THE MYSTERY OF YOU : สืบรักนักล่าผี

-

เขียนโดย คัมรีน

วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.39 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,846 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มกราคม พ.ศ. 2565 14.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Chapter 1 : ปากบอน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
#1 : ปากบอน
                     “งั้นเรามาทำให้ ‘เธอ’ พูดได้กันเถอะ!”
                    นายนาวีที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยเสียงจริงจัง เมื่อฉันได้ยินคำพูดของเขา ยอมรับว่าฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้ฉันกำลังพูดคุยอยู่กับชายที่มีความผิดปกติทางจิตจริงหรือไม่ เขาบอกให้ฉันเปิดใจเชื่อเรื่องราวไสยศาสตร์ แล้วยังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก คนตายไปแล้ว จะพูดได้อย่างไรกัน
                     “คุณพูดเรื่องบ้าอะไรของคุณ ฉันไม่มีเวลามาเล่นอะไรแบบนี้นะ ฉันจะแจ้งจับคุณข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ถ้าหากคุณยังไม่หยุดพูดเรื่องบ้าพวกนี้” ฉันตอบกลับไปด้วยความโมโห ฉันจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาของเขาอย่างไม่ละสายตา นั่นทำให้เขารับรู้ได้ว่า ฉันไม่พอใจในสิ่งที่เขาได้พูดออกมาเป็นอย่างมาก
                     “ผมพูดเรื่องจริงนะหมวด ผมถึงได้บอกให้คุณเปิดใจยังไงหล่ะ” เขายังคงพูดต่อ
                     “คุณแค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ใช่ไหม คุณนาวี สิ่งที่คุณพูดกับฉันมาทั้งหมด ไหนจะเรื่องที่คุณนัดฉันมาที่นี่ คุณแค่ต้องการให้ฉันกับทีมสับสนก็เท่านั้น ตอนนี้มันยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณนั่นแหละคือคนร้ายของคดีนี้ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ยิ่งคุณทำแบบนี้ ทุกอย่างมันยิ่งจะมัดตัวคุณ ทำให้คุณหลุดจากคดีนี้ยาก ทางที่ดีคุณมอบตัวซะเถอะ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ โทษหนักจะได้เบาลงได้ เชื่อฉันเถอะ” ฉันพูดออกไป และหวังว่าเขาจะยอมสารภาพความผิดของตนเอง ก่อนจะหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเพื่อที่จะเรียกจ่าไท และจ่าอ้นให้ตามขึ้นมาบริเวณจุดเกิดเหตุ เผื่อว่าจะมีเหตุอะไรจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
                     “ไม่ต้องเรียกเพื่อนหรอก พวกเขาจะไม่มีทางได้ยินสัญญาณจากคุณ” เขากล่าวพร้อมยิ้มออกมาด้วยท่าทีกวนประสาท
                     “คุณทำอะไรลูกน้องฉัน!” ฉันถามเขา พร้อมกับกดเรียกสัญญาณวิทยุ แต่ได้ก็ได้รับแต่ความว่างเปล่าจากปลายสาย
                     “โถ่หมวด คุณก็มองผมในแง่ร้ายเกินไปนะ ตึกนี้เนี่ยมันอับสัญญาณทำยังไงก็ไม่ได้ยินหรอกน่า” เขากล่าวพลางยืนมองฉันที่กดเรียกหาสัญญาณวิทยุสื่อสารด้วยอาการหัวเสีย สีหน้าขบขันของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นประสาทเข้าไปทุกที
 
                    ครืด ครืดดดด ~~
                    ไร้ซึ่งเสียงสัญญาณ
 
                     “บ้าเอ้ย!” ฉันสบถออกมาด้วยอาการโมโหสุดขีด
                     “พาผมไปพบศพของกานดา และเราจะได้คำตอบของเรื่องนี้” ท่ามกลางความเงียบ นายนาวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ฉันละสายตาและความสนใจออกจากสัญญาณวิทยุสื่อสาร พลางจ้องมองเข้าไปนัยน์ตากลมโตของเขา เขาโน้มตัวลงมาเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากันกับฉันและจ้องมองนัยน์ตาของฉันเช่นกัน สีหน้าและท่าทีของเขา บอกกับฉันอย่างชัดเจนว่าที่เขาพูดออกมานั้นคือเรื่องจริง
                     “คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
 
