เธอ(YOU)

9.8

วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.24 น.

  11 chapter
  0 วิจารณ์
  7,070 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 12.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) " If it isn't us "

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

"If it isn't us"

 

 


 

 

 

 

- Next Day -

 

 

บ่ายวันเสาร์ ณ คาเฟ่สไตล์มินิมอลแห่งหนึ่ง นายตำรวจหนุ่มหล่อในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัดกับเนกไทและกางเกงสแล็คสีดำ กำลังก้มหน้าก้มตาไถโทรศัพท์เช็กข่าวสารบนโลกออนไลน์ระหว่างที่รอใครคนหนึ่ง

ปิดคดีหญิงสาวเสียชีวิตปริศนา 

เพจดังที่เคยเล่นข่าวด่าอัยการวันนี้มาลงแถลงการณ์ขอโทษสำนักงานอัยการ 

จากนั้นก็มีอีกสองสามเพจที่โพสต์ข้อความทำนองเดียวกัน ความเห็นชาวเน็ตก็แตกเป็นสองเสียงเหมือนเคย มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ลม ลภัสวัฒน์ก็ไม่ได้สนใจกับคอมเม้นท์พวกนั้นเท่าไร่นักหรอก แค่อยากรู้กระแสข่าวเท่านั้น พลางนึกไปถึงหน้าอัยการร่างบาง นายตำรวจใหญ่ก็ยิ้มออกมา

เขารู้จักจิรากรตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวเป็นอัยการใหม่ ทั้งสองต้องทำงานร่วมกันบ่อยๆ

 

ลภัสวัฒน์ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรตรงไหน อัยการรุ่นน้องถึงได้ไม่ชอบขี้หน้าเขานักหนา

อาจจะเป็นตอนที่เจอกันครั้งแรก เขาไม่รู้ว่าจิรากรเป็นอัยการที่ต้องทำงานด้วยจึงเข้าไปเต๊าะขอเบอร์ เลยโดนอีกฝ่ายมองว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพ

 

หรือจะเป็นตอนที่อัยการขอหลักฐานเพิ่มเติมในการสั่งฟ้องแต่ลูกน้องเขาดันบ่นให้จิรากรได้ยิน

 

หรือจะเป็นอีกหลายๆครั้งที่ลภัสวัฒน์ทำอะไรก็ไม่เข้าตาคนตัวเล็กไปซะหมด เขาก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แค่ว่าเขาน่ะถูกใจจิรากรเข้าอย่างจัง

แต่ที่คอยทะเลาะด้วยเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมคุยดีๆกับเขา เขาเองก็ไม่รู้จะเข้าหายังไงแล้วเหมือนกัน

จิรากรเป็นคนจริงจังกับงานมาก แม้บุคลิกภายนอกจะดูเหมือนเด๋อๆ ด๋าๆ หาความน่าเกรงขามไม่ค่อยเจอ แต่พอถึงคราวจริงจังก็ทำงานเก่งใช้ได้เลยล่ะ แต่ที่ลภัสวัฒน์ประทับใจสุดๆ เห็นจะเป็นเพราะอุดมการณ์ของเจ้าตัว

‘อย่างอื่นไว้ทีหลังแต่ความถูกต้องต้องมาก่อน’

 

เช่นเรื่องเมื่อวานที่เจ้าตัวโดนอัยการรุ่นพี่หว่านล้อมให้สั่งฟ้องผู้บริสุทธิ์ แต่จิรากรก็เลือกทำตามอุดมการณ์ของตัวเอง

'น่ารักเป็นบ้าเลยโว้ย'

“กรามค้างเหรอ หรือตึงโบท้อกซ์ เห็นเหยียดปากอยู่ตั้งนาน” ผู้มาใหม่เอ่ยพร้อมนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่ถัดจากโต๊ะของลภัสวัฒน์

“เขาเรียกว่ายิ้มโว้ย ไม่ใช้เหยียดปาก” ลภัสวัฒน์เอ่ยทั้งที่ไม่ได้หันไปมองผู้มาใหม่

