คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.32K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
36) 00 36
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 36
“หมาสองตัวนั่นน่าสงสารนะครับ โดยเฉพาะตัวที่ชื่อโจนาส”
พฤกษ์เกริ่นขึ้นมาขณะที่กำลังเดินกลับเข้ามาในห้องโถงใหญ่ “ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าไปดุหรือตีมันจะดีกว่า”
“ทำไมหรือคะ”
ชายหนุ่มหันกลับ “ป้าเมียมอยากรู้ไหมครับ”
ป้าเมียมพยักหน้า เขาจึงนั่งลงบนโซฟาและค่อย ๆ เล่าถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาจากพนาอีกที
“มันเป็นหมาของเพื่อนคุณพ่อ อืมม ไม่สิ อันที่จริงตัวที่ชื่อโจอี้เป็นของลูกสาวเขา”
“แล้วไซบีเรียฮัสกี้..”
“เป็นของสามีลูกสาวครับ เขาเลี้ยงคู่กันคนละตัวแต่ตัวผู้ทั้งสองตัว”
“อ้าว” ป้าเมียมขมวดคิ้ว “แล้วทำไมถึงยกให้คุณพนาเสียล่ะคะ”
“เกิดเหตุฆาตกรรมในบ้านน่ะครับ” คนฟังตาโต ป้าเมียมเอามือทาบอกเงียบ ๆ และรอให้เจ้านายหนุ่มพูดต่อ
“ป้าเมียมเห็นแผลที่ขาเจ้าโจนาสไหมครับ นั่นน่ะฝีมือภรรยา สามีเขาค่อนข้างหล่อแล้วฝ่ายลูกสาวที่เป็นภรรยาก็คอยตามหึงหวงอยู่ตลอด สามีคงทนไม่ไหวเลยขอหนีไปทำงานต่างประเทศสักพัก ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าภรรยาเกิดคลุ้มคลั่งอะไร ตั้งแต่ที่สามีไม่อยู่บ้านก็เอาแต่ตีหมาของสามีทุกวัน หมาตัวเองไม่ตีด้วยนะเพราะรักมาก ประสาทเสียที่สุด โกรธคนแล้วเอาไปลงที่หมา คนสติดี ๆ ที่ไหนเขาทำ นอกจากตีแล้วคุณพ่อเล่าว่ายังขังหมาเอาไว้ในกรง แกล้งไม่ให้ข้าวให้น้ำบ้าง บางทีก็ล่ามโซ่แล้วลากไปกับพื้นแรง ๆ จนขนที่คอร่วงเป็นกำ ๆ แต่ที่เลวร้ายจริง ๆ คือหมาเครียดครับ จากที่เป็นหมาร่าเริงมาก ๆ ก็กลายเป็นหมาที่ดุร้าย วันหนึ่งมันไปกัดเจ้าโจอี้ที่มาเล่นด้วยเข้าทำให้ภรรยาโมโหมากเลยใช้ไม้ตีขาเจ้าโจนาสจนกระดูกหัก”
พฤกษ์เล่าไปก็สังเกตป้าเมียมไป ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือดลงเรื่อย ๆ หัวคิ้วก็ขมวดปมเข้าหากันจนเขารู้สึกได้
“สามีกลับมาและรู้เรื่องเข้าเลยมีปากเสียงกัน คนงานในบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าภรรยาเอาเรื่องหึงหวงมาพูดเพื่อจับผิดสามีอีกจนสามีทนไม่ไหว คงเพราะเครียดเรื่องธุรกิจด้วยเลยชักปืนออกมายิงภรรยาดับคาที่ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม”
“....”
“ส่วนเรื่องหมา เพื่อนคุณพ่อแพ้ขนหมา คุณพ่อเลยออกหน้าขอรับมาเลี้ยงแทน” ชายหนุ่มถอนหายใจ พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “แล้วดูคุณพ่อสิครับ แหม ใครจะใจกว้างเท่าเจ้าสัวพนาอีกคงไม่มีแล้ว ปุบปับคิดจะเลี้ยงก็เอามาเลย เอาปัญหามาโยนโครมทิ้งไว้แล้วก็หายไปไหนก็ไม่รู้ทุกครั้ง”
“โอ๊ย” เขาแสร้งร้องขึ้นดัง ๆ “ช่างเป็นคุณพ่อที่ประเสริฐจริง ๆ ”
“คุณพฤกษ์คะ ..ป้า”
พฤกษ์หันไปมองป้าเมียม อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าเป็นกังวลเจือรู้สึกผิด
“ป้าเมียมไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ผมรู้ว่าป้ารู้สึกผิดที่เคยตีมัน แต่คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่ผิดเลย ยังไงก็ผิดอยู่กึ่งหนึ่ง ต่อจากนี้อย่าทำอีกก็พอแล้วครับ”
เวลาบ่ายสาม พฤกษ์ตัดสินใจจะขึ้นไปดูอินทรชิตที่หลับอยู่ในห้อง ทว่าเสียงรถยนต์ที่ขับเข้ามาทำให้เขาจำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียก่อน
“คุณพฤกษ์! ” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับมาลีวัลย์วิ่งถลาเข้ามาสู่อ้อมกอดเขา หญิงสาวกอดรัดตนแน่นราวกับจะทำให้แหลกลาญ ใบหน้าสวยหวานเกยอยู่บนอกก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมา
“ไปเที่ยวมาสนุกไหมคะ”
“อืม” เขาโกหก แท้ที่จริงไม่ได้ไปไหนเลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวผละออกเปลี่ยนมาจับแขนเขาและเขย่าไปมาแรง ๆ “แล้วคุณพฤกษ์รู้ไหมคะว่าพี่ฉัตรต่อยพี่อินทร์ปากแตก พี่อินทร์ตกใจจนหนีไปเลย”
“รู้สิ” ต้นเหตุก็ยืนหัวโด่ให้เห็นอยู่ทนโท่ตรงหน้า แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ตกใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงเสียหน่อย ทำไมเสียเว่อร์วัง
“พี่ฉัตรใจร้ายค่ะ คุณพฤกษ์ต้องเอาคืนให้พี่อินทร์นะคะ พี่อินทร์น่าสงสาร คุณพฤกษ์ขา คุณพฤกษ์อย่าให้เขาต่อยคนของเราฟรี ๆ นะคะ มะลิไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”
“เอาคืนหรือ? ” พฤกษ์หัวเราะ “แกจะให้ฉันไปต่อยเขาหรือยังไง”
มาลีวัลย์ส่ายหน้า “ไม่ต่อยคืนก็ทำอะไรสักอย่างสิคะ พี่ฉัตรเขากลัวคุณพฤกษ์จะตายไม่ใช่หรือคะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาให้กับความแสนรู้ของหญิงสาว เขายกมือขึ้นขยี้ศีรษะเบา ๆ ก่อนจะตกปากรับคำเสียดิบดี
“ได้สิ ฉันจะจัดการคุณฉัตรให้ แต่ตอนนี้ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว มีการบ้านก็รีบไปทำให้เรียบร้อยด้วย”
มาลีวัลย์ยิ้มหวานตอบก่อนขอตัวขึ้นไปบนห้อง คล้อยหลังน้องสาวจากไปครู่เดียว น้องชายก็เดินถือกระเป๋าผ้าผิวปากเข้ามาทันที
“สวัสดีครับคุณพฤกษ์” พฤกษ์พยักหน้ารับ
“อารมณ์ดีจังเลยนะ”
พงพียิ้มร่า ตอบว่า
“มีความสุขก็ต้องอารมณ์ดีสิครับ” ก็ถูกของมันว่า
“แล้วไง? มีอะไรดี ๆ งั้นสิ”
“อะไรดี ๆ หรือครับ อ่อ ก็ ..พอดีว่า อะแฮ่ม! ” จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น พฤกษ์เลิกคิ้วขึ้นสูงพลางทำหน้ามีเลศนัย
“ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ” เขาหยั่งเชิง เผื่อว่าน้องชายจะชอบแบบอื่น
“บะ บ้าหรือครับ ก็ต้องเป็นผู้หญิงสิครับ”
“ไม่ได้บ้าสักหน่อย ก็แค่ถามเผื่อไว้เฉย ๆ เท่านั้นแหละ”
เขาอมยิ้ม “เธอเป็นใคร”
พงพีเกาท้ายทอย “เป็นเพื่อนที่ชมรมครับ คนละห้อง นะ..น่ารักดีครับ”
“ชมรมอะไร”
“ชมรมปักครอสติชครับ” พงพีพูดอย่างกระตือรือร้นพลางรื้อของที่อยู่ในถุงผ้าออกมาอวด พฤกษ์รับมาดูอย่างตั้งใจ มันคือผ้าลินินสีขาวที่มีด้ายปักเป็นรูปพุ่มดอกกุหลาบสีแดงสด ลักษณะการปักด้ายไขว้กันเป็นรูปตัวเอ็กซ์ พอยกขึ้นมาดูใกล้ ๆ พฤกษ์จึงรู้ว่ามันเป็นการปักที่ประณีต เรียบร้อยและสม่ำเสมอมาก แสดงให้เห็นว่าพงพีมีความสามารถในการทำงานฝีมือมากพอสมควร
“แกนี่เก่งนะ ดูสิ มันสวยมากเลย” พฤกษ์พูดชมอย่างไม่ตระหนี่เลยสักนิด ในกาลก่อน ถึงเขาจะเป็นพี่ชายในบ้านที่แสนร้ายกาจแต่ก็กลับเป็นเจ้านายในออฟฟิศที่ชื่นชมยินดีกับการทำงานของลูกน้องอยู่เสมอผิดกับคนละคน เขาคิดว่าการชื่นชมใครก็ตามแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการชมว่าวันนี้เลขาหลี่ชงกาแฟอร่อย ชมนักศึกษาฝึกงานที่วิ่งวุ่นถ่ายเอกสารว่าทำงานเรียบร้อย ชมป้าแม่บ้านที่ถูพื้นว่าทำได้สะอาดเอี่ยมอ่องหรือแม้แต่ชมพนักงานกดลิฟต์ว่าทำงานขยันก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างกำลังใจได้อย่างมากมายมหาศาล เขาเป็นผู้บริหารที่เห็นค่าในความสามารถของคนในองกรค์ทุกระดับชั้น การชื่นชมนอกจากจะสร้างกำลังใจแล้วยังทำให้ผู้อื่นมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เขาเชื่อว่าทุกคนไม่ว่าจะทำอะไรย่อมต้องการการย่องยกสนับสนุน หากไร้ซึ่งคำชื่นชมก็ยากที่จะมีใจกระทำการสิ่งใดที่รักใคร่ ยิ่งเป็นคนที่ทำงานด้วยกันแล้วพฤกษ์ก็ยิ่งต้องชื่นชมให้เป็นนิสัย อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าไม่ได้ทำเพื่อตนเองเพียงเท่านั้นแต่ยังทำเพื่อเขาอีกด้วย
