คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.34K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) 00 09
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 09
ฉัตรตะวันรู้สึกถึงแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องนอน เขาขยับตัวอย่างเชื่องช้า พลิกกายและวาดแขนออกไปเพื่อคว้าคนข้างตัวมากกกอดเหมือนอย่างที่กระทำตลอดทั้งคืน ทว่าที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า เขาสะดุ้งตัวตื่นเต็มตาอย่างตกใจ ข้างกายไร้เงาของพฤกษ์ มีเพียงความอุ่นร้อนของร่างกายที่เหลือทิ้งเอาไว้บนเตียง
หายไปไหนเสียแล้ว
ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะเซเล็กน้อยเพราะอาการมึนเมาที่ยังไม่หมดฤทธิ์ ฉัตรตะวันหลับตาหยี เขารู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทว่าสักพักก็หายไป ร่างสูงได้ยินเสียงโครกครากออกมาจากห้องน้ำ คาดว่าพฤกษ์คงหายไปอาเจียนอยู่ในนั้นไม่ผิดแน่ ความโล่งใจพลันเกิดขึ้นในอก เขาล้มตัวลงนอนต่อทันที เพียงไม่นานเสียงชักโครกก็ดังขึ้นพร้อมประตูห้องน้ำที่เปิดออก ร่างโปร่งบางเปลือยท่อนบนของพฤกษ์เดินกระท่อนกระแท่นออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฉัตรตะวันที่นอนอยู่หรี่ตาข้างหนึ่งแอบมอง เขาเห็นอีกคนเดินเปลือยท่อนบนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ใช้นิ้วเท้าคีบเอาเสื้อยืดใส่นอนที่ตนเองละเมอถอดขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง
ฉัตรตะวันกลิ้งตัวไปหยุดตรงข้างเอว เท้าศีรษะมองแขนขาวผ่องที่อยู่ตรงหน้า
“ถอดเสื้อนอนอีกแล้ว”
พฤกษ์หันกลับมามอง ดวงตาเรียวรีไร้อารมณ์หรี่ลงเป็นเส้นตรงเพราะขาดแว่นสายตา
“มันร้อน” เขาตอบ “ผมขี้ร้อน”
ฉัตรตะวันขานรับในคอก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง ยกมือขึ้นแตะแก้มเนียน พูดว่า
“อาการคุณแย่”
“ยังไหวอยู่” พฤกษ์โบกมือ
“ไปเอาออกมาค่อยโล่งหน่อย”
ฉัตรตะวันหัวเราะหึ “ใครใช้ให้คุณดื่มไปขนาดนั้น”
พฤกษ์เลิกคิ้ว “ผมสิแปลกใจ คุณสร่างเร็วชะมัด”
เขามองเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกทึ่ง อีกฝ่ายอยู่ในสภาพปกติจนน่าเหลือเชื่อสำหรับคนที่เมาไปก่อนตั้งนาน ส่วนเขานี่สิ บอกว่าตัวเองเป็นขี้เหล้าในระดับหนึ่งแต่พอเอาเข้าจริง ๆ ภาพตัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่พฤกษ์ไม่อาจทราบได้
“คอแข็ง เมายากสร่างไว อันที่จริงสร่างตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ มีแรงพออุ้มคุณกลับมานอนเหลือเฟือ” ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มอบอุ่นก่อนจะเอื้อมไปหยิบแว่นสายตาที่หัวเตียงส่งคืนเจ้าของ พฤกษ์รับมันมาสวมใส่พลางบิดขี้เกียจ
“เมื่อยตัวชะมัด” พฤกษ์พูด “รู้สึกเหมือนถูกรัดทั้งคืน”
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น‘ฝ่ายรัด’แข็งค้างไปเล็กน้อย ฉัตรตะวันไม่คิดว่าคนเมาอย่างพฤกษ์จะรู้สึกถึงแรงกอดรัดจากตนตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มเกาจมูก หาข้อแก้ตัวที่ดูแนบเนียนตอบไปว่า
“โทษที ผมติดหมอนข้าง”
“อ้อ” พฤกษ์หันไปมองเตียง ดวงตาปรากฏความแปลกใจเล็กน้อย ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าติดหมอนข้างแต่เมื่อมองดูโดยรอบแล้วกลับไม่เห็นหมอนข้างอยู่ในห้องนอนเลยสักใบ
ความคิดบางอย่างสะกิดใจพฤกษ์‘อีกแล้ว’
เขาสะบัดความคิดแปลก ๆ นั้นออกก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาเห็นชุดของเมื่อวานถูกแขวนเก็บไว้อย่างเรียบร้อยโดยเจ้าของห้อง
“คุณจะอาบน้ำก่อนไหม? ”
“ไม่ครับ กลับไปอาบที่บ้านดีกว่า”
“กลับหรือ ผมไม่อยากให้คุณขับรถตอนนี้เลย”
“คุณฉัตร” พฤกษ์เอี่ยวตัวหันกลับมายิ้ม “เป็นห่วงเกินไปแล้ว ผมบอกแล้วว่าไหว”
ฉัตรตะวันยกมือ “โอเค ยอมแพ้”
อีกฝ่ายหันกลับไปใส่เสื้อผ้า ส่วนเจ้าของห้องยังคงนั่งมองอยู่บนเตียง ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางสะโอดสะอง ช่วงตัวเพรียวยาว เอวอ่อน ผิวหลังขาวผุดผ่องชวนให้จินตนาการเตลิดลอยไปไกลแสนไกล ชายหนุ่มกระพริบตาอีกที เห็นพฤกษ์ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ทว่ายังไม่ติดกระดุมเสื้อและแผ่นอกขาวยังคงปรากฏรอยแผลเป็นที่เขาไม่รู้ที่ไปที่มา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ฉัตรตะวันจ้องมองแผ่นอกนั้นอยู่นานก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“ผมไม่เคยเห็นแผลเป็นนั่นเลย”
นิ้วมือขาวที่กำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตอยู่พลันชะงักไป ฉัตรตะวันที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นจึงพูดต่อไปว่า
“คุณพฤกษ์ได้มันมาตอนไหนหรือครับ”
พฤกษ์ยิ้มเป็นนัย “พูดไปคุณคงไม่เชื่อ”
เขาคว้าข้อมือบางดึงตัวอีกคนเข้ามายืนอยู่ตรงระหว่างขา พูดยิ้ม ๆ
“ลองพูดหรือยัง”
“เฮ้อ” พฤกษ์ถอนใจก่อนจะเปิดสาบเสื้อด้านซ้ายออกกว้างให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดูอย่างไม่ปิดบัง นิ้วมือขาวผ่องอีกข้างคว้ามือแกร่งมาวางแนบบนรอยแผลเป็นนั้นเป็นเชิงให้ลองลูบสัมผัสดู ฉัตรตะวันหัวใจเต้นแกว่งไปหลายจังหวะ ไม่ใช่เพราะรอยแผลแต่เป็นเพราะฝ่ามือเขาไปสัมผัสเข้ากับยอดอกสีชมพูเนียนใสที่ชูชันขึ้นเพราะอุณหภูมิห้องของพฤกษ์อย่างจัง เขาสะกดข่มจิตใจดำมืดของตนเองลงและขยับนิ้วมือไปลูบเพียงแผ่วเบาที่รอยแผลเป็นคล้ายหลุมเล็ก ๆ แทน
พฤกษ์ยืนมองนิ้วมือของอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวเหนือแผ่นอก ดวงตาเรียวรีกลับมาเยียบเย็นไร้ความรู้สึกอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวในกาลก่อนที่เป็นต้นเหตุของร่องรอยนี้
“ดูไม่เหมือนรอยมีดหรืออะไรทำนองนั้นเลย”
ฉัตรตะวันพูดขึ้นก่อนจะละมือจากร่างกายอีกฝ่าย
“มันคือรอยกระสุน” น้ำเสียงนุ่มพูดราวกับตนไร้ความรู้สึกไปแล้ว “ผมถูกยิงตรงนี้”
“เป็นไปได้หรือ? เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นทำไมไม่เห็นเคยรู้มาก่อน อย่าลืมสิ ผมอยู่กับคุณพฤกษ์ตลอดนะ”
พฤกษ์ยกมือขึ้นติดกระดุมเสื้อ หัวเราะในคอ พูดทีเล่นทีจริง
“ใช่ คุณอยู่กับผมตลอดนั่นแหละ ..ถ้าเป็นตัวผมที่อยู่ที่นี่ละก็นะ”
“ผมไม่เข้าใจ” ที่ถูกคือ ‘ตัวผมที่อยู่ที่นี่’ มีหมายความว่าอะไร
“ก็ไม่ได้หวังให้คุณเข้าใจนี่นา”
“โธ่..” เขาลากเสียงยาว “อย่าทำให้สงสัยแล้วจากไปสิครับ ทุกเรื่องของคุณผมอยากรู้นะ”
พฤกษ์หันไปมองฉัตรตะวันที่ทำหน้าบึ้งอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะหัวเราะให้เป็นคำตอบ
“สรุปว่าหายงอนแล้วใช่ไหม? ” พฤกษ์ถามขณะที่เขาทั้งคู่อยู่ในลิฟต์ ชายหนุ่มมองเข้าไปผนังลิฟต์เห็นฉัตรตะวันที่ยังอยู่ในชุดนอน สวมสลีปเปอร์และหัวฟูเล็กน้อยทว่ากลับดูดีอย่างเหลือเชื่อ
ฉัตรตะวันหันมายิ้มกว้าง ดวงตามีประกายระยิบระยับ พูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“ผมจำไม่ได้ว่าเคยงอน”
“อ่า” พฤกษ์รู้สึกมีเมฆทะมึนครึ้มฟ้าครึ้มฝนลอยอยู่เหนือหัวตัวเอง เขากดปุ่มกุญแจรถยนต์ในมือเล่น สงสัยอยู่เหมือนกันว่าใครกันนะใครกัน ใครที่เดินปึงปังขับรถออกไปทันทีที่เขาพูดว่าให้รอก่อน
ฉัตรตะวันเหลือบมองสีหน้าเรียบนิ่งนั้นก่อนจะผุดรอยยิ้มเป็นสุขอย่างไม่ปิดบัง
อีกฝ่ายเดินมาส่งเขาถึงที่ลานจอดรถ ก่อนจะลากัน ในตอนที่พฤกษ์กำลังจะเข้าไปนั่งในรถ ชายหนุ่มกำประตูเอาไว้แน่น ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดหรือถามอยู่เต็มหัว
“ครับ? ” พฤกษ์เลิกคิ้วและช้อนสายตาขึ้นมองคนที่ยืนค้ำประตูรถ ฉัตรตะวันมีความลังเลอยู่ในแววตาเล็กน้อย พูดว่า
“เมื่อคืนคุณ.. จำอะไรได้ไหม”
พฤกษ์ส่ายหน้า “ภาพตัดตั้งแต่อยู่ในครัว”
“งั้นหรือ”
“ผมทำอะไรน่าอายไปหรือเปล่า? ”
ฉัตรตะวันมองไปที่ริมฝีปากสีชมพูเรื่อก็พลันหน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เขารีบส่ายหน้าและปล่อยมือจากประตูรถทันที ท่าทางหลุกหลิกจนเสียความเป็นตัวเองไป
“ไม่ ..ไม่มีครับ”
พฤกษ์มีสีหน้าโล่งใจกับคำตอบนั้น ยกยิ้มที่มุมปาก พูดว่า
“งั้นเจอกันวันจันทร์ที่มหาลัยนะครับ”
“ครับ” ฉัตรตะวันพยักหน้า “ถึงแล้วโทรมานะ”
“ครับ”
รถยนต์ของพฤกษ์ขับออกจากลานจอดรถไปไกลลับตาแล้วแต่เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัว ฉัตรตะวันยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง ความอุ่นร้อนของสัมผัสนั้นยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหาย
ดวงตาเรียวรีไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใดเหม่อมองตัวเลขสีแดงที่นับถอยหลังบนสัญญาณไฟจราจร มือขาวข้างหนึ่งที่กุมพวงมาลัยอยู่ปล่อยขึ้นมาลูบใบหน้าโดยแรงจนแดงไปหมด
พฤกษ์เป็นคนจูบก่อนเองแท้ ๆ ทำไมจะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ..