                    สถาบันนิติเวช
                     “สุดท้ายก็ยอมพาผมมาจนได้ ฮึฮึ” นายนาวีพูดพลางหัวเราะในลำคอ หลังจากที่ฉันกับเขามายืนอยู่ที่หน้าชันสูตรพลิกศพของคุณกานดา
                    นี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ฉันไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้เลย
                     “ทางเราให้ผู้หมวดเข้าพบกับร่างของผู้ตาย ได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนะคะ” พยาบาลสาวที่ให้การต้อนรับและพาเราทั้งสองมายังหน้าห้องที่ใช้ในการชันสูตรศพของคุณกานดาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินจากไป
                     “จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาของฉัน” ฉันกล่าวพร้อมกับเปิดประตูห้อง และเดินเข้าไปด้วยความไม่สบอารมณ์นัก
                     “วู้ววว ในนี้มันสุดยอดไปเลยว่าไหมหมวด มีแต่กลิ่นของวิญญาณ” เขากล่าว
                     “คุณนี่มันโรคจิตเป็นบ้าเลย” ฉันต่อว่าเข้า
                     “ฮัลโหลหมอ เข้ามาได้เลย” เขาไม่สนใจในสิ่งที่ฉันได้ต่อว่าเขาออกไป ทั้งยังยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคันที่เขาเรียกว่า ‘หมอ’ ต่อหน้าต่อตาฉันอีก แต่ก็ดีแล้วแหละ มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าร่วมการหาข้อมูลครั้งนี้ด้วย ฉันก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
 
                    ~ แอ๊ด..
 