ดังนั้นพฤกษ์จึงไม่กลัวว่าพงพีจะเหลิงเพราะคำชมของเขา เด็กตัวแค่นี้ย่อมต้องการคำชื่นชมเป็นปกติ โดยเฉพาะคำชื่นชมที่มาจากครอบครัว
“ทำให้ฉันสักรูปสิ เอาไปใส่กรอบติดตรงห้องนั่งเล่นน่าจะดี”
“แต่ถ้าคุณพ่อรู้เข้าคงไม่ดี” พงพีเสียงหงอยลงพร้อมกับรับผ้าลินินคืนกลับมา
“รู้แล้วจะทำอะไรได้” พฤกษ์ยักไหล่ “ฉันก็อยู่ทั้งคน”
“คุณพฤกษ์ต้องช่วยผมนะ ถ้าเกิดคุณพ่ออาละวาดขึ้นมา” พงพีเขย่าแขนเขา
“แน่นอน” พฤกษ์ให้สัจจะ “คุณพ่อทำอะไรแกไม่ได้แน่นอน”
เมื่อเห็นว่าพงพีหมดกังวลแล้วเขาจึงพาวกกลับเข้าเรื่องเดิม
“แกยังไม่เล่าเรื่องคนที่แกชอบเลย”
“หา” ชายหนุ่มแก้มแดงขึ้นมา “ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าชอบ”
“แล้วไม่ได้ชอบหรือไง”
“ผมแค่ปลื้ม” พงพีอมยิ้ม “เขาน่ารัก เท่มาก ๆ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต่อยผู้ชายคว่ำเลยครับ ผมประทับใจจริง ๆ ”
พฤกษ์หลุดหัวเราะ “ขนาดนั้นเลย”
“ครับ ขนาดนั้นเลย” ชายหนุ่มทำหน้าเคลิ้มก่อนจะเล่า “พวกรุ่นพี่ชมรมถ่ายภาพห้องข้าง ๆ แซวผมเพราะผมเป็นผู้ชายคนเดียวในชมรมครอสติช หนูอ้อนเลยปกป้องผม”
“ชื่อน่าเอ็นดูจริง หนูอ้อน” พฤกษ์แกล้งหยอก
“จริง ๆ เขาชื่ออ้อนเฉย ๆ ครับแต่เพราะตัวเล็กมาก ๆ คนอื่นเลยพากันเรียกหนูอ้อน”
“อย่างนี้เขาเรียกเล็กพริกขี้หนูนะ”
พงพีไม่ตอบ ชายหนุ่มเอาแต่อมยิ้มจนแก้มแทบปริแตก เห็นแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงหาเรื่องไล่น้องชายขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกคน
พฤกษ์ยืนรอพงพีเลี้ยวเข้าชั้นสองจนหายลับอยู่สักพัก พอได้ยินเสียงปิดประตูดังลั่นก็มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น พฤกษ์ตัดสินใจย่องตามหลังขึ้นไปชั้นสองทันที ชายหนุ่มกลั้นหายใจและพยายามก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบในขณะที่เดินผ่านหน้าห้องของพงพีและมาลีวัลย์เพื่อจะไปยังห้องของอินทรชิต
‘ให้ตายสิ ทำไมฉันถึงทำตัวเหมือนคุณผู้ชายในละครน้ำเน่าที่กำลังย่องเข้าห้องคนใช้เลยล่ะ’
พฤกษ์ส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระของตนเอง เขาค่อย ๆ เปิดประตูออก แทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วและไม่ลืมที่จะล็อคประตูเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ชายหนุ่มย่องเบาเข้าไปใกล้เตียงนอน ทั้งห้องมืดสลัวเพราะเปิดไว้แค่ไฟสีส้มตรงโต๊ะข้างหัวเตียง เขาเห็นอินทรชิตนอนอยู่นิ่ง ๆ อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ ทว่าพฤกษ์ไม่อาจวางใจได้โดยง่าย เขาวางมือลงบนหน้าผากมนเพื่อตรวจสอบ พอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ ไม่ได้ร้อนฉ่าจนน่ากลัวทว่ากลับเย็นเยือกเพราะเครื่องปรับอากาศเขาก็คลายความกังวลลงได้
ถึงจะเห็นสีหน้าไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอาการดีขึ้นจนแทบเป็นปกติแล้ว พฤกษ์เคลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ สองสามครั้งเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน ทว่าก็ถูกแรงมหาศาลจากแขนแข็งแรงรั้งเข้าที่เอวและลากเขาลงให้ล้มลงนั่งกับเตียงนอน
“แค่ลูบหัวแล้วก็ไปหรือครับ” อินทรชิตพูดเสียงทุ้มชิดแก้มนุ่มข้างหนึ่งขณะที่โอบกอดเขาจากด้านหลัง
“ทำไม? แกอยากให้ฉันลูบอย่างอื่นด้วยหรือ
ไง”
ชายหนุ่มหน้าแดงซ่าน รีบกระแอมในคอและตอบ
“ถ้าบอกว่าใช่ คุณจะลูบหรือเปล่าครับ”
พฤกษ์หันตัวมาเผชิญหน้า มือเรียวยาวยกขึ้นลูบไล้ที่อกหนาเบา ๆ
น้ำเสียงนุ่มหยอกเย้า “ลองดูไหม”
“ระวังไว้เถอะครับ พูดทีเล่นทีจริงแบบนี้”
“ระวังอะไรไม่ทราบ” พอเห็นท่าทีท้าทาย อินทรชิตก็ยิ้มในหน้าก่อนจะรวบเอาฝ่ามือซุกซนมาถือไว้และถือวิสาสะวางแปะลงบนเป้ากางเกงวอร์ม
“ถ้าไม่กลัวก็ลองลูบเบา ๆ ดูสิครับ”
พฤกษ์ชักมือหนีแทบจะทันทีราวกับจับโดนของร้อน
“แหม แกจะจริงจังไปทำไมฉันก็แค่หยอกเล่น”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะสอดมือกอดเอวบาง ใบหน้าหล่อเข้มวางเกยอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง
“คุณมาเล่นกับหมา หมามันก็เลียปากสิครับ”
พฤกษ์แสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“พูดถึงหมาก็นึกขึ้นมาได้ แผลที่โดนกัดเป็นอย่างไรบ้าง”
อินทรชิตยื่นแขนข้างที่โดนกัดขึ้นมาจากที่กำลังใช้กกกอดอีกฝ่าย พฤกษ์จับแขนแกร่งข้างนั้นขึ้นมาดูใกล้ ๆ ใช้มือจับไปจับมือพลิกซ้ายพลิกขวาดูอยู่สักพักก็พูดขึ้น
“แผลไม่ลึกมาก เดี๋ยวก็คงหายแล้ว”
“แผลลึกจะตายครับ เจ็บมากด้วย”
เขาส่ายหน้า “สำออยนักนะ”
“โธ่ เจ็บจริง ๆ นะครับเชื่อเถอะ” อีกฝ่ายว่าพลางจูบลงบนสันกรามอย่างออดอ้อน
“คุณพฤกษ์เป่าสิครับ”
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น”
“ถ้าทำอย่างนั้นแล้วผมจะหายเร็วขึ้น”
พฤกษ์เอนหลังพิงกับอกแกร่ง ใช้บ่าอีกฝ่ายเป็นที่หนุนนอน
“รู้ใช่ไหม นั่นเป็นเรื่องโกหกของผู้ใหญ่ แค่เป่าเพี้ยงสองสามครั้งมันไม่มีทางหายหรอก”
“รู้ครับ” เขากระชับอ้อมแขน กกกอดเอาไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกคนจะสลายหายไป
“ผมก็แค่ต้องการคำปลอบใจจากคุณพฤกษ์เท่านั้น”
“อะไรกัน” เขาว่า “ตัวก็ออกจะใหญ่ทำไมใจน้อยจริง”
“ตัวใหญ่ไม่ใหญ่ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยนี่ครับ ใคร ๆ ก็อยากถูกเอาใจทั้งนั้น”
“นี่แกอยากให้ฉันเอาใจแกอย่างนั้นสิ? ”
“ไม่ได้หรือครับ”
พอได้ยินเสียงเหงาหงอย พฤกษ์ก็เกิดจนใจขึ้นมา ดวงตาเฉี่ยวคมหลุบมองท่อนแขนที่พาดอยู่บนหน้าขา ที่สุดแล้วเขาก็แข็งใจได้ไม่นาน มือเรียวขาวค่อย ๆ ยกท่อนแขนข้างนั้นขึ้นมาอยู่ในระดับใบหน้าก่อนจะเป่าลมเบา ๆ ใส่บาดแผลอย่างระมัดระวัง
“เพี้ยง” เขาพูด “ขอให้หายไว ๆ อย่าเจ็บอย่าปวดตรงไหนอีก”
พฤกษ์พูดจบก็ถูกร่างกายใหญ่โตกอดรัดเสียจนอึดอัด เขาทุบกำปั้นลงบนอกหนาแรง ๆ อยู่สี่ถึงห้าครั้งกว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยออกมาให้หายใจหายคอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่รามือ รีบโผหน้าเข้าไปหอมแก้มนุ่มให้ชื่นใจดังฟอด
“หาเศษหาเลยอยู่ได้” พฤกษ์ส่งเสียงปรามและดันใบหน้านั้นออกห่าง
“ก็มันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนี่ครับ”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ” เขาว่าและให้มะเหงกหนึ่งทีเป็นรางวัล
พฤกษ์ปล่อยให้อินทรชิตพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาก็กลับลงมาด้านล่าง กะว่าจะอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้จบก่อนถึงเวลารับประทานอาหารเย็น
“คุณพฤกษ์ค้า” เสียงใสแจ๋วดังไล่หลังมาทำให้ต้องหันกลับไปมอง
“จะไปไหนกันวัยรุ่น” เขาเอ่ยทักทันทีที่เห็นพงพีและมาลีวัลย์แต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนจะไปออกกำลังกาย
“ตีแบดครับ! ” พงพีเป็นคนตอบพลางชูกระเป๋าใส่ไม้แบดมินตันขึ้นมา
“ตีที่ไหน” เขาถามก่อนจะกวาดตามองออกไปด้านนอก เห็นท้องฟ้ากระจ่างใส แดดกำลังร่ม ลมกำลังนิ่งเหมาะอย่างยิ่งที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัว
“ในสวนหรือ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบ “คุณพฤกษ์มาเล่นด้วยกันนะคะ”
พฤกษ์โบกมือปฏิเสธ
“ฉันไม่ชอบมีเหงื่อ” เขาชอบอ่านหนังสือและอยู่นิ่ง ๆ เสียมากกว่า เรื่องที่ต้องออกกำลังให้ได้เหงื่อน่ะแค่เรื่องเซ็กส์เรื่องเดียวก็เพียงพอแล้ว
“โธ่ เล่นแป๊ปเดียวเอง เหงื่อไม่ทันออกหรอกค่ะ”
“แกไปเล่นกันสองคนเถอะ”
“แต่..”