ที่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็เพราะถ้าพูดออกไปโต้ง ๆ จำพวก ‘อ๋อ จำได้สิ ผมจูบคุณด้วยใช่ไหมล่ะ’ มันออกจะดูกระดากปากอย่างไรชอบกล อีกอย่างพฤกษ์กลัวว่าเขาและฉัตรตะวันจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ ไม่สู้แกล้งทำเป็นเมาแล้วจำอะไรไม่ได้เสียยังดีกว่าต้องบากหน้ายอมรับความจริงว่าจูบกับเพื่อนสนิทไปแล้ว
ใช่ จูบไปแล้วเพราะเมาจนหลอนเห็นเพื่อนสนิทเป็นคนรักเก่า
“เฮ้อออ” พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด
“อัครนะอัคร คุณยังตามมาหลอกหลอนผมจนถึงที่นี่เลยหรือ”
พฤกษ์กลับมาถึงคฤหาสน์หลังงามของตนในที่สุด หน้าประตูทางเข้านั้นมีรถแท็กซี่จอดขวางอยู่ทำให้เขาขับเข้าไปไม่ได้ พฤกษ์ที่นั่งมองทุกความเป็นไปอยู่ในรถอย่างใจเย็น ทว่าเพียงไม่นานชายร่างสูงคนหนึ่งก็ออกมาจากรถแท็กซี่คันนั้น พฤกษ์หรี่ตามองใบหน้านั้นก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าชายคนนี้คืออานนท์ครูพิเศษที่พ่อของเขาจ้างวานมาเพื่อพงพีโดยเฉพาะ
อนึ่ง ด้วยความที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าพงพีเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีปัญหาในด้านการพัฒนา พฤกษ์ไม่ทราบว่ามันเป็นผลกระทบจากพันธุกรรมของผู้เป็นแม่เหมือนในกรณีของมาลีวัลย์หรือเปล่าถึงทำให้พงพีกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ไม่จดจ่อกับคำสั่ง ขี้ลืมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คิดอ่านประมวลผลช้ากว่าคนอื่น รวมไปถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เวลาโกรธ ดังนั้นนอกจากการหาหมออย่างสม่ำเสมอแล้วจึงจำเป็นต้องมีครูคอยทบทวนบทเรียนย้อนหลังและล่วงหน้าเพื่อให้สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
พฤกษ์ขับรถเข้าไปขนาบข้าง บีบแตรเรียกความสนใจครั้งหนึ่งก่อนจะลดกระจกลง
อานนท์ที่หันมาเห็นนายจ้างจึงยิ้มทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ พฤกษ์ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าหลายปีแต่ก็น้อยกว่าพฤกษ์ในกาลก่อนที่อายุย่างเข้าสามสิบปลาย ดังนั้นจึงเกิดเป็นความเคยชินและลืมตัวอยู่บ่อยครั้งว่าตัวเขาในกาลนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบ
“ขึ้นมาสิครับ ทางเดียวกันไปด้วยกัน”
“โอ้ ..” อานนท์ประหลาดใจในความเอื้อเฟื้อของนายจ้างที่ปกติทำตัวเชิดหยิ่ง เงียบขรึมและชอบมองผู้อื่นที่ตกต่ำด้วยแววตาดูแคลนอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มกว้างและขออนุญาตเปิดประตูอีกข้างขึ้นไปประจำข้างที่นั่งคนขับ
“คุณพฤกษ์มาจากไหนหรือครับ” อานนท์เอ่ยทัก
“ค้างที่ห้องเพื่อนมาครับ”
“อ้อ..”
บทสนทนาหยุดที่ตรงนั้นและเงียบจนถึงตัวบ้าน ลุงแสงเป็นคนแรกที่ปรี่ตัวเข้ามาเปิดประตูแต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นอานนท์นั่งยิ้มอยู่ข้างเจ้านาย
“อ้าว คุณครู”
“สวัสดีครับลุงแสง” เขาเหลือบมองพฤกษ์ที่กำลังดับรถยนต์ “ขอบคุณนะครับ”
เขาพยักหน้าตอบไม่ได้พูดอะไรยืดเยื้อก่อนจะพากันลงจากรถไป พฤกษ์มองไล่หลังชายหนุ่มที่เดินถือกระเป๋าขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านก่อนจะหันมาหาลุงแสงที่ยืนคอยอยู่ เขายื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย พูดว่า
“วันนี้ฝากล้างรถ เติมลมให้ด้วยนะครับ”
พฤกษ์เปลี่ยนรองเท้าและเข้ามาในบ้าน ทันเห็นหลังไว ๆ ของอานนท์เดินไปนั่งรอลูกศิษย์ในห้องนั่งเล่นเล็กเหมือนทุกอาทิตย์ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องนอน เขารู้สึกเหนียวเหงื่อ ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะชำระร่างกายเต็มที
ทว่าเดินไปถึงชั้นสอง ตรงชานพักบันไดเขาเห็นร่างเล็กของพงพีกำลังนั่งคดคู้กอดซี่บันได หน้าตาหมดอาลัยตายอยากเต็มทีเหมือนกัน
พอเด็กชายเห็นว่าใครยืนอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายจากซี่บันไดมาเป็นขาข้างหนึ่งของพฤกษ์แทน ดวงตาที่โศกเศร้าแหงนขึ้นมองเขา พงพีพูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า
“อยากตาย”
พฤกษ์ยื่นหลังมือไปเคาะหน้าผากมนโดยแรง พูดว่า
“อย่าเพิ่งตาย”
เมื่อถูกมะเหงกจากคุณพฤกษ์ไปที พงพีค่อยได้สติขึ้นมาจากอาการซึมกะทือแต่กระนั้นก็ยังคงเกาะขาพฤกษ์แน่นราวกับลูกลิงไม่ยอมปล่อย พฤกษ์ยกเท้าอีกข้างเตะเบา ๆ ที่ลำตัวของเด็กชาย พูดขึ้นว่า
“เป็นอะไร ฉันว่าแกควรไปเรียนได้แล้วนะ”
พงพีส่ายหน้าจนผมหน้าม้ากระดิก ขอบตาแดงรื้นขึ้นเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องออกมา
“ปล่อย” พฤกษ์ลากขาตัวเองเพื่อจะขึ้นบันไดแต่ก็พ่วงเอาเจ้าเด็กดื้อด้านกระเตงตามขึ้นไปด้วย สภาพออกมาแทบจะเรียกว่าทุลักทุเล กระทั่งพฤกษ์ยันตัวเองเดินขึ้นมาได้สามขั้นจึงยอมแพ้
“ฉันเหนื่อยแล้ว” เขาพูด “แกมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
พงพีปากสั่น สีหน้าหวาดหวั่นราวกับกินยาขม และก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมร่างโปร่งของอินทรชิตที่ชะโงกหน้าขึ้นมาจากชั้นสอง
“พีร์! ” อินทรชิตหน้าตาตื่นรีบปรี่เข้ามาดึงพงพีออกจากไปโดยเร็ว
“ทำอะไร! ปล่อยคุณพฤกษ์นะ! ”
“ไม่เอา! ”
พฤกษ์ตัวโอนไหวไปตามแรงกอดรัดจากพงพีและแรงดึงจากอินทรชิตอีกทอดหนึ่ง สีหน้าเขาตอนนี้แสดงอารมณ์ไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
“พีร์ทนมานานแล้วนะ ถ้าพี่อินทร์ไม่ยอมทำอะไรพีร์จะบอกคุณพ่อ! ”
แล้วมากอดขาฉันทำไม ฉันเป็นพ่อแกเรอะ!
