาร 7 แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูทิศเหนือของโรงเรียน
ณ ทางเดินไปประตูทิศเหนือของโรงเรียน
"นี่ มิ้นท์ ฉันมีเรื่องอยากถามนะ" ฉันเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน
"หืม? เรื่องอะไร?" มิ้นท์หันมาถามกลับ
"เรื่องวันสถาปนาโรงเรียนนะ เธอก็รู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสินะๆ" ฉันถามด้วยความอยากรู้ จริงๆ จะถามเกศก็ไม่ได้เพราะยัยนั้นพึ่งย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ตอน ม.5
"อ่อนึกว่าเรื่องอะไร วันสถาปนาโรงเรียน ก็เป็นเหมือนงานเทศกาลขนาดใหญ่ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้นะ" มิ้นท์พูดพลางหันมายิ้มให้ฉัน
"งะ...งานเทศกาล!? ใหญ่โตขนาดนั้นเลยหรอ?" ฉันถามแบบอึ้งๆ
"ฮฺิฮิ ใช่ ทุกห้องเรียนในระดับ ม.ปลายจะต้องออกร้านอะไรสักอย่างเพื่อร่วมกิจกรรมนี้ ร้านที่ออกจะใช้ห้องเรียนเรานี้แหละเป็นสถานที่ แค่ตกแต่งภายในเพิ่มเติมให้เข้ากับร้านที่จะออกก็พอ" มิ้นท์อธิบาย ในขณะที่เราเดินมาถึงประตูโรงเรียนทิศเหนือ
"อ่ออออ แบบนี้เอง รวมแล้วก็เกือบ 20 ร้านเลยนะเนี้ย ฮ่าฮ่า" ฉันพูดขึ้นพลางหัวเราะในความอลังการของงานโรงเรียน
"ไม่ใช่แค่นั้นนะ" มิ้นหันมาพูดขึ้น
"ยะ...ยังมีอีกหรอ!?" ฉันถามขึ้น
"เธอก็รู้ใช่ไหมว่าโรงเรียนเรามีชมรมต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ชมรมเชิงวิชาการ วัฒนธรรม กีฬา การเเสดงบันเทิงต่างๆ" มิ้นท์พูดขึ้น ในขณะที่เราเดินมาถึงป้ายรถเมล์
"ยะ...อย่าบอกนะว่าทุกชมรมก็ต้องออกร้านด้วยน่ะ?" ฉันหันไปถาม เพราะเท่าที่ฉันรู้ (อ่านจากหนังสือรวมรุ่น) มีชมรมในโรงเรียนกว่า 30 ชมรม ที่ ม. ปลายสังกัดอยู่
"ใช่แล้วจ้าาาา ชมรมการแสดงบันเทิงก็จัดการแสดงไป ชมรมกีฬาก็จัดการแข่งขันขึ้น แน่นอนว่ามีเงินรางวัลด้วยนะ ชมรมวิชาการก็แสดงผลงานต่างๆ" มิ้นท์ตอบกลับ
"โอ้โห้! ภายในวันเดียวเนี้ยนะ?" ฉันถามอย่างไม่อยากเชื่อ
"ใครบอกว่างานสถาปนาโรงเรียนมีวันเดียว มันมี 3 วัน 3 คืนเลยนะ!!" มิ้นท์พูดพลางชูสามนิ้ว
"คุณพระ!!" ฉันตกใจเผลออุทานออกมา
"ไปกันเถอะรถเมล์มาแล้ว" มิ้นท์พูดพลางเดินขึ้นรถเมล์
จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ เพราะอยู่บนรถเมล์ที่แน่นมากจนคุยไม่ได้
ณ หมู่บ้านของฟ้าใส
ผ่านไปไม่นานนักเราก็มาถึงหมู่บ้าน เราสองคนเดินเตร่ๆ กินลมชมวิว แต่ในใจฉันคิดแต่ว่าจะหาโอกาสพูดเข้าประเด็นอย่างไงดี?
"นี่ฟ้าใส---- เธอว่าการบ้านคณิตสัปดาห์นี้ยากเนอะว่าไหม?" มิ้นท์เริ่มเปิดประเด็นที่ต้องการ
"อ่ะ อืม! ฉันก็ว่างั้นละ ฮ่าฮ่า" ฉันตอบกลับพลางขำแห้งๆ ไป
"ถ้าฉันไม่ได้คะแนนเต็มของการบ้านนี้ ฉันต้องถูกพ่อตีแน่เลย เฮ้ออออ" มิ้นท์พูดขึ้นพลางถอนหายใจอย่างหนักใจ
"ถะ....ถูกพ่อตี?" ฉันหันไปถามย้ำอีกครั้ง
"ใช่ ออจริงสิ เธอจำไม่ได้นี่เนอะ พ่อฉันชอบตีฉันทุกครั้งที่ไม่ได้คะแนนเต็ม ดูนี่สิ" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าจนฉันสัมผัสได้ว่า มันคือเรื่องจริงที่เธอเผชิญอยู่ แล้วถลกกระโปรงให้ฉันดูรอยไม้เดียวที่ขาอ่อน
"อะ…..เอิบ! เธอโอเคหรือเปล่า?" ฉันถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ
นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันในเมื่อก่อนยอมทำการบ้านได้เธอสินะ ถึงฉันจะรู้ว่าเธอหลอกใช้ฉัน แต่ฉันก็ยังเต็มใจทำให้เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนกันและอยากจะช่วยเท่านั้นเอง ฉันนึกในใจพลางมองไปที่รอยนั้นของมิ้นท์
"ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว โดนมาตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า" มิ้นท์พูดพลางขำ แต่เป็นการขำกลบเกลื่อนความเศร้าในจิตใจของเธอ
"ว่าแต่…เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฟ้าใส ถ้าเธอทำต้องได้คะแนนเต็มอยู่แล้ว นะๆๆ?" มิ้นท์พูดอย่างขอร้องพลางจับมือฉัน
"ชะ...ช่วยหรอ?" ฉันถามกลับ แต่ในใจรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
"เธอทำแล้วเอามาให้ฉันลอกหน่อยนะ ฮิฮิ" มิ้นท์พูดพลางหัวเราะคิก
"ได้สิ เรื่องแค่นี้เอง แต่มีข้อแม้นะ" ฉันพูดขึ้นอย่างเข้าประเด็นของฉันบ้าง
"ข้อแม้อะไร?" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าว
"เธอต้องตอบคำถามฉัน 3 เรื่อง ห้ามโกหกเด็ดขาด เพราะถ้าโกหกฉันจะไม่ให้เธอลอกการบ้านอีกต่อไป" ฉันพูดพลางชูสามนิ้ว ในขณะที่เราเดินมาถึงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน
"เดียวนะ นี่! ทำไมตอนนี้ถึงมีข้อแลกเปลี่ยนละ? แต่ก่อนเธอยังทำให้ฉันด้วยความเต็มใจเลยนี่ ฟ้าใส!?" มิ้นท์ถามกลับอย่างหัวเสีย
"ถ้าไม่ตกลงก็ตามใจนะ เรื่องที่จะถามฉันไปสืบเอาเองก็ได้ หืม? ว่าไงล่ะ?" ฉันเอียงคอถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นต่อ ในขณะที่เราหยุดเดินอยู่ที่สวนสาธารณะ
"อื้มมมม ก็ได้! เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?" มิ้นท์ทำท่าคิดอยู่นานก่อนจะตอบตกลง
"เรามาหาที่นั่งคุยกันก่อนดีกว่าไหม?" ฉันพูดพลางเดินนำไปที่เก้าอี้ม้านั่งข้างทางเดินในสวนสาธารณะ พลางนึกในใจว่า 'เป็นไปตามแผนขั้นที่ 1'
ณ สวนสาธารณะของหมู่บ้าน ยามเย็น
ตอนนี้ฉันและมิ้นท์ได้นั่งอยุ่ที่เก้าอี้ม้านั่งริมทางในสวนสาธารณะที่ด้านหลังของเราเป็นสระน้ำประจำสวน สายลมยามเย็นที่กระทบกับใบไม้ใบหญ้าและเสียงนกร้องเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบระหว่างเราสองคนในตอนนี้
"มีเรื่องอะไรจะถามก็ว่ามา?" มิ้นท์พูดขึ้นหลังจากที่เราเงียบกันอยู่สักพัก
"ก่อนอื่น เธอสัญญาได้ไหมว่าจะพูดความจริง? ฉันก็จะสัญญาเช่นกันว่าจะให้เธอลอกการบ้าน ถึงแม้หลังจากคุยเสร็จความสัมพันธ์ของเราอาจไม่เหมือนเดิม" ฉันหันไปพูดกับมิ้นท์ด้วยสีหน้าจริงจัง
"ฉะ...ฉันสัญญา ด้วยเกียรติของหลานสาวเพียงคนเดียวของ ผอ. โรงเรียนเลย" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางกลืนน้ำลายดังเอือก
ยัยนี่เป็นหลานสาว ผอ. โรงเรียนเลยหรอเนี้ย ใหญ่ไม่ใช่ย่อย ถ้าเป็นศัตรูด้วยคงแย่พอดู แต่ฉันจะกลัวจนละทิ้งความจริงและความยุติธรรมไปไม่ได้ ฉันนึกในใจพลางรวบรวมสติเรียกความมั่นใจ
"งั้นก็ดีเรื่องเเรก เธอคงรู้จักกับเรโกะสินะ?" ฉันเริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่อยากรู้ให้มันกระจ่างมานาน
"ระ...เรโกะ? อยู่ๆ ถามถึงเรโกะทำไม?" มิ้นท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
"ฉันพอจะนึกเรื่องของเรโกะได้บ้างแล้ว แต่มันไม่ชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ของฉัน เรโกะ ต้นกล้า แล้วทำไมยัย A แก๊งผลไม้ถึงด่าฉัน เหมือนฉันเป็นคนทำร้ายเรโกะด้วย?" ฉันถามในสิ่งที่คาใจ
"อื้มมมม ฉันขอตอบแบบย่อๆ นะ เพราะเรื่องมันยาวมากเลย" มิ้นท์ทำท่าคิดอยู่สักพักก่อนนะพูดขึ้น
"ได้สิ เอาเท่าที่เธออยากตอบเลย" ฉันพูดขึ้น
"เรโกะ เป็นนักเรียนชั้นเดียวกับฉัน เธอ และเเก๊งผลไม้ตอน ม.4 พวกเรา 6 คนเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ฉัน เธอ เรโกะจะสนิทกันเป็นพิเศษ แต่ยัย A ก็สนิทเหมือนกัน" มิ้นท์เล่าความจริงให้ฉันฟัง
"อ่อ แล้วไงต่อ?" ฉันถามต่อ
"ประมาณท้ายเทอม 1 เรโกะก็คบกับต้นกล้าเป็นแฟนอย่างเปิดเผย" มิ้นท์ตอบพลางก้มหน้าเศร้า
ฉันรู้ดีว่า เธอรู้สึกอย่างไง เพราะตอนนี้เมื่อฉันได้ยินความจริงที่ฉันก็รู้แก่ใจดี ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกับเธอเหมือนกัน ฉันนึกในใจพลางมองมิ้นท์ที่นั่งก้มหน้า
"เธอโอเคหรือเปลา มิ้นท์?" ฉันถามพลางมองเธอ
"ฉันไม่เป็นไร เพราะเรโกะ เธอเหมาะสมกับต้นกล้ามากกว่าฉันซะอีก แต่แค่ผิดหวังที่คนที่ต้นกล้าเลือกไม่ใช่ฉัน" มิ้นท์ตอบพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน
"แล้วที่ยัย A ด่าฉันในห้องเรียนว่า เป็นเพื่อนเห็นแก่ตัว ละมันหมายความว่าไง?" ฉันถามต่อ
"นี่เธอยังจำได้ไม่หมดจริงๆ หรือถามเพราะไม่รู้ตัวกันแน่ หืม?" มิ้นท์ถาม
"เธอเป็นคนทำให้เรโกะต้องลาออกจากโรงเรียนไงล่ะ" มิ้นท์ตอบพลางกอดอกอย่างเอาเรื่อง
"ฉะ...ฉันเป็นคนทำ!? หมายความว่าไง?" ฉันถามกลับอย่างงงๆ
"เรื่องนี้ ฮธิบายแล้วมันยาว เอาเป็นว่าเธอหลอกใช้เรโกะจนเรโกะไม่สามารถมาเรียนได้อีกเลย" มิ้นท์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"ฉะ...ฉันทำแบบนั้นจริงๆ หรอ!?" ฉันถามออกไปแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้วยน้ำเสียงสั่น
"ใช่! เธอมันยัยเพื่อนเห็นแก่ตีว ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอเรโกะลาออกจากโรงเรียน เธอก็คบกับต้นกล้าเป็นแฟน ทั้งๆ ที่ต้นกล้าเป็นแฟนของเพื่อนสนิทเธอ" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงโมโห
ฉันเข้าใจที่เธอโมโหเพราะอะไร? คนที่ต้นกล้าเลือกหลังจากเรโกะลาออกกลับไม่ใช่เธอ แต่เป็นฉัน ไม่ว่าใครก็โกธรล่ะ แต่ของแบบนี้จะโทษคนอื่นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ มันต้องดูตัวเองด้วยเหมือนกันนะ มิ้นท์ ฉันนึกในใจพลางมองหน้ามิ้นท์
"แล้วตอนนี้เรโกะอยู่ไหนล่ะ?" ฉันถามต่อ
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเรโกะลาออกจากโรงเรียนก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย" มิ้นท์ตอบพลางส่ายหัว
"จบแล้วหรือยัง? เรื่องเรโกะ?" มิ้นท์ถามขึ้น
"โอเค พอแล้วละ" ฉันตอบ
ฉันคงต้องตามหาเรโกะเองแล้วล่ะ เพื่อยืนยันว่า 'ฉันเป็นเพื่อนเห็นแก่ตัว' ขนาดนั้นเลยหรือ? ฉันนึกในใจ
"งั้น เรื่องต่อไป เธอเป็นแฟนต้นกล้าหรอ?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ
"โอ๊ย!! หงุดหงิด นี่เธอจะกวนประสาทฉันใช่ไหม ห่ะ!?" มิ้นพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
"เปล่า ฉันแค่สงสัย ถ้าต้นกล้าเป็นแฟนเธอ ฉันจะได้วางตัวได้ถูก" ฉันตอบกลับไป
"เออๆ ฟังให้ดีนะ ฟ้าใส" มิ้นท์พูดขึ้น
"อะ...อืม" ฉันตอบรับพลางกลืนน้ำลายลงคอ
"ฉัน ไม่ ได้ เป็น แฟน กับ ต้นกล้า" มิ้นท์ตอบแบบชัดๆ ทุกคำ
"เฮ้อออ อันที่จริงฉันแค่แอบชอบเขาข้างเดียวล่ะ แต่เพราะเขาความจำเสื่อม ฉันเลยกะว่าจะลองดูอีกสักรอบ แต่เขาก็ไม่เล่นด้วยเหมือนเดิม" มิ้นท์ถอนหายใจพลางกอดอก
"งะ...งั้นหรอ" ฉันพูดพึมพำกับตัวเอง
"เอาล่ะ ข้อสุดท้ายแล้วว่ามาเลย" มิ้นท์พูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืน
"...." ฉันเงียบเพราะต้องการทำใจและปรับอารมณ์ก่อนจะเริ่มประเด็นสำคัญ
"มิ้นท์" ฉันเรียกชื่อเธอพลางลุกขึ้นยืนตรงข้ามกับเธอ พร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋ากระโปรง
"หืม? ว่าไง?" มิ้นท์เอียงคอถามฉันเหมือนไม่รู้เลยว่า เรื่องที่ฉันจะถามมันซีเรียสขนาดไหน
"ธะ...เธออยู่ในเหตุการณ์รถชนฉันใช่ไหม?" ฉันกลัั้นใจถามออกไปจนได้ ฉันกลัวในคำตอบของเธอจริงๆ
"นะ....นี่! เธอพูดอะไรน่ะ!?" มิ้นท์ถามขึ้น แต่ฉันรู้ดีว่า เธอเข้าใจคำถามนี้ดีกว่าใคร
"ฉันจำเรื่องเหตุการณ์นั้นทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่านะ….มิ้นท์ ฉันยังอยากได้ยินความจริงจากปากเธอ คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน" ฉันเปิดใจพูดกับมิ้นท์อย่างตรงไปตรงมา และฉันเองก็อยากได้ความจริงใจตอบกลับมาเช่นกัน
"...." มิ้นท์นิ่งเงียบ
ตอนนี้ความเงียบได้ถาโถมใส่เราสองคน มีเพียงเสียงสายลมพัดกระทบใบหญ้าและใบไม้ที่ให้ร่มเงาแก่ม้านั่งนี้เท่านั้น
"ยัยเกศ เป็นคนบอกเธอใช่ไหม? ฟ้าใส" มิ้นท์ตอบคำถามฉันด้วยการถามฉันกลับ
"มันสำคัญด้วยหรอว่า ฉันจะรู้หรือจำได้อย่างไง?" ฉันตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
"และการที่เธอถามว่าเกศเป็นคนบอกใช่ไหม? นั้นมันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ทั้งเธอและเกศอยู่ที่เกิดเหตุด้วยกันทั้งคู่…หรือไม่จริง?" ฉันพูดพลางเดินอ้อมม้านั่งมายืนต่อหน้ามิ้นท์เพื่อนที่ฉันคิดว่า 'สนิท' ด้วยความเจ๊บปวดใจยิ่งกว่ารู้ว่าโดนหลอกใช้ซะอีก
"ชะ...ใช่! ฉันอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเธอถูกรถชนจริงๆ" มิ้นท์หลับหูหลับตาพูดเหมือนไม่อยากเห็นแววตาของฉัน
"...." ฉันพูดไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วแท้ๆ
แล้วความเงียบก็เข้ามาจู่โจมเราสองคนอีกครั้ง ฉันได้ยินแต่เสียงหัวใจของฉันที่มันกำลังเต้นด้วยความปวดใจกับความจริงนี้
"เธอ....ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยหรอ?" ฉันถามขึ้นอย่างคาดหวังว่าจะได้ยินคำๆ หนึ่งจากปากของเพื่อนคนนี้
"เรื่องอะไร? ฉันก็ตอบคำถามเธอหมดแล้วนิ หืม?" มิ้นท์ถามกลับด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกอะไร
"เธอควรจะขอโทษฉันซิ!?" ฉันพูดออกไปเป็นเชิงเตือนสติมิ้นท์
"ขอโทษเรื่องอะไร? ห่ะ!? ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!" มิ้นท์ตอบกลับมาเสียงแข็ง
"เฮอะ! วะ...ว่าไงนะ? ห่ะ!?" ฉันถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ พลางกลอกตามองบน
"นี่! ฟังให้ดีนะฟ้าใส จริงอยู่ที่ฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนผลักเธอให้รถชนนี้…จริงไหมล่ะ? หืม!?" มิ้นท์ตอบพลางยืนกอดอกเชิดหน้า
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่า เธอจะผลักฉันจริงหรือเปล่า? เพราะฉันไม่มีตาหลัง แต่ที่ฉันรู้คือ ฉันกับเธอเดินมาด้วยกัน แต่เธอกลับวิ่งจากไปตอนที่เราสบตากัน ขณะที่ฉันนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นกลางถนน!! อะ...อึ้ก!" ฉันพูดออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเข้าไว้
"แล้วอย่างไง?" มิ้นท์เอียงคอถามหน้าตาเฉย
"เฮอะ! เพี๊ยะ!!" ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ มือที่สั่นเทาของฉันได้ประทับลงบนใบหน้าขาวๆ ของมิ้นท์พร้อมกับใบหน้าของมิ้นท์ที่หันไปตามแรงตบนั้นด้วยสีหน้าตกใจ
"อึ้ก...เธอ...ไม่รู้ตัวจริงๆ หรอว่าตัวเองทำผิดอะไรลงไปน่ะ? ห่ะ!? อึ้ก!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเป็นการพูดที่ยากลำบากจริงๆ มันปนเปไปกับเสียงกลั้นร้องไห้ของฉัน
"นี่! เธอกล้าตบฉันหรอ? ห่ะ!?" มิ้นท์หันกลับมาด้วยความโกรธ
"ฉันคิดมาตลอดว่า ถึงเธอจะคบกับฉันเพราะต้องการหลอกใช้ฉัน แต่อย่างน้อย...เราก็คงมีความเป็นเพื่อนกันอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนฉันจะคิดไปเองคนเดียวสินะ ฮื้อๆๆ...อึ้ก" ฉันระบายความในใจออกไป พร้อมกับปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาอย่างอดไม่อยู่จริงๆ
"ใช่ เธอมันมโนไปเองคนเดียว ตั้งสติได้แล้ว ยัยฟ้าใส ฉันไม่เคยคิดว่า เธอเป็นเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เธอมันเป็นได้แค่ศัตรูหัวใจของฉันเท่านั้น" มิ้นท์ตอบอย่างระบายบ้าง
"ฮื้อๆๆ อึ้กๆๆ" ฉันปล่อยโฮเพราะประโยคที่ตอกย้ำความโง่ความไร้เดียงสาของฉันเอง
"ทุกครั้งที่ฉันเห็นเธออยู่กับเขา ฉันแทบอยากจะวิ่งไปตบเธอทุกครั้ง แต่ฉันก็ต้องอดทน เพราะฉันคือหลานสาวของ ผอ. จะมีข่าวเสียหายไม่ได้!!" มิ้นท์พูดอย่างเหลืออด
"...." ฉันยังคงเงียบอยู่ ใจหนึ่งก็สงสารเธอ แต่อีกใจก็โกรธที่เธอไม่เคยเห็นฉันเป็นเพื่อนเลยแม้แต่วันเดียว
"แล้วเธอจะเอาไง? ห่ะ!?" มิ้นท์ถามขึ้นพลางเดินมาผลักไหล่ฉัน
"...." ฉันพูดไม่ออกจริงๆ กับความไม่มีสำนึกของเธอ
"หรือจะไปบอกตำรวจล่ะ? ว่าไง!?" มิ้นท์เอียงคอถามเสียงแข็ง
"ใช่! ฉันให้โอกาสเธอคิดให้ดีว่าจะไปให้ปากคำกับตำรวจ หรือจะให้ฉันไปบอกตำรวจเอง" ฉันพูดขึ้นหลังเงียบอยู่สักพัก ในใจคิดว่า ฉันไม่อยากให้มันไปถึงขั้นนี้เลยจริงๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่า โอ๊ยขำ นี่ๆ ล้อฉันเล่นใช่ไหม!?" มิ้นท์เดินมาลูบที่แก้มฉัน
"เธอก็รู้ว่าฉันใหญ่แค่ไหน? คิดหรือว่าฉันจะกลัวน่ะ? หืม!?" มิ้นท์ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบ พลางกำหมัดแน่น เพราะสิ่งที่เธอพูดมันถูก ไม่มีอะไรที่มีอำนาจไปมากกว่าเงินตราอีกแล้ว มันสามารถทำได้ทุกอย่าง
"คิดให้ดีล่ะกว่าเธอจะทำอย่างไงต่อไป ห่ะ!?" มิ้นท์พูดพลางผลักอกฉันแรงจนฉันล้มลงนั่งกองกับพื้น
"โอ๊ย!!!" ฉันทำได้แค่ร้องด้วยความเจ๊บมือและก้มพลางกำหมัดแน่น ตัวสั่นเทา ด้วยความโมโห
"ส่วนฉัน แน่นอนว่าฉันไม่มีทางลดตัวไปขึ้นโรงพักกับเธอแน่นอน บาย!!" มิ้นท์พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินจากไป
ถึงอำนาจของเงินตราที่ตระกูลเธอมีอยู่มันจะน่ากลัวเพียงใด แต่ฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้ความจริงมันตายลงไปได้หรอกนะ มิ้นท์
ฉันอยากให้เธอไปให้ปากคำกับตำรวจ ถ้าเธอบริสุทธิ์จริง เพราะเศษเสี้ยวของใจฉันก็ยังคิดว่า เธอไม่ได้เป็นคนทำ! ฉันนึกในใจ ขณธลุกขึ้นและเดินกลับบ้าน
จากนั้น ฉันที่เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงและเสียสูญได้เดินกลับบ้านจนกระทั้งถึงหน้าบ้าน
