ร้อนรักราชาปีศาจ
-
เขียนโดย คุณจิดาภา
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.44 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
1,889 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 12.51 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2 วิวาห์โลหิตที่หอมหวาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวิวาห์โลหิตที่หอมหวาน
“ลิลลี่สีชมพูหรือ” กัสมาที่นั่งอยู่บนเตียงใหญ่หลังจากพึ่งตื่นนอนเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับช่อดอกลิลลี่สีชมพูช่อใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมือเรียวค่อยๆ เลื่อนไปหยิบช่อดอกลิลลี่นั้นก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้พลางยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัวคงเป็นเพราะดอกไม้หอมๆ ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย
“ตื่นแล้วหรือเพคะ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นทำให้กัสมาต้องหันไปมองตามเสียงนั้นทันทีก็พบเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนเดิมที่เธอเจอเมื่อวานนี้และค่อยดูแลมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้
“ค่ะ” ตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อมเพราะหญิงสาวมีอายุมากกว่าเธอจำได้เสมอแม่สอนอยู่เป็นประจำว่าเราต้องเคารพผู้มีอายุมากกว่าไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม
“องค์ราชาทรงนำมาถวายเพคะ สวยใช่หรือไม่เพคะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มเมื่อเห็นช่อดอกไม้ในมือของกัสมา
“ที่นี้มีดอกลิลลี่สีชมพูด้วยหรือคะ หนูนึกว่าจะต่างจากโลกมนุษย์เสียอีก”
“หม่อมฉันก็บอกไม่ได้หรอกเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่เคยเห็นโลกมนุษย์มาก่อนเลย”
“หรือคะ แล้วทำไมเขาต้องเอามาให้หนูด้วยละ” ใบหน้าสวยมุ่ยแก้มป่องทันทีที่พูดจบ นึกถึงเจ้าของช่อดอกไม้สวยงามนี้แล้วก็อดโมโหไม่ได้
“ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นว่าที่ราชินีอย่างไรละเพคะ" คนถูกถามตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้มอีกเช่นเฉยแต่สำหรับเธอมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแม้แต่น้อย
“ก็หนูบอกแล้วจะไม่เป็นมะ... เอ่อ พระชายาไอ้เขาคะ... เอ่อ อัสบัสนี่” ปากเล็กของเธอเชิดขึ้นพร้อมกับตอบกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิดรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทำไมเธอต้องมาเป็นพระชายาอะไรนั้นกัน
“ทำไมถึงทรงไม่อยากเป็นละเพคะ”
“ก็หนูกับเขาพึ่งเจอกันอยู่ ๆ จะให้ไปเป็นเมีย เอ่อ พระชายาเขาได้ยังไงล่ะคะ” ปากเรียวสวยยกพูดตอบกลับไปโดยทันทีใช่เธอคิดอย่างที่พูดจริงๆ คนจะเป็นสามีภรรยากันได้ก็ต้องเกิดจากความรักไม่ใช่เพราะถูกเลือกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เธอไม่อาจยอมรับได้จริงๆ จะทำอย่างไรให้หลุดพ้นไปจากที่นี้ได้กัน
“ถึงทรงไม่อยากเป็นก็ต้องเป็นเพคะเพราะมณีจันทราและองค์ราชาได้ตัดสินใจเลือกพระองค์แล้วนะเพคะ”
“แล้วรู้ได้ไงละค่ะว่าไอ้ขะ เอ่อ อัสบัสเลือกหนูนะ” กัสมาถามขึ้นเธอเข้าใจที่บอกว่ามณีจันทราเลือกเพราะเรื่องนี้มันก็จริงไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แต่กับอีกคนมันจะเป็นไปได้อย่างไรกันหรือเขาก็แค่ทำตามหน้าที่ยอมแต่งงานด้วยเพราะมณีจันทราเป็นผู้เลือกเธอมา คิดแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีทำไมถึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักกัน
“ก็ดอกไม้ที่พระองค์ทรงถืออยู่อย่างไรละเพคะ” หญิงสาววัยกลางคนพูดขึ้นก่อนจะส่งสายตาไปยังช่อดอกลิลลี่สีชมพูที่อยู่ในมือผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของเธอในอนาคต ใบหน้างามก้มมองดอกไม้ในมืออย่างสงสัย ก็แค่ดอกไม้
“ดอกลิลลี่นี่นะหรือคะ” ปากเรียวสวยถามขึ้นพร้อมกับยกช่อดอกลิลลี่สีชมพูช่อใหญ่เป็นเชิงถาม
“ใช่เพคะ”
“มันก็แค่ดอกไม้จะเป็นตัวยืนยันได้ยังไงคะว่าอัสบัสเลือกหนูนะ" พูดขึ้นพลางนึกตลกกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า อะไรกันแค่ดอกไม่ช่อเดียวก็คิดไปว่าเขาเลือกเธอเป็นภรรยาถ้าเป็นแบบนี้ในโลกของกัสมาคงมีแต่คนที่ถูกเลือกเป็นภรรยาไม่รู้กี่ครั้งในหนึ่งคนนะสิ
“พระองค์ทรงทราบความหมายของดอกลิลลี่สีชมพูหรือไม่เพคะ” หญิงสาวพูดขึ้น คนที่ฟังอยู่ถึงกับหยุดหัวเราะทันทีก่อนจะหันไปมองคนถามและส่ายหน้าไปมาอย่างบอกว่าไม่รู้
“ดอกลิลลี่สีชมพูความหมายของมันก็คือ ที่สุดของหัวใจที่ฉันตามหา เพคะซึ่งแสดงว่าองค์ราชานั้นได้พบเจอบุคคลที่ตนเองต้องการแล้วและคนคนนั้นก็คือพระองค์อย่างไรละเพคะ” กัสมาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปหลายวิ ก่อนจะมาเอ่ยแก้เขินขึ้นมาทันที
“บางทีเขาก็แค่ส่งมามั่วๆ ก็ได้ค่ะ คงจะไม่มีอะไร” ตอบกลับไปแบบไม่ใส่ใจแต่ใจกลับเต้นแรงจนเจ้าตัวเองกลัวมันจะทะลุออกมา หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความรั้นของว่าที่ราชินีที่ไม่ยอมเชื่อเสียทีจนต้องบอกกล่าวเพิ่มเพื่อช่วยเจ้านายของตน
“ไม่หรอกเพคะ ที่โลกปีศาจเราจะนิยมใช้ดอกไม้สื่อถึงความรู้สึกแก่กันเพคะโดยเราจะให้ดอกไม้ตามความหมายและโอกาสที่จะให้ และอีกอย่างองค์ราชาไม่เคยให้ดอกไม้แสดงความรักแก่ใครนอกเสียจากดอกไม้แสดงความยินดีหรือเคารพเท่านั้นเพคะ” สาววัยกลางคนกล่าวยืดยาวจนกัสมาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปได้แต่เงียบและหันมาสนใจกับดอกไม้สีสวยในมือแทนพลางคิด ‘เป็นปีศาจแท้ๆ แต่ทำไมชอบดอกไม้กันจัง ยิ่งนึกถึงไอ้เขาควายแล้วนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ’ ใครๆ ต่างว่าปีศาจนั้นน่ากลัวและโหดร้ายแต่เหตุใดการกระทำเหล่านี้ถึงได้ดูอ่อนโยนยิ่งนัก
“เอ่อ ถ้าหนูจะขอพบไอ้เขาคะ... อัสบัสนะคะ ได้ไหม” กัสมาถามหญิงคนเดิมที่ยืนมองตนเองอยู่ข้างเตียง เธอก็แค่อยากจะคุยกับอัสบัสให้รู้เรื่องก่อนจะถึงวันเข้าพิธี เขาแน่ใจแล้วหรือที่จะแต่งงานกับเธอจริงๆ
“ไม่ได้หรอกเพคะ ก่อนเข้าพิธีอภิเษกพระองค์กับองค์ราชาไม่สามารถพบเจอกันได้ จนกว่าจะถึงวันอภิเษกเพคะ” คิ้วสวยขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยเมื่อได้รับคำตอบ
“ทำไมถึงพบไม่ได้ละคะ”
“ทรงเป็นกฎตั้งแต่บรรพบุรุษมาเพคะ”
“แต่หนูอยากขอเขากลับบ้าน หนูเป็นห่วงน้องที่บ้าน” กัสมาตอบกลับไปด้วยใบหน้าเศร้าๆ นึกถึงใบหน้าคนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้วอยากร้องไห้ตอนนี้คงนั่งรอเขากลับไปจนไม่ยอมหลับยอมนอนเป็นแน่
“ไม่ได้จริงๆ เพคะ พระองค์อย่าทรงเป็นห่วงไปเลย องค์ราชาน่าจะส่งคนไปดูแลแล้วละเพคะ” เมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าก็นึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าอัสบัสรู้เรื่องครอบครัวเธอด้วยหรืออย่างไร
“อัสบัสรู้เรื่องของหนูด้วยหรือคะ”
“รู้สิเพคะ องค์ราชาทรงรู้ข้อมูลทุกอย่างของผู้ที่จะมาเป็นองค์ราชินีอยู่แล้วเพคะ อย่าทรงเป็นห่วงไปเลยเพคะ” ว่าจบนางก็เดินออกจากห้องไป