“พี่จัดการให้อยู่แล้วล่ะน่า! แต่มันไม่ใช่ตอนนี้! ” ในที่สุดอินทรชิตก็จัดการแงะเอาลูกลิงออกจากของพฤกษ์ได้สำเร็จ เด็กหนุ่มกดไหล่ทั้งสองข้างของน้องชายเอาไว้แน่นก่อนจะพูด
“อดทนไปก่อนนะพีร์”
พงพีน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น พฤกษ์ราวกับกำลังดูละครโศกก็ไม่ปาน
“อดทนอีกแล้ว! ” จากนั้นเด็กชายก็พูดขึ้นอย่างเหลือทนพร้อมกับวิ่งตึง ๆ หายลงไป
อินทรชิตหันกลับมามองเขา ดวงตาเป็นประกายบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ความหมาย ไม่เพียงเท่านั้นแต่พฤกษ์ยังเห็นหางและหูทิพย์ของมันโผล่ออกมาอีกแล้ว
พฤกษ์ขยี้ตาอีกครั้ง หางและหูทิพย์ของอินทรชิตก็พลันหายวับไป จึงคิดเองเออเองคนเดียวว่าคงเห็นภาพหลอนเพราะยังเมาค้างอยู่..
เขาส่ายหัวเบา ๆ ปัดความคิดไร้สาระออกไปก่อนจะหันหลังเตรียมขึ้นบันไดต่อ ทว่าพฤกษ์กลับรู้สึกว่ามีสายตาร้อนแรงคู่หนึ่งจับจ้องมาจนแทบลุกไหม้ เขาหันขวับไปมองทันทีอย่างตื่นตระหนก แต่กลับพบเพียงแค่อินทรชิตที่ยืนมองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายสุกใส
ดูเหมือนจะคิดมากไปเอง ตรงหน้าเขามีแค่เด็กหน้าเซ่อคนหนึ่งก็เท่านั้น แต่ไอ้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นเมื่อครู่มันอะไรกัน น่ากลัวชะมัดยาด
“เอ่อ ..คุณพฤกษ์” อินทรชิตได้โอกาสที่คุณพฤกษ์เขาหันกลับมาสนใจเป็นครั้งที่สองจึงพูดออกไปอย่างขลาด ๆ
“มีอะไร”
“...” อินทรชิตมีคำถามอยู่เต็มหัว อย่างเรื่องที่คุณพฤกษ์หายไปไหนมาทั้งคืน ไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไรกับใคร แต่ทว่าเด็กหนุ่มไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวให้คุณเขารู้สึกอึดอัด ดีไม่ดี อาจจะถูกคุณเขาพาลเกลียดขี้หน้าขึ้นมากว่าเดิมอีก
เด็กหนุ่มยืนอ้ำอึ้งอยู่นานจนพฤกษ์เริ่มทนรอไม่ไหว เขาพูดว่า
“แกก็อีกคน มีอะไรจะพูดก็ไม่พูด อมไว้ในปากแล้วท่ามากอยู่ได้ รำคาญจริง ๆ ”
อินทรชิตทำหน้าราวกับจะร้องไห้ที่ถูกคุณพฤกษ์รำคาญใส่ เด็กหนุ่มจึงเก็บคำถามพวกนั้นกลับเข้าไปฝังให้ลึกสุดใจก่อนจะเบี่ยงประเด็น
“พีร์ ..เหมือนจะมีปัญหาครับ”
“เด็กนั่นทำไม”
อินทรชิตกำลังจะพูดตอบ ทว่าคุณพฤกษ์กลับยกมือห้าม
“ขอฉันอาบน้ำก่อน แกไปรอที่สวนปีกขวา”
‘แกไปรอที่สวนปีกขวา’
อินทรชิตเดินกุมหัวใจที่พองโตของตนเข้าไปยังสวนหย่อมปีกขวาของตัวคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ ด้านหลังมีต่ายที่เดินถือของว่างตามไปติด ๆ เด็กหนุ่มเลือกนั่งลงบนชุดเก้าอี้อัลลอยด์สีขาวใต้ร่มต้นพญาสัตบรรณ จัดแจงช่วยต่ายยกของว่างและน้ำดื่มขึ้นเรียงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
“คุณอินทร์ต้องการอะไรอีกไหมคะ”
“ไม่มีครับพี่ต่าย ขอบคุณมาก”
ต่ายจากไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่ยังคงนั่งรออยู่ด้วยใจที่เฝ้าคอย เด็กหนุ่มมองไปโดยรอบอย่างตื่นตา ที่นี่คือสวนฝั่งปีกขวาของคฤหาสน์ เป็นสถานที่ส่วนตัวของคุณพฤกษ์ นอกจากคุณพนาที่เป็นเจ้าของบ้านและคนสวนคนงานบางคน คุณพฤกษ์ก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครเฉียดเข้าใกล้เลยสักคน อินทรชิตและน้อง ๆ เคยรั้นแอบเข้ามาอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ก็ถูกคุณเขาตีด้วยไม้เรียวจนน่องเขียวหลังลายทุกครั้ง
เด็กหนุ่มเคยสงสัยว่าทำไมคุณพฤกษ์ถึงหวงสวนนี้เหลือเกิน จนกระทั่งคุณพนาหลุดปากเล่าออกมาว่าสวนแห่งนี้เป็นสวนที่คุณพฤกษ์กับคุณแก้วตามีความทรงจำอยู่ร่วมกันจึงทำให้อินทรชิตเข้าใจความหวงแหนของคุณพฤกษ์ในที่สุด
เมื่อมองดูแล้วสวนปีกขวามีความแตกต่างกับสวนปีกซ้ายอยู่มาก ถึงแบบแปลนจะเหมือนกันทว่าบรรยากาศและการจัดสวนรวมไปถึงประเภทของต้นไม้และดอกไม้กลับไม่เหมือนกัน ทางด้านปีกซ้ายเน้นความสดใส ร่มรื่นแก่ผู้พบเห็นจึงมีต้นไม้ดอกไม้หลากหลายสีและหลากหลายชนิด ตรงข้ามกับสวนปีกขวา ที่นี่จัดสวนเน้นตามความชอบของคุณพฤกษ์เป็นใหญ่ และความชอบของคุณพฤกษ์คือดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอม ดังนั้นในสวนแห่งนี้จึงอุดมไปด้วยสีเขียวสลับขาวปลอดไม่มีสีใดปะปน ทั้งปีบ แก้ว มะลิ จำปา จำปี โมก พุดซ้อน ลีลาวดี กรรณิการ์ กุหลาบขาว พลับพลึง พยอม และอีกมากมายที่เขาไม่รู้จัก
หลายชื่อที่พูดมานั้นอินทรชิตและคนในบ้านไม่มีใครมีปัญหากับความชอบของคุณพฤกษ์เขาหรอก ดีเสียอีกที่มีกลิ่นหอม ๆ โชยมาให้ได้กลิ่นตามลม
แต่ที่เป็นปัญหาคือต้นที่อยู่เหนือหัวเด็กหนุ่มนี่แหละ อินทรชิตเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่มเงาที่ตนเองนั่งอยู่
...มันคือต้นพญาสัตบรรณ หรืออีกชื่อ ตีนเป็ด
อินทรชิตทำจมูกบานฟุดฟิด แค่ได้ยินชื่อก็พาลให้คลื่นเหียนทันที ดีเสียที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่มันพ่นพิษทางอากาศออกมา ไม่อย่างนั้นคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ก็ไม่ต่างอะไรกับนรกขุมสุดท้ายเลยสักนิด
เขาไม่ได้อยากเปรียบเทียบให้ฟังดูเลวร้าย แต่เชื่อเสียเถิด ความเป็นจริงโหดเหี้ยมกว่านั้นไปไกลมาก ไม่มีใครที่นี่ชมชอบกลิ่นหอมที่หอมจนฉุนของมันเลยสักคน ยกเว้นเสียแต่คุณพฤกษ์ที่ดูจะชอบกลิ่นของมันนักหนา ยิ่งช่วงต้นฤดูหนาวที่ดอกเริ่มออกก็จะเห็นคุณเขาไปยืนดมอยู่ได้ตั้งนานสองนานในขณะที่คนอื่น ๆ สูดเข้าไปครั้งเดียวจมูกแทบพังกันไปข้าง
อะ ...อำมหิต
อินทรชิตคิดมาเสมอว่าคุณพฤกษ์ช่างแข็งแกร่งเกินใคร ขนาดคุณพนาที่เขาคิดว่าไม่มีใครแข็งข้อได้ยังต้องยอมศิโรราบแล้วระหกระเหินไปอยู่ที่อื่นในช่วงที่ต้นพญาสัตบรรณออกดอกผลิบานและทิ้งให้คนอื่นในบ้านก้มหน้ารับชะตากรรมอันโหดเหี้ยมต่อไป นั่นเพราะไม่มีใครกล้าคานอำนาจของคุณพฤกษ์ แถมคุณพนายังตามใจไม่กล้าขัดหรือปรามลูกชายในเรื่องนี้อีกด้วย สุดท้ายทุกคนก็มีหน้าที่กัดฟันสูดดมกลิ่นของมันตั้งแต่ต้นฤดูหนาวไปจนจบฤดูฝน
อินทรชิตจ้องขึ้นไปบนปลายยอดใบไม้ที่แผ่ขยายของต้นพญาสัตบรรณอีกครั้ง น้ำตาเหมือนจะไหลอาบหน้าเสียให้ได้เมื่อนึกถึงกลิ่นของมันที่จะฟุ้งกระจายไปทั่วในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
“เหม่ออะไรของแก”
อินทรชิตสะดุ้งเฮือก กระพริบตาปริบ ๆ มองคุณพฤกษ์ที่นั่งลงตรงข้าม กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ปลิวล่องตามลมมาถึงเขา ทำเอาหัวใจแกว่งไปหลายครั้งทีเดียว
คุณพฤกษ์ยกน้ำขิงในแก้วขึ้นจิบ ท่าทางดูอ่อนเพลียจากสาเหตุบางอย่าง
“นอนไม่พอหรือครับ”
“ฉันเมาค้าง”
เป็นอันว่าคุณเขาได้ตอบคำถามที่อยู่ในใจของอินทรชิตไปเรียบร้อยแล้วถึงสาเหตุที่หายออกไปตลอดทั้งคืน ...ที่แท้ไปดื่มมานี่เอง
คุณพฤกษ์แหงนหน้าขึ้น พูดชมนกชมไม้ไปเรื่อยว่า
“เดี๋ยวมันก็ออกดอกแล้วสินะ”
จบประโยคนั้นขนอ่อนของอินทรชิตทุกเส้นพลันลุกชูชันขึ้นพรึ่บพรั่บ เหงื่อกาฬก็พลันแตกตัวไหลพลั่ก ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ เด็กหนุ่มยิ้มแห้งพลางยกมือขึ้นลูบขนที่แขนลง
“เรื่องที่แกจะพูดคืออะไร? ”
“อันที่จริงมันเป็นแค่การพูดลอย ๆ ของพีร์น่ะครับ ผมยังพิสูจน์อะไรไม่ได้เลยยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่”
“แล้วคิดว่ามันเป็นปัญหาไหม”
“คิดว่าเป็นครับ”
“อืม” คุณพฤกษ์พยักหน้า “งั้นเล่ามา ฉันจะรับฟัง”
อินทรชิตขยับตัวนั่งหลังเหยียดตรง กระแอมในคอพลางจ้องไปที่คุณพฤกษ์ด้วยดวงตาพราวระยับ
ทางด้านพฤกษ์ที่เห็นอย่างนั้นจึงยกน้ำขิงขึ้นจิบทันที ดูเหมือนอาการเมาค้างยังไม่หายไปไหนเขาถึงได้เห็นหางและหูทิพย์ของมันกระดิกไปมาอีกแล้ว
“น้องบอกกับผมว่าไม่อยากเรียนพิเศษวันอาทิตย์แล้ว”
“ทำไม”
“พีร์ไม่ชอบครูครับ”
“ทำไมไม่ชอบ”
“เอ่อ.. เพราะ” อินทรชิตเกาแก้ม รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกเรื่องต่อจากนี้ คุณพฤกษ์หรี่ตาลงต่ำมองเด็กหนุ่มลอดผ่านกรอบแว่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไปถึงกระดูก
“พูด”
เด็กหนุ่มพูดออกไปอย่างว่าง่าย
“ครูนนท์ชอบ เอ่อ.. ใกล้ชิดเกินไป ผมอธิบายไม่ถูกครับคุณพฤกษ์ น้องบอกว่าครูชอบเข้าใกล้ ลูบหัว กอด หอม หรือทำอะไรให้รู้สึกกลัว ๆ ”
“แกเห็นกับตาหรือเปล่า”
อินทรชิตส่ายหน้าเหนื่อย ๆ ตอบ
“อย่างที่ผมบอกคุณพฤกษ์เมื่อกี้ ..ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้”
“หมายความว่าแกก็เริ่มทำอะไรแล้วใช่ไหม บอกฉันซิว่าแกทำอะไรไปบ้าง”
“คือผม”
พฤกษ์เอียงคอมอง
“ตั้งแต่ที่พีร์บอก ผมก็พยายามแอบดูอยู่ตลอดครับ แต่ก็ไม่เห็นว่าครูนนท์จะทำอะไรอย่างที่น้องบอกเลย นาน ๆ ไปพีร์ก็เริ่มทนไม่ไหว แต่ผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปกล่าวหาครูเขานี่ครับ ..ผลมันก็เลยออกมาแบบวันนี้”
พฤกษ์ยกนิ้วหัวแม่มือเกาคาง ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิด อินทรชิตจึงร้อนรนพูดไปว่า
“ผมคิดว่าครูนนท์อาจจะเห็นว่าพีร์น่าเอ็นดูเลยทำแบบนั้น ..มันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับที่ผู้ใหญ่จะถึงเนื้อถึงตัวเด็ก”
“ปกติหรือ..”
เสียงของคุณพฤกษ์ราบเรียบจนอินทรชิตรู้สึกว่าตนเองเผลอพูดอะไรผิดไปอย่างแน่นอน ทว่าคุณพฤกษ์กลับหัวเราะในคอ พูดต่อไปว่า
“นั่นสิ มันคงปกตินั่นแหละถ้าผู้ใหญ่ที่แกว่าไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง”
“หมะ หมายความว่ายังไงหรือครับ”
“บางทีเดรัจฉานก็อาจมาในคราบของคุณครูแสนใจดีก็ได้ ..ใครจะไปรู้”
พูดจบคุณพฤกษ์ก็ลุกเดินออกไปราวกับว่าหมดธุระจะพูดคุยกับเขาแล้ว เด็กหนุ่มได้สติหลังจากที่ครุ่นคิดถึงคำพูดที่คุณเขาทิ้งเอาไว้เป็นปมก็รีบลุกจากเก้าอี้ตามไปเดินข้าง ๆ
อีกฝ่ายไม่ได้ผลักไสไล่ส่งให้อินทรชิตออกห่างเหมือนอย่างทุกทีทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจอยู่พอสมควร ทว่าความดีใจกลับมีมากกว่า
หัวใจของอินทรชิตบีบรัดด้วยความสุขที่มีมากล้นจนคับอก
ครั้งแรกเสียด้วยซ้ำที่คุณพฤกษ์ให้ตนเข้ามาที่สวนด้วยความเต็มใจ
ครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เดินอยู่ข้าง ๆ โดยที่ไม่ถูกคุณพฤกษ์มองด้วยสายตาเกลียดชัง
คุณพฤกษ์หยุดยืนก่อนจะหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ใบหน้านั้นยังคงนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลง ซ้ำแววตายังคงเย็นเยียบไร้ความรู้สึกอื่นใดไม่เคยเปลี่ยนแปลง..
ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มงดงามที่ทำให้ใจคนเฝ้ามองเต้นระรัวอย่างรุนแรง
“เรื่องนี้ฉันจะหาวิธีให้พงพีก็แล้วกัน เอาเป็นว่าไม่เกินอาทิตย์หน้าคงมีทางออก”
ระยะเวลาเรียนพิเศษของวันอาทิตย์อยู่ที่เก้าโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น เกือบจะเทียบเท่าเวลาเรียนจริง ๆ ในหนึ่งวันของโรงเรียนทั่วไป
ตลอดทั้งวันคนในบ้านไม่ทราบว่าคุณพฤกษ์หายตัวไปอยู่ที่ไหนอีกแล้ว กระทั่งอินทรชิตก็ไม่ทราบ ทั้งวันเด็กหนุ่มวุ่นวายอยู่กับการเข้า ๆ ออก ๆ ห้องนั่งเล่นเล็กเพื่อสอดส่องและอยู่เป็นเพื่อนน้องชายระหว่างการสอนของอานนท์
หากกล่าวถึงคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ นอกจากสวนหย่อมที่ตกแต่งได้งดงามและยิ่งใหญ่แล้ว ตัวคฤหาสน์เองก็ตระการตาไม่แพ้กัน คฤหาสน์ประกอบด้วยชั้นทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกคือห้องโถงใหญ่ ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด ห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องนอนคนงาน ส่วนสระว่ายน้ำและฟิตเนสอยู่ส่วนนอกของตัวคฤหาสน์
ชั้นสองเป็นห้องนอนของพวกเด็ก ๆ และห้องนอนเอาไว้ใช้รับแขก
บนชั้นสามของคฤหาสน์ ฝั่งซ้ายทั้งหมดเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าสัวพนา ส่วนฝั่งขวาเป็นพื้นที่ของพฤกษ์ นอกนั้นยังมีห้องซีซีทีวีที่เอาไว้ใช้สอดส่องดูแลความปลอดภัยของคฤหาสน์อีกด้วย เดิมทีห้องนี้จะมีลูกน้องของเจ้าสัวพนานั่งเฝ้าอยู่ตลอดแต่ภายหลังถูกเรียกตัวไปช่วยงานอื่นจึงถูกร้างหน้าที่มาสักพักแล้ว
จากหน้าจอเกือบสิบ พฤกษ์เฝ้ามองอยู่แค่หน้าจอเดียวคือกล้องวงจรปิดจากในห้องนั่งเล่นเล็ก เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปเห็นนาฬิกาดิจิตอลบนจอที่บอกว่าตอนนี้ล่วงเลยจนถึงเวลาที่พงพีเลิกเรียนพิเศษแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
พฤกษ์เดินลงมาเจออานนท์กำลังยื้อฉุดกับพงพีอยู่
“พีร์” พฤกษ์เรียก พอเด็กชายเห็นเขาจึงรีบสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้นและวิ่งมาหลบอยู่ด้านหลังทันที พฤกษ์รู้สึกได้ถึงมือเล็กที่เกาะเอวกำลังสั่นเทิ้มจนผิดปกติ
“อ้าว คุณพฤกษ์” อานนท์ยิ้มแย้มให้เขา เขาจึงยิ้มตอบ
“จะกลับแล้วหรือครับ”
“ครับ งั้นผมลาตรงนี้เลย” อานนท์พูดกับเขาแต่สายตากลับจับจ้องไปที่เด็กชายข้างหลัง น้ำเสียงทุ้มพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ ทว่าพงพีกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนแปลก ๆ
“น้องพีร์ เป็นเด็กดีอย่าลืมทำการบ้านด้วยล่ะ ครูไปก่อนนะครับ”
พฤกษ์จูงพงพีมายืนส่งอีกฝ่ายขึ้นแท็กซี่จนรถขับลับหายไปจนสุดถนน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกทันที
(พฤกษ์ ? นั่นแกหรือ พ่อแปลกใจที่โทรมานะ) เสียงทุ้มของเจ้าสัวพนาดังลอดออกมาตามสาย พงพีที่ได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อก็ตาเป็นประกายวิบวับทันที
“อืม” เขาครางรับในคอ “แปลกใจที่โทรไปเหมือนกัน”
พฤกษ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ
(มีอะไรหรือ?)
“มีเรื่องให้คนของพ่อช่วยนิดหน่อย”
(อะไร)
พฤกษ์ก้มหน้าลงเจอกับน้องชายที่จ้องเขาตาใสแจ๋ว มือเรียวบางยกขึ้นมาวางแบะบนศีรษะทุยก่อนจะออกแรงโยกไปมาเบา ๆ อย่างหมั่นไส้
“งานง่าย ๆ”
(เช่น..)