                    สิ้นเสียงเปิดประตู ฉันและนายนาวีหันไปมองตามเสียงนั้น พบกับร่างของชายวัยกลางคนในชุดสีขาว สะพายย่ามสีน้ำตาลหม่นๆ สวมใส่รองเท้าแตะสีเหลืองเข้มๆ คล้ายสีจีวรพระ บริเวณคอของเขาเต็มไปด้วยเหรียญ และของขลังที่ถูกแขวนรวมกันอยู่กับสร้อยขนาดใหญ่ รวมไปถึงสร้อยลูกประคำนั่นอีก ยิ่งบ่งบอกคาแรคเตอร์ได้อย่างชัดเจน ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถ้าเขาจะเข้ามาในห้องนี้
                    ชายในชุดขาวเดินก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งยิ้มให้กับนายนาวีที่ยืนอยู่ข้างฉัน อย่างสนิทสนม
                     “พร้อมแล้วนะครับคุณนาวี?” ชายในชุดขาวเอ่ยถามนายนาวี
                     “เอาเลยหมอ” นายนาวีตอบ ด้วยท่าทีตื่นเต้น
                     “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ไหนใครอธิบายให้ฉันฟังทีว่านี่มันอะไรกัน” ฉันรีบขัดขวางพวกเขา หลังจากที่ชายชุดขาวกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ร่างของคุณกานดาและกระทำการยุ่งเกี่ยวกับร่างของเธอโดยพลการ
                     “อ๋อ ลืมแนะนำไปเลย นี่ผู้หมวดปานจันทร์นะหมอ ส่วนนี่อาจารย์มั่น มั่งมี หรือหมอมั่น เป็นอาจารย์ที่ผมปรึกษาบ่อยๆ รู้จักกันไว้สิ” เดี๋ยว เดี๋ยวนะ หมอที่ว่าคือไม่ใช่ แพทย์ ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แต่คือหมอผีเนี่ยนะ มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว
                     “แล้วนายไปพาเขามาทำไม มันควรจะมีแค่ฉันกับนายไม่ใช่หรือไงเล่า” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบข้างหูนายนาวีอยู่แล้ว
                     “ก็ผมบอกคุณแล้วว่าผมแค่ชอบฟังเรื่องผี แต่ผมไม่ได้เล่นของ ผมเลยต้องให้หมอมั่นมาทำแทนนี่ไง ผมทำเองไม่เป็นอ่ะ กลัวของเข้าตัว ฮ่าๆ” ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ นายนาวียังสามารถพูดพลางหัวเราะออกมาได้ ส่วนหมอมั่นอะไรนี่ก็ไม่เบานะ ส่งยิ้มชอบใจให้นายนาวีไม่หยุด
                     “แม่หนู เชื่อมือหมอเถอะ” หมอมั่น ที่ฉันคาดว่าจะเป็นหมอผี พูดขึ้นมา
                    เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว อีกทั้งยังมีเวลาไม่มากนัก ฉันคงจะต้องยอมให้พวกเขาทำในสิ่งที่ฝืนใจฉันแล้วแหละ ฉันถอยออกมายืนมองหมอมั่นที่เดินเข้าไปใกล้ร่างไร้ลมหายใจของคุณกานดา ฉันยอมรับว่าเรื่องตรงหน้ามันดูบ้ามากๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันถึงยอมให้เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้น หรือเป็นเพราะฉันหลงกลในคำพูดของนายนาวีที่ขอให้ฉันเชื่อว่าเราจะสามารถได้คำตอบของเรื่องนี้หากเราจัดการด้วยวิธีของเขา
                    หมอมั่นค่อยๆ ใช้มือของเขาดึงผ้าที่คลุมร่างของคุณกานดาออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นใบหน้าของเธอที่ขาวซีด ร่างไร้ลมหายใจนั่นเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ แสดงให้เห็นว่าเธอถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักก่อนที่จะเสียชีวิต
หลังจากที่หมอมั่นยืนมองร่างไร้ลมหายใจของคุณกานดาด้วยความนิ่งสงบ เขาก็ได้ล้วงมือเข้าไปในย่ามสีน้ำตาลหม่นๆ ของเขา พร้อมกับหยิบก้านของต้นไม้อะไรสักอย่างที่มีสีเขียวๆ คล้ำๆ ออกมา
                     “นั่นเข้าเรียกว่าก้านบอน คนโบราณเขาเชื่อกันว่าช่วยเปิดปากคนตายได้นะหมวด” นายนาวีหันมาอธิบายให้ฉันฟัง เมื่อเขาพูดจบฉันและเขาก็หันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่หมอมั่นกำลังจะทำต่อ หมอมั่นใช้ท่อนของก้านบอนทำท่าทางวนๆ ไปมาบริเวณรอบริมฝีปากของคุณกานดา พร้อมกับบริกรรมคาถาที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
                     “ตามหลักแล้วคนทำพิธีกรรมต้องเอาท่อนบอนที่ตัดมายัดใส่ไว้ในปากศพด้วยนะหมวด แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้หมอมั่นเลยเปลี่ยนวิธีมาใช้ยางจากต้นบอนแทน” เขายังคงอธิบายต่อ แต่คำอธิบายของเขาไม่ได้ทำให้ฉันเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย
 
                     “เสร็จแล้ว เดี๋ยวไม่นานนักก็จะได้รับเบาะแส ที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องคิดมาก ทำใจให้สบายนะแม่หนู” หลังจากที่หมอมั่นทำพิธีกรรมอะไรนั่นเสร็จ เขาหันมามองฉันและนายนาวี พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น
                     “เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” นายนาวีกล่าวขึ้น
                    ฉันมองเขาทั้งสองด้วยความมึนงง และคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในหัว หมอมั่นส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินออกไปจากห้องชันสูตรศพของคุณกานดา ด้วยท่าทีเรียบเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก้มมองร่างไร้ลมหายใจของคุณกานดาอีกครั้งก่อนจะคลุมผ้า เพื่อปิดบังศพของเธอไว้ดังเดิม
                     “ฉันจะหาคำตอบเรื่องนี้ และเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ หลับให้สบายนะคะ คุณกานดา”
 
                    ...
                    