ต่อให้ไม่มองเขาก็รู้แหละว่าคนที่พูดจายียวนนี่คือ 'พรายกระซิบ' สายสืบเจ้าประจำของเขา

“เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่อัยการจิรากร วิทยวรคุณณ์ไม่สั่งฟ้อง หรือเรื่องที่คุณตำรวจไปข่มขู่เพจดังให้ลงขอโทษอัยการ?” ผู้มาใหม่เอ่ยน้ำเสียงติดทะเล้น

“รู้เยอะเกินความจำเป็นไปทำไมเอ่ย” ลภัสวัฒน์จีบปากจีบคอว่า

เจ้าบ้านี่จะล้วงข้อมูลอะไรก็หัดให้เกียรติความเป็นตำรวจของเขาบ้างสิวะ!

แต่ก็นะ เพราะเจ้าเด็กตรงหน้าเก่งแบบนี้ไงล่ะ เขาถึงได้ดึงมาทำงานด้วย

“ด่าออกเสียงมาเลยก็ได้นะ ถ้าจะแสดงออกทางสีหน้าขนาดนั้น” คนเด็กกว่าเอ่ย

“ได้แน่เหรอ? ไอ้เด็กเปรต!"

"รู้จักคำว่าประชดมั้ย?" พรายกระซิบตอบด้วยสีหน้าเอือมระอา

"โทษทีว่ะไอ้ชาย ฮ่าฮ่า เออว่าแต่นะ ตั้งแต่ที่เอ็งเดินเข้าร้านมาเนี่ยคนมองกันเต็มเลยว่ะ ทำตัวธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ได้รึไง?”

“ก็คนมันหล่อ ให้ทำไง?”

“ถุย มึงแต่งตัวซะขนาดนี้ก็ไม่ห่มผ้าออกจากบ้านมาเลยล่ะ!” ลภัสวัฒน์แทบจะก่นด่า เมื่อมองการแต่งตัวของคนเด็กกว่าตรงหน้าเขา ใส่หมวกใบเบ้อเร่อทั้งใส่หน้ากากปิดจมูก มองเห็นแค่ลูกตา นึกว่าโจรภูเขา!

อีกฝ่ายไหวไหล่บ่งบอกว่าไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว

'ใครจะแต่งตัวเต็มยศกลัวประชาชีไม่รู้ว่าเป็นตำรวจอย่างเขากันเล่า' พรายกระซิบบ่นอุบในใจ

“สรุปคุณตำรวจเรียกผมมาทำไมครับ”

“คิดถึงไง”

“คิดถึงว่าอะไรล่ะ?”

ลภัสวัฒน์ไม่ตอบ แต่หยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดA4ขึ้นมาวางบนโต๊ะของตัวเอง แล้วแกล้งทำร่วงให้อีกฝ่ายเก็บขึ้นไป

'ดู๊ ดู ทำแบบนี้คงคิดว่าเนียนมากมั้ง นัดมาก็นั่งคนละโต๊ะ ใส่หูฟังทั้งสองคน ประหนึ่งคุยโทรศัพท์กับคนอื่น ทั้งที่โต๊ะรอบๆแสนจะว่าง มองจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลยังเห็นเลยว่านัดกันมา' พรายกระซิบก่นในใจอีกครั้ง

“ได้ข่าวว่าช่วงนี้เขาซุ่มทำอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไร อยากให้นายช่วยสืบให้หน่อย” ลภัสวัฒน์บอก

“โอเคได้ เสร็จธุระแล้วใช่มั้ย?”