"นี่! ทำใมพึ่งกลับ!?" น้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากหน้าประตูบ้านฉัน
"ตะ...ต้นกล้า!?" ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขายืนรอฉันที่หน้าบ้าน
"ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากเลย ฉันไม่มีแรงจะคุยกับใครทั้งนั้นล่ะ" ฉันพูดพลางเดินผ่านเขาไปก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูบ้าน
"เดียวก่อน" ต้นกล้าเรียกรั้งฉันไว้ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางดึงมือฉันให้ฉันเข้าไปหาเขา
"เธอโอเคไหม? ฟ้าใส" ต้นกล้าพูดด้วยเสียงเเผ่วเบา
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบกลั้นน้ำตาไว้ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นถึงความอ่อนแอของฉันเลย
"พรึ่บ" ต้นกล้าดึงฉันเข้าไปกอดไว้ ฉันไม่ได้ปฏิเสธอะไรเขาเลย อาจเพราะฉันกำลังต้องการใครบางคนที่คอยอยู่ข้างๆ ฉันก็เป็นได้
"ถ้าเธออยากร้องก็ร้องออกมาเถอะนะ ฟ้าใส" ต้นกล้าก้มลงกระซิบบอกกับฉันด้วยเสียงที่แผ่วเบา
"ฮื้อๆๆ...อึ้กๆๆ" ฉันปล่อยโฮทันที่ ขณะที่ซบลงแผงอกแน่นๆ ของเขา
"ไม่เป็นไรๆ ฉันจะทำตัวเสมือนต้นไม้ทีคอยดูดซับความเศร้าของเธอเหมือนที่มันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เอง ฮาฮ่า" ต้นกล้ากระซิบข้างหูฉันพลางลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา และหัวเราะตัวเอง
"ห่ะ!? ฮ่าฮ่า อะไรของนายเนี้ย!? คำพูดนี้มันอะไรกัน?" ฉันกระซิบตอบพลางขำเขา ขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
"ดีขึ้นแล้วใช่ไหม? หืม?" ต้นกล้าถามพลางคลายอ้อมกอด
"ยัง! ฮิฮิ" ฉันตอบกลับ แล้วดึงเขาเข้ามากอดอีกทีพลางหัวเราะคิก
"โอเคๆ วันนี้ฉันจะยอมไปก่อน เชิญใช้ร่างกายฉันให้พอใจเลย ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดขึ้นพลางกางแขนออกเป็นเชิงบอกว่า ผมยอมให้คุณทำได้ทุกอย่าง
"อีตาบ้านี้! เห็นฉันเป็นคนอย่างไง?" ฉันพูดพลางตีไปที่เเขนเขา
"จะลูบคลำอกฉันหรือท้องฉันอีกก็ได้นะ ฉันยอมยกให้วันหนึ่งเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดพลางลูบที่อกและท้องตัวเอง ก่อนจะหัวเราะลั่น
"โอ๊ยๆๆ จะขุดมาพูดทำไมเนี้ยยยย!?" ฉันโวยวายกลบเกลื่อนความอาย
"โอเคๆ โทษทีน่า ฮิฮิ" ต้นกล้าพูดพลางหัวเราะคิก
"งั้นฉันเข้าบ้านล่ะนะ" ฉันพูดพลางหันหลังเปิดประตู
"อะ...อ้าว!? ฉันอุตส่าห์รอตั้งชั่วโมงกว่า เธอจะเข้าบ้านไปแบบนี้เนี้ยนะ!?" ต้นกล้าตอบพลางเดินเข้ามาใกล้ฉัน
"เอ้า!? นายมีเรื่องจะคุยงั้นหรอ?" ฉันถามขึ้น
"ก็ใช่นะสิ นี่คิดว่าฉันมารอเพราะอยากกอดเธอเฉยๆ หรือไง? อุ๊บ!..." ต้นกล้าพูดก่อนจะเอามือปิดปากตัวเองเหมือนหลุดพูดอะไรบางอย่างไป
"ฮิฮิ ไม่ทันล่ะย่ะ ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย ฮิฮิ งั้นรอเดียวนะ ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อและบอกแม่ก่อน" ฉันพูดก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน
จากนั้น ฉันก็บอกแม่ว่าจะออกไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท ฉันเลือกใช้ชุดสบายๆ อย่างกางเกงวอร์มสีดำและเสื้อยืดแขนยาวสีขาวคอวี
"เเกร้ง...รอนานไหม? โทษทีน่า" ฉันเปิดประตูบ้านพลางพูดขึ้น
"ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ" ต้นกล้าพูดพลางเดินนำไป
ณ ร้านอาหารตามสั่งหน้าหมู่บ้าน
"ป้าค่ะ ขอสุกี้ทะเลน้ำค่ะ" ฉันหันไปสั่งอาหารหลังจากนั่งได้สักพัก
"นายเอาอะไร?" ฉันถามต้นกล้าที่นั่งตรงข้ามฉัน
"ร้านนี้อะไรอร่อยคับป้า?" ต้นกล้าหันไปถามเจ้าของร้าน
"อ้าวววว! พวกหนูนี้เอง เห็นหายไปนานนึกว่าย้ายออกจากหมู่บ้านไปแล้ว ฮิฮิ" ป้าเจ้าของร้านพูดขึ้น
"อะ...ออ คับ/ค่ะ" ฉันกับต้นกล้าตอบพร้อมกัน พลางหันไปมองหน้ากัน
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ฉันและต้นกล้าหัวเราะ เพราะมันเหมือนตอนที่อยู่ร้านสะดวกซื้อวันนั้นเลย
"น้องผู้หญิงเอาสุกี้ทะเลน้ำใช้ไหม? ส่วนน้องผู้ชายเอาข้าวผัดไก่ไม่หนัง ถูกไหม?" ป้าเจ้าของร้านหันไปถามต้นกล้า
"อะ..เอ่ะ! ผมเคยสั่งเมนูนั้นหรอคับ?" ต้นกล้าถามป้า
"จ๊ะ น้องสั่งประจำที่มาร้านป้าเลยนะ ฮิฮิ แล้วก็ชอบใส่ซอสพริกด้วย" ป้าเจ้าของร้านพูดขึ้น
"งั้น เอาแบบนั้นก็ได้คับ ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าสั่งเมนูพลางหัวเราะ
"แสดงว่าเราสองคนก็มากินที่ร้านนี้บ่อยๆ เหมือนกันนะเนี้ย" ฉันพูดขึ้นพลางมองหน้าต้นกล้า
"นั้นสิ แล้วเธอจำอะไรเกี่ยวกับร้านนี้ได้บ้างไหม? ฉันจำไม่ได้เลย" ต้นกล้าถามขึ้น
"ฉันก็ไม่ต่างกัน" ฉันตอบพลางส่ายหน้า
"ว่าแต่....เธอคุยกับมิ้นท์แล้วใช่ไหม?" ต้นกล้าถามหลังจากเงียบไปสักพัก
"อะ...อืมใช่" ฉันตอบกลับ
จากนั้น ฉันก็เล่าเรื่องที่ถามมิ้นท์ เฉพาะเรื่องอุบัติเหตุนะ พร้อมกับกินข้าวไปด้วยกัน
"นะ...นายอิ่มแล้วหรอ?" ฉันถามเมื่อเห็นต้นกล้ารวบช้อนส้อมไว้กลางจานพลางดื่มน้ำตาม ในขณะที่ข้าวเหลือกว่าครึ่งจานเลยทีเดียว
"อืม ฉันกินแล้วมันรู้สึกไม่อร่อยแล้วก็แปลกๆ" ต้นกล้ากระซิบเสียงเบา
"แต่เจ้าของร้านบอก เมื่อก่อนนายชอบสั่งประจำเลยนะ" ฉันพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวผัดไก่ไม่หนังราดซอสพริกของต้นกล้า
"ก็นั้นนะสิ ไม่รู้เมื่อก่อนกินลงไปได้ไง?" ต้นกล้าพูด
"ระ...หรือว่าเพราะความจำเสื่อมเลย ทำให้ความชอบเปลี่ยนไปด้วย ฉันก็เป็นบ่อยๆ นะ" ฉันเคาเอง พลางนึกถึงตอนกินข้าวกับแม่วันแรก
"อืมมมม อาจจะจริงแหะ" ต้นกล้าพูดพลางทำท่าคิด
"แปลกเนอะ ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหัวเราะคิก
"ป้าค่า เก็บตังค่ะ" ฉันตะโกนเรียกเจ้าของร้าน
จากนั้น เจ้าของร้านก็ตรงมาคิดเงิน ฉันตกลงกับต้นกล้าแล้วว่าจะจ่ายแยก อันที่จริงหมอนี้อยากจ่ายให้ฉัน แต่ขอโทษนะค่ะ ฉันไม่ชอบกินฟรี แฟร์ๆ ค่ะ
ในขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้นก็เหลือบไปเห็นว่า ป้าเจ้าของร้านกำลังทิ้งเศษอาหารอยู่
"ปะ...ป้าค่ะ เดียวๆๆ สต๊อปๆ" ฉันรีบห้ามไว้ก่อนที่เศษอาหารเหลือนั้นจะลงใปรวมกับขยะอื่นๆ ในถังขยะของร้าน
"มีอะไรหรอจ๊ะ? หรือจะสั่งเพิ่ม?" ป้าถามขึ้นพลางส่งยิ้มมาให้
"ป้าจะทิ้งเศษอาหารลงในถังขยะทั่วไปโดยไม่ใส่ถุงแยกไม่ได้นะค่ะ ป้า" ฉันพูดขึ้นพลางเดินไปหาป้า
"อะ...อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะ!?" ป้าถาม
"ก็เศษอาหารที่ทิ้งแบบนี้มันอาจนำมาซึ่งสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์นะค่ะ ป่า" ฉันอธิบาย
"เฮ้ยๆ ฟ้าใส เธอจะไปยุ่งอะไรกับป้าเขาล่ะ? มานี้ๆ" ต้นกล้าเดินมาดึงแขนฉัน
"ปล่อยเลยย่ะ ฉันต้องพูดเพื่อร้านป้าเขาเองนะ" ฉันสะบัดแขนออก
"หมายความว่าไงจ๊ะ?" ป้าถามขึ้น
"ก็สัตว์อย่างพวกหนอน หนู แมลงสาบ สุนัขจรจัด แมวจรจัด มันอาจเข้ามากินเศษอาหารพวกนี้ แล้วเกิดการปนเปื้อนในวัตถุดิบของป้าได้นะค่ะ" ฉันตอบ
"แล้วจะให้ทำไงล่ะ?" ป้าถามกลับ
"ที่บ้านคุณป้าปลูกต้นไม้ไหมค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"นี่ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับต้นไม้ละ? เธอ?" ต้นกล้าถามขึ้นอย่างงงๆ
"นั้นสิหนู บ้านป้าน่ะมีต้นไม้เยอะเลย" ป้าพูดขึ้นพลางทำหน้างงไม่ต่างจากต้นกล้า
"แล้วป้าซื้อปุ๋ยใส่ต้นไม้ไหมค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"ต้องซื้อใส่ซิจ๊ะ ทั้งพืชผักสวนครีวป้าจะได้โตไวๆ ไหนจะต้นไม้อื่นๆ อีก" ป้าตอบพลางทำท่านึก
"งั้นก็ดีเลยค่ะ เดียวหนูจะสอนวิธีการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารให้ ไม่ยากเลยค่ะ" ฉันพูดพลางยิ้มให้ป้าเจ้าของร้าน
"อุ้ย! จริงหรือจ๊ะหนู? เศษอาหารพวกนี้ก็ใช้ทำปุ๋ยได้หรอ?" ป้าถามขึ้นพลางเดินมาจับมือฉัน
"ได้สิค่ะ วันอาทิตย์นี้เปิดร้านกี่โมงค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"อ่อ วันอาทิตย์ป้าเปิดสายจ๊ะประมาณเที่ยงครึ่ง" ป้าตอบกลับ
"งั้นประมาณ 10 โมงเจอกันที่ร้านได้ไหมค่ะ เดียวหนูสอนให้ ฮิฮิ" ฉันจัดการนัดแนะพลางหัวเราะคิก
"ได้แน่นอนสิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปุ๋ยใส่ผัก ฮิฮิ" ป้าตอบพลางหัวเราะคิกตาม
"นายก็มาด้วยซิ ต้นกล้าจะได้ช่วยกัน" ฉันหันไปชวนต้นกล้า
"อะ...อ่อ ได้ซิ อยู่บ้านก็ไม่มีไรทำอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าตอบพลางขำ
"งั้นพวกหนูไปก่อนนะค่ะ เจอกันวันอาทิตย์นี้ค่ะ" ฉันก้มให้ป้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัวลา
จากนั้น เราสองคนก็เดินไปที่สวนสาธารณะ
"ฉันรู้แหละว่าทำไมแฟนคลับเธอถึงตั้งฉายาให้ว่า 'นางฟ้าแห่งชั้น ม.5' ฮ่าฮ่า" ผมพูดขึ้นพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เรากำลังนั่งเล่นกินลมชมวิวอยู่ที่สวนสาธารณะยามค่ำคืน
"ห่ะ!? นางฟ้า? ฉันเนี้ยนะ? ฮ่าฮ่า โอ๊ยขำ ใครคิดเนี้ย!?" ฟ้าใสหัวเราะขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ก็เธอใจดี ชอบช่วยเหลือคนไงละ" ผมหันไปพูดกับเธอพร้อมส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
"ไม่หรอก...ฉันแค่คิดว่า ฉันอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น" ฟ้าใสตอบกลับพลางเหม่อมองขึ้นไปยังท้องนภาอันเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบใบหน้าของเธอ มันทำให้เธอดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าที่ดูเปล่งประกายแม้จะไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ และความสวยที่มาจากภายในแม้จะไม่ได้แต่งตัวหรูหรา
"...." ผมได้แต่นิ่งเงียบ เหม่อมองเด็กสาวคนนี้ อย่างยกย่องในความคิดที่แตกต่างการคนทั่วไป
"....ถึงแม้ว่าการกระทำของฉันมันจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ...แต่ฉันเชื่อว่าถ้าฉันพยายามต่อไปคนรอบข้างก็จะทำตามฉันด้วยเหมือนกัน ฮิฮิ" ฟ้าใสพูดขึ้น ขณะที่มองมืออันเรียวบางของตัวเอง แล้วหันมายิ้มให้ผม
"...." ผมยังคงเหม่อมองเธอราวกับต้องมนต์สะกด
"วันนี้อากาศดีเนาะ แล้วก็....ดวงดางและพระจันทร์สวยมากเลย" ฟ้าใสพูดพลางเอื้อมมือบนทำท่าจะจับดวงดางบนท้องนภา
"...ใช่....สวยมากจริงๆ" ผมพูดขึ้น แต่สายตาไม่ได้มองดาวบนฟากฟ้าเลย แต่มองดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าผมแทนมันเปล่งประกายและสวยงามกว่าดาวบนท้องฟ้าเป็นพันๆ เท่า
"...ขอบคุณมากนะ สำหรับวันนี้ ฉันดีขึ้นมากเลย ฮิฮิ" ฟ้าใสตอบพลางหันมาหัวเราะคิกให้ผม
"อืม ไม่เป็นไร ถ้าเธอดีขึ้นฉันก็โอเค ฮ่าฮ่า" ผมพูดพลางหลบตามองท้องฟ้าด้วยความเขิน
จากนั้น เราสองคนก็ออกจากสวนสาธารณะแล้วมุ่งหน้าในบ้านฟ้าใสกัน
"....แล้วเธอจะเอาไงต่อล่ะ เรื่องมินตรา?" ต้นกล้าหันมาถามฉันขณะที่เรากำลังจะถึงบ้านฉัน
"ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันจันทร์ ฉันอยากให้มิ้นท์ไปให้ปากคำกับตำรวจเอง เพื่อพิสูจน์ความบริสิทธูิ์ของตัวเอง" ฉันหันไปตอบ
"เหมือนเธอจะไม่เชื่อสินะ ว่ามินตราเป็นคนทำ?" ต้นกล้าตอบขณะที่เรายืนอยู่หน้าบ้านฉัน
"จริงๆ ลึกๆ ในใจฉันก็ไม่เชื่อว่ามิ้นท์จะทำแบบนั้นกับฉันได้ แต่ความจริงก็คือความจริง" ฉันตอบกลับ
"โอเค ฉันขอให้มันเป็นไปตามที่เธอต้องการล่ะกัน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอนะ ฟ้าใส" ต้นกล้าพูดขึ้นแล้วเดินมาลูบหัวฉัน
"อืม...ขอบคุณมากนะ" ฉันตอบกลับมาพลางส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้
"เข้าบ้านเถอะ ดึกมากเลย" ต้นกล้าพูดพลางถอยหลัง
"โอเค ไว้เจอกันวันอาทิตย์นะ ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหันหลังเดินเข้าบ้านไป
วันรุ่งขึ้น (วันเสาร์) ณ บ้านของฟ้าใส
"เตรียมของเสร็จหรือยังจ๊ะ? ฟ้าใสลูก" แม่ถามขึ้น ขณะที่ฉันกำลังเตรียมของว่างไปทานตอนบ่ายที่ศาลเจ้า
ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่เราสองแม่ลูกจะได้ไปไหว้ขอพรพระที่ศาลเจ้ากัน ฉันตื่นเต้นมากกกกก เหมือนได้ไปปิคนิคกับแม่เลย ฮิฮิ
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของคนรู้จักของแม่ฉันเอง แม่บอกว่าบรรยายกาศดีเหมาะกับการนั่งทานของว่าง ฉันเลยอาสาเตรียมเองเลยจ้าาาา
"เสร๊จแล้วค่าาาาา" ฉันพูดพลางเดินออกมาจากห้องครัว
"งั้นรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ" แม่พูดขึ้น
ฉันเข้าห้องไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะตอนทำขนมเค้ก และคุ้กกี้ มันค่อนข้างเลอะเทอะพอควรเลยต้องเปลี่ยนชุดใหม่
ฉันเลือกชุดเดรสขาวจะได้ดูสุภาพสีไม่ฉูดฉาดไป พร้อมกับปล่อยผมและมัดเป็นช่อเล็กๆ ที่ด้านข้างเพื่อให้ดูมีลูกเล่นนิดหน่อย และสะพายกระเป๋าข้างใบเล็กที่ทำจากวัสดุจักรสานตามธรรมชาติ ปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบขาวไม่มีลาย
"มาแล้วค่าาาา ดูเรียบร้อยดีไหมค่ะแม่?" ฉันถามพลางหมุนตัวให้แม่ดู
"สวยที่สุดเลย ลูกฉัน ไปเถอะ ฮิฮิ" แม่ตอบกลับพลางเปิดประตูบ้าน
ณ ศาลเจ้าโคโนเอะ
"ว้าวววว!!" ฉันร้องว้าวเลย เมื่อเรามาถึงศาลเจ้าโคโนเอะที่ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และมีหลายสาขาทั่วประเทศ และในอีกหลายประเทศด้วย
ตอนนี้ เราสองแม่ลูกได้มาถึงที่เข้าทางศาลเจ้าโคโนเอะ แม่ฉันต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของศาลเจ้าที่อยู่ไกลพอสมควร จากนั้นเราต้องเดินเข้ามาเอง
เมื่อฉันเดินเข้ามาในศาลเจ้านี้ เหมือนฉันได้หลุดเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นยุคเอโดะก็ไม่ปาน พื้นศาลเจ้าไม่ใช่พื้นปูนซีเมนต์ปกติธรรมดา แต่เป็นสนามหญ้าที่ปูนพื้นกระเบื้องคาร์บอนดำแผ่นๆ เป็นแนวทางเดิน
ซึ่งพื้นกระเบื้องแบบนี้ถือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยการผลิตจะใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศ จากนั้นนำมาผลิตเป็นกระเบื้องนั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่า คาร์บอนดำก็คือมลพิษทางอากาศล่ะค่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น สองข้างทางถูกประดับด้วยไม้พุ้มทรงกลมที่ปลูกในกระถางแบบญี่ปุ่น ไม้พุ้มเหล่านี้มีใบเล็กและละเอียด แถมยังมีกิ่งก้านที่ซับซ้อน ถือเป็นต้นไม้ที่ช่วยกรองฝุ่นควันจากภายนอกได้อย่างอี
และเมื่อเราสองแม่ลูกเดินเข้าไปลึกขึ้น ฉันก็พบกับน้ำตกที่สร้างขึ้นเอง
"สุดยอดดดดเลยค่ะ น้ำตกเทียม!" ฉันพูดขึ้นพลางหยุดยืนอยู่หน้าน้ำตกเทียมที่ทางศาลเจ้าสร้างขึ้น
"เป็นไงจ๊ะ สุดยอดเลยใช่ไหม?" แม่เดินมาถามฉันที่หน้าน้ำตก
"คะ...ค่ะแม่ น้ำตกเทียมที่ใหญ่แบบนี้ สร้างไม่ได้ง่ายๆ เลยนะค่ะเนี้ย" ฉันพูดพลางยื่นน้ำไปสัมผัสกับน้ำในบ่อที่ใสสะอาดเห็นตัวปลาคาร์ฟแวกว่ายไปมาเต็มบ่อ
"ใช่จ๊ะ เพื่อนแม่บอกว่า เขาใช้เทคนิกบำบัดน้ำในตัวเอง น้ำตกก็ใช้น้ำในบ่อ น้ำตกจะช่วยบำบัดน้ำในบ่อให้สะอาดด้วยเช่นกัน" แม่อธิบาย
"อ่อ ค่ะ อยากได้บ้างจัง ฮ่าฮ่า" ฉันพูดขึ้นพลางขำ
"ไปกันต่อเถอะจ๊ะ ใกล้ถึงทางเข้าตัวศาลเจ้าแล้ว" แม่พูดพลางเดินนำทางไป
จากนั้น เราก็เดินมาถึงประตูทางเข้าตัวศาลเจ้าที่ต้องขึ้นบันไดยาว
"แฮ่กๆๆ .... ถึงตัวศาลเจ้าสักที เหมือนเดินมาราธอนเลย เป็นศาลเจ้าที่ใหญ่อลังการมาก" ฉันพูดไปพลางหอบไปพลาง
"ฮาฮ่าฮ่า ของดีก็แบบนี้ล่ะจ๊ะ" แม่พูดพลางขำฉัน
"อะ...อ้าววว! คุณฟ้าคราม มาแล้วหรอค่ะ แหมยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ" หญิงวัยกลางคนมาเข้ามาทักแม่ฉัน
หญิงวัยกลางคนคนนี้เหมือนจะเป็นคนของทางศาลเจ้า เพราะเธอแต่งตัวด้วยชุดมิโกะ ท่อนบนสีขาว ท่อนล่างสีแดง และมัดผมที่ปลายผม
"แหม พูดเกินไปค่ะ คุณเอมิล่ะก็" แม่ฉันพูดพลางตีเเขนไปที่ป้าคนนั้นเบาๆ
"ไงจ๊ะ? หนูฟ้าใส ไม่เจอหลายวันเลย หายไปไหนมาจ๊ะเนี้ย?" คุณป้าเอมิพูดพลางเดินลูบหัวฉัน
ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากมือคู่นั้นด้วยใจจริง
"เอ๋! หนูเคยมาที่นี้ด้วยหรอค่ะ?" ฉันถามขึ้นพลางมองหน้าคุณป้ากับแม่
"อะ...อ้าว นี้หนูจำไม่ได้หรอจ๊ะ? หนูมาหาเรโกะทุกวันเลยนะ ชอบมาเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้เรโกะฟังตลอดเลย" คุณป้าเอมิพูดพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน แต่เป็นยิ่้มที่แฝงด้วยความเศร้า
"ระ...เรโกะ!? เรโกะอยู่ที่นี้หรอค่ะ? คุณป้า" ฉันถามขึ้นอย่างตกใจ
ระ...หรือว่า เรโกะจะอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะเธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นนี้น่า ฉันนึกในใจ
"เอออออ คุณพี่ค่ะ มาทางนี้หน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย" แม่ฉันกระซิบกับคุณป้าเอมิ แล้วดึงมือไปคุยกันสองคน
จากนั้น แม่ฉันและคุณป้าก็เดินไปคุยกันแถวต้นไม้ใหญ่ข้างศาลเจ้า ส่วนฉันก็เดินดูรอบๆ ศาลเจ้าด้วยใจที่อยากรู้ว่าเรโกะอยู่ไหน?