“สืบประวัติคน ๆ หนึ่ง”
ฉัตรตะวันรู้สึกถึงแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องนอน เขาขยับตัวอย่างเชื่องช้า พลิกกายและวาดแขนออกไปเพื่อคว้าคนข้างตัวมากกกอดเหมือนอย่างที่กระทำตลอดทั้งคืน ทว่าที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า เขาสะดุ้งตัวตื่นเต็มตาอย่างตกใจ ข้างกายไร้เงาของพฤกษ์ มีเพียงความอุ่นร้อนของร่างกายที่เหลือทิ้งเอาไว้บนเตียง
หายไปไหนเสียแล้ว
ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะเซเล็กน้อยเพราะอาการมึนเมาที่ยังไม่หมดฤทธิ์ ฉัตรตะวันหลับตาหยี เขารู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทว่าสักพักก็หายไป ร่างสูงได้ยินเสียงโครกครากออกมาจากห้องน้ำ คาดว่าพฤกษ์คงหายไปอาเจียนอยู่ในนั้นไม่ผิดแน่ ความโล่งใจพลันเกิดขึ้นในอก เขาล้มตัวลงนอนต่อทันที เพียงไม่นานเสียงชักโครกก็ดังขึ้นพร้อมประตูห้องน้ำที่เปิดออก ร่างโปร่งบางเปลือยท่อนบนของพฤกษ์เดินกระท่อนกระแท่นออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฉัตรตะวันที่นอนอยู่หรี่ตาข้างหนึ่งแอบมอง เขาเห็นอีกคนเดินเปลือยท่อนบนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ใช้นิ้วเท้าคีบเอาเสื้อยืดใส่นอนที่ตนเองละเมอถอดขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง
ฉัตรตะวันกลิ้งตัวไปหยุดตรงข้างเอว เท้าศีรษะมองแขนขาวผ่องที่อยู่ตรงหน้า
“ถอดเสื้อนอนอีกแล้ว”
พฤกษ์หันกลับมามอง ดวงตาเรียวรีไร้อารมณ์หรี่ลงเป็นเส้นตรงเพราะขาดแว่นสายตา
“มันร้อน” เขาตอบ “ผมขี้ร้อน”
ฉัตรตะวันขานรับในคอก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง ยกมือขึ้นแตะแก้มเนียน พูดว่า
“อาการคุณแย่”
“ยังไหวอยู่” พฤกษ์โบกมือ
“ไปเอาออกมาค่อยโล่งหน่อย”
ฉัตรตะวันหัวเราะหึ “ใครใช้ให้คุณดื่มไปขนาดนั้น”
พฤกษ์เลิกคิ้ว “ผมสิแปลกใจ คุณสร่างเร็วชะมัด”
เขามองเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกทึ่ง อีกฝ่ายอยู่ในสภาพปกติจนน่าเหลือเชื่อสำหรับคนที่เมาไปก่อนตั้งนาน ส่วนเขานี่สิ บอกว่าตัวเองเป็นขี้เหล้าในระดับหนึ่งแต่พอเอาเข้าจริง ๆ ภาพตัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่พฤกษ์ไม่อาจทราบได้
“คอแข็ง เมายากสร่างไว อันที่จริงสร่างตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ มีแรงพออุ้มคุณกลับมานอนเหลือเฟือ” ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มอบอุ่นก่อนจะเอื้อมไปหยิบแว่นสายตาที่หัวเตียงส่งคืนเจ้าของ พฤกษ์รับมันมาสวมใส่พลางบิดขี้เกียจ
“เมื่อยตัวชะมัด” พฤกษ์พูด “รู้สึกเหมือนถูกรัดทั้งคืน”
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น‘ฝ่ายรัด’แข็งค้างไปเล็กน้อย ฉัตรตะวันไม่คิดว่าคนเมาอย่างพฤกษ์จะรู้สึกถึงแรงกอดรัดจากตนตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มเกาจมูก หาข้อแก้ตัวที่ดูแนบเนียนตอบไปว่า
“โทษที ผมติดหมอนข้าง”
“อ้อ” พฤกษ์หันไปมองเตียง ดวงตาปรากฏความแปลกใจเล็กน้อย ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าติดหมอนข้างแต่เมื่อมองดูโดยรอบแล้วกลับไม่เห็นหมอนข้างอยู่ในห้องนอนเลยสักใบ
ความคิดบางอย่างสะกิดใจพฤกษ์‘อีกแล้ว’
เขาสะบัดความคิดแปลก ๆ นั้นออกก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาเห็นชุดของเมื่อวานถูกแขวนเก็บไว้อย่างเรียบร้อยโดยเจ้าของห้อง
“คุณจะอาบน้ำก่อนไหม? ”
“ไม่ครับ กลับไปอาบที่บ้านดีกว่า”
“กลับหรือ ผมไม่อยากให้คุณขับรถตอนนี้เลย”
“คุณฉัตร” พฤกษ์เอี่ยวตัวหันกลับมายิ้ม “เป็นห่วงเกินไปแล้ว ผมบอกแล้วว่าไหว”
ฉัตรตะวันยกมือ “โอเค ยอมแพ้”
อีกฝ่ายหันกลับไปใส่เสื้อผ้า ส่วนเจ้าของห้องยังคงนั่งมองอยู่บนเตียง ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางสะโอดสะอง ช่วงตัวเพรียวยาว เอวอ่อน ผิวหลังขาวผุดผ่องชวนให้จินตนาการเตลิดลอยไปไกลแสนไกล ชายหนุ่มกระพริบตาอีกที เห็นพฤกษ์ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ทว่ายังไม่ติดกระดุมเสื้อและแผ่นอกขาวยังคงปรากฏรอยแผลเป็นที่เขาไม่รู้ที่ไปที่มา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ฉัตรตะวันจ้องมองแผ่นอกนั้นอยู่นานก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“ผมไม่เคยเห็นแผลเป็นนั่นเลย”
นิ้วมือขาวที่กำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตอยู่พลันชะงักไป ฉัตรตะวันที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นจึงพูดต่อไปว่า
“คุณพฤกษ์ได้มันมาตอนไหนหรือครับ”
พฤกษ์ยิ้มเป็นนัย “พูดไปคุณคงไม่เชื่อ”
เขาคว้าข้อมือบางดึงตัวอีกคนเข้ามายืนอยู่ตรงระหว่างขา พูดยิ้ม ๆ
“ลองพูดหรือยัง”
“เฮ้อ” พฤกษ์ถอนใจก่อนจะเปิดสาบเสื้อด้านซ้ายออกกว้างให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดูอย่างไม่ปิดบัง นิ้วมือขาวผ่องอีกข้างคว้ามือแกร่งมาวางแนบบนรอยแผลเป็นนั้นเป็นเชิงให้ลองลูบสัมผัสดู ฉัตรตะวันหัวใจเต้นแกว่งไปหลายจังหวะ ไม่ใช่เพราะรอยแผลแต่เป็นเพราะฝ่ามือเขาไปสัมผัสเข้ากับยอดอกสีชมพูเนียนใสที่ชูชันขึ้นเพราะอุณหภูมิห้องของพฤกษ์อย่างจัง เขาสะกดข่มจิตใจดำมืดของตนเองลงและขยับนิ้วมือไปลูบเพียงแผ่วเบาที่รอยแผลเป็นคล้ายหลุมเล็ก ๆ แทน
พฤกษ์ยืนมองนิ้วมือของอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวเหนือแผ่นอก ดวงตาเรียวรีกลับมาเยียบเย็นไร้ความรู้สึกอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวในกาลก่อนที่เป็นต้นเหตุของร่องรอยนี้
“ดูไม่เหมือนรอยมีดหรืออะไรทำนองนั้นเลย”
ฉัตรตะวันพูดขึ้นก่อนจะละมือจากร่างกายอีกฝ่าย
“มันคือรอยกระสุน” น้ำเสียงนุ่มพูดราวกับตนไร้ความรู้สึกไปแล้ว “ผมถูกยิงตรงนี้”
“เป็นไปได้หรือ? เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นทำไมไม่เห็นเคยรู้มาก่อน อย่าลืมสิ ผมอยู่กับคุณพฤกษ์ตลอดนะ”
พฤกษ์ยกมือขึ้นติดกระดุมเสื้อ หัวเราะในคอ พูดทีเล่นทีจริง
“ใช่ คุณอยู่กับผมตลอดนั่นแหละ ..ถ้าเป็นตัวผมที่อยู่ที่นี่ละก็นะ”
“ผมไม่เข้าใจ” ที่ถูกคือ ‘ตัวผมที่อยู่ที่นี่’ มีหมายความว่าอะไร
“ก็ไม่ได้หวังให้คุณเข้าใจนี่นา”
“โธ่..” เขาลากเสียงยาว “อย่าทำให้สงสัยแล้วจากไปสิครับ ทุกเรื่องของคุณผมอยากรู้นะ”
พฤกษ์หันไปมองฉัตรตะวันที่ทำหน้าบึ้งอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะหัวเราะให้เป็นคำตอบ
“สรุปว่าหายงอนแล้วใช่ไหม? ” พฤกษ์ถามขณะที่เขาทั้งคู่อยู่ในลิฟต์ ชายหนุ่มมองเข้าไปผนังลิฟต์เห็นฉัตรตะวันที่ยังอยู่ในชุดนอน สวมสลีปเปอร์และหัวฟูเล็กน้อยทว่ากลับดูดีอย่างเหลือเชื่อ
ฉัตรตะวันหันมายิ้มกว้าง ดวงตามีประกายระยิบระยับ พูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“ผมจำไม่ได้ว่าเคยงอน”
“อ่า” พฤกษ์รู้สึกมีเมฆทะมึนครึ้มฟ้าครึ้มฝนลอยอยู่เหนือหัวตัวเอง เขากดปุ่มกุญแจรถยนต์ในมือเล่น สงสัยอยู่เหมือนกันว่าใครกันนะใครกัน ใครที่เดินปึงปังขับรถออกไปทันทีที่เขาพูดว่าให้รอก่อน
ฉัตรตะวันเหลือบมองสีหน้าเรียบนิ่งนั้นก่อนจะผุดรอยยิ้มเป็นสุขอย่างไม่ปิดบัง
อีกฝ่ายเดินมาส่งเขาถึงที่ลานจอดรถ ก่อนจะลากัน ในตอนที่พฤกษ์กำลังจะเข้าไปนั่งในรถ ชายหนุ่มกำประตูเอาไว้แน่น ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดหรือถามอยู่เต็มหัว
“ครับ? ” พฤกษ์เลิกคิ้วและช้อนสายตาขึ้นมองคนที่ยืนค้ำประตูรถ ฉัตรตะวันมีความลังเลอยู่ในแววตาเล็กน้อย พูดว่า
“เมื่อคืนคุณ.. จำอะไรได้ไหม”
พฤกษ์ส่ายหน้า “ภาพตัดตั้งแต่อยู่ในครัว”
“งั้นหรือ”
“ผมทำอะไรน่าอายไปหรือเปล่า? ”
ฉัตรตะวันมองไปที่ริมฝีปากสีชมพูเรื่อก็พลันหน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เขารีบส่ายหน้าและปล่อยมือจากประตูรถทันที ท่าทางหลุกหลิกจนเสียความเป็นตัวเองไป
“ไม่ ..ไม่มีครับ”
พฤกษ์มีสีหน้าโล่งใจกับคำตอบนั้น ยกยิ้มที่มุมปาก พูดว่า
“งั้นเจอกันวันจันทร์ที่มหาลัยนะครับ”
“ครับ” ฉัตรตะวันพยักหน้า “ถึงแล้วโทรมานะ”
“ครับ”
รถยนต์ของพฤกษ์ขับออกจากลานจอดรถไปไกลลับตาแล้วแต่เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัว ฉัตรตะวันยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง ความอุ่นร้อนของสัมผัสนั้นยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหาย
ดวงตาเรียวรีไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใดเหม่อมองตัวเลขสีแดงที่นับถอยหลังบนสัญญาณไฟจราจร มือขาวข้างหนึ่งที่กุมพวงมาลัยอยู่ปล่อยขึ้นมาลูบใบหน้าโดยแรงจนแดงไปหมด
พฤกษ์เป็นคนจูบก่อนเองแท้ ๆ ทำไมจะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ..
