แมวน้อยของข้าช่างดุยิ่งนัก
เขียนโดย จมปลัก
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 13.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) วิถีโจร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
วิถีโจร
ยามจื่อเป็นเวลานอนของใครหลายๆ คน แต่มิใช่สำหรับลู่ซือหลิงเจ้าสำนักอี้ซวนผู้โด่งดัง ที่ประกอบอาชีพที่มีเกียรติอย่างเจ้าสำนักอี้ซวนมิชอบ ริบังอาจอยากเป็นโจรลักขโมย
ภายนอกวังที่ดูเงียบสงบแต่เพราะสงบเกินไปจึงเป็นที่มาของภัยอันตรายที่จะย่างกรายเข้ามาโดยมิรู้ตัว
ลู่ซือหลิงนั่งหลบเข้าไปในบ่อน้ำเก่าๆ พลางใช้สายตาก็สอดส่องอากัปกิริยาของเหล่าทหารที่ค่อยผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอยู่หน้าประตูรั้ววัง มือขวาก็พยายามเกาะบ่อน้ำไว้ไม่ให้ตนตกลงไป ส่วนมือข้างซ้ายนั้นก็ดันแผ่นไม้ไม่ให้ตกลงมาเขกหัวเขา
“เห้ย!” เสียงเห้ยคำเดียวทำให้ซือลู่หลิงถึงกับเสียหลักมือไม้อ่อนแรงไปหมด มือที่หยิบจับทั้งบ่อน้ำและแผ่นไม้ไว้ถูกแบออกก่อนที่ตัวเองจะตกลงมายังน้ำเปียกตื้นข้างล่างของบ่อ
‘ให้ตายเถอะ คลุกดินยังมิพอยังต้องมาคลุกน้ำอีก ครั้งหน้าไม่เอาเขาคลุกไฟเลยล่ะ อ้อ ลืมไป คลุกมาแล้วนี่’ เสียงด่าทอกับชีวิตที่อเนจอนาถของตนถูกสบถขึ้นมาในใจ
เขาลุกขึ้นจากน้ำสกปรกสีน้ำตาลที่มีความลึกแค่เพียงเหนือหัวเข่าเขาเพียงเท่านั้น เขาหยิบเสื้อผ้าสีขาวของตนมาบิดไล่ความเปียกชื้นของน้ำให้ออกไป
“เทน้ำลงไปเลย รู้จักตักน้ำไปใช้แต่มิรู้จักตักน้ำลงมาใส่ รู้ไหมมันลำบากคนอื่นเขาที่มิมีน้ำใช้”
ลู่ซือหลิงมองไปยังเสียงดังด้านบนก่อนจะเจอน้ำลูกใหญ่ราดใส่หน้าเขาเต็มๆ คราวนี้ไม่ได้เปียกแค่ครึ่งตัวแล้ว แต่เหมือนกับเขาได้อาบน้ำใหม่เลย ลู่ซือหลิงพยายามจะขบกลั้นอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตนไว้ แต่ก็มีเงาดำๆ ลอยอยู่เหนือของตนก่อนที่จะตรงดิ่งลงมากระแทกหัวเขาเข้าอย่างจัง
“ข้าขออภัย ข้าทำถังตกลงไปข้างล่าง”
“ช่างเถอะ มิมีคนอยู่อยู่แล้ว”
ใครบอกเล่าว่ามิมีคนอยู่! ทำไมถึงไม่รู้จักระวังเขาก็เจ็บเป็นนะเห้ย
ด้วยความโกรธแค้นเขาขว้างถังไม้ที่พึ่งตกลงมาทับหัวไปยังข้างนอกบ่อ
“เห้ย ทำไมถังไม้ถึงกลับขึ้นมาได้เล่า”
“ระ ระ หรือว่า”
“ผีหลอก!!!” จังหวะที่ชายทั้งสองโผล่กอดเข้าหากันเป็นจังหวะเดียวที่ลู่ซือหลิงปีนบ่อขึ้นมาสู่โลกภายนอก
สภาพเสื้อผ้าเปียกติดกับผิวหนังขาวเนียน ผมลีบแบนปกคลุมใบหน้าจนแทบมองไม่เห็น เขาเกลี่ยผมที่ติดกับริมฝีปากบางของตนออกก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ชายที่สวมชุดขันทีทั้งสองยืนขาสั่นพั่บๆ ก่อนจะวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมเสียงตะโกนอันหนวกหูออกมา “อ้าก!!!”