"ป้า ต้องขอโทษหนูด้วยนะจ๊ะ ป้าไม่รู้ว่าหนูความจำเสื่อม" คุณป้าเอมิเดินมาพูดขอโทษฉัน
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ ว่าแต่เรโกะเธออยู่ไหนค่ะ หนูมีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหัวเราะคิกที่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิท ฉันจะได้ถามความจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอสักที
"เอิ่บบบบ เออออ...หนูลองไปดูที่ห้องด้านขวาสุดของศาลเจ้านะจ๊ะ เรโกะลูกป้าอยู่ที่นั้น" คุณป้าคิดอยู่นานก่อนจะบอกทางฉันพลางส่งยิ้มมาให้
"งั้นก็ขอไปหาเพื่อนก่อนนะค่ะแม่" ฉันบอกแม่ก่อนจะเดินที่ตามทางที่คุณป้าบอก
ณ ห้องขวาสุดในศาลเจ้าโคโนเอะ
"อื้มมมม ห้องนี้หรีอเปล่าน่า ว่าแต่ทำไมมันเงียบจังเลย" ฉันเดินไปตามทางใกล้จะถึงห้องขวาสุด
"เรโกะ----เธออยู่ไหน? ฉันฟ้าใสนะ เรโกะ!?" ฉันตะโกนเรียกหาเรโกะเพื่อนสนิทของฉัน
ตอนนี้ ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องขวาสุดที่ว่าแล้ว ในห้องเต็มในด้วยตู้กระจกวางของ ในตู้กระจกเต็มไปด้วยโถใส่อะไรบางอย่าง และมีดอกไม้ ธูปมากมายเต็มตู้ไปหมด
ฉันรู้สึกได้ทันทีว่า นี้ไม่ใช้ห้องที่คนอยู่แน่นอน ฉันกลืนน้ำลายดังเอื้อก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ตู้กระจกเหล่านั้น
ในตู้กระจกมีทั้งชื่อ วันเกิด วันมรณะ ของผู้คนมากมายทุกช่องของตู้กระจกที่มีโถวางอยู่เป็นแบบเดียวกันหมด
ณ ตอนนี้ ฉันตัวชาวูบขึ้นมาทันที ฉันก้าวเดินต่อไปด้วยขาอันสั่นเทาจนมายืนอยุ่หน้าตู้กระจกหนึ่ง ในตู้กระจกมีโถใส่อัฐิ มีใบประกาศนียบัตรจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของอืงฟ้าและกล้าหาญ ใช่แล้วมันคือของฉันและต้นกล้า และข้อความที่ติดไว้บนตู้กระจกนั้น
'ชื่อ โคโนเอะ เรโกะ'
'วันเกิด XX/XX/XXXX'
'วันมรณะ XX/XX/XXXX'
"ระ...เรโกะ! ธะ...เธอ? มันไม่จริงใช่ไหม บอกฉันทีซิ เรโกะ ฮื้อๆๆ....เรโกะ....อึ้กๆๆ" ฉันร้องโฮขึ้นมาทันที เนื้อตัวฉันสั่นเทาไปหมด ฉันทำได้แค่ร้องไห้และลูบไปที่ตู้กระจกใส่โถอัฐิของเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
และภาพความทรงจำตอนงานศพของเรโกะก็แวบขึ้นมาในหัวของฉัน ในความทรงจำ ฉันนั่งร้องไห้อยู่หน้าศพของเรโกะที่แต่งชุดมิโกะสีขาวบริสุทธิ์ โดยมีต้นกล้านั่งร้องไห้กุมมือเรโกะไว้ไม่ยอมปล่อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า 'เป็นเพราะฉัน ฉันเป็นคนทำให้เธอต้องตาย ฉันขอโทษนะ เรโกะ' เขาพูดประโยคนี้ซ้ำไปมาเหมือนคนเสียสติ ฉันทำได้แค่ร้องไห้อยู่ข้างๆ เขาเท่านั้น
"ฮวบ! ระ...เรโกะ ฉันขอโทษจริงๆ ฮื้ออออ ที่ฉันจำเธอไม่ได้ ที่ฉันจำไม่ได้ว่าเธอได้ช่วยพวกเราจนต้องจากไปแบบนี้ ฮื้อออ ขอโทษจริงๆ" ฉันทรุดลงกองกับพื้นที่เย็นเยือกพลางปล่อยโฮร้องขอโทษเพื่อนสนิทของฉันที่ฉันลืมเธอไป
"นะ...หนูฟ้าใส...ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่ต้องร้องน่า" คุณแม่ของเรโกะเดินมาปลอบฉัน
"คุณป้าค่ะ ขอโทษค่ะ ที่นะ...หนูจำเรโกะไม่ได้ หนูจำไม่ได้ว่าเธอเสียแล้ว ฮื้อออ หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ" ฉันหันมาพูดขอโทษคุณแม่ของเพื่อนฉัน
"ไม่เป็นไรๆ ป้าเชื่อว่าเรโกะ ลูกป้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ โอ้ๆๆ" คุณป้าพูดพลางนั่งลงข้างๆ ฉันและกอดฉันแน่นเป็นเชิงปลอบฉัน
"ถ้าอย่างไงหนูไปไหว้พระขอพรกับแม่ที่ศาลเจ้าหลักก่อนล่ะกันนะจ๊ะ จะได้ดีขึ้นนะ" คุณป้าพูดพลางพยุงตัวฉันขึ้นยืน
"ค่ะ คุณป้า" ฉันตอบรับพลางเดินไปที่หน้าตู้กระจกในโถอัฐิของเรโกะ
"นี่! เรโกะ เธอคงเหงาน่าดูเลยใช่ไหม? ที่ฉันไม่ได้มาหาตั้งนาน รวมถึงต้นกล้าด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดียวฉันจะพาต้นกล้ามาหาเธอเอง ฉันสัญญา" ฉันพูดพลางลูบไปที่ตู้กระจกนั้นพร้อมกับปาดน้ำตา
จนถึงตอนนี้ ความทรงจำที่ฉันเคยมีร่วมกับเรโกะจะยังไม่กลับคืนมา แต่ความรู้สึกผูกพันธ์นั้น ฉันรู้สึกได้ดีเลยว่า เธอคือเพื่อนที่แสนดีของฉัน เรโกะ
จากนั้น ฉันก็เดินไปที่ศาลเจ้าหลัก และขอพรพระพร้อมกับแม่ แม่เป็นห่วงฉันเช่นกันเมื่อรู้ว่า เพื่อนสนิทฉันคือลูกสาวของเพื่อนคุณแม่ที่เสียไป
"ถ้าอย่างไง เรามากินของว่างกันก่อนนะลูก คุณเอมิก็มาทานด้วยกันซิค่ะ" แม่พูดพลางนั่งลงที่โต๊ะรับแขกของบ้านโคโนเอะ
ตัวบ้านของตระกูลโคโนเอะอยู่ในเขตศาลเจ้าเช่นกัน แต่เป็นเรือนที่แยกออกมา ซึ่งอยู่ไม่ใกล้กันมากนัก
"ได้ซิจ๊ะ แหม ของอร่อยทั้งที" คุณป้าตอบกลับ
"อะ....เออ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท หนูขอเข้าไปดูในห้องเรโกะได้ไหมค่ะ? คุณป้า" ฉันพูดขึ้น เพราะฉันต้องการที่จะจำเรื่องราวที่ผ่านมาต่างๆ ที่ฉันมีร่วมกับเรโกะให้ได้
"อ่อ ได้ซิจ๊ะ ที่จริงหนูเข้ามาในห้องเรโกะทุกครั้งที่มาเยี่ยมเรโกะเลยล่ะจ๊ะ เชิญตามสบายเลย" คุณป้าพูดพลางชี้ไปที่ห้องของเรโกะที่อยู่ชั้นสองของบ้าน
"ขึ้นไปทางชั้นสองอยู่ซ้ายมือสุดจ๊ะ มีป้ายชื่่อบอกอยู่ ป้าไม่ได้เคลื่อนย้ายอะไรเลย แต่ทำความสะอาดนิดหน่อย" คุณป้าพูดขึ้น
"ขอบคุณมากค่ะ" ฉันเดินตามทางที่คุณป้าบอก
ณ ห้องของโคโนเอะ เรโกะ
ฉันเดินเข้ามาในห้องของเพื่อนสนิท ห้องของเรโกะเป็นโทนขาวล้วน สะอาดเป็นระเบียบมาก ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัวทั้งตู้ เตียง โต๊ะหนังสือ ชั้นวางของ
ฉันไล่เดินดูทีละอย่างมีทั้งหนังสือเรียนชั้น ม.4 ของโรงเรียนฉัน หนังสือภาษาไทยสำหรับสื่อสาร ฉันคิดว่าเรโกะคงจะยังไม่ชำนาญภาษาไทยพอควรเลย แล้วฉันก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเรโกะ
ที่โต๊ะหนังสือมีกรอบรูปวางอยู่ ในรูปมีฉัน ต้นกล้า และเรโกะ ตามลำดับ ยืนโพสอยู่ที่ลานน้ำพุของโรงเรียน ฉันพลิกกลับไปดูด้านหลังมีข้อความว่า
'วันแรกที่ฉันได้เจอกับเพื่อนสนิทที่ตามหามานาน'
"เพื่อนสนิทที่ตามหามานาน??" ฉันอ่านซ้ำอีกรอบอย่างงงๆ
เรโกะเคยเจอกับฉันหรือต้นกล้ามาก่อนด้วยหรอ? ฉันนึกในใจพลางวางกรอบรูปลงที่เดิม
จากนั้น ฉันก็เลื่อนมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะ
"แกร๊งๆ" เปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือเปิดไม่ออก
"อะ...อ้าว ล็อคไว้หรอ?" ฉันพูดพลางเดินไปดูชั้นวางของที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลและเกียรนียบัตรต่างๆ เป็นไปหมด รวมถึงถ้วยรางวัลชนะเลิศการประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนด้วย
วันสถาปนาโรงเรียน? มีการประกวดแบบนี้ด้วยหรอ? เรโกะชนะเลิศเลยนะเนี้ย ไม่ธรรมดาจริงๆ ฉันนึกในใจพลางหยิบถ้วยรางวัลมาดู
"แกร๊งๆๆ" เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในห้องที่มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น
"สะ...เสียงอะไรนะ!?" ฉันพูดขึ้นพลางหันหลังตามเสียงนั้น
"เหมือนจะมาจากโต๊ะหนังสือเลย" ฉันพูดกับตัวเองพลางเดินไปที่โต๊ะตัวนั้น
"แกร๊ง" เสียงดังขึ้นอีก เป็นเสียงจากลิ้นชักโต๊ะตัวนี้
"ระ....เรโกะ ธะ...เธออยากให้ฉันดูอะไรในลิ้นชักใช่ไหม? หืม!?" ฉันหันซ้ายหันขวาพลางพูดขึ้นกับสิ่งที่มองไม่เห็น
"ครื้น----" เสียงฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะ
ในลิ้นชักมีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ และมีพวกเครื่องเขียนต่างๆ อีกพอสมควร ฉันหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาดูหน้าปกเขียนว่า
'ไดอารี่ของเรโกะจัง'
"นี่คือ ไดอารี่ของเธอสินะ เรโกะ!?" ฉันพูดเหมือนกำลังถามกับสิ่งที่มองไม่เห็น
ฉันพลิกสมุดไดอารี่ไปมา แล้วเปิดไปเรื่อยๆ จากนั้นก็มีซองสีขาวหล่นลงมาจากสมุดนั้น ฉันหยิบขึ้นมาอ่านซองนั้นมีข้อความว่า
'ถึง ฟ้าใส เพื่อนรักของฉัน'
"จะ...จดหมายถึงฉันงั้นหรอ?" ฉันอ่านซองนั้นพลางขนลุกไปทั้งตัว เธอคงอยากให้ฉันเจอมันซินะ เรโกะ
ฉันเก็บซองนั้นใส่กระเป๋ากระโปรง แล้วพลิกหน้ากระดาษของไดอารี่ต่อไป สักพักก็มีซองอีกอันหล่นลงมาเช่นกัน หน้าซองมีข้อความว่า
'ถึง ต้นกล้า แฟนที่รักของฉัน'
"นี่ของต้นกล้างั้นหรอ?" ฉันพูดกับตัวเองพลางเก็บซองนั้นใส่กระเป๋าสะพาย แล้วหยิบสมุดไดอารี่ออกมาจากห้องของเรโกะ
ณ ห้องรับแขกของบ้านโคโนเอะ
"้่เอออออ คุณป้าเอมิค่ะ พอดีหนูเจอของสิ่งนี้ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือค่ะ" ฉันยื่นไดอารี่ให้คุณป่าดู
"เอ๋!? ลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะมันล็อคอยู่นิจ๊ะ ป้าจะเปิดก็ยังเปิดไม่ได้เลย" คุณป้าตอบกลับพลางหยิบไดอารี่มาดู
"ไดอารี่ของเรโกะจังงั้นหรอ!? ป้าคิดว่าเรโกะเขาคงอยากให้หนูได้อ่านมันน่ะจ๊ะ หนูเอาไปอ่านเถอะนะ มันอาจช่วยฟื้นความทรงจำหนูได้บ้าง" คุณป้าพูดพลางยื่นไดอารี่มาให้ฉันตามเดิม
"มันจะดีหรอค่ะ?" ฉันถามขึ้น เพราะน่าจะมีของที่ลูกสาวคนเดียวของป้าทิ้งไว้
"ดีแล้วล่ะจ๊ะ เรโกะเขาคงดีใจที่หนูได้อ่านมัน" คุณป้าพูดพลางส่งยิ้นมาให้
"ถ้างั้นหนูขอตัวไปอ่านขอนะค่ะ คุณแม่ คุณป้า" ฉันพูดขึ้นพลางก้มโค้งเป็นเชิงขอลา
"อะ...อ้าวววว ไม่กินด้วยกันก่อนหรอจ๊ะ ลูก" แม่ถามขึ้น
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากอ่านมันไวๆ" ฉันพูดพลางจับไดอารี่ไว้แน่น
"งั้นตามใจจ๊ะ จริงสิที่สวนหลังบ้านมีต้นไม้ใหญ่กับชิงช้าอยู่ที่นั้นอากาศดีมาก ไปนั่งอ่านตรงนั้นก็ได้นะ" คุณแม่พูดขึ้น
"อ่อ ใช่ๆ หนูกับเรโกะชอบมาเล่นชิงช้ากันที่นั้น ลองไปดูซิจ๊ะ" คุณป้าพูดเสริมขึ้น
"งั้นขอตัวก่อนนะค่ะ" ฉันพูดพลางก้มหัวขอลา
ณ ชิงช้าสวนหลังบ้านโคโนเอะ
ตอนนี้ ฉันนั่งอยู่ที่ชิงช้าตรงสวนหลังบ้านตระกูลโคโนเอะ สวนแห่งนี้ร่มรื่นมากมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาหลายต้นด้วยกัน สายลมพัดอ่อนๆ กระทบชิงช้าให้แกว่งไกวไปตามสายลม
ฉันนั่งลงบนชิงช้านั้น แล้วเปิดซองอ่านจดหมายที่เรโกะทิ้งไว้ให้พร้อมกับสายลมเย็นๆ ยามบ่ายที่พัดเอากลิ่มต้นไม้ใบหญ้าอันสดชื่นมากระทบจมูกฉัน
"พรึ่บ" ฉันคลี่จดหมายออกมาอ่าน ในจดหมายมีข้อความว่า
'ถึง ฟ้าใส เพื่อนรักคนแรกของฉัน
ถ้าเธอได้อ่านจดหมายนี้ แสดงว่าฉันคงไม่อยู่บนโลกใบเดียวกับเธออีกต่อไปแล้ว และฉันรู้ว่าเธอจะต้องสูญเสียความทรงจำไป แต่ไม่ต้องห่วงฉันทิ้งไดอารี่ของเราไว้ให้เธอได้อ่านแล้ว เธอจะได้จำฉันกับต้นกล้าได้ไงล่ะ สุดท้ายนี้ ถ้าเธอได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ขอให้รู้ไว้ว่า เธอและต้นกล้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งหมดมันเป็นหน้าที่ของมิโกะอย่างฉัน และฉันดีใจที่ได้ช่วยเหลือทุกคน ฉันไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เกิดมาเป็นมิโกะ และได้มาเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ที่จริงฉันตามหาเธอมานานมากแล้วในที่สุดก็ได้เจอกับเธอจนได้ เพื่อนรักของฉัน
จาก โคโนเอะ เรโกะ มิโกะแห่งชั้น ม.4'
"ฮื้อๆๆ...อึ้กๆๆ ฉันก็จะรักและคิดถึงเธอ ตลอดไปเรโกะ" ฉันร้องไห้และกอดจดหมายไว้แน่นราวกับกลัวมันจะหายไปจากฉันเหมือนกับเรโกะ
จากนั้นฉันก็นั่งอ่านไดอารี่ของเรโกะ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้มของฉัน น้ำตาฉันเปอะเปื้อนไดอารี่แถบทุกหน้า
ทุกหน้าของไดอารี่มีความทรงจำของฉันซ่อนอยู่ เป็นความทรงจำที่ฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับเรโกะและต้นกล้า จนในที่สุด ฉันก็ความทรงจำเกี่ยวกับเรโกะและต้นกล้าคืนมาทั้งหมดแล้ว
"ขอบคุณเธอมากจริง เรโกะ เพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉัน" ฉันพูดพลางปิดไดอารี่ลง
จบตอนที่ 6
เตรียมพบกับ ภาคเสริม "มิโกะแห่งชั้น ม.4"
ตอนที่ 1 "การพบกันแห่งโชคชะตาของเรา 3 คน"
หลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุจนทำให้ความจำเสื่อมชั่วคราว ฉันก็ได้มาโรงเรียนตามปกติและได้ความทรงจำกลับคืนมาบางส่วนแล้ว มันทำให้ฉันรู้ฐานะของตัวเองในห้องเรียนว่า 'ฉันคือยัยขี้แพ้' แล้วฉันก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่โดนรังแกเช่นกันมันเกี่ยวกับ 'เรโกะ' ที่ฉันคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอน ม.4
และฉันก็ได้รับข้อความจากใครคนหนึ่ง ซึ่งคนๆ นั้นก็ไม่ใช้ใครอื่นแต่เป็นเพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ ฉันทุกวันอย่างเกศสินี เธอคือพยานคนสำคัญของอุบัติเหตุนั้น และได้บอกเล่าความจริงบางอย่างที่ทำให้ตัวฉันชาวูบไปทั้งตัวและหัวใจ และแล้วฉันก็ได้ความทรงจำตอนเกิดเหตุกลับมาแล้วพร้อมกับความเจ๊บปวดตอนโดนรถชนที่ถั่งโถมเข้ามาใส่่ฉัน จนทำให้สติฉันเลือนลางคล้ายจะเป็นลมนอนกองไปกับพื้น
แต่ทว่ามีใครคนหนึ่งมาช่วยฉันไว้ คนๆ นั้นเป็นใครฉันก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ผมและผิวสีขาวราวหิมะนั้น ทำให้ฉันนึกถึงคนๆ หนึ่งในความทรงจำของฉัน แต่ผู้ชายในความทรงจำฉัน เขาน่าจะอายุมากกว่านี้ แต่หมอนี่กลับอายุเท่าฉัน แถมใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนฉันด้วย หมอนี่เป็นใครกันแน่ละเนี้ยยยย!?