ที่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็เพราะถ้าพูดออกไปโต้ง ๆ จำพวก ‘อ๋อ จำได้สิ ผมจูบคุณด้วยใช่ไหมล่ะ’ มันออกจะดูกระดากปากอย่างไรชอบกล อีกอย่างพฤกษ์กลัวว่าเขาและฉัตรตะวันจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ ไม่สู้แกล้งทำเป็นเมาแล้วจำอะไรไม่ได้เสียยังดีกว่าต้องบากหน้ายอมรับความจริงว่าจูบกับเพื่อนสนิทไปแล้ว
ใช่ จูบไปแล้วเพราะเมาจนหลอนเห็นเพื่อนสนิทเป็นคนรักเก่า
“เฮ้อออ” พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด
“อัครนะอัคร คุณยังตามมาหลอกหลอนผมจนถึงที่นี่เลยหรือ”
พฤกษ์กลับมาถึงคฤหาสน์หลังงามของตนในที่สุด หน้าประตูทางเข้านั้นมีรถแท็กซี่จอดขวางอยู่ทำให้เขาขับเข้าไปไม่ได้ พฤกษ์ที่นั่งมองทุกความเป็นไปอยู่ในรถอย่างใจเย็น ทว่าเพียงไม่นานชายร่างสูงคนหนึ่งก็ออกมาจากรถแท็กซี่คันนั้น พฤกษ์หรี่ตามองใบหน้านั้นก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าชายคนนี้คืออานนท์ครูพิเศษที่พ่อของเขาจ้างวานมาเพื่อพงพีโดยเฉพาะ
อนึ่ง ด้วยความที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าพงพีเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีปัญหาในด้านการพัฒนา พฤกษ์ไม่ทราบว่ามันเป็นผลกระทบจากพันธุกรรมของผู้เป็นแม่เหมือนในกรณีของมาลีวัลย์หรือเปล่าถึงทำให้พงพีกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ไม่จดจ่อกับคำสั่ง ขี้ลืมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คิดอ่านประมวลผลช้ากว่าคนอื่น รวมไปถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เวลาโกรธ ดังนั้นนอกจากการหาหมออย่างสม่ำเสมอแล้วจึงจำเป็นต้องมีครูคอยทบทวนบทเรียนย้อนหลังและล่วงหน้าเพื่อให้สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
พฤกษ์ขับรถเข้าไปขนาบข้าง บีบแตรเรียกความสนใจครั้งหนึ่งก่อนจะลดกระจกลง
อานนท์ที่หันมาเห็นนายจ้างจึงยิ้มทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ พฤกษ์ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าหลายปีแต่ก็น้อยกว่าพฤกษ์ในกาลก่อนที่อายุย่างเข้าสามสิบปลาย ดังนั้นจึงเกิดเป็นความเคยชินและลืมตัวอยู่บ่อยครั้งว่าตัวเขาในกาลนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบ
“ขึ้นมาสิครับ ทางเดียวกันไปด้วยกัน”
“โอ้ ..” อานนท์ประหลาดใจในความเอื้อเฟื้อของนายจ้างที่ปกติทำตัวเชิดหยิ่ง เงียบขรึมและชอบมองผู้อื่นที่ตกต่ำด้วยแววตาดูแคลนอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มกว้างและขออนุญาตเปิดประตูอีกข้างขึ้นไปประจำข้างที่นั่งคนขับ
“คุณพฤกษ์มาจากไหนหรือครับ” อานนท์เอ่ยทัก
“ค้างที่ห้องเพื่อนมาครับ”
“อ้อ..”
บทสนทนาหยุดที่ตรงนั้นและเงียบจนถึงตัวบ้าน ลุงแสงเป็นคนแรกที่ปรี่ตัวเข้ามาเปิดประตูแต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นอานนท์นั่งยิ้มอยู่ข้างเจ้านาย
“อ้าว คุณครู”
“สวัสดีครับลุงแสง” เขาเหลือบมองพฤกษ์ที่กำลังดับรถยนต์ “ขอบคุณนะครับ”
เขาพยักหน้าตอบไม่ได้พูดอะไรยืดเยื้อก่อนจะพากันลงจากรถไป พฤกษ์มองไล่หลังชายหนุ่มที่เดินถือกระเป๋าขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านก่อนจะหันมาหาลุงแสงที่ยืนคอยอยู่ เขายื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย พูดว่า
“วันนี้ฝากล้างรถ เติมลมให้ด้วยนะครับ”
พฤกษ์เปลี่ยนรองเท้าและเข้ามาในบ้าน ทันเห็นหลังไว ๆ ของอานนท์เดินไปนั่งรอลูกศิษย์ในห้องนั่งเล่นเล็กเหมือนทุกอาทิตย์ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องนอน เขารู้สึกเหนียวเหงื่อ ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะชำระร่างกายเต็มที
ทว่าเดินไปถึงชั้นสอง ตรงชานพักบันไดเขาเห็นร่างเล็กของพงพีกำลังนั่งคดคู้กอดซี่บันได หน้าตาหมดอาลัยตายอยากเต็มทีเหมือนกัน
พอเด็กชายเห็นว่าใครยืนอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายจากซี่บันไดมาเป็นขาข้างหนึ่งของพฤกษ์แทน ดวงตาที่โศกเศร้าแหงนขึ้นมองเขา พงพีพูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า
“อยากตาย”
พฤกษ์ยื่นหลังมือไปเคาะหน้าผากมนโดยแรง พูดว่า
“อย่าเพิ่งตาย”
เมื่อถูกมะเหงกจากคุณพฤกษ์ไปที พงพีค่อยได้สติขึ้นมาจากอาการซึมกะทือแต่กระนั้นก็ยังคงเกาะขาพฤกษ์แน่นราวกับลูกลิงไม่ยอมปล่อย พฤกษ์ยกเท้าอีกข้างเตะเบา ๆ ที่ลำตัวของเด็กชาย พูดขึ้นว่า
“เป็นอะไร ฉันว่าแกควรไปเรียนได้แล้วนะ”
พงพีส่ายหน้าจนผมหน้าม้ากระดิก ขอบตาแดงรื้นขึ้นเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องออกมา
“ปล่อย” พฤกษ์ลากขาตัวเองเพื่อจะขึ้นบันไดแต่ก็พ่วงเอาเจ้าเด็กดื้อด้านกระเตงตามขึ้นไปด้วย สภาพออกมาแทบจะเรียกว่าทุลักทุเล กระทั่งพฤกษ์ยันตัวเองเดินขึ้นมาได้สามขั้นจึงยอมแพ้
“ฉันเหนื่อยแล้ว” เขาพูด “แกมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
พงพีปากสั่น สีหน้าหวาดหวั่นราวกับกินยาขม และก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมร่างโปร่งของอินทรชิตที่ชะโงกหน้าขึ้นมาจากชั้นสอง
“พีร์! ” อินทรชิตหน้าตาตื่นรีบปรี่เข้ามาดึงพงพีออกจากไปโดยเร็ว
“ทำอะไร! ปล่อยคุณพฤกษ์นะ! ”
“ไม่เอา! ”
พฤกษ์ตัวโอนไหวไปตามแรงกอดรัดจากพงพีและแรงดึงจากอินทรชิตอีกทอดหนึ่ง สีหน้าเขาตอนนี้แสดงอารมณ์ไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
“พีร์ทนมานานแล้วนะ ถ้าพี่อินทร์ไม่ยอมทำอะไรพีร์จะบอกคุณพ่อ! ”
แล้วมากอดขาฉันทำไม ฉันเป็นพ่อแกเรอะ!