                    ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกลางกรุงเทพมหานครฯ
                     “คุณช่วยอธิบายเรื่องบ้าพวกนี้ให้ฉันฟังทีเถอะ ฉันปวดหัวไปหมดแล้ว”
                    หลังจากที่ฉันและนายนาวีแยกกับหมอมั่น ฉันตัดสินใจเอ่ยปากชวนเขามาที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจมากนัก และไม่รอช้าเปิดประเด็นถามเขาทันที
                     “คืองี้นะหมวด” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น พร้อมกับจ้องมองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ “ยางของต้นบอนมันคันมากถ้าโดนผิวหนังของมนุษย์ คนโบราณมีความเชื่อว่า การนำใบบอนมายัดปากศพที่ถูกฆาตกรรม จะทำให้วิญญาณของผู้ตายไปเข้าสิงฆาตกร แล้วฆาตกรจะหลอนจนต้องมาสารภาพผิด ว่ากันว่าบางคนหลอนจนฆ่าตัวตายเลยก็มีนะหมวด” เขาเริ่มอธิบาย
                     “คุณเลยให้หมอมั่นมาทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เพราะให้วิญญาณของคุณกานดาไปเข้าสิงฆาตกรหน่ะเหรอ?”
                     “ใช่เลยครับคุณตำรวจ” ฉันที่ตอนนี้ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามอธิบาย
                     “คุณคิดจริงๆ เหรอว่า เรื่องไสยศาสตร์พวกนี้มันมีจริง” ฉันถามเขา
                     “ผมเชื่อนะ และหลงใหลมันมาก แต่ก็ยังไม่เคยเห็นของจริงกับตาหรอก จนผมเริ่มมาทำธุรกิจ Night Club แล้วเมื่อไม่นานมานี้ ธุรกิจของผมโดนโจมตีอย่างหนัก ซึ่งผมก็พอจะรู้ว่าใคร เขาใช้สื่อในการโจมตีธุรกิจบาร์ของผมว่าผมเปิดบาร์บังหน้า จริงๆ ผมค้ามนุษย์บ้างหล่ะ ค้ายา ค้าของเถื่อนบ้างหล่ะ ที่ร้ายแรงที่สุดคือคู่แข่งทางธุรกิจหาว่าผมทำของใส่ลูกค้าด้วยนะคุณ ทำให้สาวๆ แห่มาแต่ที่บาร์ของผมหน่ะ”
                     “ก็แหงล่ะ!! คนบ้าที่ไหนเขาจะตกแต่งบาร์ด้วยของขลัง ของโบราณพวกนั้น นี่คุณคิดไม่ได้เลยจริงๆ เหรอว่าที่พวกเขาเอาไปพูดแบบนั้นสาเหตุมันก็มาจากคุณนั่นแหละ ที่สร้างภาพลักษณ์นั้นขึ้นมาให้คนพูดถึงในทางลบหน่ะ ใครจะไม่คิดว่าคุณเป็นคนทำก็บ้าแล้ว แต่ละอย่างมันบ่งบอกว่าคือคุณชัดๆ เลย แล้วก็อย่าเพิ่งดีใจไปนะ คุณยังไม่ได้พ้นจากผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของคดีนี้นะ” ฉันโต้แย้งออกไปทันควัน ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
                     “ผมรู้หน่า ว่ายังไงคุณก็ยังสงสัยในตัวผม”
 
                    กริ๊งงงงง
                    สายเรียกเข้า ‘จ่าไท’
 
                     “ฮัลโหล ว่าไงคะพี่ไท?”
                     “หมวดครับ ตอนนี้หมวดอยู่ไหนครับ รีบมาที่แผนกด่วนเลย มีคนร้ายเข้ามอบตัว อ้างว่าเป็นคนฆ่าคุณกานดาครับหมวด!” สิ้นเสียงของจ่าไท ลูกน้องคนสนิทของฉัน ฉันรีบวางสายทันที
                     “ไป! คุณนาวี คุณต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้!!”
 
____________________________________________________________
Writer Talk : งื้อออออ ขอบคุณมากนะคะ สำหรับกำลังใจ สนับสนุน และติชมได้นะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
คัมรีน.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา