เธอ(YOU)
เขียนโดย ยาพิษหมื่นจอก
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.24 น.
แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 12.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Chawin's Letter
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Chawin's Letter
- Next Day -
วันนี้เจษลินทร์พาคุณเจนไปทำธุระในช่วงเช้าทำให้เขาเข้าบริษัทสายไปสักหน่อย หลังจากจอดรถเสร็จ เขาเห็นปัณณวิชญ์เข้ามาเอารถพอดีจึงเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับคุณปัณณวิชญ์”
“สวัสดีครับ” คนเด็กกว่าเอ่ยตอบ
เจษลินทร์มองสำรวจรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สไตล์สปอร์ตที่คนตรงหน้าคร่อมอยู่
“รถสวยนะครับ เมื่อคืนเห็นในรูปว่าสวยแล้วของจริงสวยกว่าอีก รุ่นอะไรแล้วนะ” เจษลินทร์ว่าพร้อมยกยิ้มชื่นชมรถสีขาวดำตรงหน้า
เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวยิ้มแบบไม่เฟคให้เห็น นั่นทำให้ปัณณวิชญ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
“ข ขอบคุณ อันนี้ Ducati 959 Panigale ครับ"
คนโตกว่าพยักหน้ารับ สายตายังคงจับจ้องไปที่ส่วนต่างๆของรถ เขาเองก็อยากลองขับดูเหมือนกันแต่ไม่เคยมีโอกาสเลย
"คุณเพิ่งเข้างานเหรอ” ปัณณวิชญ์ถามบ้าง
“ครับ ”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ น้องมิ้นท์ผู้ช่วยคนเก่งของเจษลินทร์ก็วิ่งหน้าตื่นมาหาเขา
“พี่เจษ มิ้นท์โทรหาตั้งแต่เมื่อเช้า เห็นพี่เจษไม่รับสาย กำลังนึกเป็นห่วงอยู่เลยค่ะ”
“อ่า โทษทีพี่ลืมเปิดเสียงโทรศัพท์น่ะ แล้วที่วิ่งหน้าตื่นมานี่คงไม่ใช่เพราะดีใจที่เห็นพี่เข้าสตูหรอกนะ”
“ค่ะ พอดีคุณศศิธร โทรมาบอกว่าเปลี่ยนเวลาคุยงานเป็นสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า มิ้นท์ติดต่อพี่ไม่ได้เลยให้น้องอ้อนล่วงหน้าไปรับหน้าทางนั้นไว้ก่อน พี่เจษก็รู้ว่าคุณศศิธรเขาจะคุยกับพี่เท่านั้น”
“ห้ะ สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า? อีกยี่สิบนาที! จากที่นี่ไปก็ไม่ใช่ใกล้ๆ แถมแถวนั้นรถก็ติดประจำอีก อ่า งั้นมิ้นท์เรียกวินมอ’ไซค์หน้าปากซอยให้พี่หน่อย ถ้าแว้นไปน่าจะทัน” เจษลินทร์เอ่ยน้ำเสียงรนหน่อยๆ ต่างกับท่าทางที่ยังคงสุขุมของเขา
“เอ่อ ผมไปส่งได้นะ” ปัณณวิชญ์เอ่ยขึ้น
เจษลินทร์ทำหน้าแปลกใจ ถึงเมื่อคืนเราจะสงบศึกกันแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะอาสาไปส่งเขา
“กว่าจะไปเรียกรถมาก็หมดไปหลายนาทีแล้ว ผมไปส่งได้ ขับรถเก่งด้วย”
ไม่มีเวลาให้เจษลินทร์มาคิดเล็กคิดน้อย เขาจึงตอบตกลง “งั้นรบกวนด้วยนะครับ”
ปัณณวิชญ์ถอดหมวกกันน็อค สะบัดผมสองสามที แล้วยื่นหมวกให้อีกคน
เจษลินทร์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่ามันไม่ใช่เวลา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานี่'เท่เป็นบ้าเลยแฮะ แล้วไอ้ลูกกระเดือกที่แสนเด่นเป็นสง่านั่นคืออะไร่เหร๋อ? ทำไมของเขาไม่เห็นมีแบบนี้บ้างเลย?
“เอ่อ คุณมีใบเดียวนี่ คุณใส่เถอะ”
“ผมว่าลูกค้าคงแปลกใจถ้าคุณหัวฟูไปคุยกับเขา” เจ้าของรถเอ่ยหน้านิ่ง
เจษลินทร์ยิ้มแห้งๆรับหมวกมาใส่ แล้วก้าวขึ้นรถแบบเก้ๆกังๆ
ปัณวิชญ์เห็นแบบนั้นจึงยื่นแขนให้คนตรงหน้าจับ นั่นทำให้คนโตกว่ายกยิ้มให้กับความใจดีที่ไม่ตั้งใจนั้น
“ตึก RAC ถนนXXX ครับ”
เจษลินทร์ยังคงเงอะงะ เนื่องจากเบาะหลังที่เขานั่งอยู่มันสูงทำให้เขาวางตัวไม่ถูกว่าจะต้องนั่งยังไง มือไม้มันดูเก้งก้างไปหมด
เจ้าของรถจึงดึงมือขาวๆของเจษลินทร์มาเกาะเอวเขาไว้
"จับดีๆไม่งั้นจะร่วง" ว่าเสร็จก็บิดลูกชายคู่ใจออกไป
ส่วนคนที่นั่งข้างหลังได้แต่เกาะเอวปัณณวิชญ์แน่น อยู่ๆก็รู้สึกคันยุบยิบในหน้าอกแปลกๆแฮะ
.
.
“ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้คุณผมต้องแย่แน่ๆ ผมไปก่อนนะไว้วันหลังผมเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน” คนโตเอ่ยพร้อมจะวิ่งเข้าบริษัทไป แต่โดนอีกคนคว้ามือไว้ก่อน
เจษลินทร์หันมามองด้วยความแปลกใจปนอึ้ง ปัณณวิชญ์จึงรีบปล่อยมือ
“คนเฝ้าประตูคงไม่ให้คุณเข้าหรอก ถ้าคุณไม่ถอดหมวกก่อน”
เจษลินทร์หน้าเหวออีกรอบพร้อมหัวเราะออกมา มือก็สาละวนถอดหมวกคืนให้เจ้าของ
เสร็จแล้วโบกมือลาปัณณวิชญ์ วิ่งดุ๊กดิ๊กหายเข้าไปในตึก
เจ้าของรถมอไซค์ลูบหมวกกันน้อคอย่างทะนุถนอมก่อนจะหยิบมาสวม เขาเป็นคนรักหมวกกันน้อคมาก ทุกๆใบเขาจะเก็บรักษาดูแลอย่างดี
ยอมให้คนแปลกหน้าใส่นี่ก็ถือว่ากลั้นใจมากแล้วสำหรับเขา
ในคืนวันเดียวกัน เจษลินทร์มานั่งในห้องทำงานของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง เขาหยิบจดหมายที่ได้เมื่อคืนขึ้นมาดู
เป็นซองจดหมายสีน้ำตาล เขียนหน้าซองด้วยปากกาหมึกซึม
‘ตามสัญญา’
ข้างในเป็นกระดาษA4 ที่ถ่ายเอกสารจากกระดาษที่เขียนด้วยลายมืออีกทีนึง มีใจความว่า
‘ผมไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น คืนนั้นผมแค่ไปทำงาน แค่ทำงานเอง!
ผู้ชายคนนั้นเขาพาผู้หญิงที่ไม่ได้สติขึ้นรถมาด้วยจริงๆ
หลังจากที่ผมแวะปั๊มไม่นานผมก็รู้สึกว่าตัวเองอาการไม่ดี ฝืนขับรถไปจนถึงซอยเปลี่ยวนั่น แล้วสติผมก็วูบไป จำอะไรไม่ได้อีกเลย
พอตื่นขึ้นมา ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นมีมีดทิ่มอยู่บนหน้าอกแล้ว มีดเล่มนั้นไม่ใช่ของผมด้วยซ้ำ!!
ผมไม่ได้ฆ่าเธอ ผมไม่ได้ฆ่าเธอจริงๆ!!