วันรุ่งขึ้น ณ บ้านฟ้าใส
"พรึบ...เอ๋ เอะ! ทะ...ที่นี่มันห้องนอนฉันนี้!!" ฉันลืมตาตื่นขึ้นพลางลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงนอนในห้องของฉันแล้ว
"นะ...นี่มัน! อะไรกัน? หรือว่าฉันจะฝันไปเอง?" ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองพลางลุกขึ้นจากเตียง แล้วพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้น
ดะ...เดียวนะ! ฉันจำได้ว่า ฉันกำลังคุยอยู่กับเกศ แล้วความทรงจำตอนโดนรถชนก็ลอยเข้ามาในตัว ทำให้ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน เลยล้มลงไปนอนกองกับพื้นหลังอาคาร 4 แล้วอยู่ๆ ก็มีนักเรียนชายคนหนึ่งมาช่วยฉันไว้ พอฉันลืมตาขึ้นมาก็อยู่ที่ห้องตัวเองเนี้ยนะ!? ระ...หรือว่าทั้งหมดจะเป็นแค่ความฝันกัน? ฉันนึกในใจพลางรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปหาแม่
จริงสิ ถ้านักเรียนชายคนนั้น เขาพาฉันมาส่งถึงบ้านไม่ว่าอย่างไงเขาต้องเจอกับแม่ฉันแน่นอน เพราะแม่จะกลับมาจากทำงานก่อนฉันกลับจากโรงเรียนเสมอ ฉันนึกในใจพลางเดินลงมาหาแม่ที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่
"แม่ค่ะ เมื่อวานแม่เจอเด็กนักเรียนชายที่กลับบ้านมาพร้อมกับหนูไหมค่ะ?" ฉันถามพลางเลื่อนเก้าอี้ แล้วนั่งลง
"เอ๋! อื่มมม ไม่เจอใครเลยนะจ๊ะ" แม่ตอบพลางนั่งลงตรงข้ามฉัน
"งั้นวันนี้วันอะไรค่ะ?" ฉันถามเพื่อความแน่ใจว่า นั้นคือความจริงหรือความฝัน
"วันศุกร์ไงจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่าลูก? ถามแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" แม่ถามขึ้นพลางยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากฉัน
"ปะ...เปล่าค่ะ แหะๆ" ฉันพูดพลางยิ้มแห้งๆ ให้แม่
ปะ...แปลกมากๆ เลย มันไม่ใช้ความฝัน แล้วนักเรียนชายคนนั้นพาฉันมาส่งถึงห้องนอนได้อย่างไง? โดยที่ไม่เจอกับแม่ฉันที่น่าจะกลับมาก่อนฉัน ระ...หรือว่าจะแอบปีนขึ้นมาจากต้นไม้ข้างหน้าต่างห้องฉัน? ตะ...แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนะ ถ้าคนเดียวอาจทำได้ แต่ต้องแบกฉันขึ้นต้นไม้ด้วยนี้สิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี้ยยยย!? ฉันนั่งกินอาหารเช้าพลางนึกในใจอย่างหาคำตอบของเหตุการณ์นี้ไม่เจอเลยจริงๆ
"....ฟ้า....ฟ้าใส ลูกได้ยินแม่ไหม?" แม่ถามพลางโบกมือไปมาตรงหน้าฉัน
"อะ...เอ่ะ!! เอ่อออ ขอโทษค่ะ พอดีคิดไรเพลินๆ ไปหน่อย เมื่อกี้แม่ว่าไงนะค่ะ?" ฉันหลุดออกจากภวังค์ แล้วถามกลับไป
"แม่บอกว่า วันพรุ่งนี้ลูกว่างไหม?" แม่ถามฉัน
"ว่างค่ะ มีอะไรหรอค่ะ?" ฉันตอบพลางถามกลับ ในขณะที่ตักข้าวเข้าปาก
"พอดี แม่อยากพาลูกไปไหว้พระขอพรสักหน่อยนะจ๊ะ" แม่ตอบพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน
"เอะ! ไหว้พระขอพรหรอค่ะ? ก็ดีสิค่ะ ช่วงนี้หนูอยากทำจิตใจให้สงบอยู่พอดี ฮ่าฮ่า" ฉันตอบพลางขำแห้งๆ
"ว่าแต่ที่ไหนหรอค่ะ วัดแถวนี้หรอ?" ฉันถามพลางตักข้าวเข้าปาก
"เป็นศาลเจ้าญี่ปุ่นนะจ๊ะ พอดีเพื่อนแม่เขาแนะนำมานะจ๊ะ เขาว่าบรรยากาศดีมาก ร่มรื่นและเงียบสงบ" แม่พูดขึ้น
"งั้นหรอค่ะ แหมพูดซะอยากไปเลยค่ะ ฮิฮิ" ฉันตอบกลับพลางเดินไปเก๊บจานอาหาร
"รับรองว่าลูกต้องชอบที่นั้นแน่ๆ ฮิฮิ" แม่พูดพลางลุกขึ้นตาม
"ค่าาาาา งั้นหนูไปเรียนก่อนนะค่ะแม่" ฉันพูดขึ้นพลางเปืดประตูในบ้าน
"จ้าาา ไฟติ้งนะลูกสาวคนสวยของแม่" แม่พูดพลางเดินมาลูบหัวฉัน
เมื่อ 10 นาทีก่อน ณ หน้าบ้านฟ้าใส
โอ๊ยยยย ทำไมนานแบบนี้ล่ะเนี้ย? แล้วทำไมผมต้องมายืนรอยัยนี้ทุกวันเลยเนี้ยยยย? งงตัวเองเหมือนกัน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่หน้าบ้านฟ้าใสซะแล้ว ฮ่าฮ่า ผมนึกในใจพลางเดินไปมาหน้าบ้านฟ้าใส
แล้วเมื่อวานที่มิ้นท์พูดนั้นมันเรื่องจริงหรือเปล่าหว่า? เชื่อได้ไหมเนี้ย? แต่ถ้ามิ้นท์เป็นแฟนฉันจริง ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหรือไม่มีความทรงจำร่วมกับเธอเลยล่ะ?
แต่ที่บอกว่า 'ผมเคยเป็นแฟนกับ เรโกะ' นี้ผมคิดว่าน่าจะจริง เพราะผมเองก็รู้สึกแบบนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะเล่าความจริงไม่หมดเรื่องเกี่ยวกับ เรโกะ ผมเองก็ไม่อยากซํกไซ้มากไปกว่านี้ เพราะเธอบอกมันเป็นกฏของห้องเธอว่า ต้องเก็บความลับของห้องไว้
ผมนึกในใจขณะนั่งรอฟ้าใสตรงหน้าประตูบ้าน
"แกร๊ง!" เสียงเปิดประตูหน้าบ้าน
"วะ...เหวอ! / วะ...ว้ายยย!" เสียงผมร้องเหวออย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูบ้านก็ดันหลังผมให้ล้มลงกับพื้น พร้อมกับเสียงร้องตกใจของฟ้าใสที่เห็นผมลงไปกองกับพื้น
"นะ...นายมาทำอะไรที่นี้? ละ....แล้วไปทำอะไรอยู่ตรงพื้นนั้นล่ะ?" ฟ้าใสถามผมที่ตอนนี้นั่งจับกบอยู่ที่พื้นปูนหน้าบ้านเธอ
"อะ...เอ่อ พอดีฉันออกกำลังกายนะ ฮ่าฮ่า" ผมพูดพลางทำท่าวิดพื้น
"ออกกำลังกายตรงนี้เนี้ยนะ? บ้าไปแล้วหรอ?" ฟ้าใสพูดพลางปิดประตูบ้าน
"อ่ะแฮ่ม! เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่เมื่อวานเธอกลับบ้านไปตอนไหน?" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยคำถาม
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" ฟ้าใสพูดพลางเดินนำไปโรงเรียน
"หมายความว่าไง? ฉันยืนรอเธอหน้าประตูโรงเรียนทางทิศเหนือตั้งนานก็ยังไม่เจอเธอ" ผมถามพลางเดินตามไป
"โธ่เว๊ย!! ฉันบอกว่าไม่รู้ไงล่ะ จะถามเอาอะไร?" ฟ้าใสตอบกลับเริ่มเสียงดังเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง
"ธะ...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหรอ?" ผมถามขึ้นพลางดึงมือให้ฟ้าใสหันมาคุยกันดีๆ
"ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ว่าแต่นายรู้จักนักเรียนชายผมสีขาวผิวสีขาวและตัวสูงน้อยกว่านายนิดหน่อยบ้างไหม? เคยเห็นคนแบบนี้ในโรงเรียนบ้างไหม?" ฟ้าไสตอบปัด พลางเปลี่ยนเรื่องทันที
ไม่มีอะไรกับผีนะสิ ท่าทางแบบนี้มีชัวร์ๆ พนันได้เลย แล้วไอผู้ชายที่เธอถามนี้ใครกันวะ? ผมขาวผิวขาวมันคงสะดุดตาน่าดู ฮ่าฮ่า
"ไม่เคยเห็นเลย แต่น่าจะสะดุดตาอยู่นะ ถ้าเคยเห็นต้องจำได้บ้างละ" ผมตอบพลางเดินตามไป
"งั้นหรอ เฮ้ออออ หมอนั้นเป็นใครกันแน่นะ?" ฟ้าใสถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ
"ว่าแต่นายไม่มีอะไรจะบอกฉันหรอ?" ฟ้าใสหันมาถามผม ในขณะที่เราเดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้ว
"หืมมม? บอกเรื่องอะไร?" ผมเอียงคอถามกลับไป
เฮ้ยๆๆ หรือว่าเธอจะรู้ว่าผมไปแอบคุยกับมิ้นท์มาเลย หงุดหงิดใส่ผมแบบนี้ ว่าแต่เธอรู้ได้ไงว่่ะเนี้ยยยย? ผมนึกในใจพลางกลืนน้ำลาย
"ก็เรื่องข่าวลือเมื่อตอนนั้นไง ที่เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้นใต้ต้นไม้อ่ะ" ฟ้าไสพูดพลางหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าต้องการคำตอบแบบจริงจัง
ขะ...ข่าวลือ? นักเรียนชายกลุ่มนั้น? ใต้ต้นไม้? ขอนึกเดียวนะ อ่อๆๆๆ ตอนนั้นนี้เอง ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ ถามขึ้นมาล่ะเนี้ยยยย? ผมนึกในใจพลางหันไปมองสีหน้าจริงจังของฟ้าใส คงเลี่ยงไม่ได้แล้วคราวนี้
"อะ...เอ่อคือว่า ฉันไม่รู้นะว่า เมื่อวานเธอไปเจออะไรมาบ้าง แต่ข่าวลือนั้นมันก็รบกวนจิตใจฉันเหมือนกัน" ผมพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาเธอ
"แสดงว่านายก็รู้อยู่แก่ใจว่า นายอาจเป็นคนขับรถชนฉัน แต่นายก็ยังเข้ามาตีสนิทฉันงั้นหรอ!? นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ต้นกล้า?" ฟ้าใสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนกำลังจะร้องไห้ มันทำให้ผมเจ๊บปวดใจเหลือเกิน
"มะ...มันไม่ใช่แบบที่เธอคิดนะฟ้าใส ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ฉันเป็นคนทำจริงหรอเปล่า?" ผมพูดอธิบาย
"แล้วอย่างไง?" ฟ้าใสหันมาถามผม
"ฉันเลยอยากหาคำตอบว่าความจริงมันเป็นอย่างไง แต่สิ่งเดียวที่จะเป็นคำตอบได้ก็คือ ความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอไง" ผมพูดออกไปพลางก้มหน้า
"คะ...ความรู้สึก?" ฟ้าใสหันมาถามย้ำ
"ชะ...ใช่ ฉันรู้สึกว่า ฉันทั้งในอดีตและในตอนนี้ ไม่มีทางทำร้ายเธอได้อย่างแน่นอน เพราะเธอคือคนสำคัญของฉัน ฉันรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันในโรงพยาบาล" ผมหันมาตอบฟ้าใสอย่างจริงใจ
"เฮ้อออ เหมือนกับฉันเลยสินะ!" ฟ้าใสพูดพึมพำพลางลุกขึ้นยืน เพราะเห็นรถเมล์จะมา
"มะ...เหมือนกันหรอ?" ผมถามกลับไปอย่างงงๆ
"ฉันเองก็คิดว่า นายไม่มีทางทำร้ายฉันแน่นอน เพราะฉันรู้สึกว่า นายไม่ใช้คนแบบนั้น ฮิฮิ ไปกันเถอะรถเมล์มาแล้วนะ" ฟ้าใสหันหน้ากลับมาพูดกับผมที่กำลังนั่งมองเธออยู่ พร้อมส่งยิ้มมาให้ผม
ณ โรงเรียนทางเข้าประตูทิศเหนือ
นั้นสินะ ฉันไม่น่าคิดมากเลย ฉันก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าต้นกล้าไม่ใช่คนแบบนั้น และเขาไม่มีทางเป็นคนร้ายได้แน่ แต่ฉันกลับหวั่นไหวไปกับคำพูดของเกศ วะ...ว่าแต่ที่บอกว่า ฉันคือคนสำคัญนี่คืออะไร? สารภาพรักหรอ? อ้ายยยย แอบเขิน >.<
"นี่! ฟ้าใส ฉันคิดๆ ดูแล้ว เราสองคนมาร่วมมือกันหาตัวคนร้ายที่แท้จริงกันเถอะ!" ต้นกล้าหันมาพูดกับฉัน ในขณะที่เรากำลังเดินเข้าโรงเรียน หลังจากเงียบมาตลอดทาง
"อะ...เอ๋ อยู่ๆ ก็?" ฉันพูดขึ้นอย่างตกใจ
"คือ ฉันรู้สึกว่าการที่เธอโดนรถชนมันน่าจะเกี่ยวกับฉันด้วย เพราะมันไม่น่าบังเอิญที่คนสองคนจะเกิดเหตุพร้อมๆ กัน มันต้องมีอะไรเชื่อมกันอยู่" ต้นกล้าพูดพลางทำหน้าจริงจังเชิงวิเคราะห์
"จริงๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน งั้นเอาตามนี่ มาแท็กทีมกันตามล่าหาความจริง" ฉันพูดพลางยื่นมือออกไปเป็นเชิงให้เขาจับมือตกลง
"โอเค แต่ก่อนอื่น เธอช่วยเล่าเรื่องเมื่อวานทีได้ไหม? ว่าเกิดอะไรขึ้น?" ต้นกล้าถามในขณะที่เราเดินมาถึงลานน้ำพุกลางโรงเรียน
จากนั้น ฉันก็เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ฟังหมดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนักเรียนชายปริศนานั้น
"อื้มมมมม จากที่ฟังดูมันเเปลกอยู่นะ" ต่นกล้าพูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินเข้าอาคาร 7
"อย่างไง?" ฉันถามขึ้น
"เดียวตอนเที่ยงค่อยคุยกัน ฉันจะมากลับที่ห้องเรียน โอเคนะ ห้ามเบี๊ยว!?" ต้นกล้าพูดพลางยื่นนิ้วก้อยออกมา
"เป็นเด็ก 5 ขวบหรือไง? เกี่ยวก้อยสัญญา ฮ่าฮ่า" ฉันพูดพลางขำเขา แต่ก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวเขา ในขณะที่เรายืนอยู่หน้าลิฟต์
ณ ห้องเรียน ม.5/1
"ไง ฟ้าใส เมื่อวานเธอโอเคไหม?" เกศถามขึ้น ขณะที่ฉันนั่งลงข้างๆ เธอ
"อะ...อ่อ อืม ฉันไม่เป็นไรแล้ว" ฉันตอบพลางยิ้มแห้งๆ ให้
"ฉันขอโทษด้วยนะ พอดีเมื่อวานฉันมีธุระด่วนเลยไม่ได้อยู่ช่วยเธอ" เกศพูดพลางยื่นมือมาจับมือฉัน
"ไม่เป็นไรจริงๆ แหะๆ" ฉันตอบพลางจับมือเกศ
"ว่าแต่…ความทรงจำกลับมาแล้วใช่ไหม?" เกศถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
"ใช่ ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่ช่วยบอกความจริงฉัน" ฉันตอบด้วยเสียงกระซิบพลางมองไปทีคนๆ หนึ่ง
"แล้วเธอจะเอาไงต่อไปล่ะ?" เกศถามฉัน
"ฉันว่าจะคุยกับคนนั้นตอนหลังเลิกเรียน" ฉันตอบกลับแต่สายตายังคงมองไปที่คนนั้น
"คุยกับใคร? คนขับหรือคนผลัก?" เกศถาม
"คนผลักน่ะ ว่าแต่เธอแน่ใจหรอ? ว่าต้นกล้าเป็นคนขับรถคันนั้น" ฉันหันไปถามเกศด้วยสีหน้าจริงจัง
"นะ...แน่ใจสิ ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่บอกเธอหรอก ฟ้าใส ตะ....แต่ว่าเธอถามทำไมหรอ?" เกศตอบติดๆ ขัดๆ แล้วถามฉันกลับ
"เปล่าหรอก ไม่มีไร" ฉันตอบปัด เพราะไม่อยากอธิบายยาว
"ระ....หรือว่าเธอคุยกับต้นกล้าแล้ว?" เกศถามขึ้นอย่างสงสัย
"ต้นกล้าเขาความจำเสื่อมเหมือนเธอนี้ เขาคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปมั่่ง? ว่าเคยขับรถชนเธอ" เกศพูดขึ้นเหมือนพูดลอยๆ
น่าแปลกที่ฉันได้ยินประโยคนี้ของเกศ แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดและเจ๊บแปล๊บที่หัวใจ
"ก็ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่มีอะไร จะพูดขึ้นมาอีกทำไม!!" ฉันเผลอพูดเสียงดังจนเพื่อนๆ ในห้องหันมามอง
"ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร จะเสียงดังทำไมล่ะ?" เกศพูดเสียงกระซิบ
"เอ่อ ขอโทษที อาจารย์มาแล้ว เลิกคุยเถอะ" ฉันตอบอย่างตัดบท
จากนั้นคาบเรียนเช้าก็จบลงโดยที่ทั้งฉันและเกศไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย
"ครื้น----" เสียงใครบางคนเปิดประตูห้องเรียน
"กรี๊ดดดด ต้นกล้ามาหามิ้นท์อีกหรอจ๊ะ?" เสียงยัย C แก๊งผลไม้พูดขึ้นเชิงแซว
"ปะ...เปล่า วันนี้ฉันมาหาฟ้าใส" ต้นกล้าพูดพลางมองหาฉันที่กำลังเก็บของเตรียมพักเที่ยง
"เอิ่บ!!!" ยัย C หน้าเหวอแล้วหันมามองฉัน
"สงสัยคงจะไปอ่อยต้นกล้าเขาไว้เยอะล่ะสิ หืม?" ยัย C พูดพลางเดินมาหาฉัน
"ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ เพื่อนเธอชอบอยู่ก็ยังอ่อยได้อีกนะ สงสัยตอนเรโกะ เธอก็คงทำแบบนี้เหมือนกันสินะ ห่ะ!?" ยัย A พูดพลางเงื้อมือขึ้นจะตบฉัน
"กรี๊ดดดด!! >.<" ฉันร้องขึ้นพลางหลับตา
"หยุดเลยนะ! ฉันเองล่ะที่เป็นคนนัดฟ้าใสเอง ฉันก็พึ่งรู้นะว่า ห้องคิง อย่างห้อง 1 ก็นิยมใช้ความรุนแรงเหมือนกัน!" ต้นกล้าพูดขึ้นพลางจับแขนยัย A แน่น จนยัยนั้นสั่นไปหมด
"ปะ...เปล่านะต้นกล้า ฉันแค่จะลูบหัวเพื่อนอย่างเอ็นดูเท่านั้นเอง ฮิฮิ" ยัย A พูดพลางลดมือลง
"อ่อหรอ? ลองให้ฉันลูบหัวเธอดูบ้างไหม? แต่ไม่ใช่ด้วยความเอ็นดูนะ จะลองไหมล่ะ ห่ะ!?" ต้นกล้าพูดพลางยกมือขึ้นทำทางจะตบยัย A
"ตะ...ต้นกล้าพอเถอะ ฉันไม่เป็นไร รีบไปเถอะ เดียวไม่มีเวลาคุย" ฉันพูดห้ามไว้เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
"อย่าให้ฉันเห็นหรือได้ยิน พฤติกรรมแบบนี้ของเธออีกนะ!!" ต้นกล้าพูดพลางชี้ไปที่ยัย A และหันไปมองเกศที่นั่งก้มหน้าอยู่
"เธอชื่อ เกศที่นั่งข้างๆ ฟ้าใสสินะ?" ต้นกล้าเดินไปถามเกศ
"ชะ...ใช่ ฉะ...ฉันเอง ทำไมหรอ?" เกศตอบขึ้นด้วยท่าทางตัวสั่นๆ
"หวังว่าเราคงมีโอกาสได้คุยกันสักครั้งนะ" ต้นกล้าพููดพลางมองต่ำไปที่เกศ
"ไปกันได้หรือยัง? เดียวที่นั่งเต็ม" ฉันเร่งต้นกล้า
"ไม่ต้องห่วงน่า ฉันให้ไอเหน่งไปจองที่ไว้แล้ว" ต้นกล้าพูดพลางเปิดประตูห้องเรียน
ณ โรงอาหารฝั่ง ม.ปลาย
จากนั้นเราสองคนก็เดินมายังโรงอาหารมองหาที่นั่งที่เหน่งเพื่อนของต้นกล้าที่อยู่ห้องเรียนเดียวกันจองไว้ เป็นที่นั่งที่เงียบสงบมาก ถ้าไม่จองไว้คงไม่ได้ที่แบบนี้แน่นอน
"นะ...นายจะนั่งด้วยหรอ?" ฉันหันไปถามเหน่ง ในขณะที่เขากำลังนั่งลงข้างๆ ต้นกล้า
"อะ...อ้าว! ฉันนั่งด้วยไม่ได้หรอจ๊ะ?" เหน่งถามพลางส่งยิ้มให้ฉัน
ฉันหันไปสบตากับต้นกล้าแล้วเหล่ไปที่เหน่งเป็นเชิงบอกว่า 'ช่วยไล่หมอนี่ไปทีสิยะ' ต้นกล้าพยักหน้ารับทันที
"ไอเหน่งพอดี เราสองคนมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันสองต่อสอง ช่วยออกไปนั่งที่อื่นที" ต้นกล้าพูดอย่างกระซิบกับเหน่ง
"อะไรวะ!? มึXเห็นหญิงสำคัญกว่าเพื่อนหรอ!?" เหน่งถามขึ้น
"จะไปไม่ไป ถ้าไม่ไปตูจะไปฟ้องแฟนเด็กมึX ว่ามึXหลี่หญิงอื่นเอาไหม ห่ะ!?" ต้นกล้าพูดกระซิบเสียงเย็นใส่เพื่อน
"เออ ก็ได้ ทำเป็นขู่" เหน่งพูดพลางยกจานไปนั่งที่โต๊ะอื่น
"ทำไมต้องไล่มันไปด้วยละ ฟ้าไส?" ต้นกล้าหันมาถามฉัน
"ขอโทษทีนะ ต้นกล้า แต่ฉันไว้ใจใครไม่ได้จนกว่าจะรู้ตัวคนร้ายที่แท้จริง ถึงแม้หมอนั้นจะเป็นเพื่อนนายก็ตาม" ฉันตอบพลางมองไปที่เหน่งที่ท่าทางหงุดหงิดเพราะถูกกีดกันจากพวกเรา
"ออ ฉันเข้าใจๆ" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"ว่าแต่จะบอกได้หรือยังที่พูดค้างไว้เมื่อเช้า?" ฉันถามขึ้นอย่างเปิดประเด็นแบบไม่รอช้า
"เรื่องอะไร?" ต้นกล้าพูดพลางยิ้มกริ่มเห็นลักยิ้ม
"ยังจะมาแกล้งทำไกอีก บอกมาไวๆ เลย" ฉันตีไปที่ไหล่ต้นกล้าทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้
"ฮิฮิ เครๆ คือ ที่ฉันบอกว่าแปลกๆ หมายถึง ยัยเกศเพื่อนที่นั่งข้างๆ เธอที่บอกว่าเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์" ต้นกล้าตอบพลางเขี่ยจานข้าว
"เอ่ะ! เกศแปลกอย่างไง?" ฉันถามขึ้น
"ก่อนจะบอก ขอถามหน่อย เธอสนิทกับเกศมากหรือเปล่า?" ต้นกล้าถามขึ้นพลางวางช้อนแล้วมองหน้าฉัน
"ฉันคิดว่าน่าจะสนิทนะ เพราะเธอนั่งเรียนข้างๆ ฉันตลอดเลย ทุกวัน" ฉันตอบพลางทำท่านึก
"งั้นก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เลย" ต้นกล้าพูดขึ้น
"แล้วมันแปลกอย่างไง? นายก็บอกมาสักทีสิยะ อมพะนำอยู่ได้" ฉันเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางลีลาเยอะของอีตานี่
"ลองคิดดูนะฟ้าใส เกศบอกว่าตัวเองเป็นพยานเห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุนั้น ถึงขึ้นเห็นหน้าคนขับว่าเป็นฉัน เอิ่บ แต่ไม่รู้ว่าเป็นฉันจริงๆ หรือเปล่านะ?" ต้นกล้าพูดพลางยกมือขึ้นมาเท้าคาง
"แล้วอย่างไง?" ฉันถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
"โอ๊ย! เธอนี้ มีสมองไว้เรียนอย่างเดียวหรอไง?" ต้นกล้าพูดอย่างอารมณ์เสีย
"นี่แน่! บอกมาเร็วเลย" ฉันยื่นมือไปหยิกแขนเขาก่อนจะเร่งด้วยความอยากรู้
"ก็ในเมื่อเป็นพยานที่เห็นชัดซะขนาดนั้น แต่ทำไมไม่ให้การกับตำรวจไปล่ะ แล้วอีกอย่างนะ ในเมื่ออยู่ในที่เกิดเหตุแต่กลับไม่ช่วยเธอที่เป็นเพื่อนนั่งเรียนข้างๆ ทุกวันเนี้ยนะ!?" ต้นกล้าตอบพลางลูบไปที่แขนทำท่าทางเจ็บ
"อะ...เอ่ะ!/เเกร๊ง" ฉันตกใจเมื่อได้คิดประโยคที่ชวนคิดของต้นกล้าจนทำให้ช้อนในมือตกลงในจานข้าว
"มันไม่เเปลกหรอ?" ต้นกล้าถามย้ำ
จเ....จริงด้วย! ฉันลืมคิดถึงจุดนี้ไปซะสนิทเลย ทำไมเกศไม่ให้ปากคำกับตำรวจ? แล้วทำไมไม่ช่วยเหลือฉันหรือแสดงตัวว่าเป็นคนรู้จักของฉันในที่เกิดเหตุล่ะ!? ฉันนึกขึ้นมาในใจพลางมือไม้สั่นไปหมด
"...เฮ้ยๆๆ! ได้ยินฉันไหม?" ต้นกล้าโบกมือไปมาหน้าฉันเป็นเชิงเรียกสติฉัน
"ห่ะๆๆ ว่าไงนะ!?" ฉันหลุดออกจากภวังค์พลางถามกลับ
"เธอ โอเคหรือเปล่า? เธอต้องตั้งสติให้ดีหน่อยนะ ฟ้าใส เพราะความจริงมันอาจโหดร้ายกว่าที่เธอคิด" ต้นกล้าพูดพลางถอนหายใจอย่างเป็นห่วงฉัน
"ฉะ...ฉันยังโอเคอยู่ แค่ตกใจนะ แต่ถ้าลองคิดดูมันก็แปลกเหมือนกัน" ฉันตอบกลับพลางทำหน้าครุ่นคิด
"ให้ฉันวิเคราะห์ต่อไหมล่ะ?" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"วิเคราะห์ต่อ เรื่องอะไร?" ฉันถามแต่ใจจริงรู้ดีว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร
"ข้อแรก มีความเป็นไปได้ว่า เกศอาจเป็นคนผลักเธอแล้วร่วมมือกับคนขับรถ จากนั้นก็ป้ายสีให้มิ้นท์ และฉัน" ต้นกล้าพูดพลางชูนิ้วชี้ ในขณะที่ตัวฉันชาวูบไปหมด
"ข้อสอง เกศไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย แต่โดนใครบางคนใช้ให้มาพูดเรื่องนี้กีบเธอ" ต้นกล้าพูดพลางชูสองนิ้ว
"ข้อสาม เกศอยู่ในเหตุการณ์และไม่ใช่คนผลักเธอ และเกศก็ไม่ได้สนิทกับเธอถึงขนาดต้องเข้ามาช่วยเธอ ให้ตัวเองต้องยุ่งยาก" ต้นกล้าพูดพลางชูสามนิ้ว ในขณะที่ฉันกลืนน้ำลายดังเอือก
ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็โหดร้ายกับฉันไปซะหมด แต่ถ้าเป็นแบบข้อแรกจริงๆ ฉันจะทำอย่างไงดีล่ะ? ฉันนึกในใจพลางขนลุก เมื่อคิดว่าคนที่นั่งเรียนข้างๆ ฉันทุกวัน ส่งยิ้มให้ฉันทุกวัน อาจเป็นคนที่พยายามจะ 'ฆ่า' ฉันก็เป็นได้
"ถ้าให้ฉันเดาจากสีหน้าเธอ เธอคงไม่อยากให้มันเป็นข้อแรกสินะ ฟ้าใส?" ต้นกล้าพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
"ชะ...ใช่ แค่คิดว่าเพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ ทุกวันจะพยายามฆ่าฉัน ฉันก็ขนลุกไปหมดแล้ว" ฉันพูดพลางยื่นแขนที่ขนลุกให้ต้นกล้าดูเป็นการยืนยัน
"แต่ความจริงก็คือความจริง อย่าพึ่งด่วนสรุปไปเลย" ต้นกล้าพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
"อะ...อืม" ฉันพูดพลางรวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ฉันกินข้าวต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะรู้สึกผิดที่ข้าวเหลือเกือบครึ่งจานก็เถอะ
"แล้วเธอจะเอาไงต่อ?" ต้นกล้าถามพลางเก็บช้อนส้อมเหมือนกัน
"ฉันต้องลองคุยกับมิ้นท์ก่อน เพราะเย็นนี้ฉันจะกลับบ้านพร้อมมิ้นท์" ฉันพูดพลางเก็บของเตรียมลุก
"งั้นหรอ? ก็เป็นความคิดที่ดี อาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ถ้ามิ้นท์เป็นคนผลักตามที่เกศบอกเธอจะทำไง?" ต้นกล้าพูดแล้วลุกขึ้นตาม
"ฉันก็คงต้องให้มิ้นท์ไปมอบตัวกับตำรวจ!" ฉันพูดพลางเดินไปที่ถังขยะสำหรับเศษอาหารโดยเฉพาะ
"จะง่ายขนาดนั้นเลย?" ต้นกล้าถามพลางเดินตามฉัน
"เดียวฉันจะคิดแผนรับมือเอง" ฉันตอบ ในขณะที่เราเดินออกจากโรงอาหารแล้ว
จากนั้นเราสองคนก็เดินเข้าอาคาร 7 กัน เพราะคุยกันยาวจนเวลาพักเที่ยงหมด
"อย่างไงก็ระวังตัวด้วยละ ตั้งสติให้ดีไม่ว่าความจริงจะโหดร้ายขนาดไหนก็ตาม" ต้นกล้าพูดพลางตบมาที่ไหล่ฉันเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
"ขอบคุณนายมากนะ ต้นกล้า ที่ช่วยฉันขนาดนี้" ฉันตอบกลับไป ในขณะที่เรายืนอยู่หน้าลิฟต์ชั้นเรียน
"ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะถ้าความจริงปรากฏ ฉันเองก็จะได้หลุดพ้นจากข่าวลือนั้นเหมือนกัน ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดพลางหันหลังแล้วโบกมือให้ฉัน
จากนั้นเราสองคนได้แยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของแต่ละคน
ณ. ห้องเรียน ม.5/1
และแล้วชั่วโมงเรียนคาบบ่ายก็เริ่มต้นขึ้น แต่หัวสมองฉันมันไม่ได้รับข้อมูลวิชาเรียนต่างๆ เลย และที่สำคัญสายตาของฉันก็เอาแต่ชำเลืองไปที่เกศที่นั่งเรียนอย่างตั้งใจ
ฉันจะมานั่งระแวงเพื่อนที่นั่งคู่กันแบบนี้ทั้งวันไม่ได้นะ! ความจริงอาจไม่เป็นแบบที่ต้นกล้าวิเคราะห์ไว้ก็ได้นี่น่า ฉันต้องทำตัวให้ปกติที่สุด ฉันนึกในใจพลางส่ายหัว
"ฟะ...ฟ้าใสเธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูกระวนกระวายมาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ" เกศหันมาถามฉันด้วยเสียงกระซิบ
"อะ....เอ่อออ เปล๊านี่ ไม่มีอะไร แหะๆ" ฉันตอบปัดเสียงสูงพลางขำกลบเกลื่อน
ปะ....ปกติกับผีนะสิ! ฉันทำไม่ได้จริงๆ ใจมันคิดตลอดเวลาเลย T_T
แล้วฉันก็บังเอิญหันไปสบตากับมิ้นท์เข้า ยัยนั้นหลบตาฉันทันทีที่เราสบตากัน
ยัยนี่ก็อีกคนหนึ่ง รอบตัวฉันมีแต่คนน่าสงสัยเต็มไปหมด แล้วจะให้ฉันทำตัวปกติอยู่ได้อย่างไงล่ะค่าาา!?
จากนั้นคาบชั่วโมงโฮมรูมก็เริ่มขึ้น
"อีกเดือนครึ่งจะมีงานวันสถาปนาโรงเรียน พวกเธอคิดได้หรือยังว่าจะทำร้านอะไรกัน?" ครูประจำชั้นพูด
"ยังเลยค่ะ/ครับ---" นักเรียนทุกคนตอบพร้อมเพรียงกันมาก
"ฮ่าฮ่า เริ่มคิดได้แล้วนะ จะได้เตรียมสถานที่และอื่นๆ ได้ทัน อย่าหามรุ่งหามค่ำแบบปีที่แล้วอีกล่ะ รู้ไหม?" ครูพูดขึ้น
"ค่ะ/ครับ ฮ่าฮ่า" ทุกคนตอบกลับและขำพร้อมกัน
"เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ถ้าปรึกษาแล้วสรุปได้ว่าจะออกร้านอะไรให้มาบอกครูก่อนนะ ครูจะหาสปอนเซอร์ให้พวกเธอจะได้ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเองไปก่อน" ครูพูดพลางเดินออกจากห้อง
เมื่อจบคาบโฮมรูมฉันก็เก็บกระเป๋านักเรียนอย่างช้าๆ เพื่อรอให้มิ้นท์มาชวนกลับบ้านตามแผนที่วางไว้ตอนนั่งเรียนตลอดคาบบ่าย
"ฟ้าใสสสส วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันนะ ห้ามเบี๊ยวละ ฮิฮิ" มิ้นท์เดินมาหาฉันที่โต๊ะ
"อ่อได้สิ ฉันเก็บของเสร็จพอดี ไปกันเลยไหม?" ฉันตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้ แต่ในใจคิดว่า 'บิงโก! เป็นไปตามแผน'
จากนั้นฉันและมิ้นท์ก็เดินออกจากอาคาร 7 แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูทิศเหนือของโรงเรียน
ณ ทางเดินไปประตูทิศเหนือของโรงเรียน
"นี่ มิ้นท์ ฉันมีเรื่องอยากถามนะ" ฉันเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน
"หืม? เรื่องอะไร?" มิ้นท์หันมาถามกลับ
"เรื่องวันสถาปนาโรงเรียนนะ เธอก็รู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสินะๆ" ฉันถามด้วยความอยากรู้ จริงๆ จะถามเกศก็ไม่ได้เพราะยัยนั้นพึ่งย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ตอน ม.5
"อ่อนึกว่าเรื่องอะไร วันสถาปนาโรงเรียน ก็เป็นเหมือนงานเทศกาลขนาดใหญ่ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้นะ" มิ้นท์พูดพลางหันมายิ้มให้ฉัน
"งะ...งานเทศกาล!? ใหญ่โตขนาดนั้นเลยหรอ?" ฉันถามแบบอึ้งๆ
"ฮฺิฮิ ใช่ ทุกห้องเรียนในระดับ ม.ปลายจะต้องออกร้านอะไรสักอย่างเพื่อร่วมกิจกรรมนี้ ร้านที่ออกจะใช้ห้องเรียนเรานี้แหละเป็นสถานที่ แค่ตกแต่งภายในเพิ่มเติมให้เข้ากับร้านที่จะออกก็พอ" มิ้นท์อธิบาย ในขณะที่เราเดินมาถึงประตูโรงเรียนทิศเหนือ
"อ่ออออ แบบนี้เอง รวมแล้วก็เกือบ 20 ร้านเลยนะเนี้ย ฮ่าฮ่า" ฉันพูดขึ้นพลางหัวเราะในความอลังการของงานโรงเรียน
"ไม่ใช่แค่นั้นนะ" มิ้นหันมาพูดขึ้น
"ยะ...ยังมีอีกหรอ!?" ฉันถามขึ้น
"เธอก็รู้ใช่ไหมว่าโรงเรียนเรามีชมรมต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ชมรมเชิงวิชาการ วัฒนธรรม กีฬา การเเสดงบันเทิงต่างๆ" มิ้นท์พูดขึ้น ในขณะที่เราเดินมาถึงป้ายรถเมล์
"ยะ...อย่าบอกนะว่าทุกชมรมก็ต้องออกร้านด้วยน่ะ?" ฉันหันไปถาม เพราะเท่าที่ฉันรู้ (อ่านจากหนังสือรวมรุ่น) มีชมรมในโรงเรียนกว่า 30 ชมรม ที่ ม. ปลายสังกัดอยู่
"ใช่แล้วจ้าาาา ชมรมการแสดงบันเทิงก็จัดการแสดงไป ชมรมกีฬาก็จัดการแข่งขันขึ้น แน่นอนว่ามีเงินรางวัลด้วยนะ ชมรมวิชาการก็แสดงผลงานต่างๆ" มิ้นท์ตอบกลับ
"โอ้โห้! ภายในวันเดียวเนี้ยนะ?" ฉันถามอย่างไม่อยากเชื่อ
"ใครบอกว่างานสถาปนาโรงเรียนมีวันเดียว มันมี 3 วัน 3 คืนเลยนะ!!" มิ้นท์พูดพลางชูสามนิ้ว
"คุณพระ!!" ฉันตกใจเผลออุทานออกมา
"ไปกันเถอะรถเมล์มาแล้ว" มิ้นท์พูดพลางเดินขึ้นรถเมล์
จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ เพราะอยู่บนรถเมล์ที่แน่นมากจนคุยไม่ได้
ณ หมู่บ้านของฟ้าใส
ผ่านไปไม่นานนักเราก็มาถึงหมู่บ้าน เราสองคนเดินเตร่ๆ กินลมชมวิว แต่ในใจฉันคิดแต่ว่าจะหาโอกาสพูดเข้าประเด็นอย่างไงดี?
"นี่ฟ้าใส---- เธอว่าการบ้านคณิตสัปดาห์นี้ยากเนอะว่าไหม?" มิ้นท์เริ่มเปิดประเด็นที่ต้องการ
"อ่ะ อืม! ฉันก็ว่างั้นละ ฮ่าฮ่า" ฉันตอบกลับพลางขำแห้งๆ ไป
"ถ้าฉันไม่ได้คะแนนเต็มของการบ้านนี้ ฉันต้องถูกพ่อตีแน่เลย เฮ้ออออ" มิ้นท์พูดขึ้นพลางถอนหายใจอย่างหนักใจ
"ถะ....ถูกพ่อตี?" ฉันหันไปถามย้ำอีกครั้ง
"ใช่ ออจริงสิ เธอจำไม่ได้นี่เนอะ พ่อฉันชอบตีฉันทุกครั้งที่ไม่ได้คะแนนเต็ม ดูนี่สิ" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าจนฉันสัมผัสได้ว่า มันคือเรื่องจริงที่เธอเผชิญอยู่ แล้วถลกกระโปรงให้ฉันดูรอยไม้เดียวที่ขาอ่อน
"อะ…..เอิบ! เธอโอเคหรือเปล่า?" ฉันถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ
นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันในเมื่อก่อนยอมทำการบ้านได้เธอสินะ ถึงฉันจะรู้ว่าเธอหลอกใช้ฉัน แต่ฉันก็ยังเต็มใจทำให้เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนกันและอยากจะช่วยเท่านั้นเอง ฉันนึกในใจพลางมองไปที่รอยนั้นของมิ้นท์
"ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว โดนมาตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า" มิ้นท์พูดพลางขำ แต่เป็นการขำกลบเกลื่อนความเศร้าในจิตใจของเธอ
"ว่าแต่…เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฟ้าใส ถ้าเธอทำต้องได้คะแนนเต็มอยู่แล้ว นะๆๆ?" มิ้นท์พูดอย่างขอร้องพลางจับมือฉัน
"ชะ...ช่วยหรอ?" ฉันถามกลับ แต่ในใจรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
"เธอทำแล้วเอามาให้ฉันลอกหน่อยนะ ฮิฮิ" มิ้นท์พูดพลางหัวเราะคิก
"ได้สิ เรื่องแค่นี้เอง แต่มีข้อแม้นะ" ฉันพูดขึ้นอย่างเข้าประเด็นของฉันบ้าง
"ข้อแม้อะไร?" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าว
"เธอต้องตอบคำถามฉัน 3 เรื่อง ห้ามโกหกเด็ดขาด เพราะถ้าโกหกฉันจะไม่ให้เธอลอกการบ้านอีกต่อไป" ฉันพูดพลางชูสามนิ้ว ในขณะที่เราเดินมาถึงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน
"เดียวนะ นี่! ทำไมตอนนี้ถึงมีข้อแลกเปลี่ยนละ? แต่ก่อนเธอยังทำให้ฉันด้วยความเต็มใจเลยนี่ ฟ้าใส!?" มิ้นท์ถามกลับอย่างหัวเสีย
"ถ้าไม่ตกลงก็ตามใจนะ เรื่องที่จะถามฉันไปสืบเอาเองก็ได้ หืม? ว่าไงล่ะ?" ฉันเอียงคอถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นต่อ ในขณะที่เราหยุดเดินอยู่ที่สวนสาธารณะ
"อื้มมมม ก็ได้! เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?" มิ้นท์ทำท่าคิดอยู่นานก่อนจะตอบตกลง
"เรามาหาที่นั่งคุยกันก่อนดีกว่าไหม?" ฉันพูดพลางเดินนำไปที่เก้าอี้ม้านั่งข้างทางเดินในสวนสาธารณะ พลางนึกในใจว่า 'เป็นไปตามแผนขั้นที่ 1'
ณ สวนสาธารณะของหมู่บ้าน ยามเย็น
ตอนนี้ฉันและมิ้นท์ได้นั่งอยุ่ที่เก้าอี้ม้านั่งริมทางในสวนสาธารณะที่ด้านหลังของเราเป็นสระน้ำประจำสวน สายลมยามเย็นที่กระทบกับใบไม้ใบหญ้าและเสียงนกร้องเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบระหว่างเราสองคนในตอนนี้
"มีเรื่องอะไรจะถามก็ว่ามา?" มิ้นท์พูดขึ้นหลังจากที่เราเงียบกันอยู่สักพัก
"ก่อนอื่น เธอสัญญาได้ไหมว่าจะพูดความจริง? ฉันก็จะสัญญาเช่นกันว่าจะให้เธอลอกการบ้าน ถึงแม้หลังจากคุยเสร็จความสัมพันธ์ของเราอาจไม่เหมือนเดิม" ฉันหันไปพูดกับมิ้นท์ด้วยสีหน้าจริงจัง
"ฉะ...ฉันสัญญา ด้วยเกียรติของหลานสาวเพียงคนเดียวของ ผอ. โรงเรียนเลย" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางกลืนน้ำลายดังเอือก
ยัยนี่เป็นหลานสาว ผอ. โรงเรียนเลยหรอเนี้ย ใหญ่ไม่ใช่ย่อย ถ้าเป็นศัตรูด้วยคงแย่พอดู แต่ฉันจะกลัวจนละทิ้งความจริงและความยุติธรรมไปไม่ได้ ฉันนึกในใจพลางรวบรวมสติเรียกความมั่นใจ
"งั้นก็ดีเรื่องเเรก เธอคงรู้จักกับเรโกะสินะ?" ฉันเริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่อยากรู้ให้มันกระจ่างมานาน
"ระ...เรโกะ? อยู่ๆ ถามถึงเรโกะทำไม?" มิ้นท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
"ฉันพอจะนึกเรื่องของเรโกะได้บ้างแล้ว แต่มันไม่ชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ของฉัน เรโกะ ต้นกล้า แล้วทำไมยัย A แก๊งผลไม้ถึงด่าฉัน เหมือนฉันเป็นคนทำร้ายเรโกะด้วย?" ฉันถามในสิ่งที่คาใจ
"อื้มมมม ฉันขอตอบแบบย่อๆ นะ เพราะเรื่องมันยาวมากเลย" มิ้นท์ทำท่าคิดอยู่สักพักก่อนนะพูดขึ้น
"ได้สิ เอาเท่าที่เธออยากตอบเลย" ฉันพูดขึ้น
"เรโกะ เป็นนักเรียนชั้นเดียวกับฉัน เธอ และเเก๊งผลไม้ตอน ม.4 พวกเรา 6 คนเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ฉัน เธอ เรโกะจะสนิทกันเป็นพิเศษ แต่ยัย A ก็สนิทเหมือนกัน" มิ้นท์เล่าความจริงให้ฉันฟัง
"อ่อ แล้วไงต่อ?" ฉันถามต่อ
"ประมาณท้ายเทอม 1 เรโกะก็คบกับต้นกล้าเป็นแฟนอย่างเปิดเผย" มิ้นท์ตอบพลางก้มหน้าเศร้า
ฉันรู้ดีว่า เธอรู้สึกอย่างไง เพราะตอนนี้เมื่อฉันได้ยินความจริงที่ฉันก็รู้แก่ใจดี ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกับเธอเหมือนกัน ฉันนึกในใจพลางมองมิ้นท์ที่นั่งก้มหน้า
"เธอโอเคหรือเปลา มิ้นท์?" ฉันถามพลางมองเธอ
"ฉันไม่เป็นไร เพราะเรโกะ เธอเหมาะสมกับต้นกล้ามากกว่าฉันซะอีก แต่แค่ผิดหวังที่คนที่ต้นกล้าเลือกไม่ใช่ฉัน" มิ้นท์ตอบพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน
"แล้วที่ยัย A ด่าฉันในห้องเรียนว่า เป็นเพื่อนเห็นแก่ตัว ละมันหมายความว่าไง?" ฉันถามต่อ
"นี่เธอยังจำได้ไม่หมดจริงๆ หรือถามเพราะไม่รู้ตัวกันแน่ หืม?" มิ้นท์ถาม
"เธอเป็นคนทำให้เรโกะต้องลาออกจากโรงเรียนไงล่ะ" มิ้นท์ตอบพลางกอดอกอย่างเอาเรื่อง
"ฉะ...ฉันเป็นคนทำ!? หมายความว่าไง?" ฉันถามกลับอย่างงงๆ
"เรื่องนี้ ฮธิบายแล้วมันยาว เอาเป็นว่าเธอหลอกใช้เรโกะจนเรโกะไม่สามารถมาเรียนได้อีกเลย" มิ้นท์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"ฉะ...ฉันทำแบบนั้นจริงๆ หรอ!?" ฉันถามออกไปแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้วยน้ำเสียงสั่น
"ใช่! เธอมันยัยเพื่อนเห็นแก่ตีว ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอเรโกะลาออกจากโรงเรียน เธอก็คบกับต้นกล้าเป็นแฟน ทั้งๆ ที่ต้นกล้าเป็นแฟนของเพื่อนสนิทเธอ" มิ้นท์พูดด้วยน้ำเสียงโมโห
ฉันเข้าใจที่เธอโมโหเพราะอะไร? คนที่ต้นกล้าเลือกหลังจากเรโกะลาออกกลับไม่ใช่เธอ แต่เป็นฉัน ไม่ว่าใครก็โกธรล่ะ แต่ของแบบนี้จะโทษคนอื่นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ มันต้องดูตัวเองด้วยเหมือนกันนะ มิ้นท์ ฉันนึกในใจพลางมองหน้ามิ้นท์
"แล้วตอนนี้เรโกะอยู่ไหนล่ะ?" ฉันถามต่อ
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเรโกะลาออกจากโรงเรียนก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย" มิ้นท์ตอบพลางส่ายหัว
"จบแล้วหรือยัง? เรื่องเรโกะ?" มิ้นท์ถามขึ้น
"โอเค พอแล้วละ" ฉันตอบ
ฉันคงต้องตามหาเรโกะเองแล้วล่ะ เพื่อยืนยันว่า 'ฉันเป็นเพื่อนเห็นแก่ตัว' ขนาดนั้นเลยหรือ? ฉันนึกในใจ
"งั้น เรื่องต่อไป เธอเป็นแฟนต้นกล้าหรอ?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ
"โอ๊ย!! หงุดหงิด นี่เธอจะกวนประสาทฉันใช่ไหม ห่ะ!?" มิ้นพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
"เปล่า ฉันแค่สงสัย ถ้าต้นกล้าเป็นแฟนเธอ ฉันจะได้วางตัวได้ถูก" ฉันตอบกลับไป
"เออๆ ฟังให้ดีนะ ฟ้าใส" มิ้นท์พูดขึ้น
"อะ...อืม" ฉันตอบรับพลางกลืนน้ำลายลงคอ
"ฉัน ไม่ ได้ เป็น แฟน กับ ต้นกล้า" มิ้นท์ตอบแบบชัดๆ ทุกคำ
"เฮ้อออ อันที่จริงฉันแค่แอบชอบเขาข้างเดียวล่ะ แต่เพราะเขาความจำเสื่อม ฉันเลยกะว่าจะลองดูอีกสักรอบ แต่เขาก็ไม่เล่นด้วยเหมือนเดิม" มิ้นท์ถอนหายใจพลางกอดอก
"งะ...งั้นหรอ" ฉันพูดพึมพำกับตัวเอง
"เอาล่ะ ข้อสุดท้ายแล้วว่ามาเลย" มิ้นท์พูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืน
"...." ฉันเงียบเพราะต้องการทำใจและปรับอารมณ์ก่อนจะเริ่มประเด็นสำคัญ
"มิ้นท์" ฉันเรียกชื่อเธอพลางลุกขึ้นยืนตรงข้ามกับเธอ พร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋ากระโปรง
"หืม? ว่าไง?" มิ้นท์เอียงคอถามฉันเหมือนไม่รู้เลยว่า เรื่องที่ฉันจะถามมันซีเรียสขนาดไหน
"ธะ...เธออยู่ในเหตุการณ์รถชนฉันใช่ไหม?" ฉันกลัั้นใจถามออกไปจนได้ ฉันกลัวในคำตอบของเธอจริงๆ
"นะ....นี่! เธอพูดอะไรน่ะ!?" มิ้นท์ถามขึ้น แต่ฉันรู้ดีว่า เธอเข้าใจคำถามนี้ดีกว่าใคร
"ฉันจำเรื่องเหตุการณ์นั้นทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่านะ….มิ้นท์ ฉันยังอยากได้ยินความจริงจากปากเธอ คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน" ฉันเปิดใจพูดกับมิ้นท์อย่างตรงไปตรงมา และฉันเองก็อยากได้ความจริงใจตอบกลับมาเช่นกัน
"...." มิ้นท์นิ่งเงียบ
ตอนนี้ความเงียบได้ถาโถมใส่เราสองคน มีเพียงเสียงสายลมพัดกระทบใบหญ้าและใบไม้ที่ให้ร่มเงาแก่ม้านั่งนี้เท่านั้น
"ยัยเกศ เป็นคนบอกเธอใช่ไหม? ฟ้าใส" มิ้นท์ตอบคำถามฉันด้วยการถามฉันกลับ
"มันสำคัญด้วยหรอว่า ฉันจะรู้หรือจำได้อย่างไง?" ฉันตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
"และการที่เธอถามว่าเกศเป็นคนบอกใช่ไหม? นั้นมันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ทั้งเธอและเกศอยู่ที่เกิดเหตุด้วยกันทั้งคู่…หรือไม่จริง?" ฉันพูดพลางเดินอ้อมม้านั่งมายืนต่อหน้ามิ้นท์เพื่อนที่ฉันคิดว่า 'สนิท' ด้วยความเจ๊บปวดใจยิ่งกว่ารู้ว่าโดนหลอกใช้ซะอีก
"ชะ...ใช่! ฉันอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเธอถูกรถชนจริงๆ" มิ้นท์หลับหูหลับตาพูดเหมือนไม่อยากเห็นแววตาของฉัน
"...." ฉันพูดไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วแท้ๆ
แล้วความเงียบก็เข้ามาจู่โจมเราสองคนอีกครั้ง ฉันได้ยินแต่เสียงหัวใจของฉันที่มันกำลังเต้นด้วยความปวดใจกับความจริงนี้
"เธอ....ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยหรอ?" ฉันถามขึ้นอย่างคาดหวังว่าจะได้ยินคำๆ หนึ่งจากปากของเพื่อนคนนี้
"เรื่องอะไร? ฉันก็ตอบคำถามเธอหมดแล้วนิ หืม?" มิ้นท์ถามกลับด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกอะไร
"เธอควรจะขอโทษฉันซิ!?" ฉันพูดออกไปเป็นเชิงเตือนสติมิ้นท์
"ขอโทษเรื่องอะไร? ห่ะ!? ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!" มิ้นท์ตอบกลับมาเสียงแข็ง
"เฮอะ! วะ...ว่าไงนะ? ห่ะ!?" ฉันถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ พลางกลอกตามองบน
"นี่! ฟังให้ดีนะฟ้าใส จริงอยู่ที่ฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนผลักเธอให้รถชนนี้…จริงไหมล่ะ? หืม!?" มิ้นท์ตอบพลางยืนกอดอกเชิดหน้า
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่า เธอจะผลักฉันจริงหรือเปล่า? เพราะฉันไม่มีตาหลัง แต่ที่ฉันรู้คือ ฉันกับเธอเดินมาด้วยกัน แต่เธอกลับวิ่งจากไปตอนที่เราสบตากัน ขณะที่ฉันนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นกลางถนน!! อะ...อึ้ก!" ฉันพูดออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเข้าไว้
"แล้วอย่างไง?" มิ้นท์เอียงคอถามหน้าตาเฉย
"เฮอะ! เพี๊ยะ!!" ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ มือที่สั่นเทาของฉันได้ประทับลงบนใบหน้าขาวๆ ของมิ้นท์พร้อมกับใบหน้าของมิ้นท์ที่หันไปตามแรงตบนั้นด้วยสีหน้าตกใจ
"อึ้ก...เธอ...ไม่รู้ตัวจริงๆ หรอว่าตัวเองทำผิดอะไรลงไปน่ะ? ห่ะ!? อึ้ก!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเป็นการพูดที่ยากลำบากจริงๆ มันปนเปไปกับเสียงกลั้นร้องไห้ของฉัน
"นี่! เธอกล้าตบฉันหรอ? ห่ะ!?" มิ้นท์หันกลับมาด้วยความโกรธ
"ฉันคิดมาตลอดว่า ถึงเธอจะคบกับฉันเพราะต้องการหลอกใช้ฉัน แต่อย่างน้อย...เราก็คงมีความเป็นเพื่อนกันอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนฉันจะคิดไปเองคนเดียวสินะ ฮื้อๆๆ...อึ้ก" ฉันระบายความในใจออกไป พร้อมกับปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาอย่างอดไม่อยู่จริงๆ
"ใช่ เธอมันมโนไปเองคนเดียว ตั้งสติได้แล้ว ยัยฟ้าใส ฉันไม่เคยคิดว่า เธอเป็นเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เธอมันเป็นได้แค่ศัตรูหัวใจของฉันเท่านั้น" มิ้นท์ตอบอย่างระบายบ้าง
"ฮื้อๆๆ อึ้กๆๆ" ฉันปล่อยโฮเพราะประโยคที่ตอกย้ำความโง่ความไร้เดียงสาของฉันเอง
"ทุกครั้งที่ฉันเห็นเธออยู่กับเขา ฉันแทบอยากจะวิ่งไปตบเธอทุกครั้ง แต่ฉันก็ต้องอดทน เพราะฉันคือหลานสาวของ ผอ. จะมีข่าวเสียหายไม่ได้!!" มิ้นท์พูดอย่างเหลืออด
"...." ฉันยังคงเงียบอยู่ ใจหนึ่งก็สงสารเธอ แต่อีกใจก็โกรธที่เธอไม่เคยเห็นฉันเป็นเพื่อนเลยแม้แต่วันเดียว
"แล้วเธอจะเอาไง? ห่ะ!?" มิ้นท์ถามขึ้นพลางเดินมาผลักไหล่ฉัน
"...." ฉันพูดไม่ออกจริงๆ กับความไม่มีสำนึกของเธอ
"หรือจะไปบอกตำรวจล่ะ? ว่าไง!?" มิ้นท์เอียงคอถามเสียงแข็ง
"ใช่! ฉันให้โอกาสเธอคิดให้ดีว่าจะไปให้ปากคำกับตำรวจ หรือจะให้ฉันไปบอกตำรวจเอง" ฉันพูดขึ้นหลังเงียบอยู่สักพัก ในใจคิดว่า ฉันไม่อยากให้มันไปถึงขั้นนี้เลยจริงๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่า โอ๊ยขำ นี่ๆ ล้อฉันเล่นใช่ไหม!?" มิ้นท์เดินมาลูบที่แก้มฉัน
"เธอก็รู้ว่าฉันใหญ่แค่ไหน? คิดหรือว่าฉันจะกลัวน่ะ? หืม!?" มิ้นท์ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบ พลางกำหมัดแน่น เพราะสิ่งที่เธอพูดมันถูก ไม่มีอะไรที่มีอำนาจไปมากกว่าเงินตราอีกแล้ว มันสามารถทำได้ทุกอย่าง
"คิดให้ดีล่ะกว่าเธอจะทำอย่างไงต่อไป ห่ะ!?" มิ้นท์พูดพลางผลักอกฉันแรงจนฉันล้มลงนั่งกองกับพื้น
"โอ๊ย!!!" ฉันทำได้แค่ร้องด้วยความเจ๊บมือและก้มพลางกำหมัดแน่น ตัวสั่นเทา ด้วยความโมโห
"ส่วนฉัน แน่นอนว่าฉันไม่มีทางลดตัวไปขึ้นโรงพักกับเธอแน่นอน บาย!!" มิ้นท์พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินจากไป
ถึงอำนาจของเงินตราที่ตระกูลเธอมีอยู่มันจะน่ากลัวเพียงใด แต่ฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้ความจริงมันตายลงไปได้หรอกนะ มิ้นท์
ฉันอยากให้เธอไปให้ปากคำกับตำรวจ ถ้าเธอบริสุทธิ์จริง เพราะเศษเสี้ยวของใจฉันก็ยังคิดว่า เธอไม่ได้เป็นคนทำ! ฉันนึกในใจ ขณธลุกขึ้นและเดินกลับบ้าน
จากนั้น ฉันที่เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงและเสียสูญได้เดินกลับบ้านจนกระทั้งถึงหน้าบ้าน
"นี่! ทำใมพึ่งกลับ!?" น้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากหน้าประตูบ้านฉัน
"ตะ...ต้นกล้า!?" ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขายืนรอฉันที่หน้าบ้าน
"ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากเลย ฉันไม่มีแรงจะคุยกับใครทั้งนั้นล่ะ" ฉันพูดพลางเดินผ่านเขาไปก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูบ้าน
"เดียวก่อน" ต้นกล้าเรียกรั้งฉันไว้ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางดึงมือฉันให้ฉันเข้าไปหาเขา
"เธอโอเคไหม? ฟ้าใส" ต้นกล้าพูดด้วยเสียงเเผ่วเบา
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบกลั้นน้ำตาไว้ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นถึงความอ่อนแอของฉันเลย
"พรึ่บ" ต้นกล้าดึงฉันเข้าไปกอดไว้ ฉันไม่ได้ปฏิเสธอะไรเขาเลย อาจเพราะฉันกำลังต้องการใครบางคนที่คอยอยู่ข้างๆ ฉันก็เป็นได้
"ถ้าเธออยากร้องก็ร้องออกมาเถอะนะ ฟ้าใส" ต้นกล้าก้มลงกระซิบบอกกับฉันด้วยเสียงที่แผ่วเบา
"ฮื้อๆๆ...อึ้กๆๆ" ฉันปล่อยโฮทันที่ ขณะที่ซบลงแผงอกแน่นๆ ของเขา
"ไม่เป็นไรๆ ฉันจะทำตัวเสมือนต้นไม้ทีคอยดูดซับความเศร้าของเธอเหมือนที่มันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เอง ฮาฮ่า" ต้นกล้ากระซิบข้างหูฉันพลางลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา และหัวเราะตัวเอง
"ห่ะ!? ฮ่าฮ่า อะไรของนายเนี้ย!? คำพูดนี้มันอะไรกัน?" ฉันกระซิบตอบพลางขำเขา ขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
"ดีขึ้นแล้วใช่ไหม? หืม?" ต้นกล้าถามพลางคลายอ้อมกอด
"ยัง! ฮิฮิ" ฉันตอบกลับ แล้วดึงเขาเข้ามากอดอีกทีพลางหัวเราะคิก
"โอเคๆ วันนี้ฉันจะยอมไปก่อน เชิญใช้ร่างกายฉันให้พอใจเลย ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดขึ้นพลางกางแขนออกเป็นเชิงบอกว่า ผมยอมให้คุณทำได้ทุกอย่าง
"อีตาบ้านี้! เห็นฉันเป็นคนอย่างไง?" ฉันพูดพลางตีไปที่เเขนเขา
"จะลูบคลำอกฉันหรือท้องฉันอีกก็ได้นะ ฉันยอมยกให้วันหนึ่งเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" ต้นกล้าพูดพลางลูบที่อกและท้องตัวเอง ก่อนจะหัวเราะลั่น
"โอ๊ยๆๆ จะขุดมาพูดทำไมเนี้ยยยย!?" ฉันโวยวายกลบเกลื่อนความอาย
"โอเคๆ โทษทีน่า ฮิฮิ" ต้นกล้าพูดพลางหัวเราะคิก
"งั้นฉันเข้าบ้านล่ะนะ" ฉันพูดพลางหันหลังเปิดประตู
"อะ...อ้าว!? ฉันอุตส่าห์รอตั้งชั่วโมงกว่า เธอจะเข้าบ้านไปแบบนี้เนี้ยนะ!?" ต้นกล้าตอบพลางเดินเข้ามาใกล้ฉัน
"เอ้า!? นายมีเรื่องจะคุยงั้นหรอ?" ฉันถามขึ้น
"ก็ใช่นะสิ นี่คิดว่าฉันมารอเพราะอยากกอดเธอเฉยๆ หรือไง? อุ๊บ!..." ต้นกล้าพูดก่อนจะเอามือปิดปากตัวเองเหมือนหลุดพูดอะไรบางอย่างไป
"ฮิฮิ ไม่ทันล่ะย่ะ ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย ฮิฮิ งั้นรอเดียวนะ ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อและบอกแม่ก่อน" ฉันพูดก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน
จากนั้น ฉันก็บอกแม่ว่าจะออกไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท ฉันเลือกใช้ชุดสบายๆ อย่างกางเกงวอร์มสีดำและเสื้อยืดแขนยาวสีขาวคอวี
"เเกร้ง...รอนานไหม? โทษทีน่า" ฉันเปิดประตูบ้านพลางพูดขึ้น
"ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ" ต้นกล้าพูดพลางเดินนำไป
ณ ร้านอาหารตามสั่งหน้าหมู่บ้าน
"ป้าค่ะ ขอสุกี้ทะเลน้ำค่ะ" ฉันหันไปสั่งอาหารหลังจากนั่งได้สักพัก
"นายเอาอะไร?" ฉันถามต้นกล้าที่นั่งตรงข้ามฉัน
"ร้านนี้อะไรอร่อยคับป้า?" ต้นกล้าหันไปถามเจ้าของร้าน
"อ้าวววว! พวกหนูนี้เอง เห็นหายไปนานนึกว่าย้ายออกจากหมู่บ้านไปแล้ว ฮิฮิ" ป้าเจ้าของร้านพูดขึ้น
"อะ...ออ คับ/ค่ะ" ฉันกับต้นกล้าตอบพร้อมกัน พลางหันไปมองหน้ากัน
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ฉันและต้นกล้าหัวเราะ เพราะมันเหมือนตอนที่อยู่ร้านสะดวกซื้อวันนั้นเลย
"น้องผู้หญิงเอาสุกี้ทะเลน้ำใช้ไหม? ส่วนน้องผู้ชายเอาข้าวผัดไก่ไม่หนัง ถูกไหม?" ป้าเจ้าของร้านหันไปถามต้นกล้า
"อะ..เอ่ะ! ผมเคยสั่งเมนูนั้นหรอคับ?" ต้นกล้าถามป้า
"จ๊ะ น้องสั่งประจำที่มาร้านป้าเลยนะ ฮิฮิ แล้วก็ชอบใส่ซอสพริกด้วย" ป้าเจ้าของร้านพูดขึ้น
"งั้น เอาแบบนั้นก็ได้คับ ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าสั่งเมนูพลางหัวเราะ
"แสดงว่าเราสองคนก็มากินที่ร้านนี้บ่อยๆ เหมือนกันนะเนี้ย" ฉันพูดขึ้นพลางมองหน้าต้นกล้า
"นั้นสิ แล้วเธอจำอะไรเกี่ยวกับร้านนี้ได้บ้างไหม? ฉันจำไม่ได้เลย" ต้นกล้าถามขึ้น
"ฉันก็ไม่ต่างกัน" ฉันตอบพลางส่ายหน้า
"ว่าแต่....เธอคุยกับมิ้นท์แล้วใช่ไหม?" ต้นกล้าถามหลังจากเงียบไปสักพัก
"อะ...อืมใช่" ฉันตอบกลับ
จากนั้น ฉันก็เล่าเรื่องที่ถามมิ้นท์ เฉพาะเรื่องอุบัติเหตุนะ พร้อมกับกินข้าวไปด้วยกัน
"นะ...นายอิ่มแล้วหรอ?" ฉันถามเมื่อเห็นต้นกล้ารวบช้อนส้อมไว้กลางจานพลางดื่มน้ำตาม ในขณะที่ข้าวเหลือกว่าครึ่งจานเลยทีเดียว
"อืม ฉันกินแล้วมันรู้สึกไม่อร่อยแล้วก็แปลกๆ" ต้นกล้ากระซิบเสียงเบา
"แต่เจ้าของร้านบอก เมื่อก่อนนายชอบสั่งประจำเลยนะ" ฉันพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ข้าวผัดไก่ไม่หนังราดซอสพริกของต้นกล้า
"ก็นั้นนะสิ ไม่รู้เมื่อก่อนกินลงไปได้ไง?" ต้นกล้าพูด
"ระ...หรือว่าเพราะความจำเสื่อมเลย ทำให้ความชอบเปลี่ยนไปด้วย ฉันก็เป็นบ่อยๆ นะ" ฉันเคาเอง พลางนึกถึงตอนกินข้าวกับแม่วันแรก
"อืมมมม อาจจะจริงแหะ" ต้นกล้าพูดพลางทำท่าคิด
"แปลกเนอะ ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหัวเราะคิก
"ป้าค่า เก็บตังค่ะ" ฉันตะโกนเรียกเจ้าของร้าน
จากนั้น เจ้าของร้านก็ตรงมาคิดเงิน ฉันตกลงกับต้นกล้าแล้วว่าจะจ่ายแยก อันที่จริงหมอนี้อยากจ่ายให้ฉัน แต่ขอโทษนะค่ะ ฉันไม่ชอบกินฟรี แฟร์ๆ ค่ะ
ในขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้นก็เหลือบไปเห็นว่า ป้าเจ้าของร้านกำลังทิ้งเศษอาหารอยู่
"ปะ...ป้าค่ะ เดียวๆๆ สต๊อปๆ" ฉันรีบห้ามไว้ก่อนที่เศษอาหารเหลือนั้นจะลงใปรวมกับขยะอื่นๆ ในถังขยะของร้าน
"มีอะไรหรอจ๊ะ? หรือจะสั่งเพิ่ม?" ป้าถามขึ้นพลางส่งยิ้มมาให้
"ป้าจะทิ้งเศษอาหารลงในถังขยะทั่วไปโดยไม่ใส่ถุงแยกไม่ได้นะค่ะ ป้า" ฉันพูดขึ้นพลางเดินไปหาป้า
"อะ...อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะ!?" ป้าถาม
"ก็เศษอาหารที่ทิ้งแบบนี้มันอาจนำมาซึ่งสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์นะค่ะ ป่า" ฉันอธิบาย
"เฮ้ยๆ ฟ้าใส เธอจะไปยุ่งอะไรกับป้าเขาล่ะ? มานี้ๆ" ต้นกล้าเดินมาดึงแขนฉัน
"ปล่อยเลยย่ะ ฉันต้องพูดเพื่อร้านป้าเขาเองนะ" ฉันสะบัดแขนออก
"หมายความว่าไงจ๊ะ?" ป้าถามขึ้น
"ก็สัตว์อย่างพวกหนอน หนู แมลงสาบ สุนัขจรจัด แมวจรจัด มันอาจเข้ามากินเศษอาหารพวกนี้ แล้วเกิดการปนเปื้อนในวัตถุดิบของป้าได้นะค่ะ" ฉันตอบ
"แล้วจะให้ทำไงล่ะ?" ป้าถามกลับ
"ที่บ้านคุณป้าปลูกต้นไม้ไหมค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"นี่ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับต้นไม้ละ? เธอ?" ต้นกล้าถามขึ้นอย่างงงๆ
"นั้นสิหนู บ้านป้าน่ะมีต้นไม้เยอะเลย" ป้าพูดขึ้นพลางทำหน้างงไม่ต่างจากต้นกล้า
"แล้วป้าซื้อปุ๋ยใส่ต้นไม้ไหมค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"ต้องซื้อใส่ซิจ๊ะ ทั้งพืชผักสวนครีวป้าจะได้โตไวๆ ไหนจะต้นไม้อื่นๆ อีก" ป้าตอบพลางทำท่านึก
"งั้นก็ดีเลยค่ะ เดียวหนูจะสอนวิธีการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารให้ ไม่ยากเลยค่ะ" ฉันพูดพลางยิ้มให้ป้าเจ้าของร้าน
"อุ้ย! จริงหรือจ๊ะหนู? เศษอาหารพวกนี้ก็ใช้ทำปุ๋ยได้หรอ?" ป้าถามขึ้นพลางเดินมาจับมือฉัน
"ได้สิค่ะ วันอาทิตย์นี้เปิดร้านกี่โมงค่ะ?" ฉันถามขึ้น
"อ่อ วันอาทิตย์ป้าเปิดสายจ๊ะประมาณเที่ยงครึ่ง" ป้าตอบกลับ
"งั้นประมาณ 10 โมงเจอกันที่ร้านได้ไหมค่ะ เดียวหนูสอนให้ ฮิฮิ" ฉันจัดการนัดแนะพลางหัวเราะคิก
"ได้แน่นอนสิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปุ๋ยใส่ผัก ฮิฮิ" ป้าตอบพลางหัวเราะคิกตาม
"นายก็มาด้วยซิ ต้นกล้าจะได้ช่วยกัน" ฉันหันไปชวนต้นกล้า
"อะ...อ่อ ได้ซิ อยู่บ้านก็ไม่มีไรทำอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า" ต้นกล้าตอบพลางขำ
"งั้นพวกหนูไปก่อนนะค่ะ เจอกันวันอาทิตย์นี้ค่ะ" ฉันก้มให้ป้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัวลา
จากนั้น เราสองคนก็เดินไปที่สวนสาธารณะ
"ฉันรู้แหละว่าทำไมแฟนคลับเธอถึงตั้งฉายาให้ว่า 'นางฟ้าแห่งชั้น ม.5' ฮ่าฮ่า" ผมพูดขึ้นพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เรากำลังนั่งเล่นกินลมชมวิวอยู่ที่สวนสาธารณะยามค่ำคืน
"ห่ะ!? นางฟ้า? ฉันเนี้ยนะ? ฮ่าฮ่า โอ๊ยขำ ใครคิดเนี้ย!?" ฟ้าใสหัวเราะขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ก็เธอใจดี ชอบช่วยเหลือคนไงละ" ผมหันไปพูดกับเธอพร้อมส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
"ไม่หรอก...ฉันแค่คิดว่า ฉันอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น" ฟ้าใสตอบกลับพลางเหม่อมองขึ้นไปยังท้องนภาอันเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบใบหน้าของเธอ มันทำให้เธอดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าที่ดูเปล่งประกายแม้จะไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ และความสวยที่มาจากภายในแม้จะไม่ได้แต่งตัวหรูหรา
"...." ผมได้แต่นิ่งเงียบ เหม่อมองเด็กสาวคนนี้ อย่างยกย่องในความคิดที่แตกต่างการคนทั่วไป
"....ถึงแม้ว่าการกระทำของฉันมันจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ...แต่ฉันเชื่อว่าถ้าฉันพยายามต่อไปคนรอบข้างก็จะทำตามฉันด้วยเหมือนกัน ฮิฮิ" ฟ้าใสพูดขึ้น ขณะที่มองมืออันเรียวบางของตัวเอง แล้วหันมายิ้มให้ผม
"...." ผมยังคงเหม่อมองเธอราวกับต้องมนต์สะกด
"วันนี้อากาศดีเนาะ แล้วก็....ดวงดางและพระจันทร์สวยมากเลย" ฟ้าใสพูดพลางเอื้อมมือบนทำท่าจะจับดวงดางบนท้องนภา
"...ใช่....สวยมากจริงๆ" ผมพูดขึ้น แต่สายตาไม่ได้มองดาวบนฟากฟ้าเลย แต่มองดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าผมแทนมันเปล่งประกายและสวยงามกว่าดาวบนท้องฟ้าเป็นพันๆ เท่า
"...ขอบคุณมากนะ สำหรับวันนี้ ฉันดีขึ้นมากเลย ฮิฮิ" ฟ้าใสตอบพลางหันมาหัวเราะคิกให้ผม
"อืม ไม่เป็นไร ถ้าเธอดีขึ้นฉันก็โอเค ฮ่าฮ่า" ผมพูดพลางหลบตามองท้องฟ้าด้วยความเขิน
จากนั้น เราสองคนก็ออกจากสวนสาธารณะแล้วมุ่งหน้าในบ้านฟ้าใสกัน
"....แล้วเธอจะเอาไงต่อล่ะ เรื่องมินตรา?" ต้นกล้าหันมาถามฉันขณะที่เรากำลังจะถึงบ้านฉัน
"ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันจันทร์ ฉันอยากให้มิ้นท์ไปให้ปากคำกับตำรวจเอง เพื่อพิสูจน์ความบริสิทธูิ์ของตัวเอง" ฉันหันไปตอบ
"เหมือนเธอจะไม่เชื่อสินะ ว่ามินตราเป็นคนทำ?" ต้นกล้าตอบขณะที่เรายืนอยู่หน้าบ้านฉัน
"จริงๆ ลึกๆ ในใจฉันก็ไม่เชื่อว่ามิ้นท์จะทำแบบนั้นกับฉันได้ แต่ความจริงก็คือความจริง" ฉันตอบกลับ
"โอเค ฉันขอให้มันเป็นไปตามที่เธอต้องการล่ะกัน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอนะ ฟ้าใส" ต้นกล้าพูดขึ้นแล้วเดินมาลูบหัวฉัน
"อืม...ขอบคุณมากนะ" ฉันตอบกลับมาพลางส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้
"เข้าบ้านเถอะ ดึกมากเลย" ต้นกล้าพูดพลางถอยหลัง
"โอเค ไว้เจอกันวันอาทิตย์นะ ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหันหลังเดินเข้าบ้านไป
วันรุ่งขึ้น (วันเสาร์) ณ บ้านของฟ้าใส
"เตรียมของเสร็จหรือยังจ๊ะ? ฟ้าใสลูก" แม่ถามขึ้น ขณะที่ฉันกำลังเตรียมของว่างไปทานตอนบ่ายที่ศาลเจ้า
ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่เราสองแม่ลูกจะได้ไปไหว้ขอพรพระที่ศาลเจ้ากัน ฉันตื่นเต้นมากกกกก เหมือนได้ไปปิคนิคกับแม่เลย ฮิฮิ
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของคนรู้จักของแม่ฉันเอง แม่บอกว่าบรรยายกาศดีเหมาะกับการนั่งทานของว่าง ฉันเลยอาสาเตรียมเองเลยจ้าาาา
"เสร๊จแล้วค่าาาาา" ฉันพูดพลางเดินออกมาจากห้องครัว
"งั้นรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ" แม่พูดขึ้น
ฉันเข้าห้องไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะตอนทำขนมเค้ก และคุ้กกี้ มันค่อนข้างเลอะเทอะพอควรเลยต้องเปลี่ยนชุดใหม่
ฉันเลือกชุดเดรสขาวจะได้ดูสุภาพสีไม่ฉูดฉาดไป พร้อมกับปล่อยผมและมัดเป็นช่อเล็กๆ ที่ด้านข้างเพื่อให้ดูมีลูกเล่นนิดหน่อย และสะพายกระเป๋าข้างใบเล็กที่ทำจากวัสดุจักรสานตามธรรมชาติ ปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบขาวไม่มีลาย
"มาแล้วค่าาาา ดูเรียบร้อยดีไหมค่ะแม่?" ฉันถามพลางหมุนตัวให้แม่ดู
"สวยที่สุดเลย ลูกฉัน ไปเถอะ ฮิฮิ" แม่ตอบกลับพลางเปิดประตูบ้าน
ณ ศาลเจ้าโคโนเอะ
"ว้าวววว!!" ฉันร้องว้าวเลย เมื่อเรามาถึงศาลเจ้าโคโนเอะที่ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และมีหลายสาขาทั่วประเทศ และในอีกหลายประเทศด้วย
ตอนนี้ เราสองแม่ลูกได้มาถึงที่เข้าทางศาลเจ้าโคโนเอะ แม่ฉันต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของศาลเจ้าที่อยู่ไกลพอสมควร จากนั้นเราต้องเดินเข้ามาเอง
เมื่อฉันเดินเข้ามาในศาลเจ้านี้ เหมือนฉันได้หลุดเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นยุคเอโดะก็ไม่ปาน พื้นศาลเจ้าไม่ใช่พื้นปูนซีเมนต์ปกติธรรมดา แต่เป็นสนามหญ้าที่ปูนพื้นกระเบื้องคาร์บอนดำแผ่นๆ เป็นแนวทางเดิน
ซึ่งพื้นกระเบื้องแบบนี้ถือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยการผลิตจะใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศ จากนั้นนำมาผลิตเป็นกระเบื้องนั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่า คาร์บอนดำก็คือมลพิษทางอากาศล่ะค่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น สองข้างทางถูกประดับด้วยไม้พุ้มทรงกลมที่ปลูกในกระถางแบบญี่ปุ่น ไม้พุ้มเหล่านี้มีใบเล็กและละเอียด แถมยังมีกิ่งก้านที่ซับซ้อน ถือเป็นต้นไม้ที่ช่วยกรองฝุ่นควันจากภายนอกได้อย่างอี
และเมื่อเราสองแม่ลูกเดินเข้าไปลึกขึ้น ฉันก็พบกับน้ำตกที่สร้างขึ้นเอง
"สุดยอดดดดเลยค่ะ น้ำตกเทียม!" ฉันพูดขึ้นพลางหยุดยืนอยู่หน้าน้ำตกเทียมที่ทางศาลเจ้าสร้างขึ้น
"เป็นไงจ๊ะ สุดยอดเลยใช่ไหม?" แม่เดินมาถามฉันที่หน้าน้ำตก
"คะ...ค่ะแม่ น้ำตกเทียมที่ใหญ่แบบนี้ สร้างไม่ได้ง่ายๆ เลยนะค่ะเนี้ย" ฉันพูดพลางยื่นน้ำไปสัมผัสกับน้ำในบ่อที่ใสสะอาดเห็นตัวปลาคาร์ฟแวกว่ายไปมาเต็มบ่อ
"ใช่จ๊ะ เพื่อนแม่บอกว่า เขาใช้เทคนิกบำบัดน้ำในตัวเอง น้ำตกก็ใช้น้ำในบ่อ น้ำตกจะช่วยบำบัดน้ำในบ่อให้สะอาดด้วยเช่นกัน" แม่อธิบาย
"อ่อ ค่ะ อยากได้บ้างจัง ฮ่าฮ่า" ฉันพูดขึ้นพลางขำ
"ไปกันต่อเถอะจ๊ะ ใกล้ถึงทางเข้าตัวศาลเจ้าแล้ว" แม่พูดพลางเดินนำทางไป
จากนั้น เราก็เดินมาถึงประตูทางเข้าตัวศาลเจ้าที่ต้องขึ้นบันไดยาว
"แฮ่กๆๆ .... ถึงตัวศาลเจ้าสักที เหมือนเดินมาราธอนเลย เป็นศาลเจ้าที่ใหญ่อลังการมาก" ฉันพูดไปพลางหอบไปพลาง
"ฮาฮ่าฮ่า ของดีก็แบบนี้ล่ะจ๊ะ" แม่พูดพลางขำฉัน
"อะ...อ้าววว! คุณฟ้าคราม มาแล้วหรอค่ะ แหมยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ" หญิงวัยกลางคนมาเข้ามาทักแม่ฉัน
หญิงวัยกลางคนคนนี้เหมือนจะเป็นคนของทางศาลเจ้า เพราะเธอแต่งตัวด้วยชุดมิโกะ ท่อนบนสีขาว ท่อนล่างสีแดง และมัดผมที่ปลายผม
"แหม พูดเกินไปค่ะ คุณเอมิล่ะก็" แม่ฉันพูดพลางตีเเขนไปที่ป้าคนนั้นเบาๆ
"ไงจ๊ะ? หนูฟ้าใส ไม่เจอหลายวันเลย หายไปไหนมาจ๊ะเนี้ย?" คุณป้าเอมิพูดพลางเดินลูบหัวฉัน
ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากมือคู่นั้นด้วยใจจริง
"เอ๋! หนูเคยมาที่นี้ด้วยหรอค่ะ?" ฉันถามขึ้นพลางมองหน้าคุณป้ากับแม่
"อะ...อ้าว นี้หนูจำไม่ได้หรอจ๊ะ? หนูมาหาเรโกะทุกวันเลยนะ ชอบมาเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้เรโกะฟังตลอดเลย" คุณป้าเอมิพูดพลางส่งยิ้มมาให้ฉัน แต่เป็นยิ่้มที่แฝงด้วยความเศร้า
"ระ...เรโกะ!? เรโกะอยู่ที่นี้หรอค่ะ? คุณป้า" ฉันถามขึ้นอย่างตกใจ
ระ...หรือว่า เรโกะจะอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะเธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นนี้น่า ฉันนึกในใจ
"เอออออ คุณพี่ค่ะ มาทางนี้หน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย" แม่ฉันกระซิบกับคุณป้าเอมิ แล้วดึงมือไปคุยกันสองคน
จากนั้น แม่ฉันและคุณป้าก็เดินไปคุยกันแถวต้นไม้ใหญ่ข้างศาลเจ้า ส่วนฉันก็เดินดูรอบๆ ศาลเจ้าด้วยใจที่อยากรู้ว่าเรโกะอยู่ไหน?
"ป้า ต้องขอโทษหนูด้วยนะจ๊ะ ป้าไม่รู้ว่าหนูความจำเสื่อม" คุณป้าเอมิเดินมาพูดขอโทษฉัน
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ ว่าแต่เรโกะเธออยู่ไหนค่ะ หนูมีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย ฮิฮิ" ฉันพูดพลางหัวเราะคิกที่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิท ฉันจะได้ถามความจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอสักที
"เอิ่บบบบ เออออ...หนูลองไปดูที่ห้องด้านขวาสุดของศาลเจ้านะจ๊ะ เรโกะลูกป้าอยู่ที่นั้น" คุณป้าคิดอยู่นานก่อนจะบอกทางฉันพลางส่งยิ้มมาให้
"งั้นก็ขอไปหาเพื่อนก่อนนะค่ะแม่" ฉันบอกแม่ก่อนจะเดินที่ตามทางที่คุณป้าบอก
ณ ห้องขวาสุดในศาลเจ้าโคโนเอะ
"อื้มมมม ห้องนี้หรีอเปล่าน่า ว่าแต่ทำไมมันเงียบจังเลย" ฉันเดินไปตามทางใกล้จะถึงห้องขวาสุด
"เรโกะ----เธออยู่ไหน? ฉันฟ้าใสนะ เรโกะ!?" ฉันตะโกนเรียกหาเรโกะเพื่อนสนิทของฉัน
ตอนนี้ ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องขวาสุดที่ว่าแล้ว ในห้องเต็มในด้วยตู้กระจกวางของ ในตู้กระจกเต็มไปด้วยโถใส่อะไรบางอย่าง และมีดอกไม้ ธูปมากมายเต็มตู้ไปหมด
ฉันรู้สึกได้ทันทีว่า นี้ไม่ใช้ห้องที่คนอยู่แน่นอน ฉันกลืนน้ำลายดังเอื้อก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ตู้กระจกเหล่านั้น
ในตู้กระจกมีทั้งชื่อ วันเกิด วันมรณะ ของผู้คนมากมายทุกช่องของตู้กระจกที่มีโถวางอยู่เป็นแบบเดียวกันหมด
ณ ตอนนี้ ฉันตัวชาวูบขึ้นมาทันที ฉันก้าวเดินต่อไปด้วยขาอันสั่นเทาจนมายืนอยุ่หน้าตู้กระจกหนึ่ง ในตู้กระจกมีโถใส่อัฐิ มีใบประกาศนียบัตรจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของอืงฟ้าและกล้าหาญ ใช่แล้วมันคือของฉันและต้นกล้า และข้อความที่ติดไว้บนตู้กระจกนั้น
'ชื่อ โคโนเอะ เรโกะ'
'วันเกิด XX/XX/XXXX'
'วันมรณะ XX/XX/XXXX'
"ระ...เรโกะ! ธะ...เธอ? มันไม่จริงใช่ไหม บอกฉันทีซิ เรโกะ ฮื้อๆๆ....เรโกะ....อึ้กๆๆ" ฉันร้องโฮขึ้นมาทันที เนื้อตัวฉันสั่นเทาไปหมด ฉันทำได้แค่ร้องไห้และลูบไปที่ตู้กระจกใส่โถอัฐิของเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
และภาพความทรงจำตอนงานศพของเรโกะก็แวบขึ้นมาในหัวของฉัน ในความทรงจำ ฉันนั่งร้องไห้อยู่หน้าศพของเรโกะที่แต่งชุดมิโกะสีขาวบริสุทธิ์ โดยมีต้นกล้านั่งร้องไห้กุมมือเรโกะไว้ไม่ยอมปล่อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า 'เป็นเพราะฉัน ฉันเป็นคนทำให้เธอต้องตาย ฉันขอโทษนะ เรโกะ' เขาพูดประโยคนี้ซ้ำไปมาเหมือนคนเสียสติ ฉันทำได้แค่ร้องไห้อยู่ข้างๆ เขาเท่านั้น
"ฮวบ! ระ...เรโกะ ฉันขอโทษจริงๆ ฮื้ออออ ที่ฉันจำเธอไม่ได้ ที่ฉันจำไม่ได้ว่าเธอได้ช่วยพวกเราจนต้องจากไปแบบนี้ ฮื้อออ ขอโทษจริงๆ" ฉันทรุดลงกองกับพื้นที่เย็นเยือกพลางปล่อยโฮร้องขอโทษเพื่อนสนิทของฉันที่ฉันลืมเธอไป
"นะ...หนูฟ้าใส...ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่ต้องร้องน่า" คุณแม่ของเรโกะเดินมาปลอบฉัน
"คุณป้าค่ะ ขอโทษค่ะ ที่นะ...หนูจำเรโกะไม่ได้ หนูจำไม่ได้ว่าเธอเสียแล้ว ฮื้อออ หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ" ฉันหันมาพูดขอโทษคุณแม่ของเพื่อนฉัน
"ไม่เป็นไรๆ ป้าเชื่อว่าเรโกะ ลูกป้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ โอ้ๆๆ" คุณป้าพูดพลางนั่งลงข้างๆ ฉันและกอดฉันแน่นเป็นเชิงปลอบฉัน
"ถ้าอย่างไงหนูไปไหว้พระขอพรกับแม่ที่ศาลเจ้าหลักก่อนล่ะกันนะจ๊ะ จะได้ดีขึ้นนะ" คุณป้าพูดพลางพยุงตัวฉันขึ้นยืน
"ค่ะ คุณป้า" ฉันตอบรับพลางเดินไปที่หน้าตู้กระจกในโถอัฐิของเรโกะ
"นี่! เรโกะ เธอคงเหงาน่าดูเลยใช่ไหม? ที่ฉันไม่ได้มาหาตั้งนาน รวมถึงต้นกล้าด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดียวฉันจะพาต้นกล้ามาหาเธอเอง ฉันสัญญา" ฉันพูดพลางลูบไปที่ตู้กระจกนั้นพร้อมกับปาดน้ำตา
จนถึงตอนนี้ ความทรงจำที่ฉันเคยมีร่วมกับเรโกะจะยังไม่กลับคืนมา แต่ความรู้สึกผูกพันธ์นั้น ฉันรู้สึกได้ดีเลยว่า เธอคือเพื่อนที่แสนดีของฉัน เรโกะ
จากนั้น ฉันก็เดินไปที่ศาลเจ้าหลัก และขอพรพระพร้อมกับแม่ แม่เป็นห่วงฉันเช่นกันเมื่อรู้ว่า เพื่อนสนิทฉันคือลูกสาวของเพื่อนคุณแม่ที่เสียไป
"ถ้าอย่างไง เรามากินของว่างกันก่อนนะลูก คุณเอมิก็มาทานด้วยกันซิค่ะ" แม่พูดพลางนั่งลงที่โต๊ะรับแขกของบ้านโคโนเอะ
ตัวบ้านของตระกูลโคโนเอะอยู่ในเขตศาลเจ้าเช่นกัน แต่เป็นเรือนที่แยกออกมา ซึ่งอยู่ไม่ใกล้กันมากนัก
"ได้ซิจ๊ะ แหม ของอร่อยทั้งที" คุณป้าตอบกลับ
"อะ....เออ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท หนูขอเข้าไปดูในห้องเรโกะได้ไหมค่ะ? คุณป้า" ฉันพูดขึ้น เพราะฉันต้องการที่จะจำเรื่องราวที่ผ่านมาต่างๆ ที่ฉันมีร่วมกับเรโกะให้ได้
"อ่อ ได้ซิจ๊ะ ที่จริงหนูเข้ามาในห้องเรโกะทุกครั้งที่มาเยี่ยมเรโกะเลยล่ะจ๊ะ เชิญตามสบายเลย" คุณป้าพูดพลางชี้ไปที่ห้องของเรโกะที่อยู่ชั้นสองของบ้าน
"ขึ้นไปทางชั้นสองอยู่ซ้ายมือสุดจ๊ะ มีป้ายชื่่อบอกอยู่ ป้าไม่ได้เคลื่อนย้ายอะไรเลย แต่ทำความสะอาดนิดหน่อย" คุณป้าพูดขึ้น
"ขอบคุณมากค่ะ" ฉันเดินตามทางที่คุณป้าบอก
ณ ห้องของโคโนเอะ เรโกะ
ฉันเดินเข้ามาในห้องของเพื่อนสนิท ห้องของเรโกะเป็นโทนขาวล้วน สะอาดเป็นระเบียบมาก ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัวทั้งตู้ เตียง โต๊ะหนังสือ ชั้นวางของ
ฉันไล่เดินดูทีละอย่างมีทั้งหนังสือเรียนชั้น ม.4 ของโรงเรียนฉัน หนังสือภาษาไทยสำหรับสื่อสาร ฉันคิดว่าเรโกะคงจะยังไม่ชำนาญภาษาไทยพอควรเลย แล้วฉันก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเรโกะ
ที่โต๊ะหนังสือมีกรอบรูปวางอยู่ ในรูปมีฉัน ต้นกล้า และเรโกะ ตามลำดับ ยืนโพสอยู่ที่ลานน้ำพุของโรงเรียน ฉันพลิกกลับไปดูด้านหลังมีข้อความว่า
'วันแรกที่ฉันได้เจอกับเพื่อนสนิทที่ตามหามานาน'
"เพื่อนสนิทที่ตามหามานาน??" ฉันอ่านซ้ำอีกรอบอย่างงงๆ
เรโกะเคยเจอกับฉันหรือต้นกล้ามาก่อนด้วยหรอ? ฉันนึกในใจพลางวางกรอบรูปลงที่เดิม
จากนั้น ฉันก็เลื่อนมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะ
"แกร๊งๆ" เปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือเปิดไม่ออก
"อะ...อ้าว ล็อคไว้หรอ?" ฉันพูดพลางเดินไปดูชั้นวางของที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลและเกียรนียบัตรต่างๆ เป็นไปหมด รวมถึงถ้วยรางวัลชนะเลิศการประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนด้วย
วันสถาปนาโรงเรียน? มีการประกวดแบบนี้ด้วยหรอ? เรโกะชนะเลิศเลยนะเนี้ย ไม่ธรรมดาจริงๆ ฉันนึกในใจพลางหยิบถ้วยรางวัลมาดู
"แกร๊งๆๆ" เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในห้องที่มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น
"สะ...เสียงอะไรนะ!?" ฉันพูดขึ้นพลางหันหลังตามเสียงนั้น
"เหมือนจะมาจากโต๊ะหนังสือเลย" ฉันพูดกับตัวเองพลางเดินไปที่โต๊ะตัวนั้น
"แกร๊ง" เสียงดังขึ้นอีก เป็นเสียงจากลิ้นชักโต๊ะตัวนี้
"ระ....เรโกะ ธะ...เธออยากให้ฉันดูอะไรในลิ้นชักใช่ไหม? หืม!?" ฉันหันซ้ายหันขวาพลางพูดขึ้นกับสิ่งที่มองไม่เห็น
"ครื้น----" เสียงฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะ
ในลิ้นชักมีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ และมีพวกเครื่องเขียนต่างๆ อีกพอสมควร ฉันหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาดูหน้าปกเขียนว่า
'ไดอารี่ของเรโกะจัง'
"นี่คือ ไดอารี่ของเธอสินะ เรโกะ!?" ฉันพูดเหมือนกำลังถามกับสิ่งที่มองไม่เห็น
ฉันพลิกสมุดไดอารี่ไปมา แล้วเปิดไปเรื่อยๆ จากนั้นก็มีซองสีขาวหล่นลงมาจากสมุดนั้น ฉันหยิบขึ้นมาอ่านซองนั้นมีข้อความว่า
'ถึง ฟ้าใส เพื่อนรักของฉัน'
"จะ...จดหมายถึงฉันงั้นหรอ?" ฉันอ่านซองนั้นพลางขนลุกไปทั้งตัว เธอคงอยากให้ฉันเจอมันซินะ เรโกะ
ฉันเก็บซองนั้นใส่กระเป๋ากระโปรง แล้วพลิกหน้ากระดาษของไดอารี่ต่อไป สักพักก็มีซองอีกอันหล่นลงมาเช่นกัน หน้าซองมีข้อความว่า
'ถึง ต้นกล้า แฟนที่รักของฉัน'
"นี่ของต้นกล้างั้นหรอ?" ฉันพูดกับตัวเองพลางเก็บซองนั้นใส่กระเป๋าสะพาย แล้วหยิบสมุดไดอารี่ออกมาจากห้องของเรโกะ
ณ ห้องรับแขกของบ้านโคโนเอะ
"้่เอออออ คุณป้าเอมิค่ะ พอดีหนูเจอของสิ่งนี้ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือค่ะ" ฉันยื่นไดอารี่ให้คุณป่าดู
"เอ๋!? ลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเรโกะมันล็อคอยู่นิจ๊ะ ป้าจะเปิดก็ยังเปิดไม่ได้เลย" คุณป้าตอบกลับพลางหยิบไดอารี่มาดู
"ไดอารี่ของเรโกะจังงั้นหรอ!? ป้าคิดว่าเรโกะเขาคงอยากให้หนูได้อ่านมันน่ะจ๊ะ หนูเอาไปอ่านเถอะนะ มันอาจช่วยฟื้นความทรงจำหนูได้บ้าง" คุณป้าพูดพลางยื่นไดอารี่มาให้ฉันตามเดิม
"มันจะดีหรอค่ะ?" ฉันถามขึ้น เพราะน่าจะมีของที่ลูกสาวคนเดียวของป้าทิ้งไว้
"ดีแล้วล่ะจ๊ะ เรโกะเขาคงดีใจที่หนูได้อ่านมัน" คุณป้าพูดพลางส่งยิ้นมาให้
"ถ้างั้นหนูขอตัวไปอ่านขอนะค่ะ คุณแม่ คุณป้า" ฉันพูดขึ้นพลางก้มโค้งเป็นเชิงขอลา
"อะ...อ้าวววว ไม่กินด้วยกันก่อนหรอจ๊ะ ลูก" แม่ถามขึ้น
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากอ่านมันไวๆ" ฉันพูดพลางจับไดอารี่ไว้แน่น
"งั้นตามใจจ๊ะ จริงสิที่สวนหลังบ้านมีต้นไม้ใหญ่กับชิงช้าอยู่ที่นั้นอากาศดีมาก ไปนั่งอ่านตรงนั้นก็ได้นะ" คุณแม่พูดขึ้น
"อ่อ ใช่ๆ หนูกับเรโกะชอบมาเล่นชิงช้ากันที่นั้น ลองไปดูซิจ๊ะ" คุณป้าพูดเสริมขึ้น
"งั้นขอตัวก่อนนะค่ะ" ฉันพูดพลางก้มหัวขอลา
ณ ชิงช้าสวนหลังบ้านโคโนเอะ
ตอนนี้ ฉันนั่งอยู่ที่ชิงช้าตรงสวนหลังบ้านตระกูลโคโนเอะ สวนแห่งนี้ร่มรื่นมากมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาหลายต้นด้วยกัน สายลมพัดอ่อนๆ กระทบชิงช้าให้แกว่งไกวไปตามสายลม
ฉันนั่งลงบนชิงช้านั้น แล้วเปิดซองอ่านจดหมายที่เรโกะทิ้งไว้ให้พร้อมกับสายลมเย็นๆ ยามบ่ายที่พัดเอากลิ่มต้นไม้ใบหญ้าอันสดชื่นมากระทบจมูกฉัน
"พรึ่บ" ฉันคลี่จดหมายออกมาอ่าน ในจดหมายมีข้อความว่า
'ถึง ฟ้าใส เพื่อนรักคนแรกของฉัน
ถ้าเธอได้อ่านจดหมายนี้ แสดงว่าฉันคงไม่อยู่บนโลกใบเดียวกับเธออีกต่อไปแล้ว และฉันรู้ว่าเธอจะต้องสูญเสียความทรงจำไป แต่ไม่ต้องห่วงฉันทิ้งไดอารี่ของเราไว้ให้เธอได้อ่านแล้ว เธอจะได้จำฉันกับต้นกล้าได้ไงล่ะ สุดท้ายนี้ ถ้าเธอได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ขอให้รู้ไว้ว่า เธอและต้นกล้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งหมดมันเป็นหน้าที่ของมิโกะอย่างฉัน และฉันดีใจที่ได้ช่วยเหลือทุกคน ฉันไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เกิดมาเป็นมิโกะ และได้มาเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ที่จริงฉันตามหาเธอมานานมากแล้วในที่สุดก็ได้เจอกับเธอจนได้ เพื่อนรักของฉัน
จาก โคโนเอะ เรโกะ มิโกะแห่งชั้น ม.4'
"ฮื้อๆๆ...อึ้กๆๆ ฉันก็จะรักและคิดถึงเธอ ตลอดไปเรโกะ" ฉันร้องไห้และกอดจดหมายไว้แน่นราวกับกลัวมันจะหายไปจากฉันเหมือนกับเรโกะ
จากนั้นฉันก็นั่งอ่านไดอารี่ของเรโกะ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้มของฉัน น้ำตาฉันเปอะเปื้อนไดอารี่แถบทุกหน้า
ทุกหน้าของไดอารี่มีความทรงจำของฉันซ่อนอยู่ เป็นความทรงจำที่ฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับเรโกะและต้นกล้า จนในที่สุด ฉันก็ความทรงจำเกี่ยวกับเรโกะและต้นกล้าคืนมาทั้งหมดแล้ว
"ขอบคุณเธอมากจริง เรโกะ เพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉัน" ฉันพูดพลางปิดไดอารี่ลง
จบตอนที่ 6
เตรียมพบกับ ภาคเสริม "มิโกะแห่งชั้น ม.4"
ตอนที่ 1 "การพบกันแห่งโชคชะตาของเรา 3 คน"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