นายตำรวจพยักหน้ารับ คนเด็กกว่าจึงได้เดินออกจากร้านไป

 

 

พรายกระซิบ คือนามแฝงที่ปัณณวิชญ์ ใช้ในการทำงานเป็นสายสืบให้กับตำรวจ ซึ่งเขาเดินทางสายนี้ได้สองปีกว่าแล้ว แรกๆก็ทำงานง่ายๆเล็กน้อย ค่อยๆสร้างประสบการณ์และผลงาน ด้วยความที่เป็นสายบู๊สายลุยทำงานไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว จึงเป็นที่ยอมรับได้รับความไว้ใจ กระทั่งได้ทำงานที่ใหญ่และยากขึ้น

 

เอกสารที่ปัณณวิชญ์ได้มา เป็นรูปถ่ายและประวัติของคนสองคน

คนแรกคือ อลัน หว่อง’ เบื้องหน้าเป็นนักธุรกิจใจบุญชอบช่วยเหลือผู้ยากไร้ ทว่าเบื้องหลังคือเฮดค้ายารายใหญ่ แต่เขาเป็นคนฉลาดและเจ้าแผนการ เพราะแค่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังไม่เคยลงมือเอง ทำให้ตำรวจไม่มีหลักฐานสาวไปถึงเจ้าตัวสักที

หลังจากที่ อลัน หว่องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจเมื่อสามเดือนที่แล้ว ทางตำรวจก็เพ่งเล็งมายัง 'ซีเปียน หว่อง" ลูกชายคนโตของเขา ว่าจะรับช่วงต่อธุรกิจมืดของพ่อหรือเปล่า

ถึงซีเปียน จะไม่ใช่ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้ แต่ตำรวจก็ยังต้องจับตาดูเขาเป็นพิเศษ เพราะน้องชายของเขานั้นไปอยู่ต่างประเทศได้สามปีแล้ว

เพราะฉะนั้นตอนนี้ ซีเปียน คืองานของปัณณวิชญ์

 

 

~ ⋆⚝⚝⚝⚝⚝⋆ ~

 

 

 

 

22.20 น.

เจษลินทร์เดินเข้ามาหาน้องชายที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่

“ทำได้ดี” พูดพร้อมยื่นมือที่กำกำปั้นไปให้น้องชาย เขาชื่นชมและภูมิใจในการตัดสินใจของจิรากรมาก

คนน้องยิ้มพร้อมทำหน้าขิงๆ เดินมายื่นกำปั้นชนกำปั้นของแฝดพี่ สองพี่น้องมองหน้าแล้วหัวเราะคิกคักใส่กัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง โดยไม่ได้พูดจาอะไรกันสักคำ

เพราะเรื่องบางเรื่องสองแฝดแค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว

 

 

 

 

เจษลินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดไปที่ช่องแชทของใครบางคนที่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น 'เจ้าเด็กป่วน' แล้วเรียบร้อย

 

[ข้อความแชท]

Jecelyn: เด็กบางคนอ่ะเนอะ พอโดนคนอื่นจับไต๋ได้ก็เงียบหายไปเสียเฉยๆ เขาจะรู้มั้ยนะ ว่าเขา'แพ้’ พนัน

เจ้าเด็กป่วน: หึ ผมไม่หายไปไหนหรอกครับ

Jecelyn: แน้ ไม่ปฏิเสธด้วยนะ ว่าผมเดาอายุและเพศคุณถูก

: แต่ก็ดี แบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย

: ไหนล่ะ หลักฐานที่คุณมี?

เจ้าเด็กป่วน: ใจร้อนเหมือนกันนะเราอ่ะ

Jecelyn: แน่นอน ดีลงานกับคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาก็ต้องรีบเช็กบิลเป็นธรรมดา

เจ้าเด็กป่วน: เราอาจจะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้ ใครจะรู้

Jecelyn: นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณเป็นพวกสตอล์กเกอร์ด้วย?//โทรหาตำรวจ

เจ้าเด็กป่วน: ขอร้องเลย ตีโพยตีพายให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ!