ลู่ซือหลิงในสภาพเปียกโชกต้องมานั่งบิดน้ำออกจากเสื้อนอกของตนก่อนจะพาดไว้แถวๆ ต้นไม้ ตอนนี้เขาสวมเสื้อตัวในบางๆ แค่ชั้นเดียวแถมด้วยความชุดของเขาเป็นสีขาวจึงทำให้เห็นผิวหนังเนียนๆ นั้น เขารู้สึกอับอายเหลือเกินที่อยู่ในสภาพนี้
เขาหยิบก้อนหินสีเทาก่อนจะปาไปยังด้านซ้ายของรั้ว เหมือนเขาจะเห็นทหารนายหนึ่งวิ่งไปทางหินที่เขาปาไปเหลือเพียงทหารที่เฝ้าประตูเพียงคนเดียว เขาค่อยๆ ย่องไปหาทหารอีกคนช้าๆ ก่อนจะสับเข้าที่ต้นคอเข้าอย่างจังทำให้ทหารที่เฝ้าประตูสลบไป อาภรณ์ของทหารถูกถอดออกเสียเปลือยเปล่าจนเหลือแค่กางเกงในเพียงตัวเดียว ลู่ซือหลิงรีบนำชุดอีกฝ่ายมาสวมก่อนจะเดินเข้าวังไป
ถึงภายนอกวังจะคนจะน้อยเพียงใด แต่ภายในวังคนกลับพลุกพล่านเยอะนัก เขาพยายามทำสีหน้าทำตัวให้ปกติก่อนจะเดินผ่านเหล่าขันทีหรือทหารที่เดินไปเดินมามิหลับมินอนกันเสียที
ก่อนที่จะทหารนายหนึ่งที่มีกวานบนหัวที่แตกต่างจากทหารคนอื่นๆ เรียกเขาเอาไว้ “นี่เจ้าแอบอู้งานหรือ องค์ฮ่องเต้ยังทรงงานอยู่ที่พระตำหนักเฉียนชิง ตามข้ามา!” ทหารที่เข้ามาใหม่พูดพร้อมชี้ไปยังตำหนักเฉียนชิงที่อยู่มิไกลจากเขานัก
ลู่ซือหลิงถูกทหารที่เจอกันไม่ถึง 1 เค่อลากตัวเขาไปเฝ้ายังหน้าประตูตำหนักเฉียนชิง “เฝ้าประตูอยู่ตรงนี้แหละ อย่าไปรบกวนเวลาทำงานของฮ่องเต้เล่า” ลู่ซือหลิงพยักหน้าอย่างงงๆ แต่ก็ยอมทำที่อีกฝ่ายบอก
2 เค่อผ่านไปแต่ก็ไม่มีการขยับเขยื้อนของทหารที่ยืนเฝ้ากับตนเลย ต่างจากเขาที่บางทียุงก็เข้ามาตอมมากัดเขา ทำให้มีรอยแดงจากการลูบเกาของตน แต่อีกคนนี่สิเป็นเสาหินหรืออย่างไรกัน ยุงกัดแทบจะสูบเลือดเขาไปหมดตัวอยู่แล้วยังมิคิดจะตบเสียหน่อยหรอ!