ชีวิตผมจบสิ้นแล้วทุกอย่าง เขาหลอกผม! แล้วผมจะมีชีวิตต่อไปทำไม? ผมจะจะอยู่ไปเพื่ออะไร? การตายของผมมันจะมีค่าให้คนเห็นว่าผมบริสุทธิ์รึเปล่านะ'
ชวินทร์ กรณ์กัณณ์
29 กุมภาพันธ์ 2561’
พออ่านเสร็จ เจษลินทร์หยิบมือถือขึ้นมาหาข่าว พบว่าชวินทร์เสียชีวิตวันถัดมาหลังจากที่เขาเขียนจดหมายนี้
เขารู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่บอกตัวเองต้องรีบสืบหาความจริงให้ได้ พร้อมพิจารณาเนื้อความของจดหมายอีกรอบ
ในจดหมายชวินทร์บอกว่ามีผู้ชายขึ้นรถไปกับเขา ถ้างั้นก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ใช่ฆาตกร
แต่เขายอมรับสารภาพทำไมล่ะ?
เจษลินทร์ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนมือเรียวจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนสนิทเจ้าเดิม
Jecelyn: ขุน ยุ่งอยู่รึเปล่า
Khun: ไม่ยุ่ง ว่าจะทักหาอยู่พอดีเลย
Jecelyn: เรื่องคดีที่คุยกันอ่ะ ลองไปแง้มๆ ดูบ้างรึยัง
Khun: อือ ไปดูมาแล้ว
Jecelyn: เป็นไงบ้าง มีไรผิดปกติมั้ย
Khun: จริงๆ จะว่ามีก็มีนะ วันเสาร์นี้ว่างมั้ยล่ะ มาคุยกันหน่อย
Jecelyn: อื้อ ได้ๆเดี๋ยวชวนยูไปด้วย
Khun: เค แล้วเจอกัน
Jecelyn: โอเค
เรื่องคดีคงต้องรอดูหลักฐานและข้อมูลเพิ่มวันเสาร์นี้ละนะ
แล้วเจษลินทร์มานั่งคิดถึงที่มาของจดหมายในมือ
'เจ้าเด็กป่วนนั่นเป็นคนส่งจดหมายให้เขาสินะ แต่เด็กนั่นรู้ได้ไงว่าเขาจะไปที่ร้านนั้น?'
คนที่รู้ว่าเขาจะไปที่นั่นมีแค่ปรานต์ เพราะปัณณวิชญ์ตามมาโดยที่ไม่ได้นัดกันก่อน
'งั้นเป็นฝีมือปรานต์เหรอ?' ไม่ใช่แน่นอน เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมหาลัย
'หรือว่าเด็กป่วนจะสะกดรอยตามเขา?' ก็ไม่น่าใช่ เพราะไม่รู้สึกถึงการถูกแอบตามสักนิด
เจษลินทร์หันมองซองจดหมายสีน้ำตาลอย่างพิจารณาอีกครั้ง
ซองจดหมายก็เป็นกระดาษทั่วไปลายมือที่เขียนก็ไม่ได้ประณีตอะไร สมกับเป็นเด็กผู้ชายวัยเลือดร้อนที่เจษลินทร์เคยเดาไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อดูดีๆ เขาเห็นว่าตัวหนังสือจะมีรอยเลอะหมึกปากกาที่ยังไม่แห้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าคนที่เขียนนั้นถนัดซ้าย
พลันนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เขาจำได้ว่ายังท้วงปัณณวิชญ์ในใจอยู่เลยว่าอีกฝ่ายถนัดซ้าย
‘เอ๋? เดี๋ยวนะ! ปัณณวิชญ์เหรอ?’
ภาพในหัวเจษลินทร์นึกย้อนไปตอนที่เขาเจอกับปัณณวิชญ์ครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน
ตอนนั้นอีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนมากว่าไม่ชอบเขา
คิดไปคิดมาการพูดจาของปัณณวิชญ์ก็ออกทำนองเดียวกันกับข้อความที่เจษลินทร์ได้รับเลยนี่นา!
