คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.33K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
28) 00 28
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 28
“ขอบคุณมากครับ”
“อืม” ใบหน้านุ่มนวลพยักหน้ารับ ตอบว่า “ตั้งใจเรียน”
อินทรชิตหน้าแดงเรื่อ เขายิ้มกว้างขณะยืนมองคุณพฤกษ์ขับรถจากไป ในอกพลันอุ่นวาบขึ้นมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาบบนตำแหน่งดวงใจ ก้อนเนืัอข้างในนั้นเต้นเร่าน่ากลัวราวกับจะระเบิดออกมา
เขาจะตายไหม เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย..
“มึงยืนยิ้มอะไรวะ เสพกัญชาแต่หัววันเลยเรอะ”
อินทรชิตหันกลับเข้าไปในโรงเรียน เห็นเด็กหนุ่มหัวแดงแสบทรวงยืนขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ เขาเบิกตาโพลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทันที
“มึง! ” เขากำคอเสื้ออีกฝ่าย ดึงเข้ามาประชิดโดยแรง
อัคราผงะ เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจ หลับตาปี๋และทำท่าทางเขินอาย
“มึงจะทำอะไร ..ไอ้บ้า กูมีพ่อมีแม่นะ”
อินทรชิตไม่ได้สนใจท่าทางกระมิดกระเมี้ยนนั้น เขาถามคำถาม
“เมื่อกี้เห็นอะไร! ”
“ห๊ะ” อัคราทำหน้ามึน
“ถามว่าเมื่อกี้มึงเห็นหน้าคนในรถไหม!? ”
“ในรถอะไร” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “กูเห็นแค่มึงยืนยิ้ม”
อินทรชิตเหมือนจะได้สติกลับคืนมา เขาปล่อยมือจากคอเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่ พูดว่า
“ขอโทษ”
“มึงเป็นอะไรมากไหมวะ” อัคราจัดคอเสื้อตนเอง “ท่าทางมึงดูไม่ชอบกูนะ”
อินทรชิตหันควับมามอง ดวงตาเข้มขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“เปล่า” เขาตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจนักก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรียน อัครายักไหล่ มองแผ่นหลังอีกฝ่ายก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน
อินทรชิตไม่ได้สังเกตุบรรยากาศรอบโรงเรียนในตอนประชุมผู้ปกครองมากนัก ตอนที่เดินเข้าไปจึงถือโอกาสนี้ลอบสังเกตโรงเรียนเก่าของคุณพฤกษ์โดยละเอียด
ที่นี่กว้างขวางและใหญ่โตมาก นอกจากตึกเรียนตึกกิจกรรมหลายตึกยังมีสนามกีฬาและโรงยิมอีกยิบย่อยมากมาย นักเรียนที่เดินสวนเขาไปมาต่างพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษและมีบ้างที่ได้ยินภาษาที่สามปะปนกันไป อินทรชิตใจเต้นแรง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำในกาลก่อน เขามักเห็นคุณพฤกษ์สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเขาในตอนนี้แล้วพูดภาษาอังกฤษชนิดที่รัวจนฟังไม่ทัน คุณเขาเก่งมาก พูดได้ทั้งอังกฤษ จีนและฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะรอบด้าน อินทรชิตนั้นเห็นคุณพฤกษ์เป็นแบบอย่างมาเสมอ เพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีความสามารถทัดเทียมอยู่ในระดับเดียวกับสายตาอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเรียนเก่งมากแค่ไหน ประสบความสำเร็จมากมายเพียงไร ...คุณพฤกษ์ก็ไม่เคยมองมาที่เขาสักครั้ง
มิหนำซ้ำพอเห็นว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าขั้นหนึ่งก็ตั้งแง่กับเขาเป็นปรปักษ์เสียอย่างนั้น ทั้งที่จริงเขาไม่เคยคิดจะแข่งขันกับคุณพฤกษ์ด้วยซ้ำ เขาแค่ต้องการคำชมจากอีกฝ่ายว่าเขาเป็นคนเก่ง อินทรชิตต้องการแค่นั้น
“เฮ้ย ๆ เกรดสิบเรียนชั้นนี้ มึงจะไปไหน”
เสียงเข้ม ๆ ของอัคราเรียกเขา อินทรชิตกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังเดินขึ้นบันไดไปยังเกรดสิบเอ็ด เขาเดินกลับลงมาทันทีพร้อมกับใบหูที่เริ่มแดงเพราะกระดากอาย
“มึงไม่พูดอังกฤษหรือไง” อินทรชิตถามแก้เก้อ
“ไม่อะ” อัครายักไหล่ “กูชอบพูดไทย”
“ตอนเรียนต้องพูด”
“ก็ตอนเรียนดิ”
อินทรชิตคร้านจะโต้แย้ง เด็กหนุ่มเดินผ่านร่างของอัคราไปโดยไม่พูดอะไร พอมองเห็นป้ายหน้าห้องเขียนว่าห้องเอก็รีบแทรกตัวเข้าไปทันที เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นเพื่อนร่วมชั้นไม่ถึงสิบคนนั่งกระจัดกระจายไปตามโต๊ะต่าง ๆ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงแล้ว ที่นี่ไม่มีการเข้าแถวและไม่มีห้องเรียนประจำจึงทำให้นักเรียนมีเวลาว่างไปทำธุระส่วนตัวก่อนเริ่มคาบแรก
อินทรชิตกำลังหาที่นั่งเหมาะ ๆ เขาจะไม่นั่งด้านหน้าสุดเพราะนั่นดูเหมือนคนที่ตั้งใจเรียนเกินไป ที่นั่งด้านหลังสุดก็ไม่เอาเหมือนกันเพราะไม่อยากถูกผู้สอนเพ่งเล็งมากกว่าคนอื่น สุดท้ายเขาจึงเดินมานั่งโต๊ะแถวกลาง ๆ ด้านข้างที่ไม่เป็นจุดเด่นในสายตาใคร
“เลือกที่ได้ห่วยมาก” อัคราเดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ
อินทรชิตหรี่ตา “มึงก็ไปนั่งที่อื่นสิ”
“กูไม่รู้จักใครนี่หว่า” เด็กหนุ่มว่าพลางเสยผมสีแดงของตนเองไปด้านหลังและนั่งเอกเขนกเหมือนนักเลงคุมถิ่น อินทรชิตเหลือบตามอง เห็นสายตาสงสัยของหลายคนมองมาจึงหันไปปรามอีกฝ่าย
“นั่งดี ๆ ไม่ได้หรือไง” อินทรชิตว่า “คนมองมึงอยู่”
“what's your problem? ” เขาแสร้งพูดลอย ๆ “กูไม่ได้ไปนั่งบนหัวพ่อใครเสียหน่อย”
เพียงเท่านั้นแหละ เพื่อนรวมห้องนับสิบก็เก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นกลับไปในทันที อินทรชิตถอนหายใจ ดูท่านิสัยกร่าง ๆ ของมันคงจะมีมาตั้งแต่เด็กแบบนี้เลยกระมัง ตอนเป็นผู้ใหญ่ถึงได้ดูโหดเหี้ยมโฉดชั่วปานนั้น
เขาหันไปมองอัคราอีกครั้งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรไปเรื่อย
..หากว่ากันตามจริง อัครากับเขามีศักดิ์เป็นญาติกัน สิงหาพ่อของเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของสิงหลที่เป็นพ่อของอัครา ดังนั้นเขาทั้งคู่จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในกาลก่อนอัคราเกิดก่อนเขาห้าปี อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพฤกษ์ แต่ตอนนี้ไม่รู้จับพลัดจับผลูอีท่าไหนถึงได้เกิดปีเดียวพร้อมกัน อินทรชิตไม่อยากคิดถึงเรื่องช่วงเวลาที่เขาได้ย้อนมามากนัก เพราะนั่นดูไม่สมเหตุสมผลตามตรรกะสักอย่าง เขายังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองได้ย้อนอดีตกลับมาจริง ๆ แต่พอคิดว่าอะไรที่ทำให้ตัวเขาในอนาคตย้อนอดีตกลับมาได้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าโลกแห่งนี้มันเรียกว่าอดีตได้หรือเปล่า เพราะในเมื่อมันไม่ใช่อดีตที่เขารู้จัก คนที่ตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ คนที่ควรเกิดก่อนดันเกิดมาพร้อมกัน หรือนี่จะเป็นโลกคู่ขนาน? หรือเพราะเขาและคุณพฤกษ์ต่างก็เปลี่ยนแปลงอดีตเลยทำให้กาลเวลาบิดเบี้ยว? ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่และเพื่อแก้ปัญหาตรงนั้นเขาเลยเลือกที่จะปัดเหตุผลข้อนี้ไปอยู่ในเรื่องเหนือธรรมชาติแทนเสียดื้อ ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งตกตะกอนคิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้ปวดสมอง
ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้เขาควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี?