: เรื่องหลักฐานคุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะเอาของไปให้คุณภายในสามวัน

Jecelyn: โอเค

 

เจษลินทร์มองข้อความในโทรศัพท์พลางนึกในใจว่าเด็กนี่ก็ดูไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแฮะ

ในจังหวะที่มือเรียวกำลังจะกดล็อกโทรศัพท์ ข้อความหนึ่งก็เด้งเข้ามาเสียก่อน

 

 

Prant: พี่เจษค้าบ

Jecelyn: ทักมาแบบนี้ รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง สงสัยจะมีลาภ

Prant: 55555 เดี๋ยวนี้หัดขายขำด้วยเหรอครับ

Jecelyn: เศรษฐกิจแบบนี้มีอะไรก็ขายหมดแหละ 555

:ว่าแต่คุณปรานต์ทักมามีอะไรรึเปล่าครับ

Prant: แหม่ะ พอเข้าสู่โหมดลูกค้าทีไร ศัพท์เป็นทางการมาทุกที

: คืองี้ครับพี่ ผมมีคอลเล็คชั่นเสื้อผ้ามาใหม่ นายแบบเจ้าเก๋าเจ้าเดิมของผมเพิ่งตอบตกลง มันดั๊นบอกว่ามันว่างได้แค่วันจันทร์นี้เต้าอั้น

: ไม่ทราบว่าพี่เจษพอจะมีคิวว่างให้ผมมั้ยครับ

Jecelyn: เดี๋ยวเช็กแป๊บนะ

 

Jecelyn: อือ ถ้าป็นช่วงค่ำๆได้มั้ย แต่พี่อาจจะไปช้าหน่อย เพราะมีคุยงานกับลูกค้า

Prant: ได้เลยครับ ผมก็จะถ่ายด้วยสองสามชุดนะครับพี่

: เดี๋ยวผมส่งรายละเอียดให้ในเมลล์ครับ

Jecelyn: ได้ครับ // เกียมเครื่องคิดเลข 5555

Prant5555เต็มที่เลยครับ

 

 

~ ⋆⚝⚝⚝⚝⚝⋆ ~

 

 

Monday Evening

 

 

เจษลินทร์ เดินเข้ามาในสตูที่ตนเองมีนัดกับรุ่นน้อง

ไม่นานปภังกรที่เป็นทั้งนายแบบและเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าก็เดินมาหาเขา

“ชุดสวยป่าว” เอ่ยพลางอวดเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่

“แบรนด์ PRANT มีชุดไม่สวยด้วยเหรอครับ” เจษลินทร์เอ่ยยอจนเจ้าของแบรนด์หัวเราะชอบใจ

“เอ๋ นายแบบ…หน้าคุ้นๆนะ” เอ่ยอีกครั้งเมื่อเห็นนายแบบอีกคนเดินเข้ามานั่งหน้ากล้อง

 

“ก็ที่เคยเป็นนายแบบให้ผมเมื่อสองปีที่แล้วนู่นไง ที่วันนั้นถ่ายงานเสร็จแล้วพวกเราไปกินข้าวด้วยกันอ่า

ไม่อยากจะรื้อฟื้นว่าคราวที่แล้วที่มันกวนตีนพี่หน่อยๆอ่ะ แต่พี่อย่าถือสามันเลยนะ กับผมมันก็กวนตีนแบบนี้แหละ ดูสิกว่ามันจะยอมมาถ่ายแบบให้ผมอีกก็ผ่านไปตั้งสองปี” ปภังกรตอบพร้อมบ่นให้ฟัง

เจษลินทร์ทำท่านึก ไม่นานนักก็นึกออก แล้วหันไปมองนายแบบตาขวาง

จริงด้วยตอนนั้นคนๆนี้กวนประสาทชะมัด! ก็หวังว่าเจอกันคราวนี้คงจะไม่เหมือนคราวที่แล้วนะ!