ทั้งแดกดันและแสนจะประชดประชัน
พอมาตอนนี้เขาได้รับข้อความอีกครั้ง ปัณณวิชญ์ก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
เพราะทุกครั้งที่เขาเจอปัณณวิชญ์ ฝ่ายนั้นเป็นคนเลือกเองได้ทั้งหมดว่าจะมาเจอเขารึเปล่า
คิดมาถึงตรงนี้เจษลินทร์เชื่อเกินครึ่งแล้วว่า 'ปัณณวิชญ์ต้องเป็นเจ้าเด็กที่ส่งข้อความหาเขาแน่!'
แค่ต้องพิสูจน์ให้ได้แค่นั้นเอง
ว่าแล้วเจษลินทร์ก็ส่งข้อความหาขุนพลอีกครั้ง ขอให้เพื่อนหาประวัติของ ชวินทร์ กรณ์กัณณ์ และครอบครัวมาด้วย
.
.
Rrrrrrrrr Rrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของเจษลินทร์แผดเสียงขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
[ฮัลโหล เจษยุ่งอยู่รึเปล่าครับ]
“ไม่ยุ่งครับ พี่ซันล่ะ ว่างแล้วเหรอครับถึงโทรมาได้”
[เพิ่งประชุมเสร็จเลยครับ กลัวว่าถ้ารอให้พี่ว่างเจษคงหลับไปแล้ว]
“ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะครับ เจษเห็นพี่ทำงานไม่ได้หยุดเลย”
[แค่ได้ยินเสียงเจษก็หายเหนื่อยแล้ว]
“โห งั้นต่อไปเจษจะส่งข้อความเสียงไปให้ แล้วพี่ซันทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยดีมั้ยครับ”
[คนน่ารักนี่ใจร้ายกันทุกคนเลยมั้ยน้า]
“อันนี้ก็ตอบไม่ได้ ต้องไปถามคนน่ารักดูแล้วแหละ”
[พี่ก็ถามอยู่นี่ไง ตั้งแต่รู้จักกับเจษมาก็ไม่เคยเห็นคนอื่นน่ารักอีกเลย]
“หยอดเก่งขนาดนี้ เปิดร้านขายขนมทองหยอดเถอะครับ น่าจะรุ่ง”
[ฮ่าฮ่า ถ้าเจษอยากเปิด พี่เปิดให้ได้นะครับ]
“เบื่อจังเล้ย คนนิสัยรวยเนี่ย” เจษลินทร์เอ่ยน้ำเสียงหมั่นไส้ ทำให้ปลายสายหัวเราะเบาๆตอบกลับมา
[เจษครับ วันอาทิตย์นี้ว่างมั้ย]
“ทำไมเหรอครับ”
[ไปเดตกัน]
“พี่ว่างแล้วเหรอ”
[ครับ ว่างช่วงบ่าย เราไปดูหนังแล้วก็ไปดินเนอร์กันนะครับ]
“ได้ครับ”
[โอเค วันอาทิตย์พี่ไปรับนะ]
“ครับ งั้นวันนี้พี่ก็พักผ่อนเถอะ”
[ครับผม ฝันดีนะครับ]
“ฝันดีครับ”
[เอ้อ เจษ!]
“ครับ?”
[คิดถึงนะ]
“อ่า ครับ คิดถึงเหมือนกันครับ”
ปลายสายพูดบอกลาเจษลินทร์อีกสองสามประโยคจึงได้กดวางสายไป
เจษลินทร์กับ ซัน หรือ ซีเปียน คุยกันได้ประมาณสี่เดือนกว่าแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบช้าๆเรื่อยๆไม่รีบร้อน เพราะต่างคนก็ต่างงานยุ่ง ยิ่งซีเปียนมีธุรกิจหลายอย่างที่ต้องดูแล เวลาว่างแทบจะไม่มีเลย ได้เจอกันมากสุดคืออาทิตย์ละครั้งเท่านั้นเอง
แต่เจษลินทร์ก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย อย่างเช่นช่วงนี้นี่แหละ!
TBC
จะใช่นายคนนั้นที่พิ่เจษคิดหรือเปล่าน้าาาาาา
(。= _ =。)
ติชมกันเข้ามาได้นะคะ
LOVE
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