ถึงจะพูดมาแบบนั้นแต่กัสมาก็ยังนึกเป็นห่วงน้องสาวของตนเองเพราะเรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องไม่มีญาติคนอื่นอีกแล้ว ถ้าเธอหายไปน้องก็ต้องอยู่คนเดียวยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วง ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินกัสมาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ควรอยู่เฉยแบบนี้ ต้องหาทางกลับบ้านไปให้ได้ ว่าแล้วก็พยายามส่องดูด้านนอกหน้าต่าง มองไปไกลมีทหารเฝ้าอยู่หลายนาย พอมาลองแง้มประตูดูบ้างก็พบว่านางกำนัลอยู่หน้าห้องกันเต็ม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นหน้าต่าง ถึงจะสูงไปนิดแต่ตกลงไปคงไม่เจ็บมาก ว่าแล้วก็ไม่รอช้าร่างเล็กค่อยๆ ปีนขึ้นหน้าต่างและค่อยๆ ปล่อยตัวลงมากแต่พลาดไปหน่อยทำให้ตกลงมาจนมีเสียงดัง กัสมาได้ยินเสียงทหารร้องถามดังว่ามีอะไร เท้าเล็กๆ เลยรีบเดินหาที่หลบหลังพุ่มไม้และคอยแอบๆ ไปตามแนวผนังห้องที่มีพุ่มไม้บัง แต่ระหว่างช่วงรอยต่อของพุ่มมันดันมีช่องว่าง ขณะที่กัสมาเดินผ่านก็มีทหารเห็นเสียก่อน
"องค์ราชินีทรงหนี ตามองค์ราชาเร็ว สวนพวกเจ้าตามองค์ราชินีไปโดยเร็ว" ว่าจบเหล่าทหารก็มุ่งมาทางกัสมาทันที ร่างเล็กไม่รอช้าพยายามวิ่งหลบเหล่าทหารตามพุ่มไม้ต่างๆ
ณ ท้องพระโรง
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันได้ทำการตรวจสอบรอบบริเวณอาณาจักรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่พบผู้ใดที่มีปานแดงรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนายทหารในชุดเกราะที่รัดกุมแต่ไม่วายยังมีหูกับหางเหมือนสุนัขกล่าวรายงานแก่ผู้เป็นนายอย่างราชาปีศาจอัสดิบัสแอนด์หรืออัสบัส หลังจากได้ฟังต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อคำรายงานไม่เป็นไปอย่างที่คิด
“เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่พบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราในเมื่อข้าสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากปราสาท” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาของเหล่าปีศาจพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“พวกเจ้าจงออกไปค้นหาต่อ ค้นหาจนกว่าจะพบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา หากไม่พบไม่ต้องกลับมา” อัสบัสสั่งขึ้นอย่างเสียงดังด้วยความกังวล ทหารร่างกำยำเมื่อได้ยินคำสั่งก็ต่างรีบออกไปในทันที ทางอัสบัสเมื่อเห็นทหารออกไปจนหมดก็ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ
“ทำไมถึงไม่พบกันทั้งที่ข้าสัมผัสได้แท้ๆ” เอ่ยพูดกับรีฟเฟอร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกเป็นกังวล
“พระองค์อย่าทรงกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” รีฟเฟอร์กล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย
“ข้าไม่กังวลได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าอาเทอร์ผู้ต้องคำสาปราหูทมิฬนั้นเริ่มบุกรุกกินพื้นที่โลกปีศาจไปเกือบครึ่งแล้ว เมฆสีดำของมันกลืนกินโลกปีศาจไปเรื่อยในฐานะที่ข้าเป็นผู้ครองของโลกนี้ข้าไม่อาจทนอยู่เฉยได้ยิ่งสัมผัสถึงผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราได้ข้าก็ยิ่งทนไม่ได้” อัสบัสพูดขึ้นอย่างหัวเสียเขาเป็นถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแต่เมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเขากลับนึกกลัวขึ้นมา กลัวผู้ที่ทั้งเขาและเหล่าปีศาจทั้งหลายที่รอค่อยมานานจะหายไป
“หม่อมฉันเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ แต่พระองค์ต้องทรงพระทัยเย็นๆ ก่อน พระองค์ก็ทรงทราบว่าฝ่ายนั้นก็ต้องสัมผัสได้เหมือนกันว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราปรากฏตัวแล้ว และหม่อมฉันเชื่อว่าพวกมันก็คงไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน มันจะต้องหาวิธีกำจัดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเป็นแน่แท้”
“ข้ารู้ เพราะแบบนี้อย่างไรข้าถึงได้รีบหาตัวผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราให้เจอโดยเร็วที่สุด”
“หม่อมฉันว่าพระองค์อย่างกังวลพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ พวกมันก็คงจะยังหาผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราไม่พบนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันว่าตอนนี่พระองค์ควรกังวลเรื่องพิธีอภิเษกมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั้นสิ มันก็จริงของเจ้า เจ้าให้คนไปคอยดูแลที่บ้านของกัสมาหรือยัง” อัสบัสที่คล้ายกังวลลงแล้วถามขึ้น
“หม่อมฉันส่งคนไปคอยระวังโดยไม่ให้ทางบ้านขององค์ราชินีรู้ตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ และทรงแจ้งให้คนที่บ้านขององค์ราชินีทรงทราบแล้วว่าองค์ราชินีจะไม่กลับมาบ้านสักระยะพ่ะย่ะค่ะ” รีฟเฟอร์รีบรายงานทันทีที่ผู้เป็นนายเอ่ยถาม
“อืมดี หลังสิ้นพิธีอภิเษกค่อยแก้ปัญหานี้กันอีกคร่า แล้วกัสมาเป็นอย่างไรบ้าง” อัสบัสพูดขึ้น แต่ไม่ลืมถามถึงความเป็นอยู่ของคู่ครองตนเอง
“ตอนนี้ทรงได้ให้นางกำนัลเตรียมตัวให้แก่องค์ราชินีเพื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกสองวันแล้วสินะ ใกล้เข้ามาเต็มที ข้ายังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าเหตุใดมณีจันทราถึงเลือกมนุษย์ผู้นี้กัน” ปากหนายกเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูน่าเกรงกลัวแต่บัดนี้ฉายแววความสงสัยอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อวานที่ทราบว่ามณีจันทราทรงเลือกคู่ครองที่เป็นมนุษย์ให้แก่ตนตลอดเวลาทั้งคืนเขาพยายามหาคำตอบแต่มันก็ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ ทั้งสิ้น
"ขอ อ ภัย ฝ่าบาท องค์ราชินีได้ทรงหนีออกจากตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" อยู่ ๆ ทหารก็เข้ามรายงานด้วยอาการรีบร้อน อัสบัสได้ยินก็ตกใจ เขารีบก้าวเดินออกจากทรงพระโรงทันที ไม่คิดเลยว่าองค์ราชินีของเขาจะดื้อได้ถึงเพียงนี้
ทางกัสมานั้นไม่รู้ว่าตนเองวิ่งออกมาอยู่ตรงทิศไหน ส่วนไหน ได้ยินเสียงทหารวิ่งกันมาดังไปหมด ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะหลบซ่อนที่ไหนร่างเล็กเลยตัดสินใจปีนขึ้นต้นไม้สักต้นที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อทหารวิ่งผ่านไปค่อยลงมา แต่ความคิดก็ต้องมาพังลงเมื่อราชาของโลกปีศาจดันมาหยุดทหารเหล่านั้นไว้
"องค์ราชินีอยู่ที่ใด" อัสบัสถามด้วยเสียงนิ่ง ดวงตาคมกริบทำเอาทหารทั้งหลายต้องก้มหน้าหลบ
"เอ่อ พวกกระหม่อมคาดกับองค์ราชินีไปเมื่อสักครู่พ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าทหารกล่าว เพราะก่อนหน้านี้พวกตนก็วิ่งตามองค์ราชินีมาติดๆ ยังเห็นหลังอยู่เลยแต่พอตามเข้ามาตรงมุมตึกกลับไม่เห็นองค์ราชินีเสียแล้ว