 

 

 

 

“ไปกินข้าวแล้วดื่มเบียร์กันสักหน่อยมั้ยพี่ เราไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันนานแล้วนา หรือว่าพอมีแฟนแล้วเลยไม่อยากไปกะน้องกะนุ่ง” ปภังกรเอ่ยชวนและเย้าแหย่เจษลินทร์ขณะรอนายแบบจอมกวนของเขาเปลี่ยนชุด

“พูดมาขนาดนี้ต้องไปแล้วป้ะ แต่ดื่มได้นิดหน่อยพอนะ ส่วนเรื่องแฟน ขอแก้ข่าวว่ายังไม่ใช่แฟน แค่คนคุยเองเถอะ”

“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าใกล้จะแต่งกันแล้วซะอีก”

“อันนั้นเว่อร์ไป” เจษลินทร์ส่ายหัวปฏิเสธอย่างไว เขาเพิ่งลองศึกษากับคนๆนึงได้ประมาณสี่เดือนกว่าๆเอง

“เอ้อ ปรานต์ นายแบบคนนี้ชื่ออะไรแล้วนะ”

"ปืนครับ"

"เอาชื่อจริงดิ นามสกุลด้วย" เจษลินทร์ถามเพราะอยากเอาคืนอีกคนที่เจอกันคราวที่แล้ว เจ้าตัวเล่นเรียกเขาซะเต็มยศทั้งชื่อและนามสกุล ยังดีที่ไม่ไล่ชื่อบรรพบุรุษเขามาด้วย

“ชื่อปัณณวิชญ์ครับ นามสกุลอะไรแล้ว ผมก็จำไม่ค่อยได้…. กะ ก อะไรซักอย่างนี่ล่ะ” ปภังกรเอ่ยพร้อมทำท่าทางคิดอย่างหนัก

แต่ยังไม่ทันได้นึกอะไรมากไปกว่านั้น คนที่อยู่ในบทสนทนาของพวกเขาก็เดินมาพอดี

และแน่นอนปัณณวิชญ์สไตล์ เจ้าตัวเอ่ยทักเจ้าของสตูดิโอทันที

“เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณเจษลินทร์ วิทยวรคุณณ์”

“ครับ คุณ ปืน ปัณณวิชญ์” เจษลินทร์ตอบ พร้อมยกยิ้มสุดเฟคมอบให้

 

ปัณวิชญ์มองเจษลินทร์ด้วยสายตาที่ไร้มารยาทเหมือนคราวที่แล้วเด๊ะ จนปภังกรต้องเอาศอกกระทุ้งเขาเบาๆ เจ้าตัวถึงยอมหันไปมองอย่างอื่น

“ปืน มึงจะกลับเลยใช่มั้ย ขับรถดีๆนะ” ปภังกรรีบตัดบทห้ามทัพ แล้วหันไปคุยกับเจษลินทร์

"พี่เจษเราไปกันเลยมั้ยครับ"

“อื้อ ร้านไหนอ่ะ คราวนี้ปรานต์ขับนำเลยแล้วกัน” เจษลินทร์ตอบ

“ครับ”

 

 

“เอ้า มอไซค์มึงยางรั่วเหรอ?” ปภังกรเอ่ยกับปัณณวิชญ์ที่ทำหน้านิ่ง เปิดประตูเข้ามานั่งในรถเขา วางหมวกกันน้อคของเจ้าตัวไว้เบาะหลังอย่างเบามือ แล้วคาดเข็มขัดเสร็จสรรพ

“หิว จะไปด้วย”

“ก็ไหนตอนแรกกูชวนมึง มึงบอกไม่ไป”

“ตอนแรกไม่หิว ตอนนี้หิวแล้ว”

ปภังกรส่ายหัวกับคำตอบที่เหมือนไม่ได้ตอบของปัณณวิชญ์

“อย่าบอกนะว่าเพราะพี่เจษอีกแล้ว? แต่เตือนไว้ก่อนเลยนะ คราวนี้อย่าไปกวนประสาทเขาอีกล่ะ มันเสียมารยาทนะเฮ้ย” เจ้าของรถเอ่ยดักคอรุ่นน้องตัวแสบ แล้วส่งข้อความไปบอกเจษลินทร์ว่าจะมีสมาชิกร่วมแจมด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งเจษลินทร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร

 

 

 