พฤกษ์เลิกคิ้วเป็นเชิงห้ามให้หญิงสาวรบเร้าต่อ มาลีวัลย์จึงได้แต่ทำหน้างอก่อนจะถูกพี่ชายลากแขนออกไปในที่สุด ชายหนุ่มยืนมองเด็กทั้งสองเดินเลี้ยวหายจนลับสายตา เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจและทิ้งตัวลงบนโซฟา หยิบหนังสือเล่มเดิมที่อ่านทิ้งไว้ขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างใจเย็นและเงียบสงบ
“บ้านไอ้อินทร์แม่งโคตรใหญ่”
“งั้นเรอะ” อัคราว่าพลางมองผ่านกระจกรถยนต์ลอดประตูรั้วเหล็กดัดเข้าไป “บ้านกูใหญ่กว่านี้นิดนึง”
คาเตอร์หัวเราะ “บ้านมึงเรียกวังน่าจะเหมาะ”
“เว่อร์” ชายหนุ่มตบหัวเพื่อน “มึงลงไปกดออดไป”
“เออ ๆ ”
หนุ่มลูกครึ่งเปิดประตูลงจากจากัวร์คันงามเพื่อกดออด ไม่นานนักก็มีหญิงสาววิ่งหน้าตื่นออกมา
“มาหาใครคะ” ต่ายกล่าวทักเพราะไม่คุ้นหน้าแขก ทว่าก็เอะใจขึ้นมาเพราะชายหนุ่มตรงหน้าสวมใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับเจ้านายของตน
“เอ่อ ..พวกผมมาหาอินทร์ครับ”
“เพื่อนคุณอินทร์หรือคะ? ” คาเตอร์ยิ้มตอบ ต่ายเคลิ้มไปชั่วครู่ก่อนจะรีบผลักประตูรั้วเหล็กดัดออกเพื่อที่จะให้รถยนต์ขับเข้าไปได้
กระทั่งจากัวร์คันงามเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูใหญ่ คาเตอร์ถือของเยี่ยมสำหรับคนป่วยเต็มมือเดินลงมาจากรถในขณะที่อัคราปิดประตูดังลั่น เล่นเอาต่ายที่เพิ่งเดินมาถึงกับสะดุ้งโหยง
‘เพื่อนคุณอินทร์ที่หน้าออกฝรั่งก็ดูนิสัยดีอยู่หรอก แต่คนหัวแดงนี่สิ ท่าทางเหมือนอันธพาลไม่มีผิด! ’
“คุณคอยตรงนี้สักครู่” หญิงสาวว่า “ดิฉันจะไปเรียนคุณพฤกษ์ก่อนว่ามีแขก”
“รบกวนด้วยครับพี่” คาเตอร์เป็นคนออกปากแทนเพื่อนตัวดีที่ยืนพิงรถและสอดส่องสายตาไปทั่วอย่างสบายอารมณ์
ต่ายเดินเร็วเข้ามาภายใน เจอเจ้านายหนุ่มกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถงเป็นอย่างแรก เธอปรี่เข้าไปหาก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนพื้น
“คุณพฤกษ์คะ”
พฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
“ผมได้ยินเสียงรถยนต์” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างตั้งคำถาม “มีใครมาหรือครับ”
“เพื่อนคุณอินทร์ค่ะ”
“เพื่อน? ” พฤกษ์ชะเง้อมองประตูใหญ่ที่เปิดอยู่ไกลออกไป ชายหนุ่มถือหนังสือไว้ในมือและลุกขึ้นยืนตัวตรงหวังจะออกไปดูหน้าค่าตาเพื่อนของคุณอินทร์ที่ว่า
“ไปเชิญเข้ามาเถอะครับ อย่าให้แขกยืนรอนาน”
เขาเดินตามหลังต่ายไป กระทั่งถึงหน้าประตูใหญ่ สิ่งแรกที่ดวงตาเรียวสวยภายใต้กรอบแว่นสีทองเห็นคือจากัวร์สีดำแวววาวกับผู้ชายสองคนในชุดนักเรียนแบบเดียวกับอินทรชิต คนหนึ่งสูงผอมหน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง ไม่อังกฤษก็อเมริกันจากการคาดคะเนด้วยสายตา กำลังยืนถือของพะรุงพะรังแกว่งไปแกว่งมา ส่วนอีกคนพฤกษ์ไม่อาจเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้เพราะกำลังยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ จะเห็นก็แต่เส้นผมสีแดงแสบตาก็เท่านั้น
“อ้ะ ..สวัสดีครับ” ชายหนุ่มลูกครึ่งสังเกตเห็นเขาก่อนจึงยกมือไหว้ พฤกษ์พยักหน้าตอบ พูดว่า
“มาสิ เข้ามาข้างในก่อน”
คาเตอร์ยิ้มแห้งก่อนจะขยับตัวไปสะกิดเพื่อน
“มึง ๆ เสร็จยัง” และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี อัคราหันหลังกลับมาด้วยอาการหงุดหงิด
“อะไรวะ สะกิดอยู่–” คำนั้นพลันกลืนหายเข้าไปลำคอเมื่อเหลือบแลไปเห็นชายหนุ่มร่างโปร่งสวมแว่นสีทองที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ อัครานิ่งค้างไปราวกับต้องมนต์ หัวใจบีบรัดจนทรมานสาหัสสากรรจ์อย่างฉับพลัน ร่างกายชาวาบไปทุกสัดส่วน สายตาของเขาไม่อาจลดละไปจากใบหน้านั้นได้ น่าประหลาด.. น่าประหลาดเหลือเกินทั้งที่เป็นการพบกันครั้งแรกและอัคราก็มั่นใจว่าตลอดชีวิตตนนี้ไม่เคยเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายจากที่ไหนมาก่อน
ทว่าทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงกับคน ๆ นี้มากมายเหลือเกิน
ตุ้บ!
เสียงหนังสือร่วงหล่นลงมาจากมือสู่พื้นหินอ่อน พฤกษ์ยืนตัวแข็งทื่อไปทันทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเรือนผมสีแดงนั่น เขารู้สึกเหมือนอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ทว่าร่างกายและปากกลับใช้การไม่ได้ดังใจคิด หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บปวด มือไม้ทั้งสองสั่นระริกจนต้องกำไว้ข้างหลัง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกโหวงเหวงตรงบริเวณแผลเป็นกลางอก
‘นั่นเขา..’ และ ‘อัครา! ’
ทุกอย่างรอบตัวเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ หยุดไว้ให้เราสองได้จับจ้องมองตา อัคราไม่อาจทราบความนัยที่แฝงอยู่ในแววตาหลังกรอบแว่นที่มองลงมา เขารู้เพียงแค่ว่ามีความรู้สึกมากมายกำลังเอ่อล้นออกมาจากตัวเขาและเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ราวกับว่า ..ส่วนลึกของจิตใจมันกำลังเรียกร้องคน ๆ นี้อยู่ตลอดเวลา
มันคืออะไร!? นี่เรากำลังเป็นอะไร!!?
“คุณพฤกษ์คะ ..หนังสือ”
เป็นพฤกษ์ที่ได้สติสัมปัชชัญญะกลับคืนมาก่อน ชายหนุ่มรับหนังสือจากหญิงสาวมาทั้งที่ดวงตาไม่ละจากอัคราเลยแม้แต่นิดเดียว
“พวกเธอสองคนเข้ามาข้างในสิ”
เขาเชื้อเชิญเพราะถือว่าเป็นเจ้าบ้าน พอพูดจบก็หันหลังกลับจ้ำเดินไม่หยุดกระทั่งถึงโซฟา พฤกษ์ทิ้งตัวลงนั่งทันทีและนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
อัคราเป็นคนที่สองที่ไล่ตามมาติด ๆ ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งตรงข้ามเพราะอยากจะเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ
“คุณชื่อไร? ” ชายหนุ่มถามทันทีที่พฤกษ์ตั้งสติได้ เขาหันขวับมามองและขมวดคิ้ว
“เธอว่าอะไรนะ”
“ผมถามว่าคุณชื่ออะไร บอกหน่อยได้ไหม? ”
“ไอ้อัคร! มึง! ” หนุ่มลูกครึ่งวางสัมภาระที่หอบหิ้วลงกับพื้นก่อนจะถลานั่งลงข้าง ๆ เพื่อนของตน
“ขอโทษครับ” เขาว่า “เพื่อนผมมันไม่ค่อยรู้กาลเทศะ”
พฤกษ์พยักหน้าเบา ๆ ว่าไม่ถือสา ยังคงรักษาอาการของตนให้สงบนิ่งทั้งที่ในใจเดือดดาลอยู่ไม่สุขไม่ต่างจากอัคราสักนิด!