"แค่องค์ราชินีคนเดียว กลับดูแลไม่ได้" อัสบัสว่าเสียงนิ่ง ทำเอาทหารสะดุ้งกันเป็นแถบ กัสมาที่เกาะต้นไม้อยู่ก็แทบสั่นคนอะไรดุเป็นบ้ากัสมาคิด แต่ลืมไปว่าอัสบัสไม่ใช่คน ระหว่างที่กัสมาเกาะต้นไม้อยู่นั้นก็มีนกหน้าตาประหลาดที่ไหนไม่รู้บินมา ซึ่งอัสบัสเองก็เห็นนกตัวดังกล่าวเพราะเป็นคนใช้ให้นกนั้นออกตามหาองค์ราชินี และเหมือนอัสบัสจะพบองค์ราชานีของเขาแล้ว กายใหญ่เดินมุ่งมาทางต้นไม้ที่กัสมาอยู่ ทำเอาหญิงสาวหัวใจเต้นรัว ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้อัสบัสนั้นพบเธอเลย แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างกัสมาเลยเพราะนกหน้าตาประหลาดนั้นมันพุ่งเข้าหาเธอจนตกใจและเผลอปล่อยมือจากกิ่งไม้ร่างทั้งร่างเลยค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ดวงตาสวยปิดสนิทด้วยความกลัวเพราะต้นไม้นี้ก็สูงไม้น้อย แต่ก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้นอัสบัสก็รับไว้ได้เสียก่อน
"เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นหรือ" อัสบัสมองกัสมานิ่ง กัสมาพยายามดิ้นให้หลุดออกแต่ก็ไม่เป็นผล "เจ้าช่างดื้อนัก" อัสบัสรู้สึกไม่พอใจที่กัสมาคิดจะหนี ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บตัวห้ามบ่าวสาวเจอหน้ากันแท้ๆ กฎแต่บรรพบุรุษต้องพังลงเสียแล้ว
"ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับ"
"ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า เจ้ากลับไม่ได้" ว่าจบก็อุ้มพากัสมามาส่งที่ตำหนัก ทั้งกำชับให้ตั้งเวรยามให้แน่นหนาขึ้น กัสมาเองก็หงุดหงิดที่ถูกจับได้ เมื่อสู้อะไรไม่ได้ก็ต้องยอมเพราะตอนนี้เธอมองหาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วสองวันซึ่งเป็นสองวันที่กัสพยายามหนีออกเสมอแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ไกลสุดยังไม่พ้นตำหนักเลย กัสมานึกสงสัยว่าอัสบัสนั้นมีตาทิพย์หรืออย่างไรกันถึงได้ตามตัวเธอเจอตลอด จนวันนี้วันที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานก็มาถึง ซึ่งก่อนหน้ากัสมาก็ถูกบ่นยกใหญ่เรื่องทำผิดกฎของบรรพบุรุษ แต่เธอก็ได้หาสนใจในเมื่อไม่ใช่บรรพบุรุษของเธอ สุดท้ายวันนี้กัสมาก็ต้องเข้าพิธีวิวาห์อย่างหลีกหนีไม่ได้
วันนี้เป็นวันที่พระราชวังทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส งานถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต มีผู้คนมาเข้าร่วมมากมายจนทุกพื้นที่เต็มไปด้วยผู้คน ทุกสิ่งล้วนแต่ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าที่เป็นดอกไม้ประจำอาณาจักรแห่งนี้ กัสมาอยู่ในชุดวิวาห์สีขาวทรงเมอร์เมดที่โชว์ช่วงอก เอว และสะโพกอย่างชัดเจนทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายที่สวยงาม ดูน่าหลงใหลตอนปลายของชุดตั้งแต่นิ้วมือลงไปนั้นบานออกยิ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งน่ามองยิ่งช่วงอกขาวนั้นไร้การปกปิดใดๆ ถูกเผยจนเห็นเนินอกงาม ผมสีน้ำตาลยาวสลวยถูกเก็บเป็นมวยขึ้นทำให้เห็นคอระหงก่อนที่จะถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวบางลายลูกไม้ที่ดูหรูหราลากยาวมาตามพื้นพรมสีแดงบวกกับสร้อยเพชรเส้นงานที่คาดผ่านหน้าผากมนเพชรคล้ายหยดน้ำถูกทำให้ห้อยอยู่กลางหน้าผากมนขับให้ใบหน้ารูปไข่ที่ดูแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมนั้นยิ่งน่ามองอย่างไม่อาจละสายตาได้มือเล็กปกปิดไปด้วยถุงมือสีขาวบางยาวถึงช่วงศอกในมือมีช่อดอกกุหลาบสีฟ้าช่อขนาดกลาง เจ้าสาวที่ทรงสง่ากำลังเดินผ่านหน้าผู้คนนับพันนับหมื่นที่จ้องมองด้วยสายตาแวววาว เท้าสองข้างนำพาร่างสะโอดสะองไปตามพรมแดงกลีบกุหลาบสีฟ้าถูกโปรยปรายลงทุกครั้งที่เธอก้าวเดิน ความตื่นเต้นถูกกอบกุมหัวใจของกัสมารับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจเร็วจนเธอนั้นนึกกลัวไม่เคยคิดว่าคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่ายและจำเจจะได้มีโอกาสเข้าพิธีอภิเษกใหญ่โตและอลังการเช่นนี้แม้มันจะเป็นการแต่งงานที่ตัวเธอเองไม่เต็มใจนักแต่ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมนี้ได้ก็มีแต่ต้องย่อมรับมัน
ร่างสุดแสนสง่างามค่อยๆ ก้าวเดินไปยังแท่นพิธีที่อยู่ไม่ไกลนักแต่กลับต้องใช้เวลาที่แสนยาวนานในการเดินทางไปยังที่ตรงนั้นเมื่อมองไปด้านหน้าแท่นพิธีก็พบร่างใหญ่ของผู้เป็นราชาปีศาจอยู่ในชุดทักซิโด้สีเงินหูกระต่ายและผ้าคาดเอวสีดำนั้นยิ่งขับให้ชุดดูเด่นมากยิ่งขึ้นผมยาวสีแดงเพลิงถูกปล่อยให้ปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดมาตัดกับเขาคู่สีดำทำให้ดูสง่างามใบหน้าที่ขาวสะอาดแต่มีรอยดอกกุหลาบเล็กๆ บนโหนกแก้มซ้าย ปากหนาระบายยิ้มออกมานั้นยิ่งทำให้อัสบัสดูน่าหลงใหล กัสมาใช่เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงแท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวของเธอยืนอยู่แต่สำหรับหญิงสาวมันเนิ่นนานเหลือเกิน ภายในสถานที่จัดงานนั้นต่างมีเสียงพูดคุยและโห่ร้องอย่างตื่นเต้นดังอึกทึกไปทั่วทั้งบริเวณจนกัร้อนผ่าวรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อัสบัสยืนรออยู่เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนมาถึงก็ยื่นมือส่งไปรับมือเล็กๆ เขายอมรับเลยว่าวันนี้คนตรงหน้านั้นดูงดงามยิ่งนักราวกับว่าเธอนั้นเป็นดังเทพธิดา ใบหน้าที่ได้รูป จมูก ปาก นัยน์ตาสีน้ำตาล กับชุดเข้ารูปสีขาวนั้นสง่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่จะลงตัวอย่างหน้าประหลาดความงดงามสมดั่งตำแหน่งราชินีของโลกปีศาจเหลือเกิน ครั้นเจอกันตอนแรกก็ว่างดงามมากแล้วแต่วันนี้กลับยิ่งงดงามจนหาคำเปรียบเปรยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ภาพตรงหน้าต้องทำให้เขาตกใจอีกครั้งเมื่อกลางหน้าอกสวยนั้นปรากฏรูปพระจันทร์เด่นสง่าใครคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นแต่เขาที่อยู่ใกล้กันมันทำให้เห็นชัดเจนอัสบัสรู้สึกราวกับว่ากำลังหยุดหายใจสิ่งที่เขาตามหามาเนิ่นนานได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วคงเพราะอย่างนี้มณีจันทราถึงเลือกคนผู้นี้ให้แก่เขามันอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา อีกคนที่มองมานั้นได้แต่งวยงงกับท่าทีของคนตรงหน้าสีหน้าที่เปลี่ยนไปมานั้นมันทำให้เธอไม่มั่นใจจนต้องยกมือออกจากมือของอีกคนที่นิ่งค้างอยู่แต่กลับถูกคนต้องหน้ากอบกุมไว้แน่นยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เธอนั้นหัวใจเต้นอย่างผิดปกติใบหน้าเห่อร้อนจนรู้สึกถึงแรงสูบฉีดของเลือดบนใบหน้าพาลให้ต้องหลบสายตาที่ส่งมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนเป็นเจ้าบ่าวค่อยๆ พาเจ้าสาวมายืนอยู่ตรงหน้าแท่นพิธีที่มีผู้อาวุโสยืนรออยู่ก่อนแล้ว และพิธีก็เริ่มขึ้นทั้งสองต่างกล่าวปฏิญาณตนกันว่าจะรัก มีกันและกันตลอดไป หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีที่ต้องกล่าวคำปฏิญาณแบบนั้นออกไปเพราะเธอไม่ได้รักอัสบัสแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดอะไรคนข้างกายเพียงแต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนรับมือกับมันไม่ทันก็เพียงเท่านั้น
พิธีดำเนินมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนั้นคือการหลั่งโลหิตเพื่อทำสัญญารักของปีศาจที่เป็นพิธีสำคัญมากที่สุดในโลกของปีศาจก็ว่าได้เพราะจะบ่งบอกว่าเราทั้งสองจะเป็นของกันและกันและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป กัสมาตกใจนิดหน่อยเมื่อถึงพิธีนี้ถึงจะรู้มาก่อนแล้วก็ตามทีแต่ก็ไม่วายกลัวอยู่ดี ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมาเธอได้เตรียมตัวเข้าพิธีและเรียนรู้ขั้นตอนต่างๆ ของพิธีในวันนี้ แต่ถึงจะทำใจมาแล้วแต่ก็อดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้ต้องดื่มเลือดที่หยดลงในน้ำสะอาดนั้นโดยมีทั้งเลือดของเธอเองและของอีกคน
“เป็นอะไร เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ” อัสบัสถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดๆ ของคนข้างกายที่มองไปยังถาดในมือผู้อาวุโสซึ่งมีเข็มสองเล่มและถ้วยสีทองภายในมีน้ำสะอาดอยู่ ใบหน้าสวยหันมองคนถามทันที ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นการตอบกลับไป คนได้รับคำตอบก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับอาการของหญิงสาวใบหน้าซีดแล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่กลัว อัสบัสรู้ดีว่ากัสมาต้องกลัวแน่นอนเพียงแต่ไม่กล้าบอกเท่านั้น เมื่อเห็นอัสบัสทำท่าทางเหมือนเยาะเย้ยใบหน้าสวยก็จัดการแบะปากใส่ทันทีก่อนจะหันไปจดจ่อกับพิธีตรงหน้าต่อที่ตอนนี้ผู้อาวุโสกำลังทำปากขมุบขมิบเหมือนสวดอะไรสักอย่างอยู่หน้าถาดน้ำนั้น มือเรียวค่อยๆ ยื่นช่อดอกไม้ให้กับหญิงสาววัยกลางคนที่เดินเข้ามาขอช่อดอกไม้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเข็มที่เหลืออยู่หนึ่งเล่มในถาดนั้นมาเพราะอีกเล่มหนึ่งอัสบัสได้เอามาถือไว้ก่อนแล้ว
“ขอให้พระองค์ทั้งสองทำการหลั่งโลหิตพร้อมกันนะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสที่ถือถาดทำพิธีกล่าวขึ้น กัสมากับอัสบัสหันมามองหน้ากันก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมา การหลั่งโลหิตในที่นี้คือการที่ทั้งสองนำเข็นจิ้มลงบนปลายนิ้วกลางและให้เลือดหนึ่งหยดหยดลงสู่ถ้วยที่มีน้ำสะอาดอยู่พร้อมๆ กัน ทั้งสองค่อยๆ เลื่อนมือไปยังถ้วยที่มีน้ำสะอาดและใช้ปลายเข็มแหลมจิ้มลงบนปลายนิ้วพร้อมกันทำให้เลือดสีแดงฉาดไหลออกมาจากนิ้วเรียวของทั้งสอง หญิงสาวรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วจนต้องยู่หน้าเลือดที่นิ้วของทั้งสองค่อยๆ หยดลงในถ้วยน้ำ เมื่อเลือดสองหยดหยดลงในน้ำก็ทำดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจเพราะอยู่ ๆ เลือดนั้นกระจายตัวออกและน้ำก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเป็นเลือดจริงๆ ทั้งหมดทั้งที่ความจริงแล้วเลือดมันแค่เพียงสองหยดเท่านั้นไม่ควรจะกลายเป็นสีแดงขนาดนี้กัสมาเริ่มหน้าซีดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าต้องดื่มน้ำเลือดสีแดงตรงหน้า แต่แล้วความกลัวก็เริ่มจางหายเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานราวกับกลิ่นของกุหลาบ ใบหน้าสวยมุ่ยให้กับความแปลกประหลาดตรงหน้านิดหน่อย พลางคิดไปว่านั้นมันเพราะอะไรทำไมถึงมีกลิ่นหอมน่าลิ้มลองขนาดนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังไม่มีกลิ่นอะไรเลยแถมยังดูน่ากลัวแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากจะลิ้มลองน้ำสีแดงกลิ่นกุหลาบที่อยู่ตรงหน้าจนหลงลืมไปเสียว่ามันคือเลือดของเธอเองและอัสบัส
“เชิญพระองค์ทั้งสองดื่ม วารีพิศวาส เริ่มจากองค์ราชาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสกล่าวขึ้นก่อนจะยืนถ้วยที่บรรจุน้ำสีแดงให้แก่คนเป็นราชา อัสบัสค่อยๆ ดื่มน้ำสีแดงฉาดลงไปโดยมีกัสมามองดูอยู่ไม่ละสายตา ก่อนจะยืนถ้วยบรรจุน้ำที่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งให้กับหญิงสาว มือเล็กๆ เลื่อนไปรับถ้วยมาด้วยสองมือพลางมองหน้าอัสบัสที่กำลังส่งยิ้มให้ เธอก้มมองถ้วยในมือเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นดื่มยามที่สายน้ำแตะลิ้นนั้นรับรู้ได้ถึงรสชาติที่หอมหวาน ความอ่อนละมุนที่ได้สัมผัสจากหยดน้ำราวกับความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั่วทั้งร่างกาย ความอบอุ่นที่ได้รับนั้นค่อยรู้สึกแปรเปลี่ยนไป กัสมารู้สึกว่าใจเต้นแรงผิดปกติเลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าจนรู้สึกร้อนผ่าว หญิงสาวชำเลืองมองอีกคนก็พบว่าคงมีอาการเช่นเดียวกันเพราะใบหน้าของอัสบัสมีสีแดงระเรืองปรากฏอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้าคนเป็นเจ้าบ่าวไม่วางตาตกใจที่อยู่ๆ ก็มีลวดลายเกิดขึ้นทีละนิดบนโหน่งแก้มข้างขวาของอัสบัส ซึ่งกัสมาเองก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาวาดอยู่บนโหน่งแก้มข้างซ้ายของตัวเองเช่นกัน ลวดลายนั้นได้หยุดลงแล้วก็ปรากฏให้เห็นว่ามันเป็นลายดอกกุหลายสีฟ้าอ่อนเล็กๆ หนึ่งดอกที่กำลังแบ่งบานอยู่บนหน้าของอัสบัสทั้งที่เขามีรอยสักตรงข้างแก้มซ้ายอยู่ก่อนแล้วแต่มีรอยนี้เพิ่มขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหล่านั้นลดลงแม่แต่น้อย กัสมาจ้องมองใบหน้าของอีกคนอยู่นานจนสายตาไปสบเข้ากับภาพในตาสีแดงคู่นั้นซึ่งเห็นรางๆ ว่าบนใบหน้าของเธอก็มีรอยดอกกุหลาบบานเหมือนกัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีมือเล็กยกขึ้นไปจับใบหน้าของตนเองอย่างตกใจ
“หน้าฉันมีรอยดอกกุหลาบขึ้นใช่ไหม มันขึ้นได้ไงของคุณด้วย” กัสมาที่กำลังจับใบหน้าของตนเองพูดขึ้นอย่างร้อนร้นเธอไม่อยากให้บนใบหน้ามีสิ่งอื่นใดแค่ที่อกเธอมีปานรูปพระจันทร์เสี้ยวก็แปลกมากพออยู่แล้ว
“ก็สัญลักษณ์อย่างไร” อัสบัสพูดด้วยรอยยิ้มเพราะตลกกับท่าทางของหญิงสาว
“สัญลักษณ์อะไรกันไม่เอานะ” กัสมาพูดขึ้นอย่างหัวเสีย
“มันเป็นสัญญาลักษณ์ที่แสดงว่าพระองค์ทั้งสองเป็นของกันและกันพ่ะย่ะค่ะ มันไม่มีทางหายไปพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าองค์ราชินีสงสัยในรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของนาง อัสบัสมองว่าที่ราชินีของตนเองอย่างอดยิ้มให้กับความน่ารักของคนตรงหน้าไม่
“ยิ้มอะไรไอ้เขาควาย” กัสมาที่เห็นอัสบัสยิ้มอยู่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้แต่ก็รู้สึกเขินด้วยเช่นเดียวกันเลยต่อว่ากลบเกลื่อนไป นี้เธอเป็นภรรยาของไอ้เขาควายไปแล้วสินะ คิดแล้วก็ปวดหัวเป็นแค่คนธรรมดาๆ อยู่แท้ๆ แปบเดียวมาเป็นภรรยาคนอื่นไปซะได้และที่สำคัญยังเป็นถึงราชาปีศาจเสียอีก เฮ้อออออ ฉันนะเหรอพระชายาราชาปีศาจ คิดแล้วสับสนกับชีวิตจริงๆ หลังจากพิธีเสร็จสิ้นก็ตามด้วยการแต่งตั้งกัสมาเป็นราชินีของโลกปีศาจทุกอย่างนั้นเป็นไปด้วยดีพร้อมทั้งรอยยิ้มและเสียงยินดีจากเหล่าผู้คนนับหมื่น นับแสน หรือนับล้านของโลกปีศาจ
.................................................................................................