ด้วยความที่ทนเห็นอีกฝ่ายเป็นอาหารของยุงมิได้จึงเอ่ยบอก “เจ้าโดนยุงกัด”
“…….” ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย
“ถ้าเจ้าไม่ตอบข้าจะตบให้เจ้านา”
“…….” และคำตอบยังคงเป็นความเงียบเหมือนเดิม
เมื่ออีกฝ่ายไม่ว่าอะไร เขาก็ง้างมือไปตบยุงที่ตอมบนตัวอีกฝ่าย แต่ก็มิโดนเจ้ายุงตัวนั้นเสียที เจ้ายุงเจ้าเคยเรียนวิทยายุทธมาก่อนหรือหลบเก่งเสียยิ่งกว่าผู้ฝึกวิทยายุทธบางคนอีก
“น่ารำคาญออกไป”
ก็แน่นอนอยู่แล้ว ก็เจ้ามิยอมตบมัน มันก็ตอมเจ้าไม่เลิกสิ
เหมือนต่างมิมีใครยอมใคร ลู่ซือหลิงก็ตบไม่เลิก ส่วนยุงก็หนีไม่เลิกเช่นกัน จนมาหยุดเกาะที่เป้ากางเกงของอีกฝ่าย ลู่ซือหลิงที่เห็นโอกาสทองมาถึงแล้วเขาใช้กำลังที่ตนมีตบไปที่เป้าอีกฝ่ายอย่างจัง ทำให้ทหารที่โดนตบเป้าถึงกับร้องอุกขึ้นมากด้วยความเจ็บปวด เขาเอามือกุมเป้าตัวเองไว้แน่น
“เอ่อ ข้าขอโทษ”
“เจ้า!”
หลังจากได้ยินคำว่าเจ้าแล้วลู่ซือหลิงเหมือนชะตาชีวิตกำลังจะขาด เขาถีบไปที่เป้าอีกฝ่ายอีกรอบก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไป อีกคนที่ถูกทำร้ายจุดอ่อนไหวของตนถึงสองครั้งถึงกับนั่งกุมเป้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว คราวนี้เขาลุกเดินไม่ไหวที่จะตามลู่ซือหลิงไป
ลู่ซือหลิงวิ่งหนีมายังข้างบนพระตำหนักเฉียนชิง เขามองซ้ายมองขวาด้วยความร้อนรน ก่อนจะเจอประตูหนึ่งและเป็นประตูเดียวที่เขาจะสามารถเข้าไปหลบซ่อนเข้าไปข้างในได้
“ตามทหารนั่นไป!”
เสียงที่ดังลงมาจากข้างล่างทำให้ลู่ซือหลิงมิมีทางเลือก เขารีบเข้าประตูไปก่อนจะหาเก้าอี้ที่อยู่แถวๆ นั้นมากั้นประตูไว้ไม่ให้คนข้างนอกเข้ามาได้
เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขามองไปรอบๆ ห้องที่มีแต่ความหรูหรา โดยเฉพาะแจกันขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นตระกาลตาอยู่ตรงกลาง ช่างดูน่าขโมยยิ่งนัก
ในเมื่อความคิดกับการกระทำมีความสัมพันธ์ตรงกัน ลู่ซือหลิงหยิบถุงผ้าที่เขามักนำติดตัวเขาไปเสมอ มันคือถุงผ้าดูดพิภพ ถึงข้างนอกจะเล็กแต่ข้างในกลับไม่เล็กตาม หากจักรวาลนี้มีความกว้างเท่าใดข้างในกระเป๋าใบนี้จึงกว้างเท่านั้น
ลู่ซือหลิงค่อยๆ ยกแจกันใบใหญ่ที่มีลายวิจิตรน่าชื่นชมนั้นมาใส่ถุงผ้าดูดพิภพนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ด้วยขนาดปากถุงที่มีขนาดเล็กทำให้กว่าจะยัดเข้าได้ก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร
หลังจากที่ยัดแจกันเข้าถุงผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของทั้งหมดก็ถูกนำมาใส่ในถุงเล็กๆ นั้นไว้เหมือนกัน เตียงไม้ขนาดใหญ่นั้นก็มิเว้น
ลู่ซือหลิงค่อยๆ ลากเตียงไม้ที่มีม่านสีแดงปักด้วยลวดลายมังกรที่เป็นสัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิโอรสสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่
ถึงจะเป็นโอรสสวรรค์แต่วันนี้ท่านต้องนอนพื้นไปนาองค์ฮ่องเต้
สุดท้ายแล้วห้องนี้ก็กลับว่างเปล่าไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นสักเม็ด แน่นอนในเมื่อมาขโมยทั้งทีต้องเอาไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
ในขณะที่ลู่ซือหลิงกำลังจะวางแผนหาทางหนีอยู่ ก็ได้เสียงเหมือนเสียงเท้าที่กำลังจะขึ้นบันไดมายังด้านบน
เวรกรรมแล้ว เขาขโมยไปหมดแม้แต่เก้าอี้ที่กั้นประตูไว้อยู่ก็มิเหลือ
ด้วยความร้อนรนมิรู้จะไปหลบที่ไหน ห้องก็มิเหลือของไว้ให้หลบเสียสักชิ้น พลันในหัวก็คิดถึงอนาคตอันมิไกลนี้ ภาพของศีรษะของเขาหลุดออกไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
ในขณะที่ชะตาชีวิตลู่ซือหลิงกำลังจะขาดลง ก็เกิดเสียงดังของสัตว์ทั้งสองที่ไล่กัดกันอยู่
หมากับแมวมากัดอะไรตอนนี้!
แต่เหมือนเสียงกัดกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสองตัวเหมือนเป็นการทำให้เขาเกิดความคิดในการที่จะมีชีวิตรอด เขารีบกลายร่างเป็นแมวน้อยสีขาวขนฟูฟ่องน่ารักน่าเอ็นดู พลางทำตัวให้เรียบเนียนโดยการนอนเลียขนสีขาวที่ติดตามตัวมันเองนี่แหละ
มินานนักประตูไม้ก็ถูกเปิดออกโดยบุคคลข้างนอก พร้อมกับคนหลายคนที่เข้ามายังในห้องห้องนี้
“เกิดสิ่งใดขึ้นทำไมห้องเราถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้” คนที่แต่งตัวดูดีในบรรดาเหล่ากองทหารเอ่ยขึ้น
“คุ้มกันฝ่าบาท! ต้องมีโจรแน่ๆ ขอรับ” ส่วนคนที่ทูลกล่าวกับฝ่าบาทก็คือคนเคราะห์ร้ายที่โดนลู่ซือหลิงนั้นถีบเป้าถึงสองครั้ง
“แมว?”
ในที่สุดก็มีคนรับรู้ถึงตัวแมวน้อยลู่ซือหลิงหลังจากที่ถูกลืมเลือนเป็นเวลามานาน มิเข้าใจเขาก็นอนอยู่กลางห้องทำไมถึงพึ่งมามองเห็นตัวเขากัน
คนที่สวมชุดหรูหราที่คาดว่าน่าจะเป็นองค์จักรพรรดิเดินมาทางเขาก่อนจะนั่งมองหน้าเขา
“แมวน้อยเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน” องค์จักรพรรดิพูดพลางยื่นมือมาลูบศีรษะนุ่มฟูของอีกคน แต่แน่นอนแมวเป็นสัตว์เจ้าอารมณ์มิชอบให้ใครมาแตะต้องตัวของมัน เขาใช้เล็บอันแหลมคมของเขานั้นข่วนไปยังฝ่ามือขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ จนอีกฝ่ายเผลอร้องโอ๊ยออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ฝ่าบาท!!! หน็อยเจ้าแมวบ้า!” คนโดนถีบเป้าเดินเข้ามาดูอาการของเจ้านายของตน ตอนนี้มือข้างขวาของฝ่าบาทมีรอยเล็บสามขีดประดับประดาอยู่บนฝ่ามือแถมยังมีเลือดซึมออกมาอีก
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหล่าทหารกำลังชุลมุนวุ่นวายเป็นห่วงเจ้านายของตนเองกัน เขาใช้ขาเล็กๆ ของตนรีบวิ่งฝ่ากองทหารออกไป แต่ก็โดนดาบเล่มใหญ่ปักลงมาที่กลางหางของตน โลหิตสีแดงเริ่มไหลออกมาจากบริเวณตรงที่มีรอยดาบปักไว้ ลู่ซือหลิงร้องเสียงเหมียวเหมียวออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาดิ้นกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความทุรนทุราย
ข้าแค่ตบเป้าเจ้า แต่เจ้ามิเห็นจะต้องทำกันถึงขนาดนี้เลย
องค์จักรพรรดิที่เห็นทหารผู้ภักดีของตนทำกับแมวตัวนี้เกินเหตุเกินไป เขาเข้ามาดูแมวน้อยที่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาน
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” องค์จักรพรรดิถาม
ไม่เป็นไรก็บ้าละ ถอนดาบออกให้ก่อนสิโว้ย
เหมือนความคิดลู่ซือหลิงดังไปถึงองค์จักรพรรดิ หางของตนถูกปลดปล่อยออกไปให้เป็นอิสระ เขาเตรียมจะวิ่งหนีแต่ยังมิทันจะได้ก้าวขาเล็กๆ นี้ออกไปก็โดนอุ้มขึ้นมาในอ้อมอกของอีกฝ่ายเสียก่อน
อุ้มทำไม ปล่อยข้า ข้าจะเอาแจกันไปขาย!