‘ให้ตายเถอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นคุณจริง ๆ หรืออัคร!! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงเป็นนักเรียนล่ะ!? ทำไมอายุอ่อนกว่าผม! ทำไมถึงเป็นเพื่อนไอ้เขี้ยวได้!? ทำไมถึงย้อมผมสีแสบตาแบบนี้! โอ๊ย!! ’
และอีกสารพัดทำไมที่เขาเกิดคำถามตีกันอยู่ในหัว ทว่ากลับแสดงออกมาได้แค่นั่งนิ่ง ๆ ราวกับเสาบ้านต้นหนึ่งก็ไม่ปาน
‘บัดซบ! เกิดอะไรขึ้น! ’
“นี่ ..ได้ยินที่ผมถามหรือเปล่า”
“พี่ต่ายขึ้นไปปลุกเจ้าเขี้ยวลงมาหน่อยสิครับ” พฤกษ์เมินเฉยต่อคำถามและหันไปสั่งต่ายที่เพิ่งเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“เอ่อ.. แต่” หญิงสาวหันไปมองอัครา เมื่อครู่เธอมาทันเห็นอีกฝ่ายกิริยาทรามใส่เจ้านายจึงเกิดเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือถึงเนื้อถึงตัวขึ้นมา ทว่าพฤกษ์กลับส่ายหน้าเป็นเชิงว่าตรงนี้ตนจัดการเองได้ ให้เธอขึ้นไปทำหน้าที่ของเธอเถอะ
“ไปปลุกนะครับ ถ้าไม่ตื่นก็ปล่อยให้นอนต่อได้เลย”
“คะ ค่ะ..”
ต่ายรับคำสั่งก่อนจะขอตัวออกไปในที่สุด ทั้งห้องโถงจึงเหลือเพียงเจ้าบ้านและแขกรวมกันแค่สามคน ส่วนคนงานคนอื่นก็มีงานการคนละส่วน ลุงแสงคงวุ่นอยู่ในสวน เห็นกำลังจะลงต้นไม้แปลงใหม่ ส่วนแม่พลอยกับป้าเมียมอยู่ในครัวกำลังตระเตรียมอาหารเย็นจึงไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากเขาคนเดียว
“อากาศคงร้อน ดื่มน้ำกับของว่างรอกันไปก่อน อีกเดี๋ยวเขี้ยว” เขาพูดใหม่ “..เดี๋ยวอินทร์ก็คงลงมา”
“คะ ครับ” คาเตอร์ขานรับอย่างสุภาพในขณะที่อัครามองเขาตาไม่กระพริบ เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนพฤกษ์เหลือจะทนเพราะรู้สึกอึดอัด เขาจึงถามออกไปว่า
“เธอมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า? ”
“ผมรู้จักคุณ” อัคราสวนขึ้นมาทันที
พฤกษ์ใจร่วงลงไปอยู่ที่พื้นก่อนจะแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน
“เราจะรู้จักกันได้อย่างไรในเมื่อฉันเพิ่งจะเคยเจอเธอครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
“แน่ใจหรือ? ”
“ไอ้อัคร.. มึงหยุด” หนุ่มลูกครึ่งสะกิดเพื่อนยิก ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเสียมารยาทกับเจ้าบ้าน
“ผมขอโทษแทนมันอีกครั้งนะครับ ..ไอ้นี่มันเพี้ยน”
“ไม่เป็นไร” พฤกษ์ยิ้มในหน้า “ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร”
พฤกษ์สูดหายใจลึก ๆ อย่างยากลำบากราวกับมีก้อนบางอย่างตีบตันอยู่ในคอ ร่างกายของเขายังคงสั่นไหวไม่หยุด ขอบตาเองก็ร้อนผ่าวไปหมด พฤกษ์คิดว่าหากเขายังนั่งอยู่ตรงนี้และมองเห็นใบหน้านั้นต่อไปเขาคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ ๆ
คงเพราะยังคิดถึง
คงเพราะยังอาลัยอาวรณ์
คงเพราะยังมีเยื่อใย
คงเพราะยังห่วงหา
คงเพราะ ..ยังรักอยู่
แต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่! พฤกษ์ไม่อาจด่วนสรุปถึงชายคนรักเก่าที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าแถมลักษณะบางอย่างก็ต่างไปจากอัคราที่เขาคุ้นเคยในกาลก่อน
ทุกอย่างมันถาโถมประเดประดังเข้ามาใส่เขาจนอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่มีเวลาให้ตระเตรียมใจหรือตั้งสติได้เลย! ฉุกละหุกเกินไป!
‘ทนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันจะบ้าตาย’
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ” พฤกษ์ลุกขึ้นยืน “พวกเธอตามสบาย”
พูดจบร่างโปร่งก็หันกลับหวังจะเดินไปที่บันได ทว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นมา อัคราคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้และรั้งให้หันกลับมา เล่นเอาคาเตอร์ถึงกับอ้าปากค้างกับการกระทำอุกอาจของเพื่อนตนเองจนทำอะไรไม่ถูก
“ยังไม่ตอบคำถามเลยนะ” เสียงห้าวเอ่ยอย่างร้อนรนใจเพราะเขาใคร่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนเดี๋ยวนี้
“ตอบมาสิ” เขาพูดซ้ำแถมยังกระชากตัวพฤกษ์เข้ามาใกล้ ๆ
“ชื่ออัครใช่ไหม? ” พฤกษ์ถามทั้งที่ก็รู้แจ้งแก่ใจดีกว่าใคร
“เอาล่ะ ..อัคร อย่างแรกที่เธอต้องรู้คือเธอไม่ควรมาจับแขนคนอื่นส่งเดชแบบนี้ อย่างที่สอง ฉันแก่กว่าเธอตั้งห้าปีนับว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เธอควรจะมีมารยาทมากกว่ามาไล่บี้ถามชื่อด้วยน้ำเสียงและท่าทางหยาบคาย ไม่มีเด็กดี ๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอกนะ อย่าคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าอยู่คนเดียวนะอัครา เธอยังเด็กนิดเดียว ฉันขอเตือนว่าอย่าทำกิริยาแบบนี้กับคนที่เพิ่งเคยเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนอย่างฉัน! ”
พฤกษ์ถอนหายใจก่อนจะมองไปที่แขน
“และอย่างสุดท้าย ..ปล่อย-มือ-สัก-ที! ฉันไม่ชอบ!! ”
“ไอ้อัคร ไอ้ชั่ว มึงทำอะไร! ”
เสียงเข้มดังขึ้น ก่อนที่อินทรชิตจะพรวดพราดเข้ามาผลักอัคราให้ออกห่าง ชายหนุ่มกุมมือเขาแน่นก่อนจะดันให้หลบอยู่ด้านหลัง พฤกษ์รู้สึกได้ว่าฝ่ามือใหญ่ที่จับมือของตนอยู่กำลังสั่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“กูเปล่า” อัคราเถียงทว่าสายตายังคงจับจ้องมาที่ด้านหลังของเพื่อนสนิท พฤกษ์หลบหน้าหันไปทางอื่น ไม่ยอมแม้แต่จะเหลือบมองด้วยหางตา
“เขี้ยว” เขาว่าเสียงเรียบขณะที่ค่อย ๆ แกะฝ่ามือใหญ่นั้นออก
“คุณไม่เป็นอะไรนะ” อินทรชิตถามอย่างเป็นห่วงก่อนที่สายตาคมกริบจะตวัดมามองอัคราอย่างเอาเรื่อง
“ฉันไม่เป็นอะไร” พฤกษ์ว่า “ตักเตือนเพื่อนแกเสียหน่อยนะ ..ว่าอย่าทำตัวไร้มารยาทอีก ที่บ้านก็ออกจะเป็นผู้รากมากดีเก่าไม่ใช่หรือ เรื่องพวกนี้ไม่มีสั่งสอนเลยหรือไง”
เจ้าบ้านทิ้งทวนไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนจะเยื้องย่างเดินขึ้นบันไดไป ทว่าก้าวพ้นขั้นบันไดไปได้ไม่ถึงสี่ขั้น อัคราก็ตะโกนขึ้นมา
“ผมขอโทษครับ! ”
ร่างโปร่งหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย เขาแสร้งทำเป็นเมินเฉยและเดินต่อไป
“ผมก็แค่อยากจะรู้ชื่อคุณเท่านั้น! ”
คราวนี้พฤกษ์กลับถอนหายใจออกมายาวเหยียด นึกแค้นตนเองนักที่ใจไม่แข็งพอเสียที ชายหนุ่มหันหลังกลับมาในที่สุดก่อนจะจำยอมพูดว่า
“ฉันชื่อพฤกษ์ พฤกษ์ วัฒนารายณ์ ..จำไว้ให้ดี”
“มึงเลิกจ้องเขาสักทีได้ไหมวะ”
อัคราที่ยืนเหม่อหันหน้ามามองเพื่อน น่าประหลาดนักที่รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองมีน้ำสีใสเอ่อคลอ
“กูมีความรู้สึกโหวง ๆ ในอกเหมือนจะร้องไห้เลยว่ะ”
พูดให้ถูกคือเขาร้องไห้ออกมาแล้ว น้ำตาหนึ่งหยดไหลรดอาบแก้มลงมาเป็นสาย สร้างความตกใจให้แก่คาเตอร์ที่ลุกเดินเข้ามาดูเป็นอย่างมาก
...ในขณะที่อินทรชิตทำเพียงแค่มองเพื่อนสนิทด้วยแววเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก มือทั้งสองที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวก็พลันกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดที่แขนและลำคอปูดโปนขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว
อัครายังพูดต่อไปอีกทั้งที่น้ำตานองหน้าด้วยความรู้สึกที่สับสน
“ไม่รู้สิ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่กูรู้สึกว่ากูรู้จักเขา ..ทำไมวะมึง”
“หมาสองตัวนั่นน่าสงสารนะครับ โดยเฉพาะตัวที่ชื่อโจนาส”
พฤกษ์เกริ่นขึ้นมาขณะที่กำลังเดินกลับเข้ามาในห้องโถงใหญ่ “ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าไปดุหรือตีมันจะดีกว่า”
“ทำไมหรือคะ”
ชายหนุ่มหันกลับ “ป้าเมียมอยากรู้ไหมครับ”
ป้าเมียมพยักหน้า เขาจึงนั่งลงบนโซฟาและค่อย ๆ เล่าถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาจากพนาอีกที
“มันเป็นหมาของเพื่อนคุณพ่อ อืมม ไม่สิ อันที่จริงตัวที่ชื่อโจอี้เป็นของลูกสาวเขา”
“แล้วไซบีเรียฮัสกี้..”