ฝาก ร้อนรักราชาปีศาจ ด้วยนะคะ
คำเตือน ตอนหน้ากรุณาเตรียมกระดาษทิชชู
“ลิลลี่สีชมพูหรือ” กัสมาที่นั่งอยู่บนเตียงใหญ่หลังจากพึ่งตื่นนอนเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับช่อดอกลิลลี่สีชมพูช่อใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมือเรียวค่อยๆ เลื่อนไปหยิบช่อดอกลิลลี่นั้นก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้พลางยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัวคงเป็นเพราะดอกไม้หอมๆ ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย
“ตื่นแล้วหรือเพคะ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นทำให้กัสมาต้องหันไปมองตามเสียงนั้นทันทีก็พบเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนเดิมที่เธอเจอเมื่อวานนี้และค่อยดูแลมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้
“ค่ะ” ตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อมเพราะหญิงสาวมีอายุมากกว่าเธอจำได้เสมอแม่สอนอยู่เป็นประจำว่าเราต้องเคารพผู้มีอายุมากกว่าไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม
“องค์ราชาทรงนำมาถวายเพคะ สวยใช่หรือไม่เพคะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มเมื่อเห็นช่อดอกไม้ในมือของกัสมา
“ที่นี้มีดอกลิลลี่สีชมพูด้วยหรือคะ หนูนึกว่าจะต่างจากโลกมนุษย์เสียอีก”
“หม่อมฉันก็บอกไม่ได้หรอกเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่เคยเห็นโลกมนุษย์มาก่อนเลย”
“หรือคะ แล้วทำไมเขาต้องเอามาให้หนูด้วยละ” ใบหน้าสวยมุ่ยแก้มป่องทันทีที่พูดจบ นึกถึงเจ้าของช่อดอกไม้สวยงามนี้แล้วก็อดโมโหไม่ได้
“ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นว่าที่ราชินีอย่างไรละเพคะ" คนถูกถามตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้มอีกเช่นเฉยแต่สำหรับเธอมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแม้แต่น้อย
“ก็หนูบอกแล้วจะไม่เป็นมะ... เอ่อ พระชายาไอ้เขาคะ... เอ่อ อัสบัสนี่” ปากเล็กของเธอเชิดขึ้นพร้อมกับตอบกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิดรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทำไมเธอต้องมาเป็นพระชายาอะไรนั้นกัน
“ทำไมถึงทรงไม่อยากเป็นละเพคะ”
“ก็หนูกับเขาพึ่งเจอกันอยู่ ๆ จะให้ไปเป็นเมีย เอ่อ พระชายาเขาได้ยังไงล่ะคะ” ปากเรียวสวยยกพูดตอบกลับไปโดยทันทีใช่เธอคิดอย่างที่พูดจริงๆ คนจะเป็นสามีภรรยากันได้ก็ต้องเกิดจากความรักไม่ใช่เพราะถูกเลือกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เธอไม่อาจยอมรับได้จริงๆ จะทำอย่างไรให้หลุดพ้นไปจากที่นี้ได้กัน
“ถึงทรงไม่อยากเป็นก็ต้องเป็นเพคะเพราะมณีจันทราและองค์ราชาได้ตัดสินใจเลือกพระองค์แล้วนะเพคะ”
“แล้วรู้ได้ไงละค่ะว่าไอ้ขะ เอ่อ อัสบัสเลือกหนูนะ” กัสมาถามขึ้นเธอเข้าใจที่บอกว่ามณีจันทราเลือกเพราะเรื่องนี้มันก็จริงไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แต่กับอีกคนมันจะเป็นไปได้อย่างไรกันหรือเขาก็แค่ทำตามหน้าที่ยอมแต่งงานด้วยเพราะมณีจันทราเป็นผู้เลือกเธอมา คิดแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีทำไมถึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักกัน
“ก็ดอกไม้ที่พระองค์ทรงถืออยู่อย่างไรละเพคะ” หญิงสาววัยกลางคนพูดขึ้นก่อนจะส่งสายตาไปยังช่อดอกลิลลี่สีชมพูที่อยู่ในมือผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของเธอในอนาคต ใบหน้างามก้มมองดอกไม้ในมืออย่างสงสัย ก็แค่ดอกไม้
“ดอกลิลลี่นี่นะหรือคะ” ปากเรียวสวยถามขึ้นพร้อมกับยกช่อดอกลิลลี่สีชมพูช่อใหญ่เป็นเชิงถาม
“ใช่เพคะ”
“มันก็แค่ดอกไม้จะเป็นตัวยืนยันได้ยังไงคะว่าอัสบัสเลือกหนูนะ" พูดขึ้นพลางนึกตลกกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า อะไรกันแค่ดอกไม่ช่อเดียวก็คิดไปว่าเขาเลือกเธอเป็นภรรยาถ้าเป็นแบบนี้ในโลกของกัสมาคงมีแต่คนที่ถูกเลือกเป็นภรรยาไม่รู้กี่ครั้งในหนึ่งคนนะสิ
“พระองค์ทรงทราบความหมายของดอกลิลลี่สีชมพูหรือไม่เพคะ” หญิงสาวพูดขึ้น คนที่ฟังอยู่ถึงกับหยุดหัวเราะทันทีก่อนจะหันไปมองคนถามและส่ายหน้าไปมาอย่างบอกว่าไม่รู้
“ดอกลิลลี่สีชมพูความหมายของมันก็คือ ที่สุดของหัวใจที่ฉันตามหา เพคะซึ่งแสดงว่าองค์ราชานั้นได้พบเจอบุคคลที่ตนเองต้องการแล้วและคนคนนั้นก็คือพระองค์อย่างไรละเพคะ” กัสมาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปหลายวิ ก่อนจะมาเอ่ยแก้เขินขึ้นมาทันที
“บางทีเขาก็แค่ส่งมามั่วๆ ก็ได้ค่ะ คงจะไม่มีอะไร” ตอบกลับไปแบบไม่ใส่ใจแต่ใจกลับเต้นแรงจนเจ้าตัวเองกลัวมันจะทะลุออกมา หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความรั้นของว่าที่ราชินีที่ไม่ยอมเชื่อเสียทีจนต้องบอกกล่าวเพิ่มเพื่อช่วยเจ้านายของตน
“ไม่หรอกเพคะ ที่โลกปีศาจเราจะนิยมใช้ดอกไม้สื่อถึงความรู้สึกแก่กันเพคะโดยเราจะให้ดอกไม้ตามความหมายและโอกาสที่จะให้ และอีกอย่างองค์ราชาไม่เคยให้ดอกไม้แสดงความรักแก่ใครนอกเสียจากดอกไม้แสดงความยินดีหรือเคารพเท่านั้นเพคะ” สาววัยกลางคนกล่าวยืดยาวจนกัสมาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปได้แต่เงียบและหันมาสนใจกับดอกไม้สีสวยในมือแทนพลางคิด ‘เป็นปีศาจแท้ๆ แต่ทำไมชอบดอกไม้กันจัง ยิ่งนึกถึงไอ้เขาควายแล้วนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ’ ใครๆ ต่างว่าปีศาจนั้นน่ากลัวและโหดร้ายแต่เหตุใดการกระทำเหล่านี้ถึงได้ดูอ่อนโยนยิ่งนัก
“เอ่อ ถ้าหนูจะขอพบไอ้เขาคะ... อัสบัสนะคะ ได้ไหม” กัสมาถามหญิงคนเดิมที่ยืนมองตนเองอยู่ข้างเตียง เธอก็แค่อยากจะคุยกับอัสบัสให้รู้เรื่องก่อนจะถึงวันเข้าพิธี เขาแน่ใจแล้วหรือที่จะแต่งงานกับเธอจริงๆ
“ไม่ได้หรอกเพคะ ก่อนเข้าพิธีอภิเษกพระองค์กับองค์ราชาไม่สามารถพบเจอกันได้ จนกว่าจะถึงวันอภิเษกเพคะ” คิ้วสวยขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยเมื่อได้รับคำตอบ
“ทำไมถึงพบไม่ได้ละคะ”
“ทรงเป็นกฎตั้งแต่บรรพบุรุษมาเพคะ”
“แต่หนูอยากขอเขากลับบ้าน หนูเป็นห่วงน้องที่บ้าน” กัสมาตอบกลับไปด้วยใบหน้าเศร้าๆ นึกถึงใบหน้าคนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้วอยากร้องไห้ตอนนี้คงนั่งรอเขากลับไปจนไม่ยอมหลับยอมนอนเป็นแน่
“ไม่ได้จริงๆ เพคะ พระองค์อย่าทรงเป็นห่วงไปเลย องค์ราชาน่าจะส่งคนไปดูแลแล้วละเพคะ” เมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าก็นึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าอัสบัสรู้เรื่องครอบครัวเธอด้วยหรืออย่างไร
“อัสบัสรู้เรื่องของหนูด้วยหรือคะ”
“รู้สิเพคะ องค์ราชาทรงรู้ข้อมูลทุกอย่างของผู้ที่จะมาเป็นองค์ราชินีอยู่แล้วเพคะ อย่าทรงเป็นห่วงไปเลยเพคะ” ว่าจบนางก็เดินออกจากห้องไป
ถึงจะพูดมาแบบนั้นแต่กัสมาก็ยังนึกเป็นห่วงน้องสาวของตนเองเพราะเรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องไม่มีญาติคนอื่นอีกแล้ว ถ้าเธอหายไปน้องก็ต้องอยู่คนเดียวยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วง ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินกัสมาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ควรอยู่เฉยแบบนี้ ต้องหาทางกลับบ้านไปให้ได้ ว่าแล้วก็พยายามส่องดูด้านนอกหน้าต่าง มองไปไกลมีทหารเฝ้าอยู่หลายนาย พอมาลองแง้มประตูดูบ้างก็พบว่านางกำนัลอยู่หน้าห้องกันเต็ม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นหน้าต่าง ถึงจะสูงไปนิดแต่ตกลงไปคงไม่เจ็บมาก ว่าแล้วก็ไม่รอช้าร่างเล็กค่อยๆ ปีนขึ้นหน้าต่างและค่อยๆ ปล่อยตัวลงมากแต่พลาดไปหน่อยทำให้ตกลงมาจนมีเสียงดัง กัสมาได้ยินเสียงทหารร้องถามดังว่ามีอะไร เท้าเล็กๆ เลยรีบเดินหาที่หลบหลังพุ่มไม้และคอยแอบๆ ไปตามแนวผนังห้องที่มีพุ่มไม้บัง แต่ระหว่างช่วงรอยต่อของพุ่มมันดันมีช่องว่าง ขณะที่กัสมาเดินผ่านก็มีทหารเห็นเสียก่อน
"องค์ราชินีทรงหนี ตามองค์ราชาเร็ว สวนพวกเจ้าตามองค์ราชินีไปโดยเร็ว" ว่าจบเหล่าทหารก็มุ่งมาทางกัสมาทันที ร่างเล็กไม่รอช้าพยายามวิ่งหลบเหล่าทหารตามพุ่มไม้ต่างๆ
ณ ท้องพระโรง
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันได้ทำการตรวจสอบรอบบริเวณอาณาจักรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่พบผู้ใดที่มีปานแดงรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนายทหารในชุดเกราะที่รัดกุมแต่ไม่วายยังมีหูกับหางเหมือนสุนัขกล่าวรายงานแก่ผู้เป็นนายอย่างราชาปีศาจอัสดิบัสแอนด์หรืออัสบัส หลังจากได้ฟังต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อคำรายงานไม่เป็นไปอย่างที่คิด
“เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่พบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราในเมื่อข้าสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากปราสาท” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาของเหล่าปีศาจพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“พวกเจ้าจงออกไปค้นหาต่อ ค้นหาจนกว่าจะพบผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา หากไม่พบไม่ต้องกลับมา” อัสบัสสั่งขึ้นอย่างเสียงดังด้วยความกังวล ทหารร่างกำยำเมื่อได้ยินคำสั่งก็ต่างรีบออกไปในทันที ทางอัสบัสเมื่อเห็นทหารออกไปจนหมดก็ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ
“ทำไมถึงไม่พบกันทั้งที่ข้าสัมผัสได้แท้ๆ” เอ่ยพูดกับรีฟเฟอร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกเป็นกังวล
“พระองค์อย่าทรงกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” รีฟเฟอร์กล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย
“ข้าไม่กังวลได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าอาเทอร์ผู้ต้องคำสาปราหูทมิฬนั้นเริ่มบุกรุกกินพื้นที่โลกปีศาจไปเกือบครึ่งแล้ว เมฆสีดำของมันกลืนกินโลกปีศาจไปเรื่อยในฐานะที่ข้าเป็นผู้ครองของโลกนี้ข้าไม่อาจทนอยู่เฉยได้ยิ่งสัมผัสถึงผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราได้ข้าก็ยิ่งทนไม่ได้” อัสบัสพูดขึ้นอย่างหัวเสียเขาเป็นถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแต่เมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเขากลับนึกกลัวขึ้นมา กลัวผู้ที่ทั้งเขาและเหล่าปีศาจทั้งหลายที่รอค่อยมานานจะหายไป
“หม่อมฉันเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ แต่พระองค์ต้องทรงพระทัยเย็นๆ ก่อน พระองค์ก็ทรงทราบว่าฝ่ายนั้นก็ต้องสัมผัสได้เหมือนกันว่าผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราปรากฏตัวแล้ว และหม่อมฉันเชื่อว่าพวกมันก็คงไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน มันจะต้องหาวิธีกำจัดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราเป็นแน่แท้”
“ข้ารู้ เพราะแบบนี้อย่างไรข้าถึงได้รีบหาตัวผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราให้เจอโดยเร็วที่สุด”
“หม่อมฉันว่าพระองค์อย่างกังวลพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ พวกมันก็คงจะยังหาผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราไม่พบนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันว่าตอนนี่พระองค์ควรกังวลเรื่องพิธีอภิเษกมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั้นสิ มันก็จริงของเจ้า เจ้าให้คนไปคอยดูแลที่บ้านของกัสมาหรือยัง” อัสบัสที่คล้ายกังวลลงแล้วถามขึ้น
“หม่อมฉันส่งคนไปคอยระวังโดยไม่ให้ทางบ้านขององค์ราชินีรู้ตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ และทรงแจ้งให้คนที่บ้านขององค์ราชินีทรงทราบแล้วว่าองค์ราชินีจะไม่กลับมาบ้านสักระยะพ่ะย่ะค่ะ” รีฟเฟอร์รีบรายงานทันทีที่ผู้เป็นนายเอ่ยถาม
“อืมดี หลังสิ้นพิธีอภิเษกค่อยแก้ปัญหานี้กันอีกคร่า แล้วกัสมาเป็นอย่างไรบ้าง” อัสบัสพูดขึ้น แต่ไม่ลืมถามถึงความเป็นอยู่ของคู่ครองตนเอง
“ตอนนี้ทรงได้ให้นางกำนัลเตรียมตัวให้แก่องค์ราชินีเพื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกสองวันแล้วสินะ ใกล้เข้ามาเต็มที ข้ายังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าเหตุใดมณีจันทราถึงเลือกมนุษย์ผู้นี้กัน” ปากหนายกเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูน่าเกรงกลัวแต่บัดนี้ฉายแววความสงสัยอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อวานที่ทราบว่ามณีจันทราทรงเลือกคู่ครองที่เป็นมนุษย์ให้แก่ตนตลอดเวลาทั้งคืนเขาพยายามหาคำตอบแต่มันก็ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ ทั้งสิ้น
"ขอ อ ภัย ฝ่าบาท องค์ราชินีได้ทรงหนีออกจากตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" อยู่ ๆ ทหารก็เข้ามรายงานด้วยอาการรีบร้อน อัสบัสได้ยินก็ตกใจ เขารีบก้าวเดินออกจากทรงพระโรงทันที ไม่คิดเลยว่าองค์ราชินีของเขาจะดื้อได้ถึงเพียงนี้
ทางกัสมานั้นไม่รู้ว่าตนเองวิ่งออกมาอยู่ตรงทิศไหน ส่วนไหน ได้ยินเสียงทหารวิ่งกันมาดังไปหมด ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะหลบซ่อนที่ไหนร่างเล็กเลยตัดสินใจปีนขึ้นต้นไม้สักต้นที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อทหารวิ่งผ่านไปค่อยลงมา แต่ความคิดก็ต้องมาพังลงเมื่อราชาของโลกปีศาจดันมาหยุดทหารเหล่านั้นไว้
"องค์ราชินีอยู่ที่ใด" อัสบัสถามด้วยเสียงนิ่ง ดวงตาคมกริบทำเอาทหารทั้งหลายต้องก้มหน้าหลบ
"เอ่อ พวกกระหม่อมคาดกับองค์ราชินีไปเมื่อสักครู่พ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าทหารกล่าว เพราะก่อนหน้านี้พวกตนก็วิ่งตามองค์ราชินีมาติดๆ ยังเห็นหลังอยู่เลยแต่พอตามเข้ามาตรงมุมตึกกลับไม่เห็นองค์ราชินีเสียแล้ว
"แค่องค์ราชินีคนเดียว กลับดูแลไม่ได้" อัสบัสว่าเสียงนิ่ง ทำเอาทหารสะดุ้งกันเป็นแถบ กัสมาที่เกาะต้นไม้อยู่ก็แทบสั่นคนอะไรดุเป็นบ้ากัสมาคิด แต่ลืมไปว่าอัสบัสไม่ใช่คน ระหว่างที่กัสมาเกาะต้นไม้อยู่นั้นก็มีนกหน้าตาประหลาดที่ไหนไม่รู้บินมา ซึ่งอัสบัสเองก็เห็นนกตัวดังกล่าวเพราะเป็นคนใช้ให้นกนั้นออกตามหาองค์ราชินี และเหมือนอัสบัสจะพบองค์ราชานีของเขาแล้ว กายใหญ่เดินมุ่งมาทางต้นไม้ที่กัสมาอยู่ ทำเอาหญิงสาวหัวใจเต้นรัว ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้อัสบัสนั้นพบเธอเลย แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างกัสมาเลยเพราะนกหน้าตาประหลาดนั้นมันพุ่งเข้าหาเธอจนตกใจและเผลอปล่อยมือจากกิ่งไม้ร่างทั้งร่างเลยค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ดวงตาสวยปิดสนิทด้วยความกลัวเพราะต้นไม้นี้ก็สูงไม้น้อย แต่ก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้นอัสบัสก็รับไว้ได้เสียก่อน
"เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นหรือ" อัสบัสมองกัสมานิ่ง กัสมาพยายามดิ้นให้หลุดออกแต่ก็ไม่เป็นผล "เจ้าช่างดื้อนัก" อัสบัสรู้สึกไม่พอใจที่กัสมาคิดจะหนี ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บตัวห้ามบ่าวสาวเจอหน้ากันแท้ๆ กฎแต่บรรพบุรุษต้องพังลงเสียแล้ว
"ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับ"
"ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า เจ้ากลับไม่ได้" ว่าจบก็อุ้มพากัสมามาส่งที่ตำหนัก ทั้งกำชับให้ตั้งเวรยามให้แน่นหนาขึ้น กัสมาเองก็หงุดหงิดที่ถูกจับได้ เมื่อสู้อะไรไม่ได้ก็ต้องยอมเพราะตอนนี้เธอมองหาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วสองวันซึ่งเป็นสองวันที่กัสพยายามหนีออกเสมอแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ไกลสุดยังไม่พ้นตำหนักเลย กัสมานึกสงสัยว่าอัสบัสนั้นมีตาทิพย์หรืออย่างไรกันถึงได้ตามตัวเธอเจอตลอด จนวันนี้วันที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานก็มาถึง ซึ่งก่อนหน้ากัสมาก็ถูกบ่นยกใหญ่เรื่องทำผิดกฎของบรรพบุรุษ แต่เธอก็ได้หาสนใจในเมื่อไม่ใช่บรรพบุรุษของเธอ สุดท้ายวันนี้กัสมาก็ต้องเข้าพิธีวิวาห์อย่างหลีกหนีไม่ได้
วันนี้เป็นวันที่พระราชวังทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส งานถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต มีผู้คนมาเข้าร่วมมากมายจนทุกพื้นที่เต็มไปด้วยผู้คน ทุกสิ่งล้วนแต่ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าที่เป็นดอกไม้ประจำอาณาจักรแห่งนี้ กัสมาอยู่ในชุดวิวาห์สีขาวทรงเมอร์เมดที่โชว์ช่วงอก เอว และสะโพกอย่างชัดเจนทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายที่สวยงาม ดูน่าหลงใหลตอนปลายของชุดตั้งแต่นิ้วมือลงไปนั้นบานออกยิ่งขับให้รูปร่างดูสูงโปร่งน่ามองยิ่งช่วงอกขาวนั้นไร้การปกปิดใดๆ ถูกเผยจนเห็นเนินอกงาม ผมสีน้ำตาลยาวสลวยถูกเก็บเป็นมวยขึ้นทำให้เห็นคอระหงก่อนที่จะถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวบางลายลูกไม้ที่ดูหรูหราลากยาวมาตามพื้นพรมสีแดงบวกกับสร้อยเพชรเส้นงานที่คาดผ่านหน้าผากมนเพชรคล้ายหยดน้ำถูกทำให้ห้อยอยู่กลางหน้าผากมนขับให้ใบหน้ารูปไข่ที่ดูแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมนั้นยิ่งน่ามองอย่างไม่อาจละสายตาได้มือเล็กปกปิดไปด้วยถุงมือสีขาวบางยาวถึงช่วงศอกในมือมีช่อดอกกุหลาบสีฟ้าช่อขนาดกลาง เจ้าสาวที่ทรงสง่ากำลังเดินผ่านหน้าผู้คนนับพันนับหมื่นที่จ้องมองด้วยสายตาแวววาว เท้าสองข้างนำพาร่างสะโอดสะองไปตามพรมแดงกลีบกุหลาบสีฟ้าถูกโปรยปรายลงทุกครั้งที่เธอก้าวเดิน ความตื่นเต้นถูกกอบกุมหัวใจของกัสมารับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจเร็วจนเธอนั้นนึกกลัวไม่เคยคิดว่าคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่ายและจำเจจะได้มีโอกาสเข้าพิธีอภิเษกใหญ่โตและอลังการเช่นนี้แม้มันจะเป็นการแต่งงานที่ตัวเธอเองไม่เต็มใจนักแต่ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมนี้ได้ก็มีแต่ต้องย่อมรับมัน
ร่างสุดแสนสง่างามค่อยๆ ก้าวเดินไปยังแท่นพิธีที่อยู่ไม่ไกลนักแต่กลับต้องใช้เวลาที่แสนยาวนานในการเดินทางไปยังที่ตรงนั้นเมื่อมองไปด้านหน้าแท่นพิธีก็พบร่างใหญ่ของผู้เป็นราชาปีศาจอยู่ในชุดทักซิโด้สีเงินหูกระต่ายและผ้าคาดเอวสีดำนั้นยิ่งขับให้ชุดดูเด่นมากยิ่งขึ้นผมยาวสีแดงเพลิงถูกปล่อยให้ปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดมาตัดกับเขาคู่สีดำทำให้ดูสง่างามใบหน้าที่ขาวสะอาดแต่มีรอยดอกกุหลาบเล็กๆ บนโหนกแก้มซ้าย ปากหนาระบายยิ้มออกมานั้นยิ่งทำให้อัสบัสดูน่าหลงใหล กัสมาใช่เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงแท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวของเธอยืนอยู่แต่สำหรับหญิงสาวมันเนิ่นนานเหลือเกิน ภายในสถานที่จัดงานนั้นต่างมีเสียงพูดคุยและโห่ร้องอย่างตื่นเต้นดังอึกทึกไปทั่วทั้งบริเวณจนกัร้อนผ่าวรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อัสบัสยืนรออยู่เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนมาถึงก็ยื่นมือส่งไปรับมือเล็กๆ เขายอมรับเลยว่าวันนี้คนตรงหน้านั้นดูงดงามยิ่งนักราวกับว่าเธอนั้นเป็นดังเทพธิดา ใบหน้าที่ได้รูป จมูก ปาก นัยน์ตาสีน้ำตาล กับชุดเข้ารูปสีขาวนั้นสง่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่จะลงตัวอย่างหน้าประหลาดความงดงามสมดั่งตำแหน่งราชินีของโลกปีศาจเหลือเกิน ครั้นเจอกันตอนแรกก็ว่างดงามมากแล้วแต่วันนี้กลับยิ่งงดงามจนหาคำเปรียบเปรยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ภาพตรงหน้าต้องทำให้เขาตกใจอีกครั้งเมื่อกลางหน้าอกสวยนั้นปรากฏรูปพระจันทร์เด่นสง่าใครคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นแต่เขาที่อยู่ใกล้กันมันทำให้เห็นชัดเจนอัสบัสรู้สึกราวกับว่ากำลังหยุดหายใจสิ่งที่เขาตามหามาเนิ่นนานได้มาอยู่ตรงหน้าแล้วคงเพราะอย่างนี้มณีจันทราถึงเลือกคนผู้นี้ให้แก่เขามันอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา อีกคนที่มองมานั้นได้แต่งวยงงกับท่าทีของคนตรงหน้าสีหน้าที่เปลี่ยนไปมานั้นมันทำให้เธอไม่มั่นใจจนต้องยกมือออกจากมือของอีกคนที่นิ่งค้างอยู่แต่กลับถูกคนต้องหน้ากอบกุมไว้แน่นยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เธอนั้นหัวใจเต้นอย่างผิดปกติใบหน้าเห่อร้อนจนรู้สึกถึงแรงสูบฉีดของเลือดบนใบหน้าพาลให้ต้องหลบสายตาที่ส่งมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนเป็นเจ้าบ่าวค่อยๆ พาเจ้าสาวมายืนอยู่ตรงหน้าแท่นพิธีที่มีผู้อาวุโสยืนรออยู่ก่อนแล้ว และพิธีก็เริ่มขึ้นทั้งสองต่างกล่าวปฏิญาณตนกันว่าจะรัก มีกันและกันตลอดไป หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีที่ต้องกล่าวคำปฏิญาณแบบนั้นออกไปเพราะเธอไม่ได้รักอัสบัสแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดอะไรคนข้างกายเพียงแต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนรับมือกับมันไม่ทันก็เพียงเท่านั้น
พิธีดำเนินมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนั้นคือการหลั่งโลหิตเพื่อทำสัญญารักของปีศาจที่เป็นพิธีสำคัญมากที่สุดในโลกของปีศาจก็ว่าได้เพราะจะบ่งบอกว่าเราทั้งสองจะเป็นของกันและกันและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป กัสมาตกใจนิดหน่อยเมื่อถึงพิธีนี้ถึงจะรู้มาก่อนแล้วก็ตามทีแต่ก็ไม่วายกลัวอยู่ดี ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมาเธอได้เตรียมตัวเข้าพิธีและเรียนรู้ขั้นตอนต่างๆ ของพิธีในวันนี้ แต่ถึงจะทำใจมาแล้วแต่ก็อดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้ต้องดื่มเลือดที่หยดลงในน้ำสะอาดนั้นโดยมีทั้งเลือดของเธอเองและของอีกคน
“เป็นอะไร เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ” อัสบัสถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดๆ ของคนข้างกายที่มองไปยังถาดในมือผู้อาวุโสซึ่งมีเข็มสองเล่มและถ้วยสีทองภายในมีน้ำสะอาดอยู่ ใบหน้าสวยหันมองคนถามทันที ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นการตอบกลับไป คนได้รับคำตอบก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับอาการของหญิงสาวใบหน้าซีดแล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่กลัว อัสบัสรู้ดีว่ากัสมาต้องกลัวแน่นอนเพียงแต่ไม่กล้าบอกเท่านั้น เมื่อเห็นอัสบัสทำท่าทางเหมือนเยาะเย้ยใบหน้าสวยก็จัดการแบะปากใส่ทันทีก่อนจะหันไปจดจ่อกับพิธีตรงหน้าต่อที่ตอนนี้ผู้อาวุโสกำลังทำปากขมุบขมิบเหมือนสวดอะไรสักอย่างอยู่หน้าถาดน้ำนั้น มือเรียวค่อยๆ ยื่นช่อดอกไม้ให้กับหญิงสาววัยกลางคนที่เดินเข้ามาขอช่อดอกไม้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเข็มที่เหลืออยู่หนึ่งเล่มในถาดนั้นมาเพราะอีกเล่มหนึ่งอัสบัสได้เอามาถือไว้ก่อนแล้ว
“ขอให้พระองค์ทั้งสองทำการหลั่งโลหิตพร้อมกันนะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสที่ถือถาดทำพิธีกล่าวขึ้น กัสมากับอัสบัสหันมามองหน้ากันก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมา การหลั่งโลหิตในที่นี้คือการที่ทั้งสองนำเข็นจิ้มลงบนปลายนิ้วกลางและให้เลือดหนึ่งหยดหยดลงสู่ถ้วยที่มีน้ำสะอาดอยู่พร้อมๆ กัน ทั้งสองค่อยๆ เลื่อนมือไปยังถ้วยที่มีน้ำสะอาดและใช้ปลายเข็มแหลมจิ้มลงบนปลายนิ้วพร้อมกันทำให้เลือดสีแดงฉาดไหลออกมาจากนิ้วเรียวของทั้งสอง หญิงสาวรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วจนต้องยู่หน้าเลือดที่นิ้วของทั้งสองค่อยๆ หยดลงในถ้วยน้ำ เมื่อเลือดสองหยดหยดลงในน้ำก็ทำดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจเพราะอยู่ ๆ เลือดนั้นกระจายตัวออกและน้ำก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเป็นเลือดจริงๆ ทั้งหมดทั้งที่ความจริงแล้วเลือดมันแค่เพียงสองหยดเท่านั้นไม่ควรจะกลายเป็นสีแดงขนาดนี้กัสมาเริ่มหน้าซีดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าต้องดื่มน้ำเลือดสีแดงตรงหน้า แต่แล้วความกลัวก็เริ่มจางหายเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานราวกับกลิ่นของกุหลาบ ใบหน้าสวยมุ่ยให้กับความแปลกประหลาดตรงหน้านิดหน่อย พลางคิดไปว่านั้นมันเพราะอะไรทำไมถึงมีกลิ่นหอมน่าลิ้มลองขนาดนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังไม่มีกลิ่นอะไรเลยแถมยังดูน่ากลัวแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากจะลิ้มลองน้ำสีแดงกลิ่นกุหลาบที่อยู่ตรงหน้าจนหลงลืมไปเสียว่ามันคือเลือดของเธอเองและอัสบัส
“เชิญพระองค์ทั้งสองดื่ม วารีพิศวาส เริ่มจากองค์ราชาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสกล่าวขึ้นก่อนจะยืนถ้วยที่บรรจุน้ำสีแดงให้แก่คนเป็นราชา อัสบัสค่อยๆ ดื่มน้ำสีแดงฉาดลงไปโดยมีกัสมามองดูอยู่ไม่ละสายตา ก่อนจะยืนถ้วยบรรจุน้ำที่ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งให้กับหญิงสาว มือเล็กๆ เลื่อนไปรับถ้วยมาด้วยสองมือพลางมองหน้าอัสบัสที่กำลังส่งยิ้มให้ เธอก้มมองถ้วยในมือเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นดื่มยามที่สายน้ำแตะลิ้นนั้นรับรู้ได้ถึงรสชาติที่หอมหวาน ความอ่อนละมุนที่ได้สัมผัสจากหยดน้ำราวกับความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั่วทั้งร่างกาย ความอบอุ่นที่ได้รับนั้นค่อยรู้สึกแปรเปลี่ยนไป กัสมารู้สึกว่าใจเต้นแรงผิดปกติเลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าจนรู้สึกร้อนผ่าว หญิงสาวชำเลืองมองอีกคนก็พบว่าคงมีอาการเช่นเดียวกันเพราะใบหน้าของอัสบัสมีสีแดงระเรืองปรากฏอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้าคนเป็นเจ้าบ่าวไม่วางตาตกใจที่อยู่ๆ ก็มีลวดลายเกิดขึ้นทีละนิดบนโหน่งแก้มข้างขวาของอัสบัส ซึ่งกัสมาเองก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาวาดอยู่บนโหน่งแก้มข้างซ้ายของตัวเองเช่นกัน ลวดลายนั้นได้หยุดลงแล้วก็ปรากฏให้เห็นว่ามันเป็นลายดอกกุหลายสีฟ้าอ่อนเล็กๆ หนึ่งดอกที่กำลังแบ่งบานอยู่บนหน้าของอัสบัสทั้งที่เขามีรอยสักตรงข้างแก้มซ้ายอยู่ก่อนแล้วแต่มีรอยนี้เพิ่มขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหล่านั้นลดลงแม่แต่น้อย กัสมาจ้องมองใบหน้าของอีกคนอยู่นานจนสายตาไปสบเข้ากับภาพในตาสีแดงคู่นั้นซึ่งเห็นรางๆ ว่าบนใบหน้าของเธอก็มีรอยดอกกุหลาบบานเหมือนกัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีมือเล็กยกขึ้นไปจับใบหน้าของตนเองอย่างตกใจ
“หน้าฉันมีรอยดอกกุหลาบขึ้นใช่ไหม มันขึ้นได้ไงของคุณด้วย” กัสมาที่กำลังจับใบหน้าของตนเองพูดขึ้นอย่างร้อนร้นเธอไม่อยากให้บนใบหน้ามีสิ่งอื่นใดแค่ที่อกเธอมีปานรูปพระจันทร์เสี้ยวก็แปลกมากพออยู่แล้ว
“ก็สัญลักษณ์อย่างไร” อัสบัสพูดด้วยรอยยิ้มเพราะตลกกับท่าทางของหญิงสาว
“สัญลักษณ์อะไรกันไม่เอานะ” กัสมาพูดขึ้นอย่างหัวเสีย
“มันเป็นสัญญาลักษณ์ที่แสดงว่าพระองค์ทั้งสองเป็นของกันและกันพ่ะย่ะค่ะ มันไม่มีทางหายไปพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าองค์ราชินีสงสัยในรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของนาง อัสบัสมองว่าที่ราชินีของตนเองอย่างอดยิ้มให้กับความน่ารักของคนตรงหน้าไม่
“ยิ้มอะไรไอ้เขาควาย” กัสมาที่เห็นอัสบัสยิ้มอยู่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้แต่ก็รู้สึกเขินด้วยเช่นเดียวกันเลยต่อว่ากลบเกลื่อนไป นี้เธอเป็นภรรยาของไอ้เขาควายไปแล้วสินะ คิดแล้วก็ปวดหัวเป็นแค่คนธรรมดาๆ อยู่แท้ๆ แปบเดียวมาเป็นภรรยาคนอื่นไปซะได้และที่สำคัญยังเป็นถึงราชาปีศาจเสียอีก เฮ้อออออ ฉันนะเหรอพระชายาราชาปีศาจ คิดแล้วสับสนกับชีวิตจริงๆ หลังจากพิธีเสร็จสิ้นก็ตามด้วยการแต่งตั้งกัสมาเป็นราชินีของโลกปีศาจทุกอย่างนั้นเป็นไปด้วยดีพร้อมทั้งรอยยิ้มและเสียงยินดีจากเหล่าผู้คนนับหมื่น นับแสน หรือนับล้านของโลกปีศาจ
.................................................................................................
ฝาก ร้อนรักราชาปีศาจ ด้วยนะคะ
คำเตือน ตอนหน้ากรุณาเตรียมกระดาษทิชชู
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