- At Smile Bar & Restaurant -

 

“ช่วงนี้พี่เป็นยังไงบ้าง” ปภังกรเอ่ยถามเจษลินทร์ หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว และต่อด้วยการสั่งเบียร์มานั่งดื่มกันสามคน

“ชีวิตพี่ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ทำแต่งาน ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะด้วย เราอ่ะเป็นไงบ้าง”

“ผมก็ไม่ต่างจากพี่เลยครับ งานเยอะ จะหาเวลาไปเดตสาวซักคนยังไม่มี ไหนจะต้องไปตามง้อนายแบบอีก” ปภังกรว่าพร้อมหันไปเบ้ปากใส่ปัณณวิชญ์

คนที่โดนกล่าวถึงทำท่าไหวไหล่ไม่สนใจ แล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

ปภังกรหมั่นไส้จึงเทเครื่องดื่มให้ปัณณวิชญ์อีก แล้วชนแก้วกับเจ้าตัวเป็นเชิงท้าให้ยกหมดแก้วอีกครั้ง

ไม่ลืมหันไปชนแก้วเจษลินทร์เช่นกัน ทั้งสามจึงได้ประเดิมยกหมดแก้วพร้อมกัน

 

เป็นเจษลินทร์ที่ดื่มช้าสุด เพราะเจ้าตัวไม่ชอบดื่มและดื่มไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ปัณณวิชญ์เห็นดังนั้นก็ยิ้มในใจ คิดหาเรื่องแกล้งอีกฝ่าย

“คราวที่แล้วผมต้องขอโทษคุณเจษลินทร์ ที่ทำตัวเสียมารยาทไป ถือว่าเป็นคำขอโทษแล้วกันนะครับ” ว่าพร้อมรินเบียร์ใส่แก้วในมือเจษลินทร์จนเต็ม แล้วชนแก้วเชิญชวนไปหนึ่งทีกับสายตาท้าทายเล็กๆ

'ขอโทษกับผีอะไรล่ะ ความจริงใจสักนิดก็ไม่มี!' เจษลินทร์เดาทางของอีกฝ่ายออกเลยคิดจะแกล้งกลับคืน

“ผมดื่มก็ได้ครับ แต่คุณปัณณวิชญ์ต้องทานอันนี้ให้หมดก่อน ผมถึงจะถือว่าคุณอยากจะขอโทษจริงๆ ของโปรดผมน่ะครับ อร่อยมาก” ว่าพร้อมตักลาบทอดใส่จานให้เสร็จสรรพ

ที่พวกเขาทานข้าวด้วยกันเมื่อครู่ เจษลินทร์สังเกตเห็นว่าปัณณวิชญ์เลือกกินแต่อาหารจืดๆ เลยเดาว่าเจ้าตัวน่าจะไม่กินเผ็ด แต่ลาบทอดที่เขาตักให้นั้นเผ็ดเอาเรื่องเลยทีเดียว

ถ้ากล้ากินเขาก็กล้ายกหมดแก้วละวะ

ปภังกรมองดูทั้งสองก็พลอยรู้สึกสนุกไปด้วย คิดว่าปัณณวิชญ์คงเจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อแล้วล่ะ

ฝ่ายปัณณวิชญ์ไม่รู้ว่าอาหารจานนั้นมันเผ็ดเลยรับคำท้าไป พอตักอาหารเข้าปากคำแรกเท่านั้นแหละ เขาตาเบิกโพลงรีบยกเครื่องดื่มตามไปครึ่งแก้ว

เขาเป็นคนที่กินเผ็ดไม่ได้ แบบไม่ได้จริงๆ อย่าว่าแต่เผ็ดน้อย แค่พริกไทยในข้าวผัดก็ยังกินไม่ได้เลย

ไม่นานปากและแก้มใต้ตาเขาก็ขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด

แต่ปัณณวิชญ์มีหรือจะยอมเสียหน้า? ก็ตักเข้าปากอีกครั้งไปเลยสิครับ

'เสียกระเพาะไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้!!'