“เป็นของสามีลูกสาวครับ เขาเลี้ยงคู่กันคนละตัวแต่ตัวผู้ทั้งสองตัว”
“อ้าว” ป้าเมียมขมวดคิ้ว “แล้วทำไมถึงยกให้คุณพนาเสียล่ะคะ”
“เกิดเหตุฆาตกรรมในบ้านน่ะครับ” คนฟังตาโต ป้าเมียมเอามือทาบอกเงียบ ๆ และรอให้เจ้านายหนุ่มพูดต่อ
“ป้าเมียมเห็นแผลที่ขาเจ้าโจนาสไหมครับ นั่นน่ะฝีมือภรรยา สามีเขาค่อนข้างหล่อแล้วฝ่ายลูกสาวที่เป็นภรรยาก็คอยตามหึงหวงอยู่ตลอด สามีคงทนไม่ไหวเลยขอหนีไปทำงานต่างประเทศสักพัก ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าภรรยาเกิดคลุ้มคลั่งอะไร ตั้งแต่ที่สามีไม่อยู่บ้านก็เอาแต่ตีหมาของสามีทุกวัน หมาตัวเองไม่ตีด้วยนะเพราะรักมาก ประสาทเสียที่สุด โกรธคนแล้วเอาไปลงที่หมา คนสติดี ๆ ที่ไหนเขาทำ นอกจากตีแล้วคุณพ่อเล่าว่ายังขังหมาเอาไว้ในกรง แกล้งไม่ให้ข้าวให้น้ำบ้าง บางทีก็ล่ามโซ่แล้วลากไปกับพื้นแรง ๆ จนขนที่คอร่วงเป็นกำ ๆ แต่ที่เลวร้ายจริง ๆ คือหมาเครียดครับ จากที่เป็นหมาร่าเริงมาก ๆ ก็กลายเป็นหมาที่ดุร้าย วันหนึ่งมันไปกัดเจ้าโจอี้ที่มาเล่นด้วยเข้าทำให้ภรรยาโมโหมากเลยใช้ไม้ตีขาเจ้าโจนาสจนกระดูกหัก”
พฤกษ์เล่าไปก็สังเกตป้าเมียมไป ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือดลงเรื่อย ๆ หัวคิ้วก็ขมวดปมเข้าหากันจนเขารู้สึกได้
“สามีกลับมาและรู้เรื่องเข้าเลยมีปากเสียงกัน คนงานในบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าภรรยาเอาเรื่องหึงหวงมาพูดเพื่อจับผิดสามีอีกจนสามีทนไม่ไหว คงเพราะเครียดเรื่องธุรกิจด้วยเลยชักปืนออกมายิงภรรยาดับคาที่ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม”
“....”
“ส่วนเรื่องหมา เพื่อนคุณพ่อแพ้ขนหมา คุณพ่อเลยออกหน้าขอรับมาเลี้ยงแทน” ชายหนุ่มถอนหายใจ พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “แล้วดูคุณพ่อสิครับ แหม ใครจะใจกว้างเท่าเจ้าสัวพนาอีกคงไม่มีแล้ว ปุบปับคิดจะเลี้ยงก็เอามาเลย เอาปัญหามาโยนโครมทิ้งไว้แล้วก็หายไปไหนก็ไม่รู้ทุกครั้ง”
“โอ๊ย” เขาแสร้งร้องขึ้นดัง ๆ “ช่างเป็นคุณพ่อที่ประเสริฐจริง ๆ ”
“คุณพฤกษ์คะ ..ป้า”
พฤกษ์หันไปมองป้าเมียม อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าเป็นกังวลเจือรู้สึกผิด
“ป้าเมียมไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ผมรู้ว่าป้ารู้สึกผิดที่เคยตีมัน แต่คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่ผิดเลย ยังไงก็ผิดอยู่กึ่งหนึ่ง ต่อจากนี้อย่าทำอีกก็พอแล้วครับ”
เวลาบ่ายสาม พฤกษ์ตัดสินใจจะขึ้นไปดูอินทรชิตที่หลับอยู่ในห้อง ทว่าเสียงรถยนต์ที่ขับเข้ามาทำให้เขาจำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียก่อน
“คุณพฤกษ์! ” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับมาลีวัลย์วิ่งถลาเข้ามาสู่อ้อมกอดเขา หญิงสาวกอดรัดตนแน่นราวกับจะทำให้แหลกลาญ ใบหน้าสวยหวานเกยอยู่บนอกก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมา
“ไปเที่ยวมาสนุกไหมคะ”
“อืม” เขาโกหก แท้ที่จริงไม่ได้ไปไหนเลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวผละออกเปลี่ยนมาจับแขนเขาและเขย่าไปมาแรง ๆ “แล้วคุณพฤกษ์รู้ไหมคะว่าพี่ฉัตรต่อยพี่อินทร์ปากแตก พี่อินทร์ตกใจจนหนีไปเลย”
“รู้สิ” ต้นเหตุก็ยืนหัวโด่ให้เห็นอยู่ทนโท่ตรงหน้า แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ตกใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงเสียหน่อย ทำไมเสียเว่อร์วัง
“พี่ฉัตรใจร้ายค่ะ คุณพฤกษ์ต้องเอาคืนให้พี่อินทร์นะคะ พี่อินทร์น่าสงสาร คุณพฤกษ์ขา คุณพฤกษ์อย่าให้เขาต่อยคนของเราฟรี ๆ นะคะ มะลิไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”
“เอาคืนหรือ? ” พฤกษ์หัวเราะ “แกจะให้ฉันไปต่อยเขาหรือยังไง”
มาลีวัลย์ส่ายหน้า “ไม่ต่อยคืนก็ทำอะไรสักอย่างสิคะ พี่ฉัตรเขากลัวคุณพฤกษ์จะตายไม่ใช่หรือคะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาให้กับความแสนรู้ของหญิงสาว เขายกมือขึ้นขยี้ศีรษะเบา ๆ ก่อนจะตกปากรับคำเสียดิบดี
“ได้สิ ฉันจะจัดการคุณฉัตรให้ แต่ตอนนี้ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว มีการบ้านก็รีบไปทำให้เรียบร้อยด้วย”
มาลีวัลย์ยิ้มหวานตอบก่อนขอตัวขึ้นไปบนห้อง คล้อยหลังน้องสาวจากไปครู่เดียว น้องชายก็เดินถือกระเป๋าผ้าผิวปากเข้ามาทันที
“สวัสดีครับคุณพฤกษ์” พฤกษ์พยักหน้ารับ
“อารมณ์ดีจังเลยนะ”
พงพียิ้มร่า ตอบว่า
“มีความสุขก็ต้องอารมณ์ดีสิครับ” ก็ถูกของมันว่า
“แล้วไง? มีอะไรดี ๆ งั้นสิ”
“อะไรดี ๆ หรือครับ อ่อ ก็ ..พอดีว่า อะแฮ่ม! ” จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น พฤกษ์เลิกคิ้วขึ้นสูงพลางทำหน้ามีเลศนัย
“ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ” เขาหยั่งเชิง เผื่อว่าน้องชายจะชอบแบบอื่น
“บะ บ้าหรือครับ ก็ต้องเป็นผู้หญิงสิครับ”
“ไม่ได้บ้าสักหน่อย ก็แค่ถามเผื่อไว้เฉย ๆ เท่านั้นแหละ”
เขาอมยิ้ม “เธอเป็นใคร”
พงพีเกาท้ายทอย “เป็นเพื่อนที่ชมรมครับ คนละห้อง นะ..น่ารักดีครับ”
“ชมรมอะไร”
“ชมรมปักครอสติชครับ” พงพีพูดอย่างกระตือรือร้นพลางรื้อของที่อยู่ในถุงผ้าออกมาอวด พฤกษ์รับมาดูอย่างตั้งใจ มันคือผ้าลินินสีขาวที่มีด้ายปักเป็นรูปพุ่มดอกกุหลาบสีแดงสด ลักษณะการปักด้ายไขว้กันเป็นรูปตัวเอ็กซ์ พอยกขึ้นมาดูใกล้ ๆ พฤกษ์จึงรู้ว่ามันเป็นการปักที่ประณีต เรียบร้อยและสม่ำเสมอมาก แสดงให้เห็นว่าพงพีมีความสามารถในการทำงานฝีมือมากพอสมควร
“แกนี่เก่งนะ ดูสิ มันสวยมากเลย” พฤกษ์พูดชมอย่างไม่ตระหนี่เลยสักนิด ในกาลก่อน ถึงเขาจะเป็นพี่ชายในบ้านที่แสนร้ายกาจแต่ก็กลับเป็นเจ้านายในออฟฟิศที่ชื่นชมยินดีกับการทำงานของลูกน้องอยู่เสมอผิดกับคนละคน เขาคิดว่าการชื่นชมใครก็ตามแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการชมว่าวันนี้เลขาหลี่ชงกาแฟอร่อย ชมนักศึกษาฝึกงานที่วิ่งวุ่นถ่ายเอกสารว่าทำงานเรียบร้อย ชมป้าแม่บ้านที่ถูพื้นว่าทำได้สะอาดเอี่ยมอ่องหรือแม้แต่ชมพนักงานกดลิฟต์ว่าทำงานขยันก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างกำลังใจได้อย่างมากมายมหาศาล เขาเป็นผู้บริหารที่เห็นค่าในความสามารถของคนในองกรค์ทุกระดับชั้น การชื่นชมนอกจากจะสร้างกำลังใจแล้วยังทำให้ผู้อื่นมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เขาเชื่อว่าทุกคนไม่ว่าจะทำอะไรย่อมต้องการการย่องยกสนับสนุน หากไร้ซึ่งคำชื่นชมก็ยากที่จะมีใจกระทำการสิ่งใดที่รักใคร่ ยิ่งเป็นคนที่ทำงานด้วยกันแล้วพฤกษ์ก็ยิ่งต้องชื่นชมให้เป็นนิสัย อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าไม่ได้ทำเพื่อตนเองเพียงเท่านั้นแต่ยังทำเพื่อเขาอีกด้วย
ดังนั้นพฤกษ์จึงไม่กลัวว่าพงพีจะเหลิงเพราะคำชมของเขา เด็กตัวแค่นี้ย่อมต้องการคำชื่นชมเป็นปกติ โดยเฉพาะคำชื่นชมที่มาจากครอบครัว
“ทำให้ฉันสักรูปสิ เอาไปใส่กรอบติดตรงห้องนั่งเล่นน่าจะดี”
“แต่ถ้าคุณพ่อรู้เข้าคงไม่ดี” พงพีเสียงหงอยลงพร้อมกับรับผ้าลินินคืนกลับมา
“รู้แล้วจะทำอะไรได้” พฤกษ์ยักไหล่ “ฉันก็อยู่ทั้งคน”