“ฝ่าบาทเลือดมันสกปรก เดี๋ยวไปเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าของพระองค์ได้” ทหารอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยองค์จักรพรรดิของตน
“อวี่จ้านเจ้าทำเกินเหตุไป แมวตัวนี้อาจจะตายได้เลยนะเจ้ารู้ไหม” องค์จักรพรรดิกล่าวด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาลูบศีรษะแมวน้อยคล้ายปลอบโยนให้แมวตัวนี้คลายจากความเจ็บปวดมากขึ้น แต่แมวน้อยในอ้อมกอดกับไม่ให้ความร่วมมือพยายามจะข่วนเขาอีกรอบให้ได้
“ข้าขออภัย” ทหารที่มีนามว่าอวี่จ้านหรือก็คือคนที่ลู่ซือหลิงเตะเป้ามามีสีหน้าสลดลง แต่กลับส่งสายตาอาฆาตแค้นมาให้ตัวเขาแทน
คนผู้นี้ช่างเปลี่ยนสีไวจริงเชียว
องค์จักรพรรดิไม่สนใจองครักษ์ของตน เขาก้มลงมาพูดกับแมวน้อยในอ้อมแขนของตน “ข้าจะไถ่โทษให้เจ้าเองแมวน้อย อยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะหายดีก็แล้วกัน”
ไม่อยู่โว้ย ศิษย์ข้าจะเน่าตายกลายเป็นปุ๋ยให้ดินอยู่แล้ว
เขาส่งเสียงเหมียวเหมียวประท้วงด้วยความไม่พอใจ แต่ฮ่องเต้กลับไปตีความผิดคิดว่าเขาส่งเสียงออกไปตอบรับเสียอย่างงั้น “เจ้าก็เห็นด้วยหรือ”
ฝ่าบาทโปรดอย่าคิดไปเอง ฟังภาษาแมวมิออกหรือไง ข้า มิ เห็น ด้วย
“พวกเจ้าไปได้ละ ข้าจะนอนแล้ว” ฝ่าบาทเอ่ยไล่เหล่าทหารภายในห้องให้ออกไป
“แต่ว่าฝ่าบาท...” อวี่จ้านเอ่ยขัดองค์จักรพรรดิ
“ไม่มีแต่อวี่จ้าน ข้าง่วงแล้ว”
“ไม่ฝ่าบาท แล้วพระองค์ท่านจะนอนที่ไหนเล่า”
องค์จักรพรรดิมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่าปราศจากเตียงนอนที่ตนเคยนอนอยู่ทุกวัน เขาแทบจะกุมขมับตนด้วยความเครียด แต่ต้องรักษาหน้าองค์จักรพรรดิไว้ “เดี๋ยวข้าไปนอนที่ห้องทำงานข้า ระหว่างนี้ช่วยไปตามหมอหลวงให้ข้าด้วย”
“ขอรับ” ทหารทั้งหมดขานรับก่อนจะเดินออกไป
ลู่ซือหลิงที่เห็นเหล่าทหารเดินออกไปแล้ว เขาใช้ขาเล็กๆ ของตนถีบไปที่ใบหน้างามที่สมกับสมญานามของอีกฝ่าย มหาสมุทรฟ้าผู้ลือโฉม
หลังจากที่อีกฝ่ายมัวแต่เอามือไปกุมใบหน้างามของตนเอง เขาก็รีบกระโดดลงมาก่อนจะวิ่งไปที่หน้าประตู เขาพยายามใช้ขาเล็กๆ นั่นผลักประตูออกไปแต่เหมือนว่าพอเขากลายร่างเป็นแมวมันจะไม่ได้เหมือนจริงเพียงแค่รูปร่างหน้าตา แต่ยังเป็นพละกำลังด้วย ลู่ซือหลิงรู้สึกหมดหวัง เขามิขัดขืนที่จะหนีอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้อีกคนอุ้มเขาอีกรอบอย่างปลงๆ
“อย่าขยับมากเดี๋ยวเจ้าจะเจ็บแผลเอาได้” องค์จักรพรรดิพูดอย่างเป็นห่วง เขาผลักประตูที่ลู่ซือหลิงพยายามจะผลักออก ก่อนจะพาเขามายังห้องที่น่าจะเป็นห้องทำงานของตนก่อนจะปล่อยเขาลงสู่พื้นไม้ราคาแพง
มินานนักคนที่หน้าตาแก่ชราที่คาดว่าจะเป็นหมอหลวงก็เข้ามาดูแผลให้ตน ก่อนจะพยายามทำแผลที่หางให้ตนด้วยการดึงหางเขาไว้จนเขาเจ็บปวดไปหมด ในเมื่อไม่ปล่อยแมวน้อยลู่ซือหลิงจะใช้เท้าหลังทั้งสองข้างเตะไปที่หน้าอีกคนอย่างแรง ในที่สุดเขาก็สามารถหลุดออกมาได้ เขาตั้งท่าขู่ฟ่อไม่ให้หมอหลวงเข้ามาจับเขาอีกรอบหนึ่ง
“เจ้าแมวบ้านี่ ข้าจะทำแผลให้เจ้าแล้วเจ้ามาขู่ข้าแบบนี้ข้าจะทำแผลให้เจ้าอย่างไร” หมอหลวงสบถออกมาด้วยความหัวเสีย
องค์จักรพรรดิที่เห็นแมวน้อยขนขาวมิยอมให้ความร่วมมือ เขากล่าวกับหมอหลวงที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้แก่แมวตรงหน้า “ท่านหมอหลวงมิเป็นไรเดี๋ยวเราจะทำเอง ท่านแค่บอกมาเถอะว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงมีทีท่าจะปฏิเสธแต่องค์จักรพรรดิกลับไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลย
คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์เดินไปแย่งสมุนไพรออกจากมือหมอหลวงก่อนจะค่อยๆ แปะไปยังแผลกว้างนั้นตรงหางขนแมวสีขาวที่ตอนนี้แปลเปลี่ยนเป็นสีชมพูแล้ว หลังจากแปะเสร็จเขาน้ำผ้าสะอาดมาห่อแปะไว้แน่นไม่ให้คับและหลวมเกินไปกลัวแมวน้อยจะเจ็บเอาได้
หมอหลวงที่เห็นฝ่าบาททำแผลให้แมวน้อยตัวนี้โดยที่แมวตัวนี้ไม่ขู่เขาเลยสักนิดจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ฝ่าบาทช่างเก่งกาจยิ่งนัก มีวิธีอย่างไรหรือถึงแมวตัวนี้ไม่ขู่ออกมา”
องค์จักรพรรดิยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาลูบไปที่หัวแมวน้อยที่อยู่ข้างๆ ตนอย่างเอ็นดู “หางแมวเป็นส่วนที่เชื่อมตัวเข้ากับสมองทางที่ดีมิควรอย่างยิ่งที่จะไปดึงหางมัน”
หมอหลวงพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ฝ่าบาทพูดเขารีบจดความรู้นี้ลงไปในกระดาษที่เขามักพกติดตัวอยู่ตลอด
“หรือบางทีแมวน้อยตัวนี้อาจจะรักข้าก็ได้ ใช่ไหมแมวน้อย” และแน่นอนรอยขูดที่ข้างแก้มก็เป็นคำตอบให้องค์จักรพรรดิได้รับรู้ว่าแมวตัวนี้รักพระองค์มากแค่ไหน
ยามจื่อ= ช่วงเวลา 23.00 – 24.59 น.
เค่อ= 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
TBC
ฮ่องเต้ได้รับรอยเล็บเป็นคำตอบแล้วใช่ไหมคะ ส่วนอวี่จ้านนี่สูญพันธ์หรือยังเอ่ย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