แรกเริ่มเดิมทีแผนในการดำเนินชีวิตครั้งใหม่นี้ไม่มีอัคราอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ เขาคิดว่าฉัตรตะวันคือคนที่มาทำหน้าที่แทนอีกฝ่าย ให้ตายเถอะ ลำพังแค่ไอ้คุณฉัตรเพื่อนรักนั่นเขาก็แทบไม่มีทางจะสู้อะไรได้อยู่แล้ว นี่ยังมีโจทก์เก่าที่เป็นเสี้ยนตำใจเขามาหลายสิบปีโผล่มาอีก คิดมาถึงตรงนี้อินทรชิตก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตจับใจ ฉัตรตะวันที่ว่าหน้าซื่อใจคดยังไม่น่ากลัวเท่าถ่านไฟเก่าที่ยังไม่มอดดับอย่างอัครา
จะเป็นอย่างไรหากคุณพฤกษ์ได้เจอกับคนรักของตนเอง? คุณเขาจะยังมีเยื่อใยกับมันอยู่หรือเปล่า? จะทำอย่างไร? จะรู้สึกแบบไหน? จะรักมันไหม? จะคิดถึง จะโหยหามันหรือเปล่า? อินทรชิตพลันเจ็บเสียดขึ้นมากลางอก เด็กหนุ่มขบฟันกรามแน่นอย่างคับแค้นใจปนริษยา เขาไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น!
..งานนี้ดูท่าจะตึงมือเกินไปเสียแล้ว
“อัคร” อัคราตาโต เด็กหนุ่มหันขวับมามอง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเรียกชื่อทั้งที่ทำท่าทางรังเกียจปานนั้น
“วะ ว่าไงวะ”
อินทรชิตหันมามอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าดวงตากลับเฉยชาดำมืด น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย
“แลกเบอร์กันปะ? ”
พฤกษ์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหยิบแว่นสายตาที่ร่วงอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่ เมื่อทัศนียภาพกลับมาเด่นชัด สิ่งต่อไปที่เขามองหาคือโทรศัพท์มือถือ พฤกษ์อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว
“อืม.. จะรีบไปไหนครับ เพิ่งจะเย็นเอง” ฉัตรตะวันงัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากพฤกษ์เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มขยับตัวเอาหน้าถูไปมาที่เอวบางเปลือยเปล่า พูดออดอ้อนว่า
“นอนต่ออีกหน่อยสิ” และ “ยังกอดไม่หนำใจเลย”
พฤกษ์เอี่ยวตัวก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา หน้าจอของมันนอกจากจะบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วยังมีรอยร้าวเป็นทางยาวอีกสองแห่ง พฤกษ์ถอนหายใจ ดูท่าเมื่อช่วงบ่ายพวกเขาคงจะรุนแรงเกินไปจนไม่ทันระวัง
“ไม่ได้หรอกครับ” เขาตอบเสียงนุ่ม “ผมคลุกอยู่นี่ทั้งวันแล้ว ต้องโผล่ไปให้คนที่บ้านเห็นหน้าบ้าง”
“ก็ค้างเสียที่นี่เลย” ฉัตรตะวันบอก “ไม่มีใครเขาสงสัยหรอก”
“ผมชอบนอนเตียงตัวเองมากกว่า”
“โธ่..” ชายหนุ่มผละออกจากเอวมานอนหงาย “พูดแบบนี้อีกแล้ว คุณทำธุระของคุณเสร็จก็กลับไปทุกที ไม่เคยอยู่ให้ผมกอดนาน ๆ สักครั้ง”
ฉัตรตะวันตัดพ้อ
“ทำอย่างกับผมเป็นเมียน้อย”
พฤกษ์หัวเราะในคอ ก้มลงไปจูบที่หว่างคิ้วเบา ๆ และพูดว่า
“เมียน้อยอะไรกัน ผมก็แค่เป็นเด็กดี ไม่เถลไถลและรีบกลับบ้านเท่านั้น”
“คุณดูติดบ้านจังเลยนะ”
เขายักไหล่ “ก็มันเป็นบ้าน”
“งั้นหรือ” ฉัตรตะวันเหม่อมองเพดาน “บ้านคืออะไรนะ”
“ทำไมคุณฉัตรถามแบบนั้น? ”
“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มหลับตา “ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเท่าไหร่ ไม่ใช่บ้านหรอกที่ไม่ชอบ แค่อยากหนีจากคนที่คาดหวังในตัวผมก็เท่านั้น มาอยู่คอนโดก็ดีเหมือนกัน อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ”
พฤกษ์มองเพื่อนสนิทที่นอนอยู่ พอเห็นใบหน้าหล่อเหลามีความทุกข์ใจปรากฏอยู่ก็ยื่นฝ่ามือไปลูบเบา ๆ ที่ศรีษะ เสียงนุ่มปลอบ
“คุณคงเหนื่อย” พฤกษ์ยิ้ม “บ้านสำหรับผมก็คือบ้าน บางครั้งผมก็ไม่ชอบมันเพราะที่นั่นมีแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับผม แต่บางครั้งผมก็ชอบมันเพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ที่คุณแม่ใช้ชีวิตอยู่ ท่านมีตัวตนอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนของผม มุมนั่งเล่น ห้องหนังสือและตรงเปียโน ท่านอยู่ที่นั่นกับผม และเร็ว ๆ นี้ผมก็เริ่มคิดได้ว่านอกจากคุณแม่แล้วยังมีอีกหลายอย่างอยู่ในบ้านหลังนั้น ..และอยู่ร่วมกับผมมาตลอด” พฤกษ์นึกถึงบรรดาน้อง ๆ ของตนเอง หลังจากที่เขาปลดล็อคตนเองได้นั้นมันทำให้พฤกษ์ตระหนักรู้ถึงการมีชีวิตมากขึ้น
“คุณดูมีความสุข” ฉัตรตะวันลืมตาขึ้นมองเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง “เข้ากับน้อง ๆ ได้ดีเลยสินะ”
“อืม” เขายอมรับ “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
“ผมดีใจที่คุณมีความสุข” ฉัตรตะวันยิ้มก่อนจะเกลี่ยข้อนิ้วลงบนผิวแก้มนุ่ม ชายหนุ่มกล่าว
“ถึงแม้ว่าตัวตนของคุณที่ผมรู้จักจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปก็ตาม บอกตามตรง ..ผมชอบตอนที่คุณพฤกษ์ทำตัวร้าย ๆ มากกว่า”
พฤกษ์กรีดรอยยิ้มร้าย
“คุณชอบหรือ” เขาเย้า “แบบนั้นมันเร้าอารมณ์ดีใช่ไหม? ”
ฉัตรตะวันไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มของอีกฝ่าย พยายามขบเม้มเนื้อนิ่มและสอดลิ้นร้อนเข้าแทรกแซง
ทว่าพฤกษ์กลับดันอกเขาออกห่าง
“หมดเวลาของเมียน้อยแล้วครับ”
ฉัตรตะวันถึงกับหัวเราะดังลั่น
นับจากวันนั้นก็ล่วงเลยผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ อินทรชิตแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนว่าเขาจะมีช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้เป็นเวลาราวสามสิบนาทีร่วมกับคุณพฤกษ์ในทุกเช้า
‘นี่มันเกินคำว่าฝันไปมาก ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้’
เด็กหนุ่มอมยิ้มขณะที่ขึ้นมานั่งประจำที่อย่างเช่นทุกวัน คุณพฤกษ์ที่ตามขึ้นมาพอคาดเข็มขัดเสร็จแล้วจึงเอื้อมมือขึ้นปรับกระจก คุณเขาใช้มันเพื่อส่องหาจุดตำหนิเล็กน้อยอย่างเส้นผมที่ชอบกระดกขึ้นหรือขี้ตาที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างนี้ประจำ
“ดูดีแล้ว” คุณพฤกษ์พึมพำกับตนเองขณะที่ลูบขนคิ้ว เสียงทุ้มหวานทำให้เขาแอบอมยิ้มตาม
“อือฮึ” จนพลั้งเผลอตัวครางรับสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป
“ฮ๊ะ? ” เหงื่อตก! คุณพฤกษ์หันมาทางเขาพร้อมสีหน้าชวนสงสัย “พูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ ..ผมเอ่อ.. ” เขาเรียบเรียงคำก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “เห็นด้วยกับคุณครับ”
“เห็นด้วยหรือ..” คุณเขาขมวดคิ้ว “แกหมายถึงอะไร”
อินทรชิตเกาแก้ม “ก็ที่คุณพฤกษ์บอกว่าดูดีแล้ว ผมก็คิด วะ ว่าคุณพฤกษ์ดูดีเหมือนกัน”
“อ้อ” เสียงนุ่มร้อง ก่อนจะทำสีหน้าพึงพอใจ
“แกกำลังบอกว่าฉันดูดีอย่างนั้นสินะ”
“ครับ ..คุณพฤกษ์ดูดีมาก”
อินทรชิตได้ยินเสียงหัวเราะจากลำคออีกฝ่าย เขาไม่กล้าหันไปสบตาจึงได้แต่แสร้งมองออกไปนอกรถ
“อยู่เป็นเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์และขับรถออกไป อินทรชิตที่ได้ยินดังนั้นจึงสวนกลับทันควัน
“ผมไม่ได้คิดจะประจบนะครับ” จริง ๆ ก็แอบคิด บางทีลูกอ้อนอาจจะใช้ได้ผลกับคุณเขาเหมือนอย่างที่มาลีวัลย์ทำอยู่บ่อย ๆ
ทว่ามาลีวัลย์เป็นเด็กสาวตัวเล็กนิดเดียว ทำแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่หากเขาทำบ้าง..
“ถ้าเกิดว่าคุณพฤกษ์ไม่ชอบผมก็ขอ..”
“ฉันชอบ”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเรียบง่าย ขณะที่อินทรชิตแทบจะสำลักความสุขที่ล้นอยู่เต็มอก เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ คุณเขาพูดว่าชอบกับอินทรชิตเป็นครั้งแรก
ครั้งแรกในชีวิต!
“ครับ.. ชอบหรือครับ” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นทุกความสุขที่แทบทะลักให้คงอยู่ปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ใครบ้างล่ะไม่ชอบคำชม” คุณเขาว่า “แล้วแกเป็นอะไร ทำไมต้องตะกุกตะกักทุกทีที่อยู่กับฉัน กลัวฉันจะกินหัวเอาหรือไง”
“ปะ เปล่า เปล่าครับ”
“นั่นปะไร”
อินทรชิตหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มกอดกระเป๋านักเรียนไว้แน่นก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ
“ผมแค่ตื่นเต้น” เขาพูดในตอนที่รถหยุดวิ่งและสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง ทั้งห้องโดยสารเงียบกริบ คุณพฤกษ์ไม่ได้พูดสิ่งใดแต่อินทรชิตกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูด
“ปกติคุณไม่เคยพูดจาดี ๆ กับผมสักครั้ง ถ้าจะพูดก็มีแต่คำด่า คำพูดที่คิดว่าผมจะทนฟังไม่ได้ ไม่ก็คำพูดที่จะทำให้ผมอับอายหรือน้อยใจ พอคุณเริ่มพูดจาปกติ ..ผมหมายถึงพูดเหมือนคนทั่วไปพูดคุยกัน พูดคุยอย่างไม่มีอคติ ไม่มีความเกลียดชัง พอคุณทำแบบนั้นมันก็ทำให้ผมดีใจมาก ๆ แต่มันก็ทำให้ผมต้องคอยระมัดระวังตัวเองมากกว่าเดิม ผมกลัวว่าจะเผลอพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจ ผมไม่อยากให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดใส่ผมแบบนั้นอีกแล้ว..”
“...”
“ขอโทษนะครับ ถ้าเกิดว่าการแสดงออกของผมมันทำให้คุณพฤกษ์รำคาญใจ ผมไม่รู้ว่าควรแสดงออกหรือพูดกับคุณได้มากน้อยแค่ไหน”
อินทรชิตพูดรัวไม่หยุด พูดจบก็แทบกลั้นหายใจทันทีเพราะไม่กล้าคาดเดาว่าผลที่ตามมาจากคำพูดนั้นจะเป็นอย่างไร นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดและคงเป็นครั้งแรกที่คุณเขารับฟัง
เด็กหนุ่มเหม่อมองไฟจราจรและเมื่อความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจ เสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“เด็กโง่..”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาถูกคุณเขาด่าว่าด้วยคำนั้นมานับร้อยครั้ง เขาอาจจะเป็นคนโง่อย่างที่คุณพฤกษ์ว่า แต่ต่อให้โง่เขลาเพียงใดก็รู้ว่าครั้งนี้น้ำเสียงที่เคยเย้ยหยันเขานั้นแตกต่างออกไป..
“อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“...”
“คิดเสียว่าที่ผ่านมาฉันผีเข้าก็แล้วกัน”
“คุณพฤกษ์ไม่เกลียดผมแล้วใช่ไหมครับ” เขาถามเสียงสั่นเครือ
“ฉันมานั่งคิดดูก็ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องเกลียดแกเลย มันเหมือนกับว่าฉันเกลียดเด็กสองคนนั้นแล้วก็พาลมาเกลียดแกไปด้วยอีกคน ฉันคิดว่าตัวเองคงโรคจิต ทำอะไรคุณพ่อไม่ได้ก็เอาความเกลียดชังมาลงกับพวกแก ฉันแค่อยากให้พวกแกสามคนไม่มีความสุข อยากตีจนร้องไห้ อยากให้ทุรนทุราย อยากให้รู้สึกแบบเดียวกันกับที่ฉันเป็น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าพวกแกไม่รู้เรื่องอะไร ยิ่งเด็กสองคนนั้นยิ่งไม่รู้เรื่องแม่ของตัวเอง หน้าแม่เป็นยังไงคงจำกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งที่รู้แบบนั้นฉันก็ยังทำ ..ฟังดูไม่แฟร์ใช่ไหม อืม มันไร้เหตุผล ฉันมันแย่จริง ๆ นั่นแหละ”
“คุณพฤกษ์ไม่ได้เป็นคนแย่ ผมต่างหากที่ไม่ควรเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณตั้งแต่แรก ผมรู้ดีว่าผมเป็นแค่เด็กกำพร้า ตัวคนเดียว ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีสิทธิ์ไปหือกับคุณ ผมเจียมตัวมาตลอด” อินทรชิตหยุดพูดไว้เพียงเท่านั้นแม้ว่าภายในใจอยากจะพูดต่ออีกสักนิดแต่ก็กลัวว่าจะเผยพิรุธออกไป
‘เพราะผมได้เฝ้ามองคุณมานาน ผมรู้ว่าคุณต้องทรมานเพราะใคร ต้องทนทุกข์เพราะใคร ผมเข้าใจในความร้ายกาจนั้นของคุณดี ต่อให้คุณจะด่าหรือทำร้ายผมยังไงผมก็ไม่เคยโกรธสักนิด ที่รัก ..คุณพฤกษ์คนดีของผม แค่คุณหันมามองผมบ้างก็สุขใจแล้ว’
อยากจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้รับรู้ ทว่าความเป็นจริงคุณพฤกษ์ไม่เกลียดเขาในกาลนี้ที่ยังเป็นแค่เด็ก แต่นั่นไม่ได้เหมารวมถึงตัวเขาในกาลก่อนที่เป็นผู้ใหญ่
จะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด ..จะเก็บเป็นความลับไปตลอดชีวิต
“เขี้ยว” คุณพฤกษ์เรียก เด็กหนุ่มที่จมอยู่ในห้วงความคิดจึงได้สติ
“ยิ่งแกพูดฉันยิ่งรู้สึกแย่ นี่ฉันคงทำชีวิตแกด่างพร้อยไปอีกคนสินะ”
แม้ท้ายประโยคจะพูดเสียงเบาหวิวเหมือนกำลังพูดกับตนเอง ทว่าอินทรชิตกลับได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน คุณพฤกษ์กำลังพูดถึงตัวเขา พงพีและมาลีวัลย์ในวัยผู้ใหญ่ไม่ผิดแน่
“ฉันพูดคำนี้ไม่บ่อย แทบจะไม่พูดกับใครเพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองผิด อาจจะสายไปแล้วก็ได้ที่มาพูดเอาป่านนี้..”
เขาหันไปหาคุณพฤกษ์ คิดว่าคุณเขาคงกำลังมองตนเองอยู่ ทว่าผิดคาด อีกฝ่ายกำลังมองไปที่สัญญาณไฟจราจร ที่น่าประหลาดคือแก้มขาว ๆ ข้างนั้นของคุณพฤกษ์แดงซ่านชวนมองราวกับสีของไฟจราจรในตอนนี้ไม่มีผิด
สีแดงเริ่มนับถอยหลัง ..สี่ สาม สอง และหนึ่ง กระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว คุณพฤกษ์จึงพูดต่อไปว่า
“ฉันขอ..”
“อย่าขอโทษผม” เขาแทรกขึ้นขณะอีกฝ่ายกำลังพูด ..นี่เป็นครัังแรกในชีวิตอีกเหมือนกัน
คุณพฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ มองด้วยสีหน้าชวนสงสัย ในตอนนั้นเองที่เสียงแตรถูกบีบไล่มาจากรถยนต์คันด้านหลัง คุณเขาตื่นตระหนกก่อนจะรีบเคลื่อนรถออกไป
อินทรชิตมองการกระทำนั้นพลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“ผมไม่เคยโกรธคุณ” เขาพูด
“แกอย่ามาทำเป็นคนดีไปหน่อยเลย” เสียงทุ้มเอ่ย “ที่บอกว่าไม่เคยโกรธมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ ลึก ๆ แกก็เกลียดฉันอยู่บ้างล่ะ”
“ก็อาจจะมีครับ” เขายอมรับอย่างซื่อสัตย์ “แต่มันน้อยมากถ้าเทียบกับอีกความรู้สึก”
“บอกฉันสิ” น้ำเสียงนั้นหยอกเย้า
“ผมน้อยใจ” และเขาก็บ้าพอที่จะพูดออกไป “ผมอยากให้คุณทำดีกับผมแบบนี้มาตลอด”
“...”
“แต่พอคุณทำดีด้วยจริง ๆ ผมก็เริ่มอิจฉาพีร์กับมะลิ ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่น้องของคุณพฤกษ์แท้ ๆ แต่ก็ยังจะคิดแบบนั้น ..คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น”
อินทรชิตทำหน้าหงอยชนิดที่ว่าคนมองปวดใจแทน
‘มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ’ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด
“ก็นึกว่าอะไรเสียอีก” นิ้วเรียวถูกยกขึ้นมาดันแว่นสายตา คุณพฤกษ์พูดเสียงนุ่มนวลว่า
“ได้สิ”
“ต่อไปนี้ฉันจะดีกับแกอย่างที่แกต้องการ”
“อะไรที่ทำให้เด็กสองคนนั้น ฉันจะทำกับแกด้วย”
“หรืออะไรที่เด็กสองคนนั้นทำกับฉัน แกก็ทำแบบเดียวกันได้”
“ไม่ต้องคอยระวังอะไรอีก อยากพูดอะไรก็พูด อยากรู้สึกอะไรก็ตามใจ”
“ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องรื้อฟื้นอดีต ไม่ต้องคิดถึงอนาคตและไม่ต้องกลัวปัจจุบัน”
“พักนี้มึงดูหลอนนะ” เสียงห้าวทักขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ข้างสนามบาสเกตบอล อัคราที่ตัวโชกเหงื่อจากการเล่นบาสทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับมองมาด้วยสายตาแพรวพราว
“ยิ้มอะไรอยู่ได้ทั้งวัน มีเมียหรือไง? ”
“เสือก” เขาตอบกลับไปแต่มันดันหัวเราะ
“นั่นปะไร หน้าตาชื่นมื่นขนาดนี้กูว่าชัวร์เลย” อัคราบุ้ยหน้า “หยิบน้ำมาให้หน่อยดิ”
“ไม่ใช่เมีย” อินทรชิตว่าและส่งขวดน้ำให้เพื่อน
“จะจริงเร้อ”
“ไม่รู้ แค่ตอนนี้มั้ง กูไม่รีบ”
“แค่ก! ว่าไงนะ เอาจริงดิ ใครวะ? ”
อินทรชิตหรี่ตาลงต่ำ “มึงอย่ารู้เลย”
"Damn.. ” อัคราหัวเสีย “หัดมีความลับกับเพื่อน”
“คนเรามันก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้สักเรื่องทั้งนั้น”
“อะไรวะ กลัวกูจีบหรือไง” เด็กหนุ่มหยอกเอินทว่าอินทรชิตกลับนิ่งเงียบและไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงแค่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบ เพียงเท่านั้นอัคราก็ร้องออกมาทันที
“เฮ้ย ๆ ๆ อย่าบอกว่ามึงคิดงั้นอะไอ้อินทร์ ไอ้ห่านี่ กูไม่แย่งของ ๆ เพื่อนหรอกนะเว้ย”
“มึงพูดเองนะ” เขาสวนกลับไปทันควัน
“ฮ๊ะ? อะไร!? ”
“มึงจะไม่แย่งของ ๆ กู”
“ฮ๊ะ? ”
“มึง จะ ไม่ แย่ง ของ ๆ กู”
อินทรชิตเน้นชัดและหนักแน่นทุกพยางค์ เล่นเอาอัคราเริ่มทำตัวไม่ถูก
“กูแค่พูดเล่นเอง มึงจริงจังไปหรือเปล่า”
“กูจริงจัง” เขาว่า “สัญญามาก่อนดิ เราเพื่อนกันใช่ไหมล่ะ? สัญญาดิ ถ้ามึงผิดสัญญากูขอให้ตายไม่ดี”
“ว๊อทททท! ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ใจเย็น ๆ ไอ้สัตว์”
อินทรชิตแสร้งยิ้มบาง ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นบิดเบี้ยวชวนให้อึดอัดไปเสียหน่อย เขาชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าระหว่างตนเองกับอัครา
“ว่าไง? ”
“Are you joking? ”
“....”
“ก็ได้ ๆ อ่ะ สัญญา เกี่ยวก้อยกันเลย กูจะไม่แย่งของ ๆ มึงเด็ดขาด”
อัครายื่นนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวตามที่เขาร้องขอในที่สุด
“สบายใจยัง”
เขายักไหล่ “Sure ”
หลังจากนั้นอัคราก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าสนาม อินทรชิตจึงโบกมือส่งเพื่อน เขายืนมองอีกฝ่ายเล่นบาสเกตบอลอย่างบ้าระห่ำอยู่สักพักก่อนจะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะต้องเข้าชมรมที่ตึกกิจกรรมเหมือนกัน เขาไม่ได้อยู่ชมรมบาสเกตบอลอย่างอัครา อันที่จริงในกาลก่อนตัวเขาก็อยู่ชมรมบาสนั่นแหละ เคยเป็นถึงนักกีฬาระดับเยาวชนเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาชักจะเบื่อบรรยากาศเดิม ๆ ที่ต้องวุ่นวายกับการเก็บตัวฝึกหนักเพื่อการแข่งขันหรือต้องมาตามงานค้างหลังแข่งทัวร์นาเมนต์ เขาอยากมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
ตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ..เขาไม่ต้องพยายามจนตัวตายเพื่อให้คุณพฤกษ์หันมามองอีกแล้ว
อินทรชิตหยุดเดิน เขาก้มลงมองนิ้วก้อยของตนเอง
“เก็บมันเอาไว้ใกล้ตัวอาจจะดีกว่าสินะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“อืม” ใบหน้านุ่มนวลพยักหน้ารับ ตอบว่า “ตั้งใจเรียน”
อินทรชิตหน้าแดงเรื่อ เขายิ้มกว้างขณะยืนมองคุณพฤกษ์ขับรถจากไป ในอกพลันอุ่นวาบขึ้นมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาบบนตำแหน่งดวงใจ ก้อนเนืัอข้างในนั้นเต้นเร่าน่ากลัวราวกับจะระเบิดออกมา
เขาจะตายไหม เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย..
“มึงยืนยิ้มอะไรวะ เสพกัญชาแต่หัววันเลยเรอะ”
อินทรชิตหันกลับเข้าไปในโรงเรียน เห็นเด็กหนุ่มหัวแดงแสบทรวงยืนขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ เขาเบิกตาโพลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทันที
“มึง! ” เขากำคอเสื้ออีกฝ่าย ดึงเข้ามาประชิดโดยแรง
อัคราผงะ เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจ หลับตาปี๋และทำท่าทางเขินอาย
“มึงจะทำอะไร ..ไอ้บ้า กูมีพ่อมีแม่นะ”
อินทรชิตไม่ได้สนใจท่าทางกระมิดกระเมี้ยนนั้น เขาถามคำถาม
“เมื่อกี้เห็นอะไร! ”
“ห๊ะ” อัคราทำหน้ามึน
“ถามว่าเมื่อกี้มึงเห็นหน้าคนในรถไหม!? ”
“ในรถอะไร” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “กูเห็นแค่มึงยืนยิ้ม”
อินทรชิตเหมือนจะได้สติกลับคืนมา เขาปล่อยมือจากคอเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่ พูดว่า
“ขอโทษ”
“มึงเป็นอะไรมากไหมวะ” อัคราจัดคอเสื้อตนเอง “ท่าทางมึงดูไม่ชอบกูนะ”
อินทรชิตหันควับมามอง ดวงตาเข้มขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“เปล่า” เขาตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจนักก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรียน อัครายักไหล่ มองแผ่นหลังอีกฝ่ายก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน
อินทรชิตไม่ได้สังเกตุบรรยากาศรอบโรงเรียนในตอนประชุมผู้ปกครองมากนัก ตอนที่เดินเข้าไปจึงถือโอกาสนี้ลอบสังเกตโรงเรียนเก่าของคุณพฤกษ์โดยละเอียด
ที่นี่กว้างขวางและใหญ่โตมาก นอกจากตึกเรียนตึกกิจกรรมหลายตึกยังมีสนามกีฬาและโรงยิมอีกยิบย่อยมากมาย นักเรียนที่เดินสวนเขาไปมาต่างพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษและมีบ้างที่ได้ยินภาษาที่สามปะปนกันไป อินทรชิตใจเต้นแรง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำในกาลก่อน เขามักเห็นคุณพฤกษ์สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเขาในตอนนี้แล้วพูดภาษาอังกฤษชนิดที่รัวจนฟังไม่ทัน คุณเขาเก่งมาก พูดได้ทั้งอังกฤษ จีนและฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะรอบด้าน อินทรชิตนั้นเห็นคุณพฤกษ์เป็นแบบอย่างมาเสมอ เพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีความสามารถทัดเทียมอยู่ในระดับเดียวกับสายตาอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเรียนเก่งมากแค่ไหน ประสบความสำเร็จมากมายเพียงไร ...คุณพฤกษ์ก็ไม่เคยมองมาที่เขาสักครั้ง
มิหนำซ้ำพอเห็นว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าขั้นหนึ่งก็ตั้งแง่กับเขาเป็นปรปักษ์เสียอย่างนั้น ทั้งที่จริงเขาไม่เคยคิดจะแข่งขันกับคุณพฤกษ์ด้วยซ้ำ เขาแค่ต้องการคำชมจากอีกฝ่ายว่าเขาเป็นคนเก่ง อินทรชิตต้องการแค่นั้น
“เฮ้ย ๆ เกรดสิบเรียนชั้นนี้ มึงจะไปไหน”
เสียงเข้ม ๆ ของอัคราเรียกเขา อินทรชิตกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังเดินขึ้นบันไดไปยังเกรดสิบเอ็ด เขาเดินกลับลงมาทันทีพร้อมกับใบหูที่เริ่มแดงเพราะกระดากอาย
“มึงไม่พูดอังกฤษหรือไง” อินทรชิตถามแก้เก้อ
“ไม่อะ” อัครายักไหล่ “กูชอบพูดไทย”
“ตอนเรียนต้องพูด”
“ก็ตอนเรียนดิ”
อินทรชิตคร้านจะโต้แย้ง เด็กหนุ่มเดินผ่านร่างของอัคราไปโดยไม่พูดอะไร พอมองเห็นป้ายหน้าห้องเขียนว่าห้องเอก็รีบแทรกตัวเข้าไปทันที เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นเพื่อนร่วมชั้นไม่ถึงสิบคนนั่งกระจัดกระจายไปตามโต๊ะต่าง ๆ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงแล้ว ที่นี่ไม่มีการเข้าแถวและไม่มีห้องเรียนประจำจึงทำให้นักเรียนมีเวลาว่างไปทำธุระส่วนตัวก่อนเริ่มคาบแรก
อินทรชิตกำลังหาที่นั่งเหมาะ ๆ เขาจะไม่นั่งด้านหน้าสุดเพราะนั่นดูเหมือนคนที่ตั้งใจเรียนเกินไป ที่นั่งด้านหลังสุดก็ไม่เอาเหมือนกันเพราะไม่อยากถูกผู้สอนเพ่งเล็งมากกว่าคนอื่น สุดท้ายเขาจึงเดินมานั่งโต๊ะแถวกลาง ๆ ด้านข้างที่ไม่เป็นจุดเด่นในสายตาใคร
“เลือกที่ได้ห่วยมาก” อัคราเดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ
อินทรชิตหรี่ตา “มึงก็ไปนั่งที่อื่นสิ”
“กูไม่รู้จักใครนี่หว่า” เด็กหนุ่มว่าพลางเสยผมสีแดงของตนเองไปด้านหลังและนั่งเอกเขนกเหมือนนักเลงคุมถิ่น อินทรชิตเหลือบตามอง เห็นสายตาสงสัยของหลายคนมองมาจึงหันไปปรามอีกฝ่าย
“นั่งดี ๆ ไม่ได้หรือไง” อินทรชิตว่า “คนมองมึงอยู่”
“what's your problem? ” เขาแสร้งพูดลอย ๆ “กูไม่ได้ไปนั่งบนหัวพ่อใครเสียหน่อย”
เพียงเท่านั้นแหละ เพื่อนรวมห้องนับสิบก็เก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นกลับไปในทันที อินทรชิตถอนหายใจ ดูท่านิสัยกร่าง ๆ ของมันคงจะมีมาตั้งแต่เด็กแบบนี้เลยกระมัง ตอนเป็นผู้ใหญ่ถึงได้ดูโหดเหี้ยมโฉดชั่วปานนั้น
เขาหันไปมองอัคราอีกครั้งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรไปเรื่อย
..หากว่ากันตามจริง อัครากับเขามีศักดิ์เป็นญาติกัน สิงหาพ่อของเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของสิงหลที่เป็นพ่อของอัครา ดังนั้นเขาทั้งคู่จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในกาลก่อนอัคราเกิดก่อนเขาห้าปี อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพฤกษ์ แต่ตอนนี้ไม่รู้จับพลัดจับผลูอีท่าไหนถึงได้เกิดปีเดียวพร้อมกัน อินทรชิตไม่อยากคิดถึงเรื่องช่วงเวลาที่เขาได้ย้อนมามากนัก เพราะนั่นดูไม่สมเหตุสมผลตามตรรกะสักอย่าง เขายังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองได้ย้อนอดีตกลับมาจริง ๆ แต่พอคิดว่าอะไรที่ทำให้ตัวเขาในอนาคตย้อนอดีตกลับมาได้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าโลกแห่งนี้มันเรียกว่าอดีตได้หรือเปล่า เพราะในเมื่อมันไม่ใช่อดีตที่เขารู้จัก คนที่ตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ คนที่ควรเกิดก่อนดันเกิดมาพร้อมกัน หรือนี่จะเป็นโลกคู่ขนาน? หรือเพราะเขาและคุณพฤกษ์ต่างก็เปลี่ยนแปลงอดีตเลยทำให้กาลเวลาบิดเบี้ยว? ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่และเพื่อแก้ปัญหาตรงนั้นเขาเลยเลือกที่จะปัดเหตุผลข้อนี้ไปอยู่ในเรื่องเหนือธรรมชาติแทนเสียดื้อ ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งตกตะกอนคิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้ปวดสมอง
ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้เขาควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี?
แรกเริ่มเดิมทีแผนในการดำเนินชีวิตครั้งใหม่นี้ไม่มีอัคราอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ เขาคิดว่าฉัตรตะวันคือคนที่มาทำหน้าที่แทนอีกฝ่าย ให้ตายเถอะ ลำพังแค่ไอ้คุณฉัตรเพื่อนรักนั่นเขาก็แทบไม่มีทางจะสู้อะไรได้อยู่แล้ว นี่ยังมีโจทก์เก่าที่เป็นเสี้ยนตำใจเขามาหลายสิบปีโผล่มาอีก คิดมาถึงตรงนี้อินทรชิตก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตจับใจ ฉัตรตะวันที่ว่าหน้าซื่อใจคดยังไม่น่ากลัวเท่าถ่านไฟเก่าที่ยังไม่มอดดับอย่างอัครา
จะเป็นอย่างไรหากคุณพฤกษ์ได้เจอกับคนรักของตนเอง? คุณเขาจะยังมีเยื่อใยกับมันอยู่หรือเปล่า? จะทำอย่างไร? จะรู้สึกแบบไหน? จะรักมันไหม? จะคิดถึง จะโหยหามันหรือเปล่า? อินทรชิตพลันเจ็บเสียดขึ้นมากลางอก เด็กหนุ่มขบฟันกรามแน่นอย่างคับแค้นใจปนริษยา เขาไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น!
..งานนี้ดูท่าจะตึงมือเกินไปเสียแล้ว
“อัคร” อัคราตาโต เด็กหนุ่มหันขวับมามอง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเรียกชื่อทั้งที่ทำท่าทางรังเกียจปานนั้น
“วะ ว่าไงวะ”
อินทรชิตหันมามอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าดวงตากลับเฉยชาดำมืด น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย
“แลกเบอร์กันปะ? ”
พฤกษ์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหยิบแว่นสายตาที่ร่วงอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่ เมื่อทัศนียภาพกลับมาเด่นชัด สิ่งต่อไปที่เขามองหาคือโทรศัพท์มือถือ พฤกษ์อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว
“อืม.. จะรีบไปไหนครับ เพิ่งจะเย็นเอง” ฉัตรตะวันงัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากพฤกษ์เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มขยับตัวเอาหน้าถูไปมาที่เอวบางเปลือยเปล่า พูดออดอ้อนว่า
“นอนต่ออีกหน่อยสิ” และ “ยังกอดไม่หนำใจเลย”
พฤกษ์เอี่ยวตัวก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา หน้าจอของมันนอกจากจะบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วยังมีรอยร้าวเป็นทางยาวอีกสองแห่ง พฤกษ์ถอนหายใจ ดูท่าเมื่อช่วงบ่ายพวกเขาคงจะรุนแรงเกินไปจนไม่ทันระวัง
“ไม่ได้หรอกครับ” เขาตอบเสียงนุ่ม “ผมคลุกอยู่นี่ทั้งวันแล้ว ต้องโผล่ไปให้คนที่บ้านเห็นหน้าบ้าง”
“ก็ค้างเสียที่นี่เลย” ฉัตรตะวันบอก “ไม่มีใครเขาสงสัยหรอก”
“ผมชอบนอนเตียงตัวเองมากกว่า”
“โธ่..” ชายหนุ่มผละออกจากเอวมานอนหงาย “พูดแบบนี้อีกแล้ว คุณทำธุระของคุณเสร็จก็กลับไปทุกที ไม่เคยอยู่ให้ผมกอดนาน ๆ สักครั้ง”
ฉัตรตะวันตัดพ้อ
“ทำอย่างกับผมเป็นเมียน้อย”
พฤกษ์หัวเราะในคอ ก้มลงไปจูบที่หว่างคิ้วเบา ๆ และพูดว่า
“เมียน้อยอะไรกัน ผมก็แค่เป็นเด็กดี ไม่เถลไถลและรีบกลับบ้านเท่านั้น”
“คุณดูติดบ้านจังเลยนะ”
เขายักไหล่ “ก็มันเป็นบ้าน”
“งั้นหรือ” ฉัตรตะวันเหม่อมองเพดาน “บ้านคืออะไรนะ”
“ทำไมคุณฉัตรถามแบบนั้น? ”
“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มหลับตา “ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเท่าไหร่ ไม่ใช่บ้านหรอกที่ไม่ชอบ แค่อยากหนีจากคนที่คาดหวังในตัวผมก็เท่านั้น มาอยู่คอนโดก็ดีเหมือนกัน อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ”
พฤกษ์มองเพื่อนสนิทที่นอนอยู่ พอเห็นใบหน้าหล่อเหลามีความทุกข์ใจปรากฏอยู่ก็ยื่นฝ่ามือไปลูบเบา ๆ ที่ศรีษะ เสียงนุ่มปลอบ
“คุณคงเหนื่อย” พฤกษ์ยิ้ม “บ้านสำหรับผมก็คือบ้าน บางครั้งผมก็ไม่ชอบมันเพราะที่นั่นมีแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับผม แต่บางครั้งผมก็ชอบมันเพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ที่คุณแม่ใช้ชีวิตอยู่ ท่านมีตัวตนอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนของผม มุมนั่งเล่น ห้องหนังสือและตรงเปียโน ท่านอยู่ที่นั่นกับผม และเร็ว ๆ นี้ผมก็เริ่มคิดได้ว่านอกจากคุณแม่แล้วยังมีอีกหลายอย่างอยู่ในบ้านหลังนั้น ..และอยู่ร่วมกับผมมาตลอด” พฤกษ์นึกถึงบรรดาน้อง ๆ ของตนเอง หลังจากที่เขาปลดล็อคตนเองได้นั้นมันทำให้พฤกษ์ตระหนักรู้ถึงการมีชีวิตมากขึ้น
“คุณดูมีความสุข” ฉัตรตะวันลืมตาขึ้นมองเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง “เข้ากับน้อง ๆ ได้ดีเลยสินะ”
“อืม” เขายอมรับ “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
“ผมดีใจที่คุณมีความสุข” ฉัตรตะวันยิ้มก่อนจะเกลี่ยข้อนิ้วลงบนผิวแก้มนุ่ม ชายหนุ่มกล่าว
“ถึงแม้ว่าตัวตนของคุณที่ผมรู้จักจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปก็ตาม บอกตามตรง ..ผมชอบตอนที่คุณพฤกษ์ทำตัวร้าย ๆ มากกว่า”
พฤกษ์กรีดรอยยิ้มร้าย
“คุณชอบหรือ” เขาเย้า “แบบนั้นมันเร้าอารมณ์ดีใช่ไหม? ”
ฉัตรตะวันไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มของอีกฝ่าย พยายามขบเม้มเนื้อนิ่มและสอดลิ้นร้อนเข้าแทรกแซง
ทว่าพฤกษ์กลับดันอกเขาออกห่าง
“หมดเวลาของเมียน้อยแล้วครับ”
ฉัตรตะวันถึงกับหัวเราะดังลั่น
นับจากวันนั้นก็ล่วงเลยผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ อินทรชิตแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนว่าเขาจะมีช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้เป็นเวลาราวสามสิบนาทีร่วมกับคุณพฤกษ์ในทุกเช้า
‘นี่มันเกินคำว่าฝันไปมาก ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้’
เด็กหนุ่มอมยิ้มขณะที่ขึ้นมานั่งประจำที่อย่างเช่นทุกวัน คุณพฤกษ์ที่ตามขึ้นมาพอคาดเข็มขัดเสร็จแล้วจึงเอื้อมมือขึ้นปรับกระจก คุณเขาใช้มันเพื่อส่องหาจุดตำหนิเล็กน้อยอย่างเส้นผมที่ชอบกระดกขึ้นหรือขี้ตาที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างนี้ประจำ
“ดูดีแล้ว” คุณพฤกษ์พึมพำกับตนเองขณะที่ลูบขนคิ้ว เสียงทุ้มหวานทำให้เขาแอบอมยิ้มตาม
“อือฮึ” จนพลั้งเผลอตัวครางรับสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป
“ฮ๊ะ? ” เหงื่อตก! คุณพฤกษ์หันมาทางเขาพร้อมสีหน้าชวนสงสัย “พูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ ..ผมเอ่อ.. ” เขาเรียบเรียงคำก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “เห็นด้วยกับคุณครับ”
“เห็นด้วยหรือ..” คุณเขาขมวดคิ้ว “แกหมายถึงอะไร”
อินทรชิตเกาแก้ม “ก็ที่คุณพฤกษ์บอกว่าดูดีแล้ว ผมก็คิด วะ ว่าคุณพฤกษ์ดูดีเหมือนกัน”
“อ้อ” เสียงนุ่มร้อง ก่อนจะทำสีหน้าพึงพอใจ
“แกกำลังบอกว่าฉันดูดีอย่างนั้นสินะ”
“ครับ ..คุณพฤกษ์ดูดีมาก”
อินทรชิตได้ยินเสียงหัวเราะจากลำคออีกฝ่าย เขาไม่กล้าหันไปสบตาจึงได้แต่แสร้งมองออกไปนอกรถ
“อยู่เป็นเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์และขับรถออกไป อินทรชิตที่ได้ยินดังนั้นจึงสวนกลับทันควัน
“ผมไม่ได้คิดจะประจบนะครับ” จริง ๆ ก็แอบคิด บางทีลูกอ้อนอาจจะใช้ได้ผลกับคุณเขาเหมือนอย่างที่มาลีวัลย์ทำอยู่บ่อย ๆ
ทว่ามาลีวัลย์เป็นเด็กสาวตัวเล็กนิดเดียว ทำแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่หากเขาทำบ้าง..
“ถ้าเกิดว่าคุณพฤกษ์ไม่ชอบผมก็ขอ..”
“ฉันชอบ”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเรียบง่าย ขณะที่อินทรชิตแทบจะสำลักความสุขที่ล้นอยู่เต็มอก เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ คุณเขาพูดว่าชอบกับอินทรชิตเป็นครั้งแรก
ครั้งแรกในชีวิต!
“ครับ.. ชอบหรือครับ” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นทุกความสุขที่แทบทะลักให้คงอยู่ปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ใครบ้างล่ะไม่ชอบคำชม” คุณเขาว่า “แล้วแกเป็นอะไร ทำไมต้องตะกุกตะกักทุกทีที่อยู่กับฉัน กลัวฉันจะกินหัวเอาหรือไง”
“ปะ เปล่า เปล่าครับ”
“นั่นปะไร”
อินทรชิตหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มกอดกระเป๋านักเรียนไว้แน่นก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ
“ผมแค่ตื่นเต้น” เขาพูดในตอนที่รถหยุดวิ่งและสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง ทั้งห้องโดยสารเงียบกริบ คุณพฤกษ์ไม่ได้พูดสิ่งใดแต่อินทรชิตกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูด
“ปกติคุณไม่เคยพูดจาดี ๆ กับผมสักครั้ง ถ้าจะพูดก็มีแต่คำด่า คำพูดที่คิดว่าผมจะทนฟังไม่ได้ ไม่ก็คำพูดที่จะทำให้ผมอับอายหรือน้อยใจ พอคุณเริ่มพูดจาปกติ ..ผมหมายถึงพูดเหมือนคนทั่วไปพูดคุยกัน พูดคุยอย่างไม่มีอคติ ไม่มีความเกลียดชัง พอคุณทำแบบนั้นมันก็ทำให้ผมดีใจมาก ๆ แต่มันก็ทำให้ผมต้องคอยระมัดระวังตัวเองมากกว่าเดิม ผมกลัวว่าจะเผลอพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจ ผมไม่อยากให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดใส่ผมแบบนั้นอีกแล้ว..”
“...”
“ขอโทษนะครับ ถ้าเกิดว่าการแสดงออกของผมมันทำให้คุณพฤกษ์รำคาญใจ ผมไม่รู้ว่าควรแสดงออกหรือพูดกับคุณได้มากน้อยแค่ไหน”
อินทรชิตพูดรัวไม่หยุด พูดจบก็แทบกลั้นหายใจทันทีเพราะไม่กล้าคาดเดาว่าผลที่ตามมาจากคำพูดนั้นจะเป็นอย่างไร นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดและคงเป็นครั้งแรกที่คุณเขารับฟัง
เด็กหนุ่มเหม่อมองไฟจราจรและเมื่อความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจ เสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“เด็กโง่..”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาถูกคุณเขาด่าว่าด้วยคำนั้นมานับร้อยครั้ง เขาอาจจะเป็นคนโง่อย่างที่คุณพฤกษ์ว่า แต่ต่อให้โง่เขลาเพียงใดก็รู้ว่าครั้งนี้น้ำเสียงที่เคยเย้ยหยันเขานั้นแตกต่างออกไป..
“อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“...”
“คิดเสียว่าที่ผ่านมาฉันผีเข้าก็แล้วกัน”
“คุณพฤกษ์ไม่เกลียดผมแล้วใช่ไหมครับ” เขาถามเสียงสั่นเครือ
“ฉันมานั่งคิดดูก็ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องเกลียดแกเลย มันเหมือนกับว่าฉันเกลียดเด็กสองคนนั้นแล้วก็พาลมาเกลียดแกไปด้วยอีกคน ฉันคิดว่าตัวเองคงโรคจิต ทำอะไรคุณพ่อไม่ได้ก็เอาความเกลียดชังมาลงกับพวกแก ฉันแค่อยากให้พวกแกสามคนไม่มีความสุข อยากตีจนร้องไห้ อยากให้ทุรนทุราย อยากให้รู้สึกแบบเดียวกันกับที่ฉันเป็น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าพวกแกไม่รู้เรื่องอะไร ยิ่งเด็กสองคนนั้นยิ่งไม่รู้เรื่องแม่ของตัวเอง หน้าแม่เป็นยังไงคงจำกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งที่รู้แบบนั้นฉันก็ยังทำ ..ฟังดูไม่แฟร์ใช่ไหม อืม มันไร้เหตุผล ฉันมันแย่จริง ๆ นั่นแหละ”
“คุณพฤกษ์ไม่ได้เป็นคนแย่ ผมต่างหากที่ไม่ควรเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณตั้งแต่แรก ผมรู้ดีว่าผมเป็นแค่เด็กกำพร้า ตัวคนเดียว ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีสิทธิ์ไปหือกับคุณ ผมเจียมตัวมาตลอด” อินทรชิตหยุดพูดไว้เพียงเท่านั้นแม้ว่าภายในใจอยากจะพูดต่ออีกสักนิดแต่ก็กลัวว่าจะเผยพิรุธออกไป
‘เพราะผมได้เฝ้ามองคุณมานาน ผมรู้ว่าคุณต้องทรมานเพราะใคร ต้องทนทุกข์เพราะใคร ผมเข้าใจในความร้ายกาจนั้นของคุณดี ต่อให้คุณจะด่าหรือทำร้ายผมยังไงผมก็ไม่เคยโกรธสักนิด ที่รัก ..คุณพฤกษ์คนดีของผม แค่คุณหันมามองผมบ้างก็สุขใจแล้ว’
อยากจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้รับรู้ ทว่าความเป็นจริงคุณพฤกษ์ไม่เกลียดเขาในกาลนี้ที่ยังเป็นแค่เด็ก แต่นั่นไม่ได้เหมารวมถึงตัวเขาในกาลก่อนที่เป็นผู้ใหญ่
จะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด ..จะเก็บเป็นความลับไปตลอดชีวิต
“เขี้ยว” คุณพฤกษ์เรียก เด็กหนุ่มที่จมอยู่ในห้วงความคิดจึงได้สติ
“ยิ่งแกพูดฉันยิ่งรู้สึกแย่ นี่ฉันคงทำชีวิตแกด่างพร้อยไปอีกคนสินะ”
แม้ท้ายประโยคจะพูดเสียงเบาหวิวเหมือนกำลังพูดกับตนเอง ทว่าอินทรชิตกลับได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน คุณพฤกษ์กำลังพูดถึงตัวเขา พงพีและมาลีวัลย์ในวัยผู้ใหญ่ไม่ผิดแน่
“ฉันพูดคำนี้ไม่บ่อย แทบจะไม่พูดกับใครเพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองผิด อาจจะสายไปแล้วก็ได้ที่มาพูดเอาป่านนี้..”
เขาหันไปหาคุณพฤกษ์ คิดว่าคุณเขาคงกำลังมองตนเองอยู่ ทว่าผิดคาด อีกฝ่ายกำลังมองไปที่สัญญาณไฟจราจร ที่น่าประหลาดคือแก้มขาว ๆ ข้างนั้นของคุณพฤกษ์แดงซ่านชวนมองราวกับสีของไฟจราจรในตอนนี้ไม่มีผิด
สีแดงเริ่มนับถอยหลัง ..สี่ สาม สอง และหนึ่ง กระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว คุณพฤกษ์จึงพูดต่อไปว่า
“ฉันขอ..”
“อย่าขอโทษผม” เขาแทรกขึ้นขณะอีกฝ่ายกำลังพูด ..นี่เป็นครัังแรกในชีวิตอีกเหมือนกัน
คุณพฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ มองด้วยสีหน้าชวนสงสัย ในตอนนั้นเองที่เสียงแตรถูกบีบไล่มาจากรถยนต์คันด้านหลัง คุณเขาตื่นตระหนกก่อนจะรีบเคลื่อนรถออกไป
อินทรชิตมองการกระทำนั้นพลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“ผมไม่เคยโกรธคุณ” เขาพูด
“แกอย่ามาทำเป็นคนดีไปหน่อยเลย” เสียงทุ้มเอ่ย “ที่บอกว่าไม่เคยโกรธมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ ลึก ๆ แกก็เกลียดฉันอยู่บ้างล่ะ”
“ก็อาจจะมีครับ” เขายอมรับอย่างซื่อสัตย์ “แต่มันน้อยมากถ้าเทียบกับอีกความรู้สึก”
“บอกฉันสิ” น้ำเสียงนั้นหยอกเย้า
“ผมน้อยใจ” และเขาก็บ้าพอที่จะพูดออกไป “ผมอยากให้คุณทำดีกับผมแบบนี้มาตลอด”
“...”
“แต่พอคุณทำดีด้วยจริง ๆ ผมก็เริ่มอิจฉาพีร์กับมะลิ ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่น้องของคุณพฤกษ์แท้ ๆ แต่ก็ยังจะคิดแบบนั้น ..คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น”
อินทรชิตทำหน้าหงอยชนิดที่ว่าคนมองปวดใจแทน
‘มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ’ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด
“ก็นึกว่าอะไรเสียอีก” นิ้วเรียวถูกยกขึ้นมาดันแว่นสายตา คุณพฤกษ์พูดเสียงนุ่มนวลว่า
“ได้สิ”
“ต่อไปนี้ฉันจะดีกับแกอย่างที่แกต้องการ”
“อะไรที่ทำให้เด็กสองคนนั้น ฉันจะทำกับแกด้วย”
“หรืออะไรที่เด็กสองคนนั้นทำกับฉัน แกก็ทำแบบเดียวกันได้”
“ไม่ต้องคอยระวังอะไรอีก อยากพูดอะไรก็พูด อยากรู้สึกอะไรก็ตามใจ”
“ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องรื้อฟื้นอดีต ไม่ต้องคิดถึงอนาคตและไม่ต้องกลัวปัจจุบัน”
“พักนี้มึงดูหลอนนะ” เสียงห้าวทักขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ข้างสนามบาสเกตบอล อัคราที่ตัวโชกเหงื่อจากการเล่นบาสทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับมองมาด้วยสายตาแพรวพราว
“ยิ้มอะไรอยู่ได้ทั้งวัน มีเมียหรือไง? ”
“เสือก” เขาตอบกลับไปแต่มันดันหัวเราะ
“นั่นปะไร หน้าตาชื่นมื่นขนาดนี้กูว่าชัวร์เลย” อัคราบุ้ยหน้า “หยิบน้ำมาให้หน่อยดิ”
“ไม่ใช่เมีย” อินทรชิตว่าและส่งขวดน้ำให้เพื่อน
“จะจริงเร้อ”
“ไม่รู้ แค่ตอนนี้มั้ง กูไม่รีบ”
“แค่ก! ว่าไงนะ เอาจริงดิ ใครวะ? ”
อินทรชิตหรี่ตาลงต่ำ “มึงอย่ารู้เลย”
"Damn.. ” อัคราหัวเสีย “หัดมีความลับกับเพื่อน”
“คนเรามันก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้สักเรื่องทั้งนั้น”
“อะไรวะ กลัวกูจีบหรือไง” เด็กหนุ่มหยอกเอินทว่าอินทรชิตกลับนิ่งเงียบและไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงแค่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบ เพียงเท่านั้นอัคราก็ร้องออกมาทันที
“เฮ้ย ๆ ๆ อย่าบอกว่ามึงคิดงั้นอะไอ้อินทร์ ไอ้ห่านี่ กูไม่แย่งของ ๆ เพื่อนหรอกนะเว้ย”
“มึงพูดเองนะ” เขาสวนกลับไปทันควัน
“ฮ๊ะ? อะไร!? ”
“มึงจะไม่แย่งของ ๆ กู”
“ฮ๊ะ? ”
“มึง จะ ไม่ แย่ง ของ ๆ กู”
อินทรชิตเน้นชัดและหนักแน่นทุกพยางค์ เล่นเอาอัคราเริ่มทำตัวไม่ถูก
“กูแค่พูดเล่นเอง มึงจริงจังไปหรือเปล่า”
“กูจริงจัง” เขาว่า “สัญญามาก่อนดิ เราเพื่อนกันใช่ไหมล่ะ? สัญญาดิ ถ้ามึงผิดสัญญากูขอให้ตายไม่ดี”
“ว๊อทททท! ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ใจเย็น ๆ ไอ้สัตว์”
อินทรชิตแสร้งยิ้มบาง ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นบิดเบี้ยวชวนให้อึดอัดไปเสียหน่อย เขาชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าระหว่างตนเองกับอัครา
“ว่าไง? ”
“Are you joking? ”
“....”
“ก็ได้ ๆ อ่ะ สัญญา เกี่ยวก้อยกันเลย กูจะไม่แย่งของ ๆ มึงเด็ดขาด”
อัครายื่นนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวตามที่เขาร้องขอในที่สุด
“สบายใจยัง”
เขายักไหล่ “Sure ”
หลังจากนั้นอัคราก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าสนาม อินทรชิตจึงโบกมือส่งเพื่อน เขายืนมองอีกฝ่ายเล่นบาสเกตบอลอย่างบ้าระห่ำอยู่สักพักก่อนจะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะต้องเข้าชมรมที่ตึกกิจกรรมเหมือนกัน เขาไม่ได้อยู่ชมรมบาสเกตบอลอย่างอัครา อันที่จริงในกาลก่อนตัวเขาก็อยู่ชมรมบาสนั่นแหละ เคยเป็นถึงนักกีฬาระดับเยาวชนเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาชักจะเบื่อบรรยากาศเดิม ๆ ที่ต้องวุ่นวายกับการเก็บตัวฝึกหนักเพื่อการแข่งขันหรือต้องมาตามงานค้างหลังแข่งทัวร์นาเมนต์ เขาอยากมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
ตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ..เขาไม่ต้องพยายามจนตัวตายเพื่อให้คุณพฤกษ์หันมามองอีกแล้ว
อินทรชิตหยุดเดิน เขาก้มลงมองนิ้วก้อยของตนเอง
“เก็บมันเอาไว้ใกล้ตัวอาจจะดีกว่าสินะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