“คุณพฤกษ์ต้องช่วยผมนะ ถ้าเกิดคุณพ่ออาละวาดขึ้นมา” พงพีเขย่าแขนเขา
“แน่นอน” พฤกษ์ให้สัจจะ “คุณพ่อทำอะไรแกไม่ได้แน่นอน”
เมื่อเห็นว่าพงพีหมดกังวลแล้วเขาจึงพาวกกลับเข้าเรื่องเดิม
“แกยังไม่เล่าเรื่องคนที่แกชอบเลย”
“หา” ชายหนุ่มแก้มแดงขึ้นมา “ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าชอบ”
“แล้วไม่ได้ชอบหรือไง”
“ผมแค่ปลื้ม” พงพีอมยิ้ม “เขาน่ารัก เท่มาก ๆ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต่อยผู้ชายคว่ำเลยครับ ผมประทับใจจริง ๆ ”
พฤกษ์หลุดหัวเราะ “ขนาดนั้นเลย”
“ครับ ขนาดนั้นเลย” ชายหนุ่มทำหน้าเคลิ้มก่อนจะเล่า “พวกรุ่นพี่ชมรมถ่ายภาพห้องข้าง ๆ แซวผมเพราะผมเป็นผู้ชายคนเดียวในชมรมครอสติช หนูอ้อนเลยปกป้องผม”
“ชื่อน่าเอ็นดูจริง หนูอ้อน” พฤกษ์แกล้งหยอก
“จริง ๆ เขาชื่ออ้อนเฉย ๆ ครับแต่เพราะตัวเล็กมาก ๆ คนอื่นเลยพากันเรียกหนูอ้อน”
“อย่างนี้เขาเรียกเล็กพริกขี้หนูนะ”
พงพีไม่ตอบ ชายหนุ่มเอาแต่อมยิ้มจนแก้มแทบปริแตก เห็นแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงหาเรื่องไล่น้องชายขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกคน
พฤกษ์ยืนรอพงพีเลี้ยวเข้าชั้นสองจนหายลับอยู่สักพัก พอได้ยินเสียงปิดประตูดังลั่นก็มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น พฤกษ์ตัดสินใจย่องตามหลังขึ้นไปชั้นสองทันที ชายหนุ่มกลั้นหายใจและพยายามก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบในขณะที่เดินผ่านหน้าห้องของพงพีและมาลีวัลย์เพื่อจะไปยังห้องของอินทรชิต
‘ให้ตายสิ ทำไมฉันถึงทำตัวเหมือนคุณผู้ชายในละครน้ำเน่าที่กำลังย่องเข้าห้องคนใช้เลยล่ะ’
พฤกษ์ส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระของตนเอง เขาค่อย ๆ เปิดประตูออก แทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วและไม่ลืมที่จะล็อคประตูเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ชายหนุ่มย่องเบาเข้าไปใกล้เตียงนอน ทั้งห้องมืดสลัวเพราะเปิดไว้แค่ไฟสีส้มตรงโต๊ะข้างหัวเตียง เขาเห็นอินทรชิตนอนอยู่นิ่ง ๆ อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ ทว่าพฤกษ์ไม่อาจวางใจได้โดยง่าย เขาวางมือลงบนหน้าผากมนเพื่อตรวจสอบ พอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ ไม่ได้ร้อนฉ่าจนน่ากลัวทว่ากลับเย็นเยือกเพราะเครื่องปรับอากาศเขาก็คลายความกังวลลงได้
ถึงจะเห็นสีหน้าไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอาการดีขึ้นจนแทบเป็นปกติแล้ว พฤกษ์เคลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ สองสามครั้งเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน ทว่าก็ถูกแรงมหาศาลจากแขนแข็งแรงรั้งเข้าที่เอวและลากเขาลงให้ล้มลงนั่งกับเตียงนอน
“แค่ลูบหัวแล้วก็ไปหรือครับ” อินทรชิตพูดเสียงทุ้มชิดแก้มนุ่มข้างหนึ่งขณะที่โอบกอดเขาจากด้านหลัง
“ทำไม? แกอยากให้ฉันลูบอย่างอื่นด้วยหรือ
ไง”
ชายหนุ่มหน้าแดงซ่าน รีบกระแอมในคอและตอบ
“ถ้าบอกว่าใช่ คุณจะลูบหรือเปล่าครับ”
พฤกษ์หันตัวมาเผชิญหน้า มือเรียวยาวยกขึ้นลูบไล้ที่อกหนาเบา ๆ
น้ำเสียงนุ่มหยอกเย้า “ลองดูไหม”
“ระวังไว้เถอะครับ พูดทีเล่นทีจริงแบบนี้”
“ระวังอะไรไม่ทราบ” พอเห็นท่าทีท้าทาย อินทรชิตก็ยิ้มในหน้าก่อนจะรวบเอาฝ่ามือซุกซนมาถือไว้และถือวิสาสะวางแปะลงบนเป้ากางเกงวอร์ม
“ถ้าไม่กลัวก็ลองลูบเบา ๆ ดูสิครับ”
พฤกษ์ชักมือหนีแทบจะทันทีราวกับจับโดนของร้อน
“แหม แกจะจริงจังไปทำไมฉันก็แค่หยอกเล่น”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะสอดมือกอดเอวบาง ใบหน้าหล่อเข้มวางเกยอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง
“คุณมาเล่นกับหมา หมามันก็เลียปากสิครับ”
พฤกษ์แสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“พูดถึงหมาก็นึกขึ้นมาได้ แผลที่โดนกัดเป็นอย่างไรบ้าง”
อินทรชิตยื่นแขนข้างที่โดนกัดขึ้นมาจากที่กำลังใช้กกกอดอีกฝ่าย พฤกษ์จับแขนแกร่งข้างนั้นขึ้นมาดูใกล้ ๆ ใช้มือจับไปจับมือพลิกซ้ายพลิกขวาดูอยู่สักพักก็พูดขึ้น
“แผลไม่ลึกมาก เดี๋ยวก็คงหายแล้ว”
“แผลลึกจะตายครับ เจ็บมากด้วย”
เขาส่ายหน้า “สำออยนักนะ”
“โธ่ เจ็บจริง ๆ นะครับเชื่อเถอะ” อีกฝ่ายว่าพลางจูบลงบนสันกรามอย่างออดอ้อน
“คุณพฤกษ์เป่าสิครับ”
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น”
“ถ้าทำอย่างนั้นแล้วผมจะหายเร็วขึ้น”
พฤกษ์เอนหลังพิงกับอกแกร่ง ใช้บ่าอีกฝ่ายเป็นที่หนุนนอน
“รู้ใช่ไหม นั่นเป็นเรื่องโกหกของผู้ใหญ่ แค่เป่าเพี้ยงสองสามครั้งมันไม่มีทางหายหรอก”
“รู้ครับ” เขากระชับอ้อมแขน กกกอดเอาไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกคนจะสลายหายไป
“ผมก็แค่ต้องการคำปลอบใจจากคุณพฤกษ์เท่านั้น”
“อะไรกัน” เขาว่า “ตัวก็ออกจะใหญ่ทำไมใจน้อยจริง”
“ตัวใหญ่ไม่ใหญ่ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยนี่ครับ ใคร ๆ ก็อยากถูกเอาใจทั้งนั้น”
“นี่แกอยากให้ฉันเอาใจแกอย่างนั้นสิ? ”
“ไม่ได้หรือครับ”
พอได้ยินเสียงเหงาหงอย พฤกษ์ก็เกิดจนใจขึ้นมา ดวงตาเฉี่ยวคมหลุบมองท่อนแขนที่พาดอยู่บนหน้าขา ที่สุดแล้วเขาก็แข็งใจได้ไม่นาน มือเรียวขาวค่อย ๆ ยกท่อนแขนข้างนั้นขึ้นมาอยู่ในระดับใบหน้าก่อนจะเป่าลมเบา ๆ ใส่บาดแผลอย่างระมัดระวัง
“เพี้ยง” เขาพูด “ขอให้หายไว ๆ อย่าเจ็บอย่าปวดตรงไหนอีก”
พฤกษ์พูดจบก็ถูกร่างกายใหญ่โตกอดรัดเสียจนอึดอัด เขาทุบกำปั้นลงบนอกหนาแรง ๆ อยู่สี่ถึงห้าครั้งกว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยออกมาให้หายใจหายคอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่รามือ รีบโผหน้าเข้าไปหอมแก้มนุ่มให้ชื่นใจดังฟอด
“หาเศษหาเลยอยู่ได้” พฤกษ์ส่งเสียงปรามและดันใบหน้านั้นออกห่าง
“ก็มันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนี่ครับ”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ” เขาว่าและให้มะเหงกหนึ่งทีเป็นรางวัล
พฤกษ์ปล่อยให้อินทรชิตพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาก็กลับลงมาด้านล่าง กะว่าจะอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้จบก่อนถึงเวลารับประทานอาหารเย็น
“คุณพฤกษ์ค้า” เสียงใสแจ๋วดังไล่หลังมาทำให้ต้องหันกลับไปมอง
“จะไปไหนกันวัยรุ่น” เขาเอ่ยทักทันทีที่เห็นพงพีและมาลีวัลย์แต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนจะไปออกกำลังกาย
“ตีแบดครับ! ” พงพีเป็นคนตอบพลางชูกระเป๋าใส่ไม้แบดมินตันขึ้นมา
“ตีที่ไหน” เขาถามก่อนจะกวาดตามองออกไปด้านนอก เห็นท้องฟ้ากระจ่างใส แดดกำลังร่ม ลมกำลังนิ่งเหมาะอย่างยิ่งที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัว
“ในสวนหรือ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบ “คุณพฤกษ์มาเล่นด้วยกันนะคะ”
พฤกษ์โบกมือปฏิเสธ
“ฉันไม่ชอบมีเหงื่อ” เขาชอบอ่านหนังสือและอยู่นิ่ง ๆ เสียมากกว่า เรื่องที่ต้องออกกำลังให้ได้เหงื่อน่ะแค่เรื่องเซ็กส์เรื่องเดียวก็เพียงพอแล้ว
“โธ่ เล่นแป๊ปเดียวเอง เหงื่อไม่ทันออกหรอกค่ะ”
“แกไปเล่นกันสองคนเถอะ”
“แต่..”
พฤกษ์เลิกคิ้วเป็นเชิงห้ามให้หญิงสาวรบเร้าต่อ มาลีวัลย์จึงได้แต่ทำหน้างอก่อนจะถูกพี่ชายลากแขนออกไปในที่สุด ชายหนุ่มยืนมองเด็กทั้งสองเดินเลี้ยวหายจนลับสายตา เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจและทิ้งตัวลงบนโซฟา หยิบหนังสือเล่มเดิมที่อ่านทิ้งไว้ขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างใจเย็นและเงียบสงบ
“บ้านไอ้อินทร์แม่งโคตรใหญ่”
“งั้นเรอะ” อัคราว่าพลางมองผ่านกระจกรถยนต์ลอดประตูรั้วเหล็กดัดเข้าไป “บ้านกูใหญ่กว่านี้นิดนึง”
คาเตอร์หัวเราะ “บ้านมึงเรียกวังน่าจะเหมาะ”
“เว่อร์” ชายหนุ่มตบหัวเพื่อน “มึงลงไปกดออดไป”
“เออ ๆ ”
หนุ่มลูกครึ่งเปิดประตูลงจากจากัวร์คันงามเพื่อกดออด ไม่นานนักก็มีหญิงสาววิ่งหน้าตื่นออกมา
“มาหาใครคะ” ต่ายกล่าวทักเพราะไม่คุ้นหน้าแขก ทว่าก็เอะใจขึ้นมาเพราะชายหนุ่มตรงหน้าสวมใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับเจ้านายของตน
“เอ่อ ..พวกผมมาหาอินทร์ครับ”
“เพื่อนคุณอินทร์หรือคะ? ” คาเตอร์ยิ้มตอบ ต่ายเคลิ้มไปชั่วครู่ก่อนจะรีบผลักประตูรั้วเหล็กดัดออกเพื่อที่จะให้รถยนต์ขับเข้าไปได้
กระทั่งจากัวร์คันงามเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูใหญ่ คาเตอร์ถือของเยี่ยมสำหรับคนป่วยเต็มมือเดินลงมาจากรถในขณะที่อัคราปิดประตูดังลั่น เล่นเอาต่ายที่เพิ่งเดินมาถึงกับสะดุ้งโหยง
‘เพื่อนคุณอินทร์ที่หน้าออกฝรั่งก็ดูนิสัยดีอยู่หรอก แต่คนหัวแดงนี่สิ ท่าทางเหมือนอันธพาลไม่มีผิด! ’
“คุณคอยตรงนี้สักครู่” หญิงสาวว่า “ดิฉันจะไปเรียนคุณพฤกษ์ก่อนว่ามีแขก”
“รบกวนด้วยครับพี่” คาเตอร์เป็นคนออกปากแทนเพื่อนตัวดีที่ยืนพิงรถและสอดส่องสายตาไปทั่วอย่างสบายอารมณ์
ต่ายเดินเร็วเข้ามาภายใน เจอเจ้านายหนุ่มกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถงเป็นอย่างแรก เธอปรี่เข้าไปหาก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนพื้น
“คุณพฤกษ์คะ”
พฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
“ผมได้ยินเสียงรถยนต์” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างตั้งคำถาม “มีใครมาหรือครับ”
“เพื่อนคุณอินทร์ค่ะ”
“เพื่อน? ” พฤกษ์ชะเง้อมองประตูใหญ่ที่เปิดอยู่ไกลออกไป ชายหนุ่มถือหนังสือไว้ในมือและลุกขึ้นยืนตัวตรงหวังจะออกไปดูหน้าค่าตาเพื่อนของคุณอินทร์ที่ว่า
“ไปเชิญเข้ามาเถอะครับ อย่าให้แขกยืนรอนาน”
เขาเดินตามหลังต่ายไป กระทั่งถึงหน้าประตูใหญ่ สิ่งแรกที่ดวงตาเรียวสวยภายใต้กรอบแว่นสีทองเห็นคือจากัวร์สีดำแวววาวกับผู้ชายสองคนในชุดนักเรียนแบบเดียวกับอินทรชิต คนหนึ่งสูงผอมหน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง ไม่อังกฤษก็อเมริกันจากการคาดคะเนด้วยสายตา กำลังยืนถือของพะรุงพะรังแกว่งไปแกว่งมา ส่วนอีกคนพฤกษ์ไม่อาจเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้เพราะกำลังยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ จะเห็นก็แต่เส้นผมสีแดงแสบตาก็เท่านั้น
“อ้ะ ..สวัสดีครับ” ชายหนุ่มลูกครึ่งสังเกตเห็นเขาก่อนจึงยกมือไหว้ พฤกษ์พยักหน้าตอบ พูดว่า
“มาสิ เข้ามาข้างในก่อน”
คาเตอร์ยิ้มแห้งก่อนจะขยับตัวไปสะกิดเพื่อน
“มึง ๆ เสร็จยัง” และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี อัคราหันหลังกลับมาด้วยอาการหงุดหงิด
“อะไรวะ สะกิดอยู่–” คำนั้นพลันกลืนหายเข้าไปลำคอเมื่อเหลือบแลไปเห็นชายหนุ่มร่างโปร่งสวมแว่นสีทองที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ อัครานิ่งค้างไปราวกับต้องมนต์ หัวใจบีบรัดจนทรมานสาหัสสากรรจ์อย่างฉับพลัน ร่างกายชาวาบไปทุกสัดส่วน สายตาของเขาไม่อาจลดละไปจากใบหน้านั้นได้ น่าประหลาด.. น่าประหลาดเหลือเกินทั้งที่เป็นการพบกันครั้งแรกและอัคราก็มั่นใจว่าตลอดชีวิตตนนี้ไม่เคยเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายจากที่ไหนมาก่อน
ทว่าทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงกับคน ๆ นี้มากมายเหลือเกิน
ตุ้บ!
เสียงหนังสือร่วงหล่นลงมาจากมือสู่พื้นหินอ่อน พฤกษ์ยืนตัวแข็งทื่อไปทันทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเรือนผมสีแดงนั่น เขารู้สึกเหมือนอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ทว่าร่างกายและปากกลับใช้การไม่ได้ดังใจคิด หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บปวด มือไม้ทั้งสองสั่นระริกจนต้องกำไว้ข้างหลัง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกโหวงเหวงตรงบริเวณแผลเป็นกลางอก
‘นั่นเขา..’ และ ‘อัครา! ’
ทุกอย่างรอบตัวเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ หยุดไว้ให้เราสองได้จับจ้องมองตา อัคราไม่อาจทราบความนัยที่แฝงอยู่ในแววตาหลังกรอบแว่นที่มองลงมา เขารู้เพียงแค่ว่ามีความรู้สึกมากมายกำลังเอ่อล้นออกมาจากตัวเขาและเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ราวกับว่า ..ส่วนลึกของจิตใจมันกำลังเรียกร้องคน ๆ นี้อยู่ตลอดเวลา
มันคืออะไร!? นี่เรากำลังเป็นอะไร!!?
“คุณพฤกษ์คะ ..หนังสือ”
เป็นพฤกษ์ที่ได้สติสัมปัชชัญญะกลับคืนมาก่อน ชายหนุ่มรับหนังสือจากหญิงสาวมาทั้งที่ดวงตาไม่ละจากอัคราเลยแม้แต่นิดเดียว
“พวกเธอสองคนเข้ามาข้างในสิ”
เขาเชื้อเชิญเพราะถือว่าเป็นเจ้าบ้าน พอพูดจบก็หันหลังกลับจ้ำเดินไม่หยุดกระทั่งถึงโซฟา พฤกษ์ทิ้งตัวลงนั่งทันทีและนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
อัคราเป็นคนที่สองที่ไล่ตามมาติด ๆ ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งตรงข้ามเพราะอยากจะเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ
“คุณชื่อไร? ” ชายหนุ่มถามทันทีที่พฤกษ์ตั้งสติได้ เขาหันขวับมามองและขมวดคิ้ว
“เธอว่าอะไรนะ”
“ผมถามว่าคุณชื่ออะไร บอกหน่อยได้ไหม? ”
“ไอ้อัคร! มึง! ” หนุ่มลูกครึ่งวางสัมภาระที่หอบหิ้วลงกับพื้นก่อนจะถลานั่งลงข้าง ๆ เพื่อนของตน
“ขอโทษครับ” เขาว่า “เพื่อนผมมันไม่ค่อยรู้กาลเทศะ”
พฤกษ์พยักหน้าเบา ๆ ว่าไม่ถือสา ยังคงรักษาอาการของตนให้สงบนิ่งทั้งที่ในใจเดือดดาลอยู่ไม่สุขไม่ต่างจากอัคราสักนิด!
‘ให้ตายเถอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นคุณจริง ๆ หรืออัคร!! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงเป็นนักเรียนล่ะ!? ทำไมอายุอ่อนกว่าผม! ทำไมถึงเป็นเพื่อนไอ้เขี้ยวได้!? ทำไมถึงย้อมผมสีแสบตาแบบนี้! โอ๊ย!! ’
และอีกสารพัดทำไมที่เขาเกิดคำถามตีกันอยู่ในหัว ทว่ากลับแสดงออกมาได้แค่นั่งนิ่ง ๆ ราวกับเสาบ้านต้นหนึ่งก็ไม่ปาน
‘บัดซบ! เกิดอะไรขึ้น! ’
“นี่ ..ได้ยินที่ผมถามหรือเปล่า”
“พี่ต่ายขึ้นไปปลุกเจ้าเขี้ยวลงมาหน่อยสิครับ” พฤกษ์เมินเฉยต่อคำถามและหันไปสั่งต่ายที่เพิ่งเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“เอ่อ.. แต่” หญิงสาวหันไปมองอัครา เมื่อครู่เธอมาทันเห็นอีกฝ่ายกิริยาทรามใส่เจ้านายจึงเกิดเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือถึงเนื้อถึงตัวขึ้นมา ทว่าพฤกษ์กลับส่ายหน้าเป็นเชิงว่าตรงนี้ตนจัดการเองได้ ให้เธอขึ้นไปทำหน้าที่ของเธอเถอะ
“ไปปลุกนะครับ ถ้าไม่ตื่นก็ปล่อยให้นอนต่อได้เลย”
“คะ ค่ะ..”
ต่ายรับคำสั่งก่อนจะขอตัวออกไปในที่สุด ทั้งห้องโถงจึงเหลือเพียงเจ้าบ้านและแขกรวมกันแค่สามคน ส่วนคนงานคนอื่นก็มีงานการคนละส่วน ลุงแสงคงวุ่นอยู่ในสวน เห็นกำลังจะลงต้นไม้แปลงใหม่ ส่วนแม่พลอยกับป้าเมียมอยู่ในครัวกำลังตระเตรียมอาหารเย็นจึงไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากเขาคนเดียว
“อากาศคงร้อน ดื่มน้ำกับของว่างรอกันไปก่อน อีกเดี๋ยวเขี้ยว” เขาพูดใหม่ “..เดี๋ยวอินทร์ก็คงลงมา”
“คะ ครับ” คาเตอร์ขานรับอย่างสุภาพในขณะที่อัครามองเขาตาไม่กระพริบ เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนพฤกษ์เหลือจะทนเพราะรู้สึกอึดอัด เขาจึงถามออกไปว่า
“เธอมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า? ”
“ผมรู้จักคุณ” อัคราสวนขึ้นมาทันที
พฤกษ์ใจร่วงลงไปอยู่ที่พื้นก่อนจะแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน
“เราจะรู้จักกันได้อย่างไรในเมื่อฉันเพิ่งจะเคยเจอเธอครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
“แน่ใจหรือ? ”
“ไอ้อัคร.. มึงหยุด” หนุ่มลูกครึ่งสะกิดเพื่อนยิก ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเสียมารยาทกับเจ้าบ้าน
“ผมขอโทษแทนมันอีกครั้งนะครับ ..ไอ้นี่มันเพี้ยน”
“ไม่เป็นไร” พฤกษ์ยิ้มในหน้า “ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร”
พฤกษ์สูดหายใจลึก ๆ อย่างยากลำบากราวกับมีก้อนบางอย่างตีบตันอยู่ในคอ ร่างกายของเขายังคงสั่นไหวไม่หยุด ขอบตาเองก็ร้อนผ่าวไปหมด พฤกษ์คิดว่าหากเขายังนั่งอยู่ตรงนี้และมองเห็นใบหน้านั้นต่อไปเขาคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ ๆ
คงเพราะยังคิดถึง
คงเพราะยังอาลัยอาวรณ์
คงเพราะยังมีเยื่อใย
คงเพราะยังห่วงหา
คงเพราะ ..ยังรักอยู่
แต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่! พฤกษ์ไม่อาจด่วนสรุปถึงชายคนรักเก่าที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าแถมลักษณะบางอย่างก็ต่างไปจากอัคราที่เขาคุ้นเคยในกาลก่อน
ทุกอย่างมันถาโถมประเดประดังเข้ามาใส่เขาจนอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่มีเวลาให้ตระเตรียมใจหรือตั้งสติได้เลย! ฉุกละหุกเกินไป!
‘ทนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันจะบ้าตาย’
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ” พฤกษ์ลุกขึ้นยืน “พวกเธอตามสบาย”
พูดจบร่างโปร่งก็หันกลับหวังจะเดินไปที่บันได ทว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นมา อัคราคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้และรั้งให้หันกลับมา เล่นเอาคาเตอร์ถึงกับอ้าปากค้างกับการกระทำอุกอาจของเพื่อนตนเองจนทำอะไรไม่ถูก
“ยังไม่ตอบคำถามเลยนะ” เสียงห้าวเอ่ยอย่างร้อนรนใจเพราะเขาใคร่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนเดี๋ยวนี้
“ตอบมาสิ” เขาพูดซ้ำแถมยังกระชากตัวพฤกษ์เข้ามาใกล้ ๆ
“ชื่ออัครใช่ไหม? ” พฤกษ์ถามทั้งที่ก็รู้แจ้งแก่ใจดีกว่าใคร
“เอาล่ะ ..อัคร อย่างแรกที่เธอต้องรู้คือเธอไม่ควรมาจับแขนคนอื่นส่งเดชแบบนี้ อย่างที่สอง ฉันแก่กว่าเธอตั้งห้าปีนับว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เธอควรจะมีมารยาทมากกว่ามาไล่บี้ถามชื่อด้วยน้ำเสียงและท่าทางหยาบคาย ไม่มีเด็กดี ๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอกนะ อย่าคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าอยู่คนเดียวนะอัครา เธอยังเด็กนิดเดียว ฉันขอเตือนว่าอย่าทำกิริยาแบบนี้กับคนที่เพิ่งเคยเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนอย่างฉัน! ”
พฤกษ์ถอนหายใจก่อนจะมองไปที่แขน
“และอย่างสุดท้าย ..ปล่อย-มือ-สัก-ที! ฉันไม่ชอบ!! ”
“ไอ้อัคร ไอ้ชั่ว มึงทำอะไร! ”
เสียงเข้มดังขึ้น ก่อนที่อินทรชิตจะพรวดพราดเข้ามาผลักอัคราให้ออกห่าง ชายหนุ่มกุมมือเขาแน่นก่อนจะดันให้หลบอยู่ด้านหลัง พฤกษ์รู้สึกได้ว่าฝ่ามือใหญ่ที่จับมือของตนอยู่กำลังสั่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“กูเปล่า” อัคราเถียงทว่าสายตายังคงจับจ้องมาที่ด้านหลังของเพื่อนสนิท พฤกษ์หลบหน้าหันไปทางอื่น ไม่ยอมแม้แต่จะเหลือบมองด้วยหางตา
“เขี้ยว” เขาว่าเสียงเรียบขณะที่ค่อย ๆ แกะฝ่ามือใหญ่นั้นออก
“คุณไม่เป็นอะไรนะ” อินทรชิตถามอย่างเป็นห่วงก่อนที่สายตาคมกริบจะตวัดมามองอัคราอย่างเอาเรื่อง
“ฉันไม่เป็นอะไร” พฤกษ์ว่า “ตักเตือนเพื่อนแกเสียหน่อยนะ ..ว่าอย่าทำตัวไร้มารยาทอีก ที่บ้านก็ออกจะเป็นผู้รากมากดีเก่าไม่ใช่หรือ เรื่องพวกนี้ไม่มีสั่งสอนเลยหรือไง”
เจ้าบ้านทิ้งทวนไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนจะเยื้องย่างเดินขึ้นบันไดไป ทว่าก้าวพ้นขั้นบันไดไปได้ไม่ถึงสี่ขั้น อัคราก็ตะโกนขึ้นมา
“ผมขอโทษครับ! ”
ร่างโปร่งหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย เขาแสร้งทำเป็นเมินเฉยและเดินต่อไป
“ผมก็แค่อยากจะรู้ชื่อคุณเท่านั้น! ”
คราวนี้พฤกษ์กลับถอนหายใจออกมายาวเหยียด นึกแค้นตนเองนักที่ใจไม่แข็งพอเสียที ชายหนุ่มหันหลังกลับมาในที่สุดก่อนจะจำยอมพูดว่า
“ฉันชื่อพฤกษ์ พฤกษ์ วัฒนารายณ์ ..จำไว้ให้ดี”
“มึงเลิกจ้องเขาสักทีได้ไหมวะ”
อัคราที่ยืนเหม่อหันหน้ามามองเพื่อน น่าประหลาดนักที่รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองมีน้ำสีใสเอ่อคลอ
“กูมีความรู้สึกโหวง ๆ ในอกเหมือนจะร้องไห้เลยว่ะ”
พูดให้ถูกคือเขาร้องไห้ออกมาแล้ว น้ำตาหนึ่งหยดไหลรดอาบแก้มลงมาเป็นสาย สร้างความตกใจให้แก่คาเตอร์ที่ลุกเดินเข้ามาดูเป็นอย่างมาก
...ในขณะที่อินทรชิตทำเพียงแค่มองเพื่อนสนิทด้วยแววเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก มือทั้งสองที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวก็พลันกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดที่แขนและลำคอปูดโปนขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว
อัครายังพูดต่อไปอีกทั้งที่น้ำตานองหน้าด้วยความรู้สึกที่สับสน
“ไม่รู้สิ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่กูรู้สึกว่ากูรู้จักเขา ..ทำไมวะมึง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