“พี่จัดการให้อยู่แล้วล่ะน่า! แต่มันไม่ใช่ตอนนี้! ” ในที่สุดอินทรชิตก็จัดการแงะเอาลูกลิงออกจากของพฤกษ์ได้สำเร็จ เด็กหนุ่มกดไหล่ทั้งสองข้างของน้องชายเอาไว้แน่นก่อนจะพูด
“อดทนไปก่อนนะพีร์”
พงพีน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น พฤกษ์ราวกับกำลังดูละครโศกก็ไม่ปาน
“อดทนอีกแล้ว! ” จากนั้นเด็กชายก็พูดขึ้นอย่างเหลือทนพร้อมกับวิ่งตึง ๆ หายลงไป
อินทรชิตหันกลับมามองเขา ดวงตาเป็นประกายบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ความหมาย ไม่เพียงเท่านั้นแต่พฤกษ์ยังเห็นหางและหูทิพย์ของมันโผล่ออกมาอีกแล้ว
พฤกษ์ขยี้ตาอีกครั้ง หางและหูทิพย์ของอินทรชิตก็พลันหายวับไป จึงคิดเองเออเองคนเดียวว่าคงเห็นภาพหลอนเพราะยังเมาค้างอยู่..
เขาส่ายหัวเบา ๆ ปัดความคิดไร้สาระออกไปก่อนจะหันหลังเตรียมขึ้นบันไดต่อ ทว่าพฤกษ์กลับรู้สึกว่ามีสายตาร้อนแรงคู่หนึ่งจับจ้องมาจนแทบลุกไหม้ เขาหันขวับไปมองทันทีอย่างตื่นตระหนก แต่กลับพบเพียงแค่อินทรชิตที่ยืนมองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายสุกใส
ดูเหมือนจะคิดมากไปเอง ตรงหน้าเขามีแค่เด็กหน้าเซ่อคนหนึ่งก็เท่านั้น แต่ไอ้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นเมื่อครู่มันอะไรกัน น่ากลัวชะมัดยาด
“เอ่อ ..คุณพฤกษ์” อินทรชิตได้โอกาสที่คุณพฤกษ์เขาหันกลับมาสนใจเป็นครั้งที่สองจึงพูดออกไปอย่างขลาด ๆ
“มีอะไร”
“...” อินทรชิตมีคำถามอยู่เต็มหัว อย่างเรื่องที่คุณพฤกษ์หายไปไหนมาทั้งคืน ไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไรกับใคร แต่ทว่าเด็กหนุ่มไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวให้คุณเขารู้สึกอึดอัด ดีไม่ดี อาจจะถูกคุณเขาพาลเกลียดขี้หน้าขึ้นมากว่าเดิมอีก
เด็กหนุ่มยืนอ้ำอึ้งอยู่นานจนพฤกษ์เริ่มทนรอไม่ไหว เขาพูดว่า
“แกก็อีกคน มีอะไรจะพูดก็ไม่พูด อมไว้ในปากแล้วท่ามากอยู่ได้ รำคาญจริง ๆ ”
อินทรชิตทำหน้าราวกับจะร้องไห้ที่ถูกคุณพฤกษ์รำคาญใส่ เด็กหนุ่มจึงเก็บคำถามพวกนั้นกลับเข้าไปฝังให้ลึกสุดใจก่อนจะเบี่ยงประเด็น
“พีร์ ..เหมือนจะมีปัญหาครับ”
“เด็กนั่นทำไม”
อินทรชิตกำลังจะพูดตอบ ทว่าคุณพฤกษ์กลับยกมือห้าม
“ขอฉันอาบน้ำก่อน แกไปรอที่สวนปีกขวา”
‘แกไปรอที่สวนปีกขวา’
อินทรชิตเดินกุมหัวใจที่พองโตของตนเข้าไปยังสวนหย่อมปีกขวาของตัวคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ ด้านหลังมีต่ายที่เดินถือของว่างตามไปติด ๆ เด็กหนุ่มเลือกนั่งลงบนชุดเก้าอี้อัลลอยด์สีขาวใต้ร่มต้นพญาสัตบรรณ จัดแจงช่วยต่ายยกของว่างและน้ำดื่มขึ้นเรียงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
“คุณอินทร์ต้องการอะไรอีกไหมคะ”
“ไม่มีครับพี่ต่าย ขอบคุณมาก”
ต่ายจากไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่ยังคงนั่งรออยู่ด้วยใจที่เฝ้าคอย เด็กหนุ่มมองไปโดยรอบอย่างตื่นตา ที่นี่คือสวนฝั่งปีกขวาของคฤหาสน์ เป็นสถานที่ส่วนตัวของคุณพฤกษ์ นอกจากคุณพนาที่เป็นเจ้าของบ้านและคนสวนคนงานบางคน คุณพฤกษ์ก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครเฉียดเข้าใกล้เลยสักคน อินทรชิตและน้อง ๆ เคยรั้นแอบเข้ามาอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ก็ถูกคุณเขาตีด้วยไม้เรียวจนน่องเขียวหลังลายทุกครั้ง
เด็กหนุ่มเคยสงสัยว่าทำไมคุณพฤกษ์ถึงหวงสวนนี้เหลือเกิน จนกระทั่งคุณพนาหลุดปากเล่าออกมาว่าสวนแห่งนี้เป็นสวนที่คุณพฤกษ์กับคุณแก้วตามีความทรงจำอยู่ร่วมกันจึงทำให้อินทรชิตเข้าใจความหวงแหนของคุณพฤกษ์ในที่สุด
เมื่อมองดูแล้วสวนปีกขวามีความแตกต่างกับสวนปีกซ้ายอยู่มาก ถึงแบบแปลนจะเหมือนกันทว่าบรรยากาศและการจัดสวนรวมไปถึงประเภทของต้นไม้และดอกไม้กลับไม่เหมือนกัน ทางด้านปีกซ้ายเน้นความสดใส ร่มรื่นแก่ผู้พบเห็นจึงมีต้นไม้ดอกไม้หลากหลายสีและหลากหลายชนิด ตรงข้ามกับสวนปีกขวา ที่นี่จัดสวนเน้นตามความชอบของคุณพฤกษ์เป็นใหญ่ และความชอบของคุณพฤกษ์คือดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอม ดังนั้นในสวนแห่งนี้จึงอุดมไปด้วยสีเขียวสลับขาวปลอดไม่มีสีใดปะปน ทั้งปีบ แก้ว มะลิ จำปา จำปี โมก พุดซ้อน ลีลาวดี กรรณิการ์ กุหลาบขาว พลับพลึง พยอม และอีกมากมายที่เขาไม่รู้จัก
หลายชื่อที่พูดมานั้นอินทรชิตและคนในบ้านไม่มีใครมีปัญหากับความชอบของคุณพฤกษ์เขาหรอก ดีเสียอีกที่มีกลิ่นหอม ๆ โชยมาให้ได้กลิ่นตามลม
แต่ที่เป็นปัญหาคือต้นที่อยู่เหนือหัวเด็กหนุ่มนี่แหละ อินทรชิตเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่มเงาที่ตนเองนั่งอยู่
...มันคือต้นพญาสัตบรรณ หรืออีกชื่อ ตีนเป็ด
อินทรชิตทำจมูกบานฟุดฟิด แค่ได้ยินชื่อก็พาลให้คลื่นเหียนทันที ดีเสียที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่มันพ่นพิษทางอากาศออกมา ไม่อย่างนั้นคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ก็ไม่ต่างอะไรกับนรกขุมสุดท้ายเลยสักนิด
เขาไม่ได้อยากเปรียบเทียบให้ฟังดูเลวร้าย แต่เชื่อเสียเถิด ความเป็นจริงโหดเหี้ยมกว่านั้นไปไกลมาก ไม่มีใครที่นี่ชมชอบกลิ่นหอมที่หอมจนฉุนของมันเลยสักคน ยกเว้นเสียแต่คุณพฤกษ์ที่ดูจะชอบกลิ่นของมันนักหนา ยิ่งช่วงต้นฤดูหนาวที่ดอกเริ่มออกก็จะเห็นคุณเขาไปยืนดมอยู่ได้ตั้งนานสองนานในขณะที่คนอื่น ๆ สูดเข้าไปครั้งเดียวจมูกแทบพังกันไปข้าง
อะ ...อำมหิต
อินทรชิตคิดมาเสมอว่าคุณพฤกษ์ช่างแข็งแกร่งเกินใคร ขนาดคุณพนาที่เขาคิดว่าไม่มีใครแข็งข้อได้ยังต้องยอมศิโรราบแล้วระหกระเหินไปอยู่ที่อื่นในช่วงที่ต้นพญาสัตบรรณออกดอกผลิบานและทิ้งให้คนอื่นในบ้านก้มหน้ารับชะตากรรมอันโหดเหี้ยมต่อไป นั่นเพราะไม่มีใครกล้าคานอำนาจของคุณพฤกษ์ แถมคุณพนายังตามใจไม่กล้าขัดหรือปรามลูกชายในเรื่องนี้อีกด้วย สุดท้ายทุกคนก็มีหน้าที่กัดฟันสูดดมกลิ่นของมันตั้งแต่ต้นฤดูหนาวไปจนจบฤดูฝน
อินทรชิตจ้องขึ้นไปบนปลายยอดใบไม้ที่แผ่ขยายของต้นพญาสัตบรรณอีกครั้ง น้ำตาเหมือนจะไหลอาบหน้าเสียให้ได้เมื่อนึกถึงกลิ่นของมันที่จะฟุ้งกระจายไปทั่วในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
“เหม่ออะไรของแก”
อินทรชิตสะดุ้งเฮือก กระพริบตาปริบ ๆ มองคุณพฤกษ์ที่นั่งลงตรงข้าม กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ปลิวล่องตามลมมาถึงเขา ทำเอาหัวใจแกว่งไปหลายครั้งทีเดียว
คุณพฤกษ์ยกน้ำขิงในแก้วขึ้นจิบ ท่าทางดูอ่อนเพลียจากสาเหตุบางอย่าง
“นอนไม่พอหรือครับ”
“ฉันเมาค้าง”
เป็นอันว่าคุณเขาได้ตอบคำถามที่อยู่ในใจของอินทรชิตไปเรียบร้อยแล้วถึงสาเหตุที่หายออกไปตลอดทั้งคืน ...ที่แท้ไปดื่มมานี่เอง
คุณพฤกษ์แหงนหน้าขึ้น พูดชมนกชมไม้ไปเรื่อยว่า
“เดี๋ยวมันก็ออกดอกแล้วสินะ”
จบประโยคนั้นขนอ่อนของอินทรชิตทุกเส้นพลันลุกชูชันขึ้นพรึ่บพรั่บ เหงื่อกาฬก็พลันแตกตัวไหลพลั่ก ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ เด็กหนุ่มยิ้มแห้งพลางยกมือขึ้นลูบขนที่แขนลง
“เรื่องที่แกจะพูดคืออะไร? ”
“อันที่จริงมันเป็นแค่การพูดลอย ๆ ของพีร์น่ะครับ ผมยังพิสูจน์อะไรไม่ได้เลยยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่”
“แล้วคิดว่ามันเป็นปัญหาไหม”
“คิดว่าเป็นครับ”
“อืม” คุณพฤกษ์พยักหน้า “งั้นเล่ามา ฉันจะรับฟัง”
อินทรชิตขยับตัวนั่งหลังเหยียดตรง กระแอมในคอพลางจ้องไปที่คุณพฤกษ์ด้วยดวงตาพราวระยับ
ทางด้านพฤกษ์ที่เห็นอย่างนั้นจึงยกน้ำขิงขึ้นจิบทันที ดูเหมือนอาการเมาค้างยังไม่หายไปไหนเขาถึงได้เห็นหางและหูทิพย์ของมันกระดิกไปมาอีกแล้ว
“น้องบอกกับผมว่าไม่อยากเรียนพิเศษวันอาทิตย์แล้ว”
“ทำไม”
“พีร์ไม่ชอบครูครับ”
“ทำไมไม่ชอบ”
“เอ่อ.. เพราะ” อินทรชิตเกาแก้ม รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกเรื่องต่อจากนี้ คุณพฤกษ์หรี่ตาลงต่ำมองเด็กหนุ่มลอดผ่านกรอบแว่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไปถึงกระดูก
“พูด”
เด็กหนุ่มพูดออกไปอย่างว่าง่าย
“ครูนนท์ชอบ เอ่อ.. ใกล้ชิดเกินไป ผมอธิบายไม่ถูกครับคุณพฤกษ์ น้องบอกว่าครูชอบเข้าใกล้ ลูบหัว กอด หอม หรือทำอะไรให้รู้สึกกลัว ๆ ”
“แกเห็นกับตาหรือเปล่า”
อินทรชิตส่ายหน้าเหนื่อย ๆ ตอบ
“อย่างที่ผมบอกคุณพฤกษ์เมื่อกี้ ..ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้”
“หมายความว่าแกก็เริ่มทำอะไรแล้วใช่ไหม บอกฉันซิว่าแกทำอะไรไปบ้าง”
“คือผม”
พฤกษ์เอียงคอมอง
“ตั้งแต่ที่พีร์บอก ผมก็พยายามแอบดูอยู่ตลอดครับ แต่ก็ไม่เห็นว่าครูนนท์จะทำอะไรอย่างที่น้องบอกเลย นาน ๆ ไปพีร์ก็เริ่มทนไม่ไหว แต่ผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปกล่าวหาครูเขานี่ครับ ..ผลมันก็เลยออกมาแบบวันนี้”
พฤกษ์ยกนิ้วหัวแม่มือเกาคาง ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิด อินทรชิตจึงร้อนรนพูดไปว่า
“ผมคิดว่าครูนนท์อาจจะเห็นว่าพีร์น่าเอ็นดูเลยทำแบบนั้น ..มันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับที่ผู้ใหญ่จะถึงเนื้อถึงตัวเด็ก”
“ปกติหรือ..”
เสียงของคุณพฤกษ์ราบเรียบจนอินทรชิตรู้สึกว่าตนเองเผลอพูดอะไรผิดไปอย่างแน่นอน ทว่าคุณพฤกษ์กลับหัวเราะในคอ พูดต่อไปว่า
“นั่นสิ มันคงปกตินั่นแหละถ้าผู้ใหญ่ที่แกว่าไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง”
“หมะ หมายความว่ายังไงหรือครับ”
“บางทีเดรัจฉานก็อาจมาในคราบของคุณครูแสนใจดีก็ได้ ..ใครจะไปรู้”
พูดจบคุณพฤกษ์ก็ลุกเดินออกไปราวกับว่าหมดธุระจะพูดคุยกับเขาแล้ว เด็กหนุ่มได้สติหลังจากที่ครุ่นคิดถึงคำพูดที่คุณเขาทิ้งเอาไว้เป็นปมก็รีบลุกจากเก้าอี้ตามไปเดินข้าง ๆ
อีกฝ่ายไม่ได้ผลักไสไล่ส่งให้อินทรชิตออกห่างเหมือนอย่างทุกทีทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจอยู่พอสมควร ทว่าความดีใจกลับมีมากกว่า
หัวใจของอินทรชิตบีบรัดด้วยความสุขที่มีมากล้นจนคับอก
ครั้งแรกเสียด้วยซ้ำที่คุณพฤกษ์ให้ตนเข้ามาที่สวนด้วยความเต็มใจ
ครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เดินอยู่ข้าง ๆ โดยที่ไม่ถูกคุณพฤกษ์มองด้วยสายตาเกลียดชัง
คุณพฤกษ์หยุดยืนก่อนจะหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ใบหน้านั้นยังคงนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลง ซ้ำแววตายังคงเย็นเยียบไร้ความรู้สึกอื่นใดไม่เคยเปลี่ยนแปลง..
ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มงดงามที่ทำให้ใจคนเฝ้ามองเต้นระรัวอย่างรุนแรง
“เรื่องนี้ฉันจะหาวิธีให้พงพีก็แล้วกัน เอาเป็นว่าไม่เกินอาทิตย์หน้าคงมีทางออก”
ระยะเวลาเรียนพิเศษของวันอาทิตย์อยู่ที่เก้าโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น เกือบจะเทียบเท่าเวลาเรียนจริง ๆ ในหนึ่งวันของโรงเรียนทั่วไป
ตลอดทั้งวันคนในบ้านไม่ทราบว่าคุณพฤกษ์หายตัวไปอยู่ที่ไหนอีกแล้ว กระทั่งอินทรชิตก็ไม่ทราบ ทั้งวันเด็กหนุ่มวุ่นวายอยู่กับการเข้า ๆ ออก ๆ ห้องนั่งเล่นเล็กเพื่อสอดส่องและอยู่เป็นเพื่อนน้องชายระหว่างการสอนของอานนท์
หากกล่าวถึงคฤหาสน์ตระกูลวัฒนารายณ์ นอกจากสวนหย่อมที่ตกแต่งได้งดงามและยิ่งใหญ่แล้ว ตัวคฤหาสน์เองก็ตระการตาไม่แพ้กัน คฤหาสน์ประกอบด้วยชั้นทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกคือห้องโถงใหญ่ ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด ห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องนอนคนงาน ส่วนสระว่ายน้ำและฟิตเนสอยู่ส่วนนอกของตัวคฤหาสน์
ชั้นสองเป็นห้องนอนของพวกเด็ก ๆ และห้องนอนเอาไว้ใช้รับแขก
บนชั้นสามของคฤหาสน์ ฝั่งซ้ายทั้งหมดเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าสัวพนา ส่วนฝั่งขวาเป็นพื้นที่ของพฤกษ์ นอกนั้นยังมีห้องซีซีทีวีที่เอาไว้ใช้สอดส่องดูแลความปลอดภัยของคฤหาสน์อีกด้วย เดิมทีห้องนี้จะมีลูกน้องของเจ้าสัวพนานั่งเฝ้าอยู่ตลอดแต่ภายหลังถูกเรียกตัวไปช่วยงานอื่นจึงถูกร้างหน้าที่มาสักพักแล้ว
จากหน้าจอเกือบสิบ พฤกษ์เฝ้ามองอยู่แค่หน้าจอเดียวคือกล้องวงจรปิดจากในห้องนั่งเล่นเล็ก เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปเห็นนาฬิกาดิจิตอลบนจอที่บอกว่าตอนนี้ล่วงเลยจนถึงเวลาที่พงพีเลิกเรียนพิเศษแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
พฤกษ์เดินลงมาเจออานนท์กำลังยื้อฉุดกับพงพีอยู่
“พีร์” พฤกษ์เรียก พอเด็กชายเห็นเขาจึงรีบสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้นและวิ่งมาหลบอยู่ด้านหลังทันที พฤกษ์รู้สึกได้ถึงมือเล็กที่เกาะเอวกำลังสั่นเทิ้มจนผิดปกติ
“อ้าว คุณพฤกษ์” อานนท์ยิ้มแย้มให้เขา เขาจึงยิ้มตอบ
“จะกลับแล้วหรือครับ”
“ครับ งั้นผมลาตรงนี้เลย” อานนท์พูดกับเขาแต่สายตากลับจับจ้องไปที่เด็กชายข้างหลัง น้ำเสียงทุ้มพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ ทว่าพงพีกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนแปลก ๆ
“น้องพีร์ เป็นเด็กดีอย่าลืมทำการบ้านด้วยล่ะ ครูไปก่อนนะครับ”
พฤกษ์จูงพงพีมายืนส่งอีกฝ่ายขึ้นแท็กซี่จนรถขับลับหายไปจนสุดถนน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกทันที
(พฤกษ์ ? นั่นแกหรือ พ่อแปลกใจที่โทรมานะ) เสียงทุ้มของเจ้าสัวพนาดังลอดออกมาตามสาย พงพีที่ได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อก็ตาเป็นประกายวิบวับทันที
“อืม” เขาครางรับในคอ “แปลกใจที่โทรไปเหมือนกัน”
พฤกษ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ
(มีอะไรหรือ?)
“มีเรื่องให้คนของพ่อช่วยนิดหน่อย”
(อะไร)
พฤกษ์ก้มหน้าลงเจอกับน้องชายที่จ้องเขาตาใสแจ๋ว มือเรียวบางยกขึ้นมาวางแบะบนศีรษะทุยก่อนจะออกแรงโยกไปมาเบา ๆ อย่างหมั่นไส้
“งานง่าย ๆ”
(เช่น..)
“สืบประวัติคน ๆ หนึ่ง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