 

!!!!!

 

ทว่าเจษลินทร์คว้ามือปัณณวิชญ์ไว้ก่อน

“ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนหรอก เดี๋ยวปวดท้อง”

ถึงเจษลินทร์จะรู้ว่าอีกฝ่ายอยากแกล้งเขา แต่เขาก็ไม่ได้อยากแกล้งคืนถึงขั้นให้ใครเข้าโรงพยาบาลหรอก

น้องชายของเจษลินทร์ก็กินเผ็ดไม่ได้เหมือนกัน มีครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเล่นกันแบบนี้ ตอนนั้นจิรากรปวดท้องจนต้องไปโรงพยาบาล เจษลินทร์เลยไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก ไม่ว่ากับใคร

นั่นทำให้ปัณณวิชญ์อึ้งไป เพราะถ้าหากเป็นเขา คงแกล้งให้อีกฝ่ายกินจนหมดแน่

“งั้นเรามาดื่มชิลๆกันเถอะเนอะ” ปภังกรเอ่ยทำลายบรรยากาศที่ไม่ปกติ

ทั้งสามจึงหันมาดื่มแบบดื่มไปคุยกันไป ส่วนมากจะเป็นเจษลินทร์และปภังกรที่คุยกัน มีบ้างที่ปภังกรดึงปัณณวิชญ์เข้ามาในบทสนทนา เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะรู้สึกอึดอัด

ส่วนเจษลินทร์ที่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยหรือเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร จึงชวนปัณณวิชญ์คุยบ้าง

คราแรกคนเด็กสุดก็ดูเกร็งๆ แต่พอหัวข้อสนทนาเป็นเรื่อง'รถมอเตอร์ไซค์'ที่เจ้าตัวชื่นชอบ จากคนไม่พูดไม่จาก็กลายเป็นเล่าเรื่องรถให้ฟังไม่หยุด ยิ่งเห็นเจษลินทร์และปภังกรมีท่าทีสนใจเขาก็เล่าเพลิน แก้วในมือปัณณวิชญ์ก็ถูกยกไม่พักเช่นกัน ไปๆมาๆคุยกันถูกคอจนปัณณวิชญ์ถึงกับยกโทรศัพท์เอารูปตอนที่ตัวเองลงแข่งในสนามมาโชว์ และได้รับคำชมจากผู้ฟังทั้งสองอย่างชื่นชม

จนผ่านไปสองชั่วโมง

“พรุ่งนี้เดี๋ยวผมเข้าไปเอารถ - นะครับ” ปัณณวิชญ์เอ่ยบอกเจษลินทร์ ติดขัดในสองประโยคสุดท้าย

“ครับ ไม่เมาใช่มั้ยเราอ่ะ” คนตัวบางตอบรับและหันไปถามปภังกรในประโยคหลัง

“ไม่ต้องห่วงครับพี่ ผมไม่เมาแน่นอน แต่ไอ้ลิงเผือกนี่ดิ” ปภังกรตอบแล้วโบ้ยไปทางปัณณวิชญ์ที่เซหน่อยๆ ก็เจ้าเด็กนี่เล่นดื่มอยู่คนเดียว

"ยังไงก็กลับกันดีๆนะ ขับรถดีด้วยๆ"

"ครับ"

ว่าจบพวกเขาจึงแยกย้ายกัน

 

 

ในระหว่างที่เจษลินทร์กำลังจะก้าวขึ้นรถ ก็มีพนักงานของร้านวิ่งเอาจดหมายสีน้ำตาลมาให้เขา

ถึงจะงงๆแต่เจ้าตัวก็รับไว้ พร้อมอ่านข้อความที่เขียนไว้หน้าซอง

 

 

ตามสัญญา'

 

 

 

 

 

 

T B C

 

 


แน้ เขาไม่ตีกันแล้วค่ะทุกคนนนนน

 

ติชมกันเข้ามาได้นะคะ

 

(^___^)

 

LOVE

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา